Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
+++ The Abelard : เอเบลลาร์ด อาณาจักรเหนือมนุษย์___บทที่ 1 : ราตรีแห่งการนองเลือด +++ ติดต่อทีมงาน

+++ราตรีแห่งการนองเลือด+++

แสงไฟจากบรรดาตึกระฟ้าใจกลางเมืองค่อยๆดับลงทีละจุดเป็นสัญญาณแห่งยามราตรี เหลือเพียงแต่แสงจากป้ายโฆษณาแบบภาพเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ยักษ์ ที่วางสลับหว่างกับไฟถนน  และสีสันจากสถานบันเทิงเท่านั้นที่ทำให้ค่ำคืนนี้ดูไม่มืดจนเกินไปนัก เสียงดนตรีจังหวะรุนแรงลอดออกมาจากประตูที่ถูกเปิดออก  ตามมาด้วยสองสาวรุ่นกับอีกหนึ่งหนุ่มประคับประคองตัวเองออกมาจากผับกันอย่างทุลักทุเล

“นี่  ริกกี้ คุณต้องเชื่อฉันนะ ที่จริงแล้วฉันเป็นคนคอแข็ง ดื่มได้เป็นขวดๆเลย” สาวผมบลอนด์คนแรกพูดขึ้นพลางซบไหล่ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าริกกี้อย่างหมดเรี่ยวแรง

“ใช่ค่ะๆ ปกติเราสองคนดื่มหนักทั้งคู่ น่าแปลกที่วันนี้ ดื่มแค่แก้วเดียว เล่นเอาเกือบแย่” สาวผมสีแดงอีกคนกล่าวขึ้นบ้าง หล่อนยังคงกอดแขนอีกข้างของชายหนุ่มเอาไว้แน่น  ริกกี้โพล่งหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

“สงสัยอาจเป็นเพราะสเน่ห์ของผมละมั้ง ที่ทำให้พวกคุณเมา” สองสาวได้ยินดังนั้นก็หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างพอใจ

“แต่ก็ต้องขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้คุณ พวกเราคงออกมาจากผับนั่นเองไม่ไหวแน่”  สาวผมบลอนด์มองหน้าริกกี้อย่างหลงใหล ขณะที่อีกคนเริ่มลูบไล้แขนของชายหนุ่มอย่างเย้ายวน ริกกี้มองกริยาของพวกเธออย่างดูแคลนวูบหนึ่ง

“ไม่ต้องห่วง ผมพาพวกคุณไปส่งถึงที่แน่ แต่ว่า พวกเราไปสนุกกันที่อื่นต่อก่อนดีกว่า”  เขาเริ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่สองสาวไม่ทันได้สังเกต ทั้งยังกลับหัวเราะชอบใจ

“คุณจะพาพวกเราไปที่ไหน พวกเราก็ยินดีค่ะ” สาวผมแดงพูดขึ้นบ้าง ชายหนุ่มฉีกยิ้มอย่างพอใจพลางโอบไหล่ทั้งสองไว้แน่น  แล้วรีบพาพวกเธอเดินเลี้ยวหายเข้าไปในมุมตึกทันที

ทางเดินแคบๆระหว่างตึกนั้นมืดแทบจะสนิท อีกทั้งยังสกปรกและชื้นแฉะ ทำให้การเดินด้วยรองเท้าส้นสูงของสาวๆนั้นเป็นไปอย่างลำบาก

“ว้าย อะไรกันเนี่ย สกปรก” สาวผมบลอนด์โพล่งขึ้นเนื่องจากเหยียบโดนแอ่งน้ำเข้า ขณะที่อีกคนพยายามเพ่งมองไปรอบๆตัวอย่างระแวง “ริกกี้คะ ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมดูน่ากลัวจังเลย”

ชายหนุ่มกลับนิ่งเฉย ทั้งยังดันไหล่ของทั้งสองให้เดินไปตามทางเป็นเชิงบังคับ ทำให้สาวผมแดงเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี

“คุณจะพาพวกเราไปไหนกันแน่” เสียงที่แข็งขึ้นบ่งบอกได้ว่าเธอเริ่มหัวเสีย ในขณะที่หญิงสาวอีกคนเริ่มผละออกจากวงแขนอย่างหงุดหงิด ริกกี้เห็นดังนั้นจึงรีบรั้งทั้งคู่ไว้

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ พวกเราสนุกสุดเหวี่ยงด้วยกันแน่ ไม่ต้องห่วง” เขาค่อยๆเน้นย้ำทีละคำพร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพวกเธอ

สีหน้าหงุดหงิดของทั้งสองสาวเปลี่ยนเป็นมองชายหนุ่มอย่างลุ่มหลงในทันที ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงล่องลอย “ค่ะ พวกเราจะสนุกด้วยกัน”

ริกกี้ยิ้มกว้างอย่างได้ใจพลางกึ่งลากกึ่งจูงพวกเธอเดินมาเรื่อยๆจนถึงทางตัน ซึ่งหากมองแค่ผิวเผินอาจเห็นเป็นเพียงกำแพงว่างเปล่า แต่เมื่อสังเกตดีๆจึงพบว่ามีประตูโลหะสีเดียวกับกำแพงนั้นซ่อนตัวอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์แปลกหน้าสองนายก็ปรากฎตัวขึ้นจากมุมมืดข้างกำแพง ทำให้สองสาวผงะด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว

“ไม่เป็นไร พวกเขาเป็นคนของผมเอง”  ริกกี้โอบไหล่พวกเธอเป็นการปลอบขวัญก่อนจะพยักหน้าให้กับชายแปลกหน้าทั้งสองอีกครั้ง หนึ่งในนั้นจึงรีบทำหน้าที่ไขกุญแจเพื่อเปิดประตูให้กับผู้เป็นนายของตน

เสียงกลอนประตูลั่นขึ้นเบาๆ   ริกกี้หันกลับมามองสาวสวยทั้งสองก่อนที่จะเอ่ยขึ้น

“อย่ากังวลไปเลย พวกคุณต้องมีความสุขมากแน่ๆ” เขากล่าวเน้นย้ำกับพวกเธออีกครั้ง จากนั้นจึงหันกลับไปพูดกับผู้เฝ้าประตูทั้งสองนาย

“เฝ้าให้ดี” ผู้อยู่ใต้อาณัติพยักหน้ารับคำสั่ง ริกกี้เหยียดยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะผายมือให้กับเพื่อนสาว “มาสิ”

สองสาวยิ้มรับอย่างเลื่อนลอยพลางส่งมือให้กับชายหนุ่มก่อนที่จะเดินตามเข้าไปด้านในอย่างว่าง่าย

ทั้งสามค่อยๆก้าวลงบนบันไดเหล็กซึ่งทอดลงไปยังชั้นใต้ดิน  บรรยากาศภายในนั้นดูท่าจะเลวร้ายกว่าเดิม เพราะนอกจากมืดจนแทบมองไม่เห็นขั้นบันไดแล้ว ยังมีกลิ่นเหม็นอับคละคลุ้งไปทั่วจนทำให้สองสาวต้องยกมือขึ้นปิดจมูก ขณะที่ริกกี้ยังคงมีสีหน้านิ่งและเดินนำไปอย่างเงียบๆ สาวผมบลอนด์เห็นดังนั้นจึงอดตั้งคำถามไม่ได้

“ที่นี่ที่ไหนกัน ทำไมถึงได้เหม็นขนาดนี้นะ”  ริกกี้ไม่สนใจที่จะตอบคำถามของพวกเธอ สาวสวยทำท่าจะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้ แต่ก็ต้องชะงักเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสัมผัสที่ข้อเท้า เธอจึงก้มลงแล้วพยายามเพ่งมองผ่านความมืดเบื้องล่าง กลุ่มคนแปลกหน้ารูปร่างผอมโซจนหนังแทบจะติดกระดูกราวหกเจ็ดคนที่แฝงตัวอยู่ในเงามืดใต้บันไดเหล็กนั้นพยายามจะเอื้อมมือมาทางสองสาวราวกับหนูโสโครกที่ได้เจออาหารชั้นดี สาวผมบลอนด์พยายามเบี่ยงตัวหลบข้างหลังริกกี้อย่างนึกขยะแขยงขณะที่เพื่อนอีกคนมองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างหวาดกลัว แต่ ริกกี้กลับหันมองด้วยความรู้สึกรำคาญ

“นี่คนของฉัน ห้ามแตะต้อง” คำสั่งของริกกี้ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นหยุดชะงัก  “จนกว่าฉันจะอนุญาต” ชายหนุ่มเน้นย้ำด้วยเสียงที่เรียบเย็นพลางมองด้วยสายตาที่ดุดัน ทำให้ชาวพเนจรทั้งหลายยอมถอยตัวกลับเข้าไปในเงามืดตามเดิม  

จากนั้นริกกี้จึงเดินนำทางเพื่อนสาวทั้งสองลงมาจนสุดชั้นใต้ดิน ปลายทางบันไดนั้นมีประตูโลหะอีกบานตั้งตระหง่านอยู่

“ถึงแล้วครับคนสวย”  ริกกี้หันมายิ้มให้ทั้งคู่พลางเอื้อมมือดึงคันโยกเหล็กหน้าประตูแล้วออกแรงผลักเข้าไป กลิ่นเหม็นคาวอย่างร้ายกาจพุ่งลอดออกมาจากด้านในทำให้สองสาวทำหน้าบูดเบี้ยวอย่างอดไม่ได้ แต่ริกกี้ไม่ใส่ใจอีกต่อไป และก้าวเข้าไปด้านในทันที

“รออยู่ตั้งนาน” เสียงหนึ่งดังสวนขึ้นมาเมื่อริกกี้เข้ามาถึง

“ของแบบนี้มันต้องศิลปะกันหน่อยสิ บร็อค” ริกกี้โต้กลับไปยังเจ้าของเสียงร่างยักษ์ที่กำลังเดินไปมาอย่างหัวเสีย แต่ยังมีอีกเสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่พอใจ

“นายก็รู้ พวกเราอดอยากกันมาหลายสัปดาห์แล้ว นี่ฉันทนไม่ไหวจนต้องเตรียมของว่างรอก่อนน่ะ” ชายรูปร่างอ้วนเตี้ยบ่นขึ้นอย่างหงุดหงิด พลางบุ้ยใบ้ไปทางมุมห้องด้านหลัง ริกกี้เหลียวมองตามแล้วยิ้มอย่างมีชัยเมื่อเห็นสิ่งที่เพื่อนร่วมกลุ่มเรียกว่า ของว่าง ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง

“สภาพแบบนี้ คงเป็นฝีมือล่อของเจ้าดีนใช่ไหม เจมส์” ชายร่างอ้วนที่ชื่อเจมส์พยักหน้ารับ ขณะเดียวกันชายหนุ่มร่างผอมแห้งผู้ถูกอ้างชื่ออีกคนที่นั่งอยู่มุมในสุดของห้องก็โพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออด

“อย่ามาทำเป็นอวดดีนักเลย ริกกี้ ไหนล่ะเหยื่อของนาย” ดีนลุกขึ้นกอดอกอย่างท้าทาย แต่ริกกี้เหยียดยิ้มแทนคำตอบ พลางลากแขนสองสาวที่อยู่ในสภาพมึนงงเข้ามาภายในห้อง  เมื่อบร็อคกับเจมส์เห็นว่าที่เหยื่อรายใหม่ถึงกับฉีกยิ้มและตาลุกวาวอย่างหิวโหย ขณะที่ดีนเองยังมองอย่างอดที่งไม่ได้

“นายนี่มัน อัจฉริยะด้านใช้พลังหลอกล่อเหยื่อจริงๆ” น้ำเสียงตื่นเต้นของเจมส์ทำให้ ริกกี้ยิ้มรับอย่างพอใจ ในขณะที่สองสาวเหมือนทำท่าเหมือนจะได้สติเล็กน้อย

“นี่มันอะไรกัน คนพวกนี้เป็นใครกันริกกี้”  สาวผมแดงเอ่ยถามอย่างตื่นระหนกเมื่อเห็นชายฉกรรจ์อีกสามคนอยู่รอบตัว ริกกี้หันมาส่งยิ้มเหยียดอย่างมีนัย พลันล็อคกุญแจมือเธอโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว สาวผมบลอนด์อีกคนเห็นดังนั้นจึงรีบทำท่าจะหนี แต่กลับชนชายร่างยักษ์เข้าอย่างจัง

“ผมบลอนด์เสียด้วย เนื้อคงจะนุ่มลิ้นน่าดู” บร็อคพูดพลางใช้ลิ้นเลียมีดด้ามใหญ่ที่อยู่ในมืออย่างกระหาย เหยื่อสาวตกใจกับกริยาของบร็อค จึงรีบหันวิ่งหนีไปยังอีกมุมหนึ่งของห้องเพื่อหาทางเอาตัวรอด แต่ก็ต้องชะงักหยุด เมื่อได้เห็นสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

ของว่าง หรือ ร่างไร้วิญญาณและอาภรณ์ของหญิงชราอยู่ในลักษณะถูกแขวนห้อยหัวสูงจากพื้นราวสองเมตร ทั่วร่างนั้นถูกเฉือนด้วยของมีคมจนเป็นบาดแผลนับไม่ถ้วน แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือที่ลำคอและข้อมือทั้งสองนั้นถูกปาดลึกจนแทบจะขาดออกจากกัน เลือดสีแดงสดยังคงไหลรินออกจากปากแผลอาบร่างของหญิงชราจนแทบไม่เห็นผิวหนัง และไหลลงสู่ภาชนะขนาดใหญ่ที่รองรับอยู่เบื้องล่าง หญิงสาวกรีดเสียงร้องลั่นอย่างขาดสติ บร็อคจึงตัดรำคาญโดยการใช้สันมือฟาดลงไปบนต้นคอจนร่างของเธอกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรงแล้วแน่นิ่งไป สาวผมแดงที่ถูกล็อคมือไว้เห็นดังนั้นจึงเริ่มทำท่าจะกรีดร้องอีกคน แต่ถูกริกกี้รวบตัวไว้แล้วใช้มีดจ่อใต้คางของเธอ

“ชู่วววว อย่าเอะอะไปสิจ๊ะ เรายังไม่ได้สนุกด้วยกันเลยนะ” เสียงเรียบเย็นของริกกี้ทำให้เหยื่อสาวกลัวจนตัวสั่นและไม่กล้าขัดขืน ขณะที่บร็อคและดีนกำลังสำรวจร่างที่หมดสติของสาวผมบลอนด์อีกคน

“นายก็รุนแรงเกินไป อย่าลืมสิว่าต้องได้ดื่มจากร่างที่ยังเป็นๆ แบบนี้ก็เสียรสชาติหมด” ดีนบ่นพลางจับชีพจรของเธอ เขาส่ายหน้าเมื่อพบว่าสัญญาณชีวิตนั้นดับสนิทไปแล้ว

“ขืนปล่อยให้แหกปากแบบนั้นคนด้านนอกก็ได้ยินกันพอดี” บร็อคพูดพลางใช้มีดฉีกเสื้อผ้าของเธอออกจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ขณะที่ริกกี้ลากเหยื่ออีกคนไปยังกำแพงอีกด้าน แล้วล็อคกุญแจข้อมือของเธอเข้ากับท่อเหล็กที่อยู่เหนือหัวเพื่อไม่ให้หล่อนหนีไปได้ ก่อนที่จะหันไปออกคำสั่งกับเจมส์

“เอายายเหี่ยวนี่ออกไปซะทีสิ เลือดแก่หนังเหี่ยวแบบนี้ ฉันกระเดือกไม่ลง”  เจมส์ส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี เขาสาวรอกให้ร่างของหญิงชราที่ชุ่มเลือดนั้นเลื่อนลงมากองกับพื้นแล้วจัดการแก้เชือกที่มัดอยู่ตรงบริเวณข้อเท้าของศพ จากนั้นจึงส่งปลายเชือกไปให้กับดีนเพื่อผูกที่ข้อเท้าของเหยื่อรายใหม่แทน

หญิงสาวผมแดงเริ่มร่ำไห้ร้องขอชีวิต “อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ปล่อยฉันไปเถอะ”  น้ำตาที่อาบไปทั่วใบหน้าของเธอนั้น ไม่ได้สร้างความเห็นอกเห็นใจให้กับผู้ที่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย

“พวกแกต้องการอะไร เงิน ของมีค่า ฉันยกให้หมดทุกอย่างเลย”  เหยื่อสาวยังคงพร่ำร้องขอความเมตตา แต่กลับมีเสียงหัวเราะอย่างนึกสมเพชดังขึ้นแทนคำตอบ

“ของพวกนั้น มันไม่ทำให้พวกเรา อิ่ม ได้หรอก”  ริกกี้หันหน้าเข้ามาใกล้ราวกับต้องการสูดกลิ่นหอมอันโอชะจากร่างของเหยื่อ หญิงสาวกรีดร้องลั่นเมื่อมีดในมือของริกกี้กดจมลึกลงบนต้นแขน เลือดอุ่นๆค่อยไหลรินลงมาจนถึงหัวไหล่ ริกกี้จึงใช้ลิ้นเลียอย่างกระหาย ก่อนที่จะหันกลับมาจ้องหน้าเหยื่อด้วยแววตาที่วาวโรธผิดไปจากเดิม ใบหน้าที่เคยดูหล่อเหลากลับกลายเป็นซีดเซียวและดุร้ายราวกับปิศาจ เขาแสยะยิ้มอย่างพึงใจเมื่อได้ลิ้มรสเลือดของเหยื่อเผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบที่ผิดไปจากมนุษย์ หญิงสาวกลัวจนตัวสั่นและพยายามขยับตัวหนีแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะกุญแจมือที่ล็อคข้อมือไว้เหนือหัวนั้นได้พันธนาการเธอไว้

“พวกแกเป็นตัวอะไรกันแน่! แวมไพร์งั้นเหรอ” สาวผมแดงตะโกนใส่กลุ่มอมนุษย์อย่างเหลืออด คราวนี้เสียงหัวเราะมาจากดีนผู้ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการดึงรอกให้เหยื่ออีกรายอยู่ในสภาพห้อยหัวเหมือนกับรายเดิม

“พวกเราไม่ใช่พวกผีดิบที่วันๆเอาแต่ดื่มแค่เลือด นอนในโลง กลัวแสงแดด กลัวไม้กางเขน อะไรพวกนั้นหรอกนะ” ดีนพูดอย่างเย้ยหยัน

“นั่นน่ะ มันนิยายที่พวกมนุษย์ชอบสมมุติขึ้นมาเท่านั้น” เจมส์เสริม   แล้วหันมาจ้องเหยื่อสาวด้วยแววตาลุกวาวอย่างน่าขนลุก

“พวกเราน่ะ น่ากลัวกว่านั้นเยอะ” เหยื่อสาวอ้าปากค้างและตัวสั่นจนแทบสิ้นสติเมื่อได้ยิน

“รีบๆจัดการเถอะ ฉันหิวจนจะทนไม่ไหวแล้ว” บร็อคโพล่งขึ้นอย่างเบื่อหน่าย พลางหันไปมองริกกี้อย่างขุ่นเคืองด้วยเหตุที่เขาลิ้มรสของเหยื่อก่อนถึงเวลา แต่ริกกี้เบือนหน้าหนีอย่างไม่ใส่ใจนัก เจมส์ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบมีดพกของตนเองขึ้นจรดกับลำคอของสาวผมบลอนด์ที่ถูกห้อยหัวไว้หมายที่จะเตรียมอาหารมื้อใหญ่

ขณะที่ปลายมีดของเจมส์กำลังจะต้องกับผิวหนังของเหยื่อ ทันใดนั้น...

เสียงหวีดหวิวของโลหะที่เสียดสีกับอากาศดังขึ้นอย่างรวดเร็ว  ตามด้วยเสียงเหมือนก้อนเนื้อชิ้นใหญ่หล่นลงกระทบพื้น เจมส์ก้มลงมองก่อนที่จะแผดร้องออกมา

“อ้ากกกกก !!!!” มือที่กำมีดไว้แน่นของเจมส์ร่วงลงแน่นิ่งกับพื้น  ท่อนแขนที่ขาดสะบั้นมีเลือดพุ่งออกมาเป็นสายราวกับท่อน้ำประปา อมนุษย์ร่างอ้วนร่วงลงไปกองกับพื้นพลางดิ้นรนอย่างทรมานและร้องลั่นไม่หยุด ส่วนสามสหายผู้ร่วมวงอาหารนั้นหันมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก ก่อนที่จะมองตามเสียงของอาวุธที่หมุนวนกลับไปยังต้นทาง

ไซโคลนเบลด หรือใบมีดรูปวงกลมคล้ายกงจักรพุ่งวนกลับไปทางเดิม ก่อนจะหยุดและหมุนคว้างอยู่เหนือฝ่ามือของชายหนุ่มชุดสูทสีดำสนิทผู้เป็นเจ้าของอาวุธ ดวงตาสีเทาซีดจ้องมองเหล่าอมนุษย์ด้วยสายตาพิโรธ

“พวกแกเป็นใคร!!” ดีนตะโกนใส่ชายหนุ่มลึกลับพลางชักมีดขนาดใหญ่ออกมา

“พวกเราแค่ผ่านมาน่ะ” คำพูดยียวนของชายแปลกหน้าอีกคนดังขึ้น หนุ่มชุดดำคนแรกหันมองมาทางเจ้าของเสียงข้างตัวอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะหันกลับมาเอ่ยกับกลุ่มอมนุษย์ด้วยเสียงเรียบเย็น

“ปล่อยพวกเธอซะ”

แทนที่จะยอมทำตามแต่โดยดี ดีนกับบร็อคกลับพุ่งตัวใส่ชายหนุ่มทั้งสองอย่างมุ่งร้าย ดีนเงื้อมีดแล้วฟาดฟันไปยังชายชุดดำอย่างเต็มแรง แต่ร่างของคู่ต่อสู้กลับหายวับไปในพริบตาทำให้ดีนเสียหลัก ชั่ววินาทีร่างของชายชุดดำกลับปรากฎขึ้นด้านหลังของดีน อมนุษย์ร่างผอมจึงหมุนตัวกลับพร้อมกับตวัดมีดหมายที่จะสังหารแต่ก็พลาดอีกครั้งก่อนที่ถูกไซโคลนเบลดในมือของชายลึกลับวาดผ่านลำคออย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงฉานพุ่งออกจากลำคอของดีนทันทีก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงลงไปกองกับพื้น

ขณะเดียวกัน บร็อคร่างยักษ์กำลังถูกชายหนุ่มอีกคนล่อหลอกจนเสียหลักและพลาดท่าถูกหมัดของคู่ต่อสู้เข้าอย่างจัง

“ตัวก็ออกจะใหญ่ โดนหมัดแค่นี้ก็ถึงกับเซแล้วงั้นเหรอ” เจ้าของหมัดยังคงยียวนไม่เลิก บร็อคกัดฟันกรอดอย่างโมโหก่อนที่จะกระชับอาวุธในมือแล้วพุ่งตัวใส่ชายหนุ่มทันที แต่ก็ยังไม่เร็วมากพอ อีกฝ่ายดึงมีดโบวี่ข้างตัวออกมาแล้วพุ่งสวนขึ้นอย่างรวดเร็ว คมมีดเสียบปลายคางจนทะลุกะโหลกศีรษะของบร็อคทันที

“ขอโทษนะ ฉันหมดอารมณ์เล่นกับแกแล้วล่ะ” ชายหนุ่มร่างใหญ่กระชากอาวุธออกจากร่างไร้วิญญาณของบร็อค ก่อนที่จะเหลียวไปทางเจมส์ที่กำลังดิ้นพล่านท่ามกลางกองเลือด แต่ก็ยังไม่วายที่จะกางกรงเล็บข้างที่เหลืออยู่ของตนเองหมายจะสังหารคู่ต่อสู้ ชายหนุ่มจึงสาวเท้าเข้าไปหาเจมส์เพื่อที่จะปลิดชีพ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อไซโคลนเบลด อาวุธของเพื่อนคู่หูได้ร่อนตวัดผ่านลำคอของอมุษย์ร่างอ้วนจนขาดกระเด็นทันที

“นายขโมยซีนฉันอีกแล้วนะ” ผู้ถูกแย่งผลงานบ่นพลางเก็บมีดเข้าข้างเอว ก่อนที่จะขมวดคิ้ว “พวกมันมีสี่คนไม่ใช่หรือ”

ยังไม่ทันขาดคำ ริกกี้ซึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดก็ปรากฎตัวขึ้นด้านหลังของชายหนุ่มชุดดำพร้อมกับพุ่งมีดเข้าใส่หมายจะเจาะกะโหลกอีกฝ่าย แต่ในเสี้ยววินาที ร่างสูงสง่าในชุดสูทกลับก้มตัวหลบแล้วใช้มือยันพื้น พลันม้วนตัวกลับหลังแล้วตวัดขาฟาดเข้าร่างของริกกี้อย่างเต็มเหนี่ยวจนร่างของเขาล้มลงกระแทกพื้นทันทีขณะที่มีดหลุดกระเด็นออกไปไกล เขารีบพยุงตัวแล้วพยายามไขว่ขว้าอาวุธของตนแต่ก็ต้องคลานถอยหลังเมื่อเห็นอีกฝ่ายย่างฝีเท้าเข้ามาใกล้

“อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันจะไม่ทำร้ายใครอีก ไว้ชีวิตฉันเถอะ ได้โปรด”   ริกกี้ร้องขอชีวิตพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเทาซีดของอีกฝ่าย ชายชุดดำจึงหยุดชะงักทันที แล้วหันเดินกลับไปว่าง่าย  ริกกี้เห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นยิ้มเยาะแล้วกางกรงเล็บที่คมกริบจากนั้นพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ทันที ชายหนุ่มลึกลับที่ดูเหมือนจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนั้นยังคงเดินนิ่งและทำแค่เพียงขยับนิ้วเล็กน้อย ไซโคลนเบลดที่ลอยคว้างอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพุ่งตวัดผ่านร่างของริกกี้โดยไม่รู้ตัว ศีรษะของเขาตกลงมากลิ้งกับพื้นพร้อมกับสัญญาณชีวิตที่ขาดสะบั้นลงทันที

ส่วนไซโคลนเบลดเมื่อทำหน้าที่ของตัวเองสำเร็จก็ลอยคว้างกลับเข้าหาเจ้าของทันทีราวกับถูกเรียก ใบมีดที่เปรียบเสมือนกงจักรโดยรอบนั้นหดกลับกลายเป็นโลหะรูปวงแหวนขนาดเกือบเท่าฝ่ามือที่ดูเหมือนไม่มีอันตรายใดๆ ชายหนุ่มคว้าจับด้ามตรงกลางที่เป็นเสมือนเส้นผ่าศูนย์กลางของอาวุธก่อนที่จะเก็บซ่อนเข้าด้านในเสื้อสูทสีดำสนิทของเขา พลางพูดขึ้นเบาๆ

“พลังสะกดจิตของแก ไม่ได้ผลกับฉันหรอก” เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงปรบมือเบาๆอยู่ไม่ไกล

“นายกับสตอร์มของนายนี่ สุดยอดไม่เปลี่ยนเลยนะ แอนดรูว์” คู่หูตัวป่วนยืนกอดอกพลางพยักหน้าอย่างชื่นชม ผมสีบลอนด์สว่างที่แทบจะกลืนกับผิวขาวซีดของหนุ่มชุดดำที่ชื่อแอนดรูว์ในตอนนี้กลับเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของศัตรู นั่นทำให้อีกฝ่ายมองอย่างขบขัน แอนดรูว์จึงหันมองสหายของตนด้วยสายตาตำหนิก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ  

“รีบไปช่วยพวกเขาได้แล้ว แซค”

“ได้ครับ หัวหน้า” ชายหนุ่มร่างใหญ่นามว่าแซคพยักหน้ารับอย่างล้อเลียน  แล้วเดินตรงไปยังร่างของเหยื่อสาวผมบลอนด์ที่ถูกแขวนห้อยหัว เขาจับที่ลำคอของเธอก่อนที่สีหน้าจะสลดลงเมื่อพบว่าชีพจรนั้นดับสนิทไปแล้ว

“นี่ถ้าไม่เสียเวลากับพวกกระจอกด้านนอกนั้น เราคงช่วยเธอได้ทัน”

แอนดรูว์ถอนหายใจอย่างนึกเวทนาเมื่อได้ยิน พลางมองไปยังถังที่บรรจุเลือดของเหยื่อผู้โชคร้ายด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ก่อนที่จะเหลียวมองไปยังศพไร้หัวที่อยู่ใกล้ตัว เขาก้มลงหยิบกุญแจที่คล้องไว้กับเข็มขัดของริกกี้ แล้วเดินเลี่ยงไปทางเหยื่อสาวผมแดงที่ถูกล็อคกุญแจมือไว้อีกมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งขณะนี้ช็อคจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก เมื่อหลุดพ้นพันธนาการ หญิงสาวจึงรีบถอยกรูดไปติดกำแพงอีกด้านด้วยความหวาดผวา

“คุณปลอดภัยแล้วครับ” แอนดรูว์กล่าวกับผู้รอดชีวิตอย่างสุภาพ  หญิงสาวที่ยังคงตัวสั่นค่อยๆพยักหน้าก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มด้วยความรู้สึกอุ่นใจขึ้น แอนดรูว์จึงหันไปทางคู่หู  แซคเหมือนรู้หน้าที่ของตนเองดี เขาเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวพลางพูดปลอบโยน

“ไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่มีใครทำร้ายคุณแล้ว พวกของเราที่อยู่ด้านนอกจะคอยดูแลคุณเอง” จากนั้นแซคจึงอาสาพาเธอออกไปด้านนอก โดยมีแอนดรูว์เดินตามอย่างเงียบๆ

“เดมอสกลุ่มนี้ มีราวๆสิบกว่าคนสินะ ไม่ใช่น้อยๆเลย” แซคพูดขึ้นพลางค่อยๆประคองหญิงสาวเดินขึ้นบันได แอนดรูว์เหลือบมองซากศพของกลุ่มอมนุษย์พเนจรที่พวกเขาเรียกว่า เดมอส ที่นอนกองอยู่ใต้บันไดด้วยสายตาเวทนา  ก่อนที่จะเอ่ยกำชับกับแซค

“ฉันจะให้ราเชลลบความทรงจำของเธอ ส่วนนายช่วยจัดการส่งทีมลงมาเก็บกวาดด้านล่างนี่ให้ด้วยล่ะ” แซคพยักหน้ารับคำ

“ยังมีอีกหลายกลุ่มที่เรายังหาไม่พบ” แอนดรูว์ต่อประโยคขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ


“รวมถึงเธอคนนั้นด้วย”

********************************

จากคุณ : kipling
เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 22:07:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com