Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 4 : พันดุล ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11850905/W11850905.html

บทที่  4


พู่ชมพูรู้สึกเหมือนถูกจับโยนขึ้นสูงกลางอากาศอย่างรวดเร็วแล้วตกแอ้กลงมาที่พื้น เธอไม่รู้ตัวว่ายืนนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ในท่าเดิมอย่างนั้นนานกี่นาที รู้แต่ว่าส่วนผสมทุกอย่างที่กลายมาเป็นมนุษย์ผู้ชายตัวสูงๆ ด้านหน้าเธอไม่ได้ต่างจากเดิมจนเธอลังเลหรือจำไม่ได้ ผมดำสนิทหยักศกค่อนข้างยุ่งไม่ทำให้ดวงหน้าคมคายลดความน่าดูเลยแม้แต่น้อย

มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อร่างเด็กน้อยเดินผ่านหน้าไป ร่างเล็กๆ นั้นแทบจะถูกกลืนด้วยตอซังข้าวจนท่วมหัวขณะเดินโยกเยกไปตามโคลนเละอย่างยากลำบาก หญิงสาวเห็นคนที่สบตากันกับเธออยู่เมื่อครู่เดินมาหาแล้วย่อตัวอุ้มเอาร่างน้อยขึ้นอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวเล็กร้องเอิ๊กอ๊ากอย่างชอบใจก่อนจะวางลงบนด้านข้างของรถเกี่ยวข้างให้ยืนเคียงข้างชายสองคนที่อ้าแขนรอรับอย่างเอ็นดูปนหมั่นเขี้ยว เด็กชายดูตื่นเต้นและสนุกสนานแถมยังทำท่าจะหาทางปีนขึ้นไปยังที่นั่งของคนขับอีกต่างหาก

พู่ชมพูหุบปากฉับเมื่อรู้ตัวว่าอ้าปากนานจนลมจะเข้าท้อง ภาพสายตาของพันดุลที่มองดูเก่งคว้าดึงตัวยุ่งลงมาแล้วส่ายหน้าไปมาพลางผินหน้ามาทางเธอด้วยรอยยิ้มทำให้ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา คำที่เด็กน้อยเรียก ‘พ่อเดี่ยว’ เหมือนก้อนหินเป็นเหลี่ยมคมทุบที่ศีรษะจนเจ็บแปลบและสมองก็สั่งการณ์ให้หมุนตัวเพื่อจะรีบออกไปให้พ้นภาพความสัมพันธ์ฉันท์ ‘พ่อลูก’ ที่คงจะมีแม่รออยู่ที่บ้านหรือที่ใดที่หนึ่งในโลกใบนี้

“เดี๋ยวพู่...”

พู่ชมพูชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงห้าวดังขึ้นข้างหลัง เธอสูดลมหายใจ พยายามปรับสีหน้าให้ราบเรียบทั้งที่ข้างในกำลังมึนๆ งงงันสับสนแล้วจึงค่อยๆ หมุนตัวกลับมามองคนเรียก พันดุลอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมแขนเดินเข้ามาหาเธอพลางยิ้มใสซื่อ คล้ายๆ จะมีแววออดอ้อนเว้าวอนอยู่ในสีหน้าคมคาย

“พี่รบกวนอย่างหนึ่งได้ไหม ฝากเอาตาป้องไปให้ป้าแพงหน่อย หรือจะพาไปไหนมาไหนด้วยก็ได้ พี่จะได้มีเวลาเกี่ยวข้าวของพู่ให้เสร็จเร็วๆ ขืนให้อยู่ด้วยคงได้วุ่นวายหรือไม่สบายทีหลังแน่”

อะไรนะ! จะให้ฉันดูแลลูกของตัวเองเนี่ยนะ? กล้าดียังไงถึงกล้ามาใช้ เอาความสัมพันธ์อะไรมามิทราบ!

“แล้วแม่ของตาป้องเขาไปไหนล่ะ ทำไมถึงให้ป้าแพงดูแล” เธอย้อนถามกลับด้วยเสียงห้วนเป็นมะนาวไม่มีน้ำ นี่หากแม่มาได้ยินเข้าคงถูกบิดแขนจนเขียวโทษฐานที่ไม่มีความเป็นกุลสตรี

นัยน์วาวแจ่มใสในตอนแรกหมองลงวูบหนึ่ง ก่อนจะตอบสั้นๆ

“แม่เขาอยู่กรุงเทพฯ” พูดจบแล้วก็ยื่นแขนที่มีเด็กชายมาตรงหน้าแต่หญิงสาวส่ายหน้าดิก นึกค่อนในใจว่า ดูทำหน้าตาเข้าสิ ยังกับถูกเมียทิ้ง

“เรื่องอะไร ลูกตัวเองก็ไม่ใช่ งานในนาในไร่ก็มีเยอะแยะ ทำไมจะต้องหาเรื่องเหนื่อยกระเตงลูกชาวบ้านไปด้วย”

“โธ่...พู่จ๋า ตาป้องไม่เป็นภาระให้พู่ขนาดนั้นหรอก เลี้ยงไม่ยาก ไม่กวน ไม่โยเย ไม่งอแงขอกินขนมหรอกถ้ากลัวเปลืองเงินล่ะก็” พูดจบก็ยื่นแขนยาวกว่าเดิมมาอีกนิด

พู่ชมพูตาเขียวเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกเย้าแหย่ “เอ๊ะ! ไม่ได้งกเสียหน่อย แต่เลี้ยงเด็กไม่เป็นเท่านั้นเอง”

“ก็ฝึกไว้ไง เวลาเรามีเป็นของตัวเองจะได้ไม่มีปัญหา”

“อะไรนะ!” เธอย้อนถามเสียงสูง สีหน้าบอกว่าพร้อมจะเอาเรื่องกับคำว่า ‘เรา’ ที่ได้ยินเต็มสองหู ยังไม่ทันที่พันดุลจะแก้ตัว ปกป้องซึ่งหันไปหันมาพลางเตะขาอยู่กลางอากาศก็ร้องขึ้น

“ปวดฉี่”

“เอ๊า พู่เร็วสิ ป้องปวดฉี่แล้ว เร็ว” ว่าแล้วก็ยื่นร่างเล็กมาจนใกล้กว่าเดิมอีก แถมปกป้องก็เหลือเกินอ้าแขนกอดคอเธอหนึบ

หญิงสาวตั้งตัวไม่ทันได้แต่อ้าปากค้าง จำใจเปิดวงแขนอุ้มเด็กชายอย่างจำยอม ขณะเดียวกันก็ได้แต่นึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นลูกเป็นหลานฉันจะไม่ว่าสักนิด แต่นี่เป็นลูกของ... แฟนเก่า!

“ไปอยู่กับแม่พู่นะครับป้อง ไหน...ลองเรียกแม่พู่ซิครับ”

“เอ๊ะ พู่ไม่ใช่แม่นะ” เธอแหว แทนตัวเองอย่างที่เคยพูดกับเขา แต่เสียงเล็กๆ ก็ดังตอบรับคนเป็นพ่อไวเหลือเกิน

“แม่พู่ค้าบ แม่พู่ แม่พู่ ป้องปวดฉี่”

พู่ชมพูตวัดสายตาขุ่นเขียวปะทะกับคนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังเอ่ยมาอีกว่า

“ตาป้องขาดความอบอุ่นเพราะแม่ไม่อยู่ ปล่อยให้แกเรียกว่าแม่หน่อยจะได้รู้สึกว่าตัวเองมีแม่อยู่ใกล้ๆ อย่าซนกับแม่พู่ล่ะได้ยินไหมครับปกป้อง”

ท้ายประโยคเขาหันไปสำทับกับเด็กชายปกป้องก่อนจะหันหลังกลับไปยังรถขึ้นไปยังที่นั่งเตรียมพร้อมเกี่ยวข้าวเสียอีก พู่ชมพูจะทำอะไรได้นอกจากอุ้มปกป้องเดินไปยังคันนาแล้วปล่อยลง เจ้าหนูดึงกางเกงลงแล้วปล่อยน้ำยูเรียลงข้างๆ คันนานั่นเอง หญิงสาวหันหน้าหนีราวกับว่าปกป้องเป็นผู้ชายตัวโตๆ

บ้าจริง! ลูกก็ไม่เคยมีกับเขาแล้วทำไมต้องมารับหน้าที่เอาลูกเขามาเลี้ยงดูแลด้วยนะ

ดูสิ...ท่าทางซนไม่เบา ผิวก็ขาวเหมือนพ่อ จมูกโด่งน่าบีบ ตาโต ขนตางอนน่าดึง ผมดำหยักศก โอ๊ย! เหมือนกันไปหมด

คนใจร้าย! ที่เงียบหายไปหลังจากบอกว่าจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อจะได้ไปอยู่ดูแลแม่กับน้องสาว ปิดบ้านช่องทางนี้ไว้เงียบเชียบเป็นปีไม่ยอมกลับมาที่แท้ก็ไปตั้งรกรากมีครอบครัวที่โน่น

ไปแล้วก็หายลับไม่ยอมโทรหาพูดคุยกับเธอเหมือนช่วงแรกๆ เธอก็ไม่ใช่คนที่ง้อคนด้วย ไม่โทรหาเธอก็ไม่โทรไปเหมือนกัน ต่อให้คิดถึงก็เถอะ แต่เรื่องอะไรจะบอกให้รู้ ยิ่งมีลูกมาอย่างนี้ยิ่งทำไม่สนไปเลยยิ่งดี จะสนใจทำไมในเมื่อเขาแต่งงานจนมีลูกชายจนอายุสามสี่ขวบแล้ว

แต่เอ๊ะ! เรียนจบได้สองปี แล้วทำไมมีลูกได้สามสี่ขวบแล้ว หรือว่า...แอบไปมีลูกตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว

คนโลเล ไม้หลักปักเลน ผู้ชายไม้เลื้อย

“โฮ้...แม่พู่เหยียบปูนาตายแล้ว ป้องกำลังจะจับอยู่พอดี”

พู่ชมพูได้ยินเสียงเล็กใสๆ ทักท้วงจึงยกเท้าขึ้นดูก็เห็นปูนาแบนแต๊ดแต๋อยู่บนคันนาจึงยิ้มแหยๆ ไม่นึกว่าด่าคนในใจแล้วเท้าจะกระทืบลงคันนาด้วย ยังไม่ทันจะวางเท้าลงก็แว่วเสียงของผู้หญิงดังมา

“ตาป้องเดินดีๆ หน่อยลูก เดี๋ยวก็ตกคันนาลงไปเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมซักยากกันพอดี พ่อแกยิ่งไม่มีเวลาซักอยู่”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นหันไปตามเสียง เห็นหญิงวัยประมาณห้าสิบกว่ามองเธออยู่ก่อนแล้ว พอสบตาฝ่ายสูงวัยกว่าก็เอ่ยทักเพราะรู้จักกันเนื่องจากเป็นคนบ้านเดียวกัน

“เป็นไงล่ะหนูพู่ เจอหน้าเจ้าเดี่ยวมันแล้วสิ รายนั้นจากบ้านไปนานกลับมาหน้าตามันดูหล่อเหลามากขึ้นเลยนะ แถมยังมีลูกชายหล่อเหมือนพ่อมาด้วยอีก เสียแต่ว่าไม่ยอมเอาแม่ตาป้องมาด้วย เออ...จริงสิ เจ้าเดี่ยวกับหนูเคยเป็นแฟนกันนี่นา แล้วยังไงไปๆ มาๆ ไปมีลูกมีเมียตอนไหนก็ไม่รู้นะหนูนะ ป้าถามว่าแต่งงานตอนไหน เมียเป็นใครอยู่ที่ไหนก็ไม่ยอมบอก แถมไม่ยอมพามาด้วย สงสัยจะทะเลาะกันเสียก็ไม่รู้ ผู้หญิงเมืองกรุงเขาสวยคงไม่ง้อไอ้หนุ่มบ้านนอกบ้านนา ส่วนผู้หญิงบ้านนอกคอกนาไหนจะสู้สาวเมืองกรุงแต่งตัวสวยๆ งามๆ ทาปากแดงได้ล่ะ จริงไหม? นี่หนูต้องรีบหาแฟนใหม่เร็วๆ นะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็จะขึ้นคานไม่มีใครเอานะ”

พู่ชมพูถอนใจอย่างเซ็งๆ ให้กับคำพูดยาวเหยียดของป้าแพง สายตารายนั้นเหมือนจะบอกว่า ‘ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดีกลัวเธอจะไม่มีใครเอาไปทำเมีย’ โถ...เธออยากจะบอกป้าแพงไปนักว่า ‘พู่อายุยี่สิบสี่เองนะ’

สมัยนี้ผู้หญิงเขาแต่งงานกันอายุสามสิบกว่าก็ยังมี บางคนสี่สิบก็ยังไม่สาย ยังกับฉันกลัวนักนี่!

ป้าแพงต่างกับป้าภาน้องสาวก็ตรงนี้ ป้าภา หรือป้าโสภามีแต่แววตาอ่อนโยน ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น ไม่ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากอย่างใจอย่าง ปากว่าห่วงแต่ใจกำลังเยาะหยันและสมน้ำหน้าอยู่

ส่วนป้าแพงนะหรือ ถ้าได้อิจฉาใครล่ะก็เป็นต้องขุดหาเรื่องมาพูดในแง่ไม่ดีหรือเยาะหยันจนได้ แล้วยิ่งถ้าถูกใครทำให้เสียผลประโยชน์ล่ะก็เป็นต้องเดินหน้าชนทั้งโวยวายทั้งป่าวประกาศจนรู้กันไปสามบ้านแปดบ้านและเอาเรื่องจนถึงที่สุด

ผิดกับป้าภา ขนาดถูกนายไตรภพโกงที่ดินก็ยังไม่พูดไม่ว่าหรือตอบโต้อะไรได้แต่ร้องไห้ ก่อนจะยอมรับชะตากรรมที่คนโกงหยิบยื่นให้มุ่งตรงเข้าไปสู้ชีวิตในกรุงเทพฯ ด้วยการเป็นแม่ค้าขายส้มตำแล้วส่งเสียให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือ โดยเอาพิมพ์ดาราไปเรียนหนังสือที่โน่นด้วยปล่อยให้พันดุลอยู่บ้านทางนี้คนเดียวเนื่องจากติดเรียนในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ตอนนั้นเธอรู้แต่ว่าพันดุลเสียใจมากแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีเงินจะฟ้องร้อง และด้วยอารมณ์ของผู้ชายแม้จะไม่ถึงขั้นไปทะเลาะกับไตรภพแต่ก็ทำให้เขาไม่ถูกกันกับไตรภพตั้งแต่นั้นมา เธอได้แต่ปลอบใจและเห็นใจเพราะที่ดินห้าสิบไร่ที่ตกทอดมาจากลุงแดงซึ่งเป็นพ่อของพันดุลเป็นมรดกล้ำค่าซึ่งทำให้พันดุลได้เรียนปริญญาตรีจากรายได้ที่มาจากการขายข้าวแต่ละปี ถึงแม้จะไม่มากแต่ความขยันของป้าภาบวกกับอยากส่งเสียให้ลูกเรียนสูงๆ เพื่อจะได้มีงานการที่ดีทำไม่ถูกหลอกเหมือนเธอ

ไม่ใช่เพราะความรู้ไม่เท่าทันหรือ คนขยันจึงเสียรู้จนได้เมื่อนำที่ดินไปจำนองกับนายไตรภพเป็นทุนรอนให้ลูกๆ เพราะลำพังเงินจากการขายข้าวกับรายได้จากการปลูกผักขายส่งพันดุลซึ่งเป็นลูกชายคนโตเรียนมหาวิทยาลัยก็แทบจะไม่พอแล้ว หลังจากนั้นยามเงินขาดมือก็ไปหยิบยืมนายไตรภพอยู่บ่อยๆ และทยอยส่งคืน แต่พอจะไปไถ่นาคืนนายไตรภพกลับบอกว่าป้าภาติดหนี้สินค้างดอกเบี้ยที่ยืมเงินไปจึงต้องยึดที่นา

“แต่เจ้าเดี่ยวก็กล้านะ พอแม่ตายก็เอาเงินมาซื้อรถเกี่ยวข้าว แสดงว่านังภาขายส้มตำจนมีเงินเป็นล้านๆ นะนี่”

“ป้าภาตายแล้วหรือคะ” ข่าวที่ได้ยินสร้างความตกใจให้พู่ชมพูไม่น้อย

“ก็ตายแล้วน่ะสิ อ้าว นี่แสดงว่าเจ้าเดี่ยวไม่สนใจเธอแล้วจริงๆ ขนาดแม่ตายยังไม่ยอมบอกกันเลยหรือ”

เอาอีกแล้ว นิดๆ หน่อยๆ ก็จะแขวะ จะตอกย้ำกันไปถึงไหนนะ แต่มันก็มีส่วนจริงจนเธอพาลโกรธไปถึงพันดุล เธอเหลือบมองปกป้องก็เห็นรายนั้นกระโดดลงนาไปจับตั๊กแตนจนเกือบจะล้มคว่ำ

“ป้าแพงเอาข้าวมาให้พี่เดี่ยวหรือ ถ้าอย่างนั้นพู่ก็จะได้ไม่เอาข้าวเช้ามาให้พวกเขาอีก” เธอเปลี่ยนเรื่องหลังจากเหลือบมองปิ่นโตในมืออีกฝ่าย

“ป้าก็เอามาเผื่อ พอดีลุงเตียวเขาไปใส่เบ็ดได้ปลาช่อนมาเยอะก็เลยต้มมาให้รายนั้นเสียหน่อย สงสารคนมาจากกรุงเทพฯ คงไม่ได้กินมานาน แต่ตอนเที่ยงต้องให้เจ้าของนาดูแลเรื่องอาหารการกินนะ ป้าไม่เกี่ยวแล้ว ป้ามีธุระด้วย หาข้าวหาปลาให้กันกินด้วยล่ะ ยังไงก็แฟนเก่ากัน ถึงเดี่ยวมันจะมีเมียแล้วก็เถอะ”

กะอีแค่ข้าวเที่ยงไม่เห็นจะต้องยกแฟนเก่ามาอ้างเลย พู่ชมพูพยายามสงบปากรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ทั้งที่อยากจะร้องออกไปดังๆ  แถมก่อนไปคนช่างตอกย้ำเหมือนช่างตอกเสาเข็มยังไม่วายจะทิ้งท้ายว่า

“ฝากดูแลเจ้าป้องมันด้วยสิ ป้าจะไปงานศพญาติ ค่ำโน่นแหละถึงจะได้กลับ เจ้านี่เลี้ยงง่าย ปล่อยให้เล่นตามทุ่งนาล่ะชอบนัก”

พู่ชมพูมองตามร่างผอมบางไป อดคิดล่วงหน้าไม่ได้ว่าหลังจากนี้ป้าแพงก็คงจะเอาเรื่องพันดุลแอบไปมีลูกมีเมียแล้วทิ้งแฟนบ้านนอกอย่างเธอ ขนาดหลังๆ มาที่พันดุลเงียบหายไป คนในหมู่บ้านยังเอาไปพูดสนุกปากเลยว่าพันดุลทิ้งไปแล้ว นี่ขนาดเป็นแฟนนะ ถ้าเป็นเมียแล้วถูกทิ้งไปมีเมียใหม่ เธอจะถูกเอาไปเล่าครึกโครมขนาดไหน

คิดถึงตอนนี้ก็ไม่อยากจะอยู่ดูงานเกี่ยวข้าวให้หงุดหงิดสะกิดแผลใจมากไปกว่านี้

“ไข่! ไข่! จะไปด้วยกันไหม” เธอตะโกนถามไข่ที่ยืนอยู่คันนาอีกด้านมองดูรถเกี่ยวข้าวอย่างเพลิดเพลินด้วยท่วงท่าราวกับเป็นเจ้าของรถเกี่ยวข้าวเสียเอง

“ไปไหนครับพี่พู่” ไข่ร้องถาม

“เอารถไปเติมน้ำมันแล้วก็จะหาคนมาขนข้าวด้วย” หญิงสาวตะโกนตอบ พลางมองกระสอบใส่ข้าวที่ถูกมัดปากวางเรียงรายห่างๆ บนคันนา แทนคำตอบไข่วิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว พอเห็นเด็กน้อยตาต่อตาสบกันไข่ก็เอ่ยถาม

“นี่ลูกใครเหรอครับพี่พู่ หัวหยิกแก้มยุ้ยเชียว”

ด้วยความหมั่นไส้คนเป็น ‘พ่อ’ ของเด็กเธอเลยตอบแบบทื่อๆ ว่า “ลูกคน”

“เอ๊า! นึกว่าลูกหมา” ไข่ว่าเข้าไปนั่น

“ว่าใครลูกหมา ป้องไม่ใช่ลูกหมานะ เดี๋ยวเถอะจะฟ้องพ่อเดี่ยว” เสียงปกป้องโวยวายขึ้นมาทันที จนพู่ชมพูหลุดเสียงหัวเราะขำเอ็นดูในความช่างพูดฉลาดทันคนนัก

แต่พอจะก้าวเดินนำออกไป รถเกี่ยวข้าวก็ผ่อนเสียงลงและเงียบไปในที่สุด

“อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะนั่น หรือว่ารถจะเสีย” หญิงสาวเดา

อึดใจก็เห็นคนขับกระโดดลงมาแล้วยุ่งกับท่างัดแงะอะไรบางอย่างวุ่นอยู่

“คงจะเสียจริงๆ ครับพี่พู่ เพราะดูรถมันเก่าๆ อยู่นา... รถเกี่ยวข้าวยิ่งเสียบ่อยอยู่ด้วย วันก่อนก็ได้ยินข่าวว่ารถที่มาจากแถวภาคกลางมาเกี่ยวบ้านลุงละก็เสียอยู่กลางนาตั้งวันหนึ่งเต็มๆ เจ้าของต้องขับรถไปซื้ออะไหล่ในเมืองโน่น”

เธอยกมือท้าวเอวฉับ เม้มปากกระแทกลมหายใจออกมา สีหน้าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด

“อะไรกัน เพิ่งเกี่ยวไปไม่ถึงห้าไร่เนี่ยนะ เสียแล้ว แล้วจะซ่อมเสร็จเมื่อไหร่กันล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่พู่”

“ไม่ได้ถาม”

“เอ๊า” ไข่เกาหัวแกรกๆ กับอารมณ์ที่โดดขึ้นโดดลงของเจ้าของนา เลี่ยงหลบหน้าดัวยการหันไปดูปกป้องจึงทันได้เห็นเจ้าตัวเล็กกำลังก้าวขึ้นคันนาแต่เพราะขาสั้นเกินไปและรองเท้าบู้ทมันลื่นทำให้ไถลลื่น แต่มือนี่สิดันไปปัดเอาปิ่นโตจนล้มแล้วไหลลงไปในนาข้าว

“อ้าว เฮ้ย หกหมด ตายละหวา...”

“อด อดกินกันพอดี” พู่ชมพูถอนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้

“พู่ พู่จ๋า ขอข้าวกินหน่อย พี่หิวแล้ว”

อารมณ์หญิงสาวพุ่งปรี๊ดเมื่ออยู่ดีๆ คนขับรถเกี่ยวข้าวก็ตะโกนมาเสียงดังพร้อมยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด ชะ มาเรียกเสียหวานจ๋อย ฉันไม่ใช่เมียนะจะได้มาเรียกจ๊ะจ๋า ได้ยินแล้ว คันหู!

“ปิ่นโตข้าวล้มข้าวหกหมดไม่มีให้กินแล้ว ถ้าอยากกินก็เกี่ยวให้เสร็จสิบไร่ก่อนสิ” เธอร้องตอบกลับไปเสียงดังพอกัน

“ใจร้าย รถเสียไม่เห็นเหรอ” ว่าแล้วก็เอาเครื่องมือเคาะกับตัวรถเสียงดัง

พู่ชมพูไม่สนใจ เธอกวักมือเรียกไข่ แล้วเดินนำออกไป ไข่ฉวยข้อมือของปกป้องแล้วพากันเดินตามอย่างทุลักทุเล เพราะคันนาเล็กๆ ประมาณฟุตกว่าเท่านั้น

“คนอุตส่าห์มาเกี่ยวข้าวให้นานี้ก่อนใครเป็นการประเดิม เพราะรักนะเนี่ย”

หญิงสาวชะงักกึกเมื่อได้ยินประโยคหลัง

“ใบหน้างามๆ ไม่น่าใจดำเลยแก้วตา ดำเหมือนน้ำย้อมผ้า ไม่เวทนาบ้างเลยจอมขวัญ” เสียงบูลย์ร้องเพลงดังลั่นทุ่งลอยมาอีก

เอาเข้าไป เข้าคู่กันดีนักนะ

“ไอ้ป้อง ขอข้าวแม่พู่มาให้พ่อกับลุงกินหน่อยนะ เดี๋ยวพ่อกับลุงไม่มีแรง” เก่งสำทับอย่างไม่น้อยหน้า

“ค้าบลุงเก่ง ลุงบูลย์”

หญิงสาวทั้งขำทั้งฉิว พอถึงรถก็จับเจ้าตัวเล็กขึ้นไปนั่งข้างหน้า ไข่กระโดดขึ้นนั่งขนาบข้างอย่างรวดเร็ว คราวนี้รถอีแต๋นไม่ออกตัวอย่างรวดเร็วเพราะเห็นว่าเด็กนั่งไปด้วย แต่พอหันไปเห็นคนขับรถเกี่ยวข้าวยังมองตามมาก็เลยสะบัดหน้าพรืดอย่างลืมตัว

“ขับรถดีๆ นะน้องพู่ เดี๋ยวลูกเราตกรถ”

รถกระตุกนิดหนึ่ง หญิงสาวเม้มปากร่ำร้องในใจอย่างฉิวๆ โอ๊ย! โมโหแล้วนะ นี่ถ้าอยู่ใกล้ล่ะก็รับรองว่าจะไม่เก็บมือไว้ข้างลำตัวแน่ แต่เมื่ออยู่ไกลและทำอะไรไม่ได้เธอก็เลยมาลงที่ไข่

“จับลูกเขาดีๆ นะไข่ เดี๋ยวลูกเขาตกลงไปฉันไม่มีปัญญาจะทำให้คืนได้”

                          ***************

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากเติมน้ำมันในร้านของพิศงาม ซึ่งเป็นร้านขายของชำที่ใหญ่ในหมู่บ้าน พู่ชมพูก็ขับรถกลับมาจอดที่เดิมด้วยจำนวนผู้โดยสารเท่าเดิม เพราะคนที่เธอติดต่อว่าจะให้มาช่วยขนกระสอบข้าวขึ้นรถบอกว่าจะกินข้าวเช้าก่อนค่อยออกมา พอรถหยุดไข่ก็จัดการยกปกป้องขึ้นขี่คอพาวิ่งเล่นไปมาก่อนจะลงท้องนา ปล่อยให้พู่ชมพูเดินนำไปตามคันนาและตัดลงทุ่งนาตรงไปยังรถเกี่ยวข้าวที่จอดนิ่งสนิท ในขณะที่เก่งกับบูลย์ก้มๆ เงยๆ แหวกตอซังข้าวราวกับหาอะไรกันอยู่ห่างออกไป

เมื่อไปถึงพู่ชมพูก็ยกมือกอดอก หยุดมองคนขับรถที่แปลงร่างเป็นช่างซ่อม คนที่กำลังซ่อมรถเกี่ยวข้าวอยู่เหลือบเห็นร่างเพรียวเท่อย่างหาตัวจับได้ยากก่อนที่เธอจะมาถึงแล้ว มือที่ถือค้อนอยู่แกล้งตอกลงไปยังจุดที่เพิ่งตอกลงไปเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนพู่ชมพูสะดุ้งโหยง ใบหน้านิ่งเฉยของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดเพราะแอบเห็นดวงตาล้อเลียนปนขำอยู่ในดวงตาเรียวยาวคู่นั้น

“ตอกให้พังไปเลยสิ จะได้ไปหารถเกี่ยวข้าวคันใหม่” เธอประชด

“เห็นคันนี้เก่าๆ จะไปหาคันใหม่เลยเหรอ” พันดุลแกล้งว่าไปอีกทาง ก่อนจะทำเป็นพูดเสียงจริงจังว่า “ทำไมพู่ถึงขับรถเร็วจัง พี่เห็นแล้วหวาดเสียว”

“ก็ขับช้าไม่เป็นนี่”

“หมดหน้าเกี่ยวข้าวแล้วพี่จะสอนให้ เอาแบบขับช้าๆ จะได้ปลอดภัย”

หญิงสาวร้อนหน้ากับสายตาห่วงใยและนัยน์ตาวิบวับ “ไม่ต้องมายุ่งมาเกี่ยวด้วยเลย ไปสอนเมียตัวเองโน่นไป๊ แล้วก็รู้หน้าที่ตัวเองด้วยตอนนี้ว่ามีหน้าที่ขับรถเกี่ยวข้าวให้เสร็จโดยเร็วที่สุด”

พันดุลหรี่ตามองอาการเชิดหน้าเชิดจมูกก็ขยับตัวกระโดดลงจากรถมายืนตรงหน้าหญิงสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พู่ชมพูผงะถอยหนีพร้อมกับเอาฝ่ามือยันใบหน้าเขาหงายขึ้น ตามด้วยการเอ็ดเสียงเขียว

“อย่ามาใกล้ ไปซ่อมรถให้เสร็จเลยไป”

“รับรองว่าเสร็จ แต่กองทัพเดินด้วยท้อง ตอนนี้พี่หิวข้าว ขอข้าวกินหน่อยได้ไหม ตะกี้ป้าแพงเอาข้าวมาฝากไว้ที่พู่ไม่ใช่เหรอ”

“เสียใจ ลูกพี่เดี่ยวทำปิ่นโตข้าวล้ม ข้าวหกหมดแล้วเหลือแต่ปิ่นโต”

“อ้าว งั้นต้องรบกวนเจ้าของนาคนสวยคนนี้แล้วสิ” คนบอกว่าหิวดูไม่เดือดร้อนเลยสักนิดที่ปิ่นโตข้าวหก

“เรื่องอะไร งานไม่ถึงไหนยังจะกล้ามาขอข้าวกินอีก อายไหมนั่น”

ขอข้าวกิน! ประโยคนี้บวกกับความเฉยชาห่างเหินของพู่ชมพู ทำให้ชายหนุ่มนึกแปลบๆ ที่ใจนิดๆ เขาหรืออุตส่าห์ให้ความสำคัญกับเธอก่อนใคร พอกลับมาที่หมู่บ้านนาดีพร้อมกับรถเกี่ยวข้าวก็ติดต่อกับเก่งและบูลย์ให้มาดูลาดเลา พอรู้ว่าพู่ชมพูยังไม่ได้ติดต่อรถคันไหนไว้เขาก็เตรียมตัวมาเลยโดยไม่ได้มาติดต่อเองเพื่อจะให้เธอแปลกใจและดูปฏิกิริยายามเห็นเขา แต่ดูท่าทางตอนนี้สิ ทำเหมือนไม่สนใจ เหมือนไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน

“พี่ไม่อายหรอก แต่น้อยใจชะมัด คนอาไร้ หน้าตาดีแต่ใจร้ายที่สุด ด๊าย ไม่กินก็ด๊าย”

สิ้นเสียงคนพูด สีหน้าของคนหิวข้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงจนเจ้าของนารับอารมณ์แทบไม่ทัน เท่านั้นยังไม่พอยังป่วนประสาทหญิงสาวด้วยการหมุนตัวก้าวขึ้นรถแล้วเหวี่ยงค้อนลงบนอุปกรณ์ที่หลุดเสียงดังถี่ๆ โครมครามจนพู่ชมพูยกมือปิดหูแทบไม่ทัน เธอแยกเขี้ยวแล้วตะโกนว่า

“นี่! ไม่ต้องมาทำประชดเลย จะไปหาข้าวมาให้กินก็ได้ แต่ถ้าไม่เสร็จอย่างที่คุยโม้ไว้อย่าหวังว่าจะให้กินนะเพราะว่างานเกี่ยวยังไม่ถึงไหน แถมยังเสียเวลาอีก ขืนให้กินล่ะก็ เปลือง!”

มือขาวนวลเหมือนคนอยู่ในร่มมานานหยุดชะงักนิดหนึ่งแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ก่อนจะออกแรงมากกว่าเดิมและเพิ่มจังหวะหนักหน่วงจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวหมุนตัวเดินย่ำเท้าเหยียบตอซังข้าวอย่างกระแทกกระทั้น ดีว่ามีบู้ทหนายาวรองรับไม่อย่างนั้นเท้าของพู่ชมพูคงจะเป็นแผลและเปื้อนด้วยโคลนตม แต่ถึงอย่างนั้นก็เกือบจะติดหล่มตรงดินโคลนเหลว ดีว่ามันไม่ลึกนัก พลันหูก็ได้ยินเสียงดีดน้ำจึงหยุดเดินแล้วเอามือเปิดต้นข้าวที่ยังไม่เกี่ยว ตาเป็นประกายแจ่มใสเมื่อเห็นปลาตัวเล็กตัวน้อยดิ้นหนีเป็นวงแคบๆ เพราะความตกใจอยู่ในแอ่งน้ำ

“ไข่ ไข่ มาจับปลาข่อนเร็ว”

ไข่วิ่งหน้าตั้งมาตามคันนาแล้วเลี้ยวลงมายังจุดที่พู่ชมพูยืนมองอยู่

“โห... ปลาซิวกับปลาเข๋ง(ปลาหมอ) เต็มเลย โน่น ตรงโน้นก็มีอีกที่แน่ะพี่พู่”

“ไข่เอาหญ้ากับซังข้าวออกแล้วทำแอ่งให้ปลามารวมกันไว้นะ พี่จะไปเอาข้าวให้พวกนั้นก่อน แล้วจะเอาถังมาใส่ปลา”

“บอกแม่มาด้วยนะพี่พู่ วันก่อนแม่ยังบ่นอยู่เลยว่าอยากได้ปลาไปทำปลาร้า” ไข่หมายถึงป้าทุมที่ทำหน้าที่ดูแลงานทำความสะอาดโฮมสเตย์รวมทั้งดูแลสวนช่วยลุงจอมผู้เป็นสามี

“แน่นอนอยู่แล้ว แม่พี่ทำปลาร้าเป็นที่ไหน ต้องอาศัยปลาร้าป้าทุมทุกทีแหละ...พี่ไปก่อนล่ะ ดูแลลูกเขาด้วยล่ะ”

บอกยังไม่ทันสิ้นคำ ร่างของปกป้องก็เดินมาสมทบพอดีเพราะความสงสัยใคร่รู้

“เฮ้ย เฮ้ย ไอ้ป้อง อย่าเพิ่งลงไปเล่นสิวะ เดี๋ยวปลาก็มุดเข้าโคลนกันพอดี ออกมานี่” ไข่โวยเสียงลั่น

พู่ชมพูปล่อยให้ไข่จัดการกับลูกชายของพันดุลแล้วเดินไปที่รถ แว่วเสียงเจ้าตัวเล็กถามไข่มาทางด้านหลัง

“ปลาข่อนคืออะไรเหรอคับ”

“ปลาข่อนก็คือปลาที่อยู่ในน้ำแห้งขอดแล้วมันมารวมๆ กันไง”

“แล้วปลาเข๋งเป็นยังไงล่ะ”

“ปลาเข๋งก็คือปลาหมอไง”

“แล้วปลาหมอมันรักษาคนได้หรือเปล่าคับ”

“โฮ้ย...ถามจริงวุ้ยไอ้เด็กนี่ ลูกใครหว่า”

                             *****************

พอกลับมาเห็นสภาพของไข่กับปกป้องอีกที พู่ชมพูก็ไม่รู้จะขำหรือโมโหดี จากทีแรกมีคนสองคนบัดนี้มีบูลย์กับเก่งเพิ่มมาอีก ทั้งคนแก่และเด็กอยู่ในสภาพที่คลุกโคลนมอมแมมไม่ต่างกัน แถมแต่ละคนยังเหยียบเอาต้นข้าวใกล้ๆ ล้มคอหักคอพับจมดิน

พอเจ้าตัวเล็กกว่าเพื่อนเห็นพู่ชมพูถือตะกร้าเดินมาหาก็จับปลาช่อนตัวขนาดเท่านิ้วโป้งชูขึ้นให้เธอดูด้วยสีหน้าตื่นเต้น หญิงสาวเห็นรอยยิ้มน่ารักสดใสก็อดไม่ได้ ก้มตัวลงไปถาม

“ปลาอะไรเหรอครับน้องป้อง” แน่ะ ทำไมเธอทำเสียงน่ารักราวกับเอ็นดูลูกชายของคนอื่นเสียนักหนานะ

“ปลาข่อครับ” สำเนียงที่พูดออกมาแม้จะไม่เป็นอีสานร้อยเปอร์เซ็นต์แต่น่าฟังจนหญิงสาวเผลออมยิ้ม หากพลันก็ต้องหุบยิ้มหันหน้าหนีแทบไม่ทันเมื่อปลาสะบัดตัวดิ้นจนโคลนกระเซ็นเปรอะเปื้อนเสื้อและใบหน้าของพู่ชมพู

“แม่พู่เปื้อนหมดแล้ว”

“นี่...พี่...เอ๊ย เฮ้อ เรียกยังไงดีล่ะ” เอาล่ะสิ หาคำแทนตัวยากเสียจริง “เรียกอาดีกว่า”

“ใครบอกให้เรียกอา เรียกแม่นะดีแล้ว” มีเสียงลอยมาจากทางด้านหลัง ตามด้วยเสียงหัวเราะร่าของลูกคู่ ไข่ก็พลอยเป็นกับเขาด้วย

พู่ชมพูหันขวับไปตีหน้ายักษ์ใส่ “จะบ้าเหรอพี่บูลย์ เดี๋ยวเถอะ ได้อดข้าวหรอก”

“บ๋า... บ่ได้ดอก ขืนให้อดข้าวก็ไม่มีแรงกันพอดี ไปกันเถอะป่านนี้ไอ้เดี่ยวมันหิวข้าวหน้ามืดใส่น็อตผิดๆ ถูกๆ แล้วมั้ง”

ว่าแล้วบูลย์ก็ไล่ทีมงานจับปลาไปล้างหน้าล้างมือที่สระกลางนา เก่งอุ้มเอาเจ้าตัวเล็กแล้วแกล้งยกขึ้นลงจนปกป้องหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ หญิงสาวจะเดินตามพวกนั้นไปก็ใช่ที่จึงเดินไปยังจุดที่รถเกี่ยวข้าวจอดอยู่จัดการวางเสื่อกับตระกร้าข้าวลงไว้ใต้ร่มจามจุรีซึ่งอยู่ใกล้กัน เหลือบตามองคนที่ง่วนกับรถก็เห็นเขามองอยู่ก่อนแล้ว

ฮึ คงจะหิวล่ะสิ คิดแล้วก็แกล้งทำเฉยไม่เรียก แต่ความตั้งใจเป็นอันถูกตีกระเจิงเมื่อบูลย์เดินมาสมทบ

“อ้าว ไอ้เดี่ยว ใจคอเอ็งจะซ่อมรถจนไม่กินข้าวกินปลาเหรอวะ มากินข้าวกินปลาก่อนสิโว้ย แน่ะ ยังมาทำเฉยอีก จะรอให้คนเขาไปเชิญเสด็จถึงที่หรือไงวะ พ่อพระเอก”

“พี่เดี่ยวงอนใครหรือเปล่าพี่ อาการแบบนี้ต้องมีใครพูดผิดหูแน่” เก่งว่า แต่มือหยิบปลาแขยงทอดกรอบขึ้นมาใส่ปากเคี้ยว มีปกป้องนั่งกลืนน้ำลายมอง ความเอ็นดูปนสงสารจึงหยิบปลาตัวเล็กให้

บูลย์หันไปเห็นดังนั้นก็รีบโวยพร้อมกับนั่งแหมะลงข้างกัน “เฮ้ย ไอ้เก่ง นี่เอ็งจะกินไม่รอลูกพี่เอ็งเลยหรือไงวะ” ว่าแล้วก็หยิบปลาขึ้นมาบ้าง ปากก็บอกเจ้าของนาว่า “ไปพู่ ไปเรียกไอ้เดี่ยวมันหน่อย พี่เรียกแล้วมันทำเฉย ไอ้หมอนี่นะลงถ้าได้น้อยใจใครล่ะก็ทำงออยู่นั่นแหละ ไม่รู้ลูกคนโตประสาอะไร”

“ช่างเขาสิพี่บูลย์”

“น่า... ไม่ไป พี่กินข้าวหมดนะ ยิ่งหิวๆ อยู่ด้วย”

พู่ชมพูถอนใจเฮือก จำใจเดินไปยังรถเกี่ยวข้าว ขณะบอกตัวเองว่า ‘ที่มาเรียกนี่ไม่ใชว่ามาง้อนะ แต่มาเรียกเพราะกลัวว่าจะไม่มีแรงทำงานต่อ ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าใจจืดใจดำ อีกอย่างปล่อยไว้นานก็กลัวพวกนั้นกินข้าวกินกับหมดก่อน เธอขี้เกียจไปเอาข้าวมาให้อีกรอบ

“ข้าวมาแล้ว แล้วรถเกี่ยวข้าวล่ะ เรียบร้อยแล้วหรือยัง” พู่ชมพูยกมือกอดอกส่งเสียงถามโดยปรายตามามองเพียงนิดเดียว

“ใกล้แล้ว”

“ไปกินข้าวก่อนสิ”

ร่างที่กำลังก้มอยู่กับรถชะงักนิดหนึ่งแต่ไม่ยอมเงยหน้า บอกเสียงเบาราวกับดอกพิกุลจะร่วงว่า

“ขอบใจที่เรียกพี่ แต่ถ้ากัดฟันเรียกเพราะกลัวเปลืองล่ะก็ ไม่จำเป็นก็ได้” คนพูดใช้น้ำเสียงคล้ายน้อยใจเสียอย่างนั้น

หญิงสาวฉุนกึก เท้าสะเอวฉับ “นี่ ! อย่ามายอกย้อนเล่นลิ้นนะ คิดหรือว่าจะง้อ”

“ไม่ง้อก็ไม่ต้องง้อ ให้หิวตายแล้วเน่าเป็นปุ๋ยอยู่ตรงนี้แหละ”

“ได้ พูดเองนะ” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินไปยังต้นจามจุรี

“กินกันเลยไม่ต้องรอหรอกพี่บูลย์ เก่ง เขาบอกว่าจะหิวตายอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเรียก ถ้าชักกระแด๊กๆ ก็ไม่ต้องไปเก็บศพเพราะเขาบอกว่าจะปล่อยให้เป็นปุ๋ยอยู่ตรงนั้น ดีเหมือนกันปุ๋ยยิ่งแพงอยู่ด้วย” ปากพูดกับบูลย์แต่ชายตาไปยังคนงอนที่ยืดตัวขึ้นหันหน้าต่อสายตา

“เฮ้ย ! ไหงพูดอย่างนั้นล่ะไอ้เดี่ยว เรียกร้องความสนใจเกินไปแล้วนะเอ็ง มานี่เลยมากินข้าวเช้าก่อน เดี๋ยวงานไม่เดินล่ะยุ่งเลย” บูลย์ร้องเรียกเสียงดัง

“เดี๋ยวไปครับพี่บูลย์”

“เร็วๆ ล่ะ”

พันดุลเงยหน้าขึ้นหน้างอง้ำ ความจริงเขาซ่อมรถเกี่ยวข้าวเสร็จก่อนหน้าที่คนปั้นหน้าท่าทางเอาเรื่องเดินมาแล้วแหละ แต่อยากรอดูว่าเธอจะเป็นห่วงเป็นใยเขาหรือเปล่า อุตส่าห์ตั้งท่าทำเป็นยุ่งอยู่ที่ไหนได้ ไม่สนใจกันเลยว่าจะยอมไปกินหรือไม่กิน อยากรู้นักว่าถ้าล้มโครมลงไปตรงหน้าจะถลาเข้ามาเรียกพี่เดี่ยวหรือเปล่า

ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าเขาไม่ได้ลืมเธอเลย เพียงแต่ปัญหาชีวิตที่ประดังเข้ามาเพราะนายไตรภพคนโกงนั่นแท้ๆ ทำให้เขาวุ่นวาย ไหนจะเรื่องของดิวน้องสาวของเขาอีก พิมพ์ดาราสร้างความทุกข์ใจให้เขากับแม่ด้วยการท้องระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยไม่มีใครรับผิดชอบเป็นพ่อของลูก เท่านั้นยังไม่พอยังคิดจะเอาเด็กออก โชคดีที่เขารู้เสียก่อนจึงขัดขวางไว้ได้ทันและบอกว่าจะรับเลี้ยงเอง ดีว่าพิมพ์ดารายังเกรงกลัวเขาอยู่บ้างไม่อย่างนั้นอาจไม่มีปกป้องมาวิ่งเล่นเรียกเขาว่าพ่อเดี่ยว ถึงแม้หลานชายคนนี้จะเป็นที่รักและเป็นความสุขอย่างหนึ่งแต่ยามนี้ที่สูญเสียแม่ไปเขารู้สึกว่าการมีลูกหลานมันเป็นภาระและอุปสรรคต่อการทำงานไม่น้อย

พู่ชมพู...พี่ไม่เคยมีใครอื่นนอกจากพู่หรอก เพราะในสมองพี่มีแต่ครอบครัว และเวลานี้ที่พี่กลับมาบ้านนาดี ไม่เพียงแต่จะกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงินเพื่อทวงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเท่านั้น แต่เขายังจะกลับมาเพื่อเริ่มต้นบำรุงต้นรักที่งอกอยู่ในใจเขามานานแล้วและจะทำให้มันผลิดอกออกผลเป็นครอบครัวที่อบอุ่น เป็นข่าวดีทีเดียวเมื่อเขาสืบรู้จากพี่บูลย์และเจ้าเก่งว่าพู่ชมพูยังไม่ได้แต่งงาน

แต่การยังไม่แต่งงานก็ใช่ว่าจะยังไม่มีใครแวะเวียนเข้ามาทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวนี่นะ บางทีการที่ทำเฉยชากับเขาอาจเป็นเพราะมีใครไปแทนที่เขาแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ คิดมาถึงตรงนี้พันดุลก็ชักไม่แน่ใจ คืนนี้ต้องหลอกถามเอากับพี่บูลย์และเก่งให้ได้ว่ามีหนุ่มไหนแวะมาขายขนมจีบให้พู่ชมพูของเขาหรือเปล่า

                          *****************
คุณห้าสิบป่าย มาลงบทที่ 4 แล้วค่ะ
ขอบคุณกิฟจากคุณnpuy คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว, คุณกุหลาบมอญ และป้าทุยบ้านทุ่งค่า

แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 55 07:12:08

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 55 21:35:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com