35
“โขง...อยากเจอแม่ไหม”
เขมรัฐเห็นลูกชายนิ่ง แต่ตากะพริบปริบปรับคล้ายจะทำความเข้าใจกับคำว่า ‘แม่’ ซึ่งไม่มีโอกาสทั้งได้ยินและได้เรียกมาสิบกว่าปี
“พ่อ...ว่าอะไรนะครับ แม่...”
“อืม อยากเจอไหม”
โขงยกมือเกาศีรษะ ใบหน้าเหยเกแยกไม่ออกระหว่างยิ้มกับสงสัย
“ทำไมล่ะ”
“ก็...พ่อไม่เคยพูดเรื่องแม่มาก่อน พ่อบอกว่าไม่รู้ว่าแม่อยู่ที่ไหน ผม...ตกใจ”
เขมรัฐขยับไปนั่งข้าง โอบไหล่แล้วตบเบา ๆ “ไม่ต้องตกใจไปลูกชาย เมื่อก่อนไม่รู้ ตอนนี้รู้แล้วพ่อถึงถามไงว่าอยากเจอแม่หรือเปล่า”
โขงสบตา “ผม...มีแม่เหมือนกันสินะเนี่ย”
“แน่สิวะ คิดว่าพ่อคนเดียวจะปั้มแกออกมาได้เหมือนตรายางหรือไง”
อีกฝ่ายหัวเราะ เริ่มผ่อนคลายกับข่าวที่คาดไม่ถึง เขมรัฐเองก็เบาใจ “สรุปว่ายังไง”
“ก็...อยากเจอครับ” โขงตอบไม่เต็มเสียงนัก คนเป็นพ่อตีความว่าเป็นเพราะตื่นเต้น เขาบอกสั้น ๆ ว่าสายไหมจะมาหาอีกครั้งในวันเสาร์ ลูกชายเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกับเรียบเรียงความสงสัย
“แม่เป็นคนยังไงครับ”
เขมรัฐผ่อนลมหายใจ ดีเหมือนกันที่ถูกถามก่อน
“โขงจำผู้หญิงที่เราทำน้ำหกใส่เขาเมื่อวันก่อนได้ไหม...”
คนฟังทำหน้าคาดไม่ถึง “คนนั้น...” ชายหนุ่มคิดว่าภาพใบหน้าสวย ๆ คงปรากฎในความคิดลูกชายได้ชัดเจนแล้ว
“ไม่น่าเชื่อ...”
คนเป็นพ่อไหวไหล่ “พ่อก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ะ”
โขงยกมือทาบอก“พ่อทำผมใจสั่น”
“เหรอ เท่าตอนที่แอบหอมแก้มน้องกุ๊กหรือเปล่า”
“พ่อ!”
กลางสัปดาห์ ปุริมาแวะมาที่ร้านริมเล ได้เจอกับบัณฑิตาซึ่งวันนี้ยังคงมาช่วยป้าไก่เพราะไม่ต้องเข้าเวรที่โรงเรียน พอเห็นเพื่อนครู สาวสวยร่างเล็กก็รีบก้าวยาว ๆ มาบริการ
“กินอะไรดีปูนิ่ม”
ปุริมาสั่งเมนู บอกเพิ่มให้ใส่ถุง
“ไม่กินที่นี่เหรอ”
หญิงสาวเผลอกวาดสายตาไปรอบร้าน ไม่เห็นใครบางคน “เอ่อ...”
“ถ้าไม่มีธุระกินที่นี่เถอะ มากินพร้อมกันดีกว่า บุ้งก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน” บัณฑิตาชี้ชวนแล้วจัดเก้าอี้เป็นการรวบรัด ความจริงคือเธอเองก็อยากได้เพื่อนคุยอยู่แล้ว
อาหารมื้อนี้เป็นต้มยำรวมมิตรกับเต้าหู้ทรงเครื่อง
“พักนี้ไม่ค่อยเห็นปูนิ่มไปที่ฟาร์มเลย งานยุ่งเหรอ”
“ผอ. ไม่อยู่ ต้องเฝ้าบ้าน เลยถือโอกาสเก็บกวาดซะเลย ตอนสงกรานต์ไม่ได้ทำ”
“นายฟาร์มเขาหงอย ๆ”
ปุริมาก้มหน้ายิ้ม “รายนั้นเหงาเป็นด้วยเหรอ”
“วางใจไม่ได้นะ ไม่เห็นปูนิ่มนาน ๆ จะพานไปมองคนอื่น รู้ไหมเพราะปูนิ่มไม่ไปเลยไม่ได้เห็นเมียพี่...อุ๊ย!”
ปุริมากำลังมองอ่องเปิดตู้เย็นหันขวับ ขมวดคิ้ว บัณฑิตารู้ตัวว่าหลุดปากได้แต่ทำหน้าเจื่อนที่กลบเกลื่อนไม่ทัน
“เมีย เมียใคร นายเข้เหรอ”
อีกฝ่ายทำแก้มป่อง คิดไว้ว่าไม่ต้องการให้ปุริมารู้เรื่องนี้ หรืออย่างน้อยถ้ารู้ก็ไม่ใช่จากปากของตัว ให้ตายสิ มันเผลอไป “ไม่มีอะไร กินเต้าหู้ดีกว่าปูนิ่ม แม่เขาทำอร่อย”
แต่ปุริมานิ่ง จ้องคู่สนทนาเขม็ง “บุ้ง มีอะไร เล่ามาเถอะ”
บัณฑิตาถอนใจ ช่วยไม่ได้
“คือว่า วันก่อน...”
ในที่สุดก็จำเป็นต้องเล่าให้ฟังว่าคนที่ตัวเองเจอเป็นแม่เด็กชายขัตติยะ ภรรยาเก่าของนายฟาร์มเขมรัฐ ผู้ซึ่งปุริมาคบหาเป็นแฟน ปุริมานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จะว่าตกใจก็ไม่เชิง เสียใจก็ไม่ใช่ รู้สึกหายใจขัดแบบจับอารมณ์ตัวเองไม่ได้
“ปูนิ่ม”
“อื้ม” ปุริมาตื่นจากภวังค์
“อย่าคิดมากนะ ไม่มีอะไรหรอก”
“เปล่า”
ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่บัณฑิตารู้ว่าอีกฝ่ายหวั่นไหว
“บุ้งไม่น่าเอาเรื่องนี้มาเล่าเลย”
“ไม่หรอกน่า ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายซะหน่อย” ปุริมายิ้มตักข้าวด้วยอาการไม่ทุกข์ร้อน แต่บัณฑิตายังไม่จบ
“ปูนิ่ม อย่าบอกพี่เข้ว่าบุ้งเล่าให้ฟังนะ เอาเป็น เอ่อ บุ้งหลุดปากแล้วปูนิ่มซักนะ”
ปุริมาอดหัวเราะไม่ได้
วันเสาร์แห่งการนัดหมายมาถึง
สายไหมมองบ้านสองชั้นสีเหลืองตรงหน้า ดูบ้านเลขที่แล้วตรงตามคำบอก สั่นไหวกับภาพที่เห็น ถึงจะรู้ว่าครอบครัวเขมรัฐพอมีอันจะกินเพราะวัดจากรถยนต์ที่พ่อเขาขับมาส่ง แต่เธอไม่ได้คิดจะเกาะหวังสบาย เรื่องท้องเป็นความพลาดพลั้ง และตัดสินใจผิด เมื่อได้รับข้อเสนอแรกให้ไปอยู่ต่างจังหวัดก็คิดเอาตามประสาเด็กว่าคงจะลำบาก ไม่เจริญ และเนื่องด้วยพ่อกับแม่ของเขาแยกทางกัน จึงเหมาเอาเองว่าพ่อของแฟนคงตัดหางปล่อยวัดลูกชายแล้ว
เธอไม่รู้ว่าได้ทิ้งสิ่งที่ควรจะเป็นของตนเองมาตลอดสิบห้าปี
สายไหมเปิดรั้ว ไม่ทันได้ส่งเสียง เจ้าของบ้านวัยหกสิบเดินออกมา เธอยกมือไหว้ ดูจากใบหน้าคงแม่ของเขมรัฐอย่างไม่ต้องสงสัย เจ๊หงส์รับไหว้
“สายไหม”
“ค่ะ”
“เข้ามาก่อนสิ เดี๋ยวบอกเข้กับโขงให้”
กิริยาต้อนรับไม่หมางเมินแต่ก็ไม่แสดงความยินดีจนเห็นชัด สายไหมนั่งที่โซฟารับแขกสีน้ำตาลแดง กวาดตามองการตกแต่งในบ้านอย่างสนใจ เฟอร์นิเจอร์ไม่หรูหราแต่สะอาดตา ที่สำคัญถ้ามีนิวาสสถานขนาดนี้ในต่างจังหวัดย่อมบอกถึงฐานะที่ไม่ธรรมดา
ร่างสูงโผล่ออกมาจากครัว วันนี้เขายังดูไม่ต่างจากสองครั้งที่เจอ เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ น่าขำที่สายไหมรู้สึกผิดหวังขึ้นมา คิดว่าอีกฝ่ายจะเตรียมการอะไรเป็นพิเศษสำหรับวันนี้เสียอีก
“ไหมมาแล้วเหรอ”
ผู้มาเยือนผงกศีรษะ “งั้นรอเดี๋ยวนะ ไปตามโขงให้”
“ขอบคุณค่ะ”
เขาก้าวยาว ๆ ขึ้นบันไดไป เป็นจังหวะที่เจ๊หงส์ถือแก้วน้ำสวนออกมาพอดี สายไหมยกมือไหว้พร้อมคำขอบคุณ เจ้าบ้านนั่งลงฝั่งตรงข้าม วางแก้วน้ำบนโต๊ะ เอียงคอพิจารณาคนอ่อนวัยกว่า
“บ้านหายากไหม”
เจ๊หงส์ถาม สายไหมส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ไม่ยากค่ะ เข้เขียนแผ่นที่ให้”
อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ ท่าทางสำรวม สายไหมกุมมือสงบเสงี่ยม มีม่านบาง ๆ ที่มองไม่เห็น นั่นเป็นเพราะเธอไม่คิดจะผูกพันกับเขาจึงไม่เคยแม้แต่จะคิดมารับรู้ว่ามารดาของคนรักหน้าตาเป็นอย่างไร เท่าที่เห็นหญิงวัยหกสิบดูภูมิฐานกว่าภาพที่สร้างไว้ ความเป็นจริงเธอคาดการณ์เรื่องราวของเขมรัฐผิดตั้งแต่ต้น จะผิดอีกสักอย่างก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
ยังไม่ทันพูดอะไรกันเขมรัฐก็เดินลงมาจากชั้นสอง โขงเดินตามลงมา สายไหมใจเต้น กระทั่งเด็กชายมานั่งตรงหน้าก็ยังคงมองไม่วางตา ได้มาเห็นในระยะกระชั้นยิ่งตอกย้ำความผิดพลาด ลูกชายหน้าถอดแบบคนรัก เขาทำหน้าเขิน ๆ และไม่กล้าสบตา
คนเป็นพ่อใช้เท้าสะกิด โขงรู้สึกตัวรีบยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้ะโขง” สายไหมเว้นเล็กน้อย “แม่นะ”
“ครับ”
โขงยังไม่กล้าสบตาหญิงสาวมากนัก จำได้ว่าวันก่อนที่เจอก็มองผ่าน รู้สึกได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงสวย ยิ่งรำลึกได้ว่าตนเองแซวพ่อไปอย่างคะนองปากแล้วก็กระดากใจ
“ทำไมไม่มองหน้าล่ะ แม่ไม่ได้โกรธเรื่องที่โขงทำน้ำแข็งหกใส่หรอกนะ”
“โอ้ย ยังจำได้อีก” เด็กชายทำเสียงครวญ อีกฝ่ายหัวเราะ แล้วก็เงียบกับครู่หนึ่ง สายไหมรู้ว่าต้องเป็นฝ่ายพูด ซึ่งเธอก็เตรียมเอาไว้แล้ว
“โขง...แม่มาหาโขงตอนนี้คงช้าเกินไปมาก แล้วก็คงดูแปลก ๆ ถ้าจะให้โขงยอมรับแม่ได้เลย เอาเป็นว่าเราค่อย ๆ ทำความรู้จักกันไปนะ”
จบประโยคเธอสบตาเขมรัฐกับเจ๊หงส์ เห็นสีหน้าเรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยแรงลุ้นก็มีกำลังใจ
“ครับ”
ใจของเด็กที่กำลังจะเป็นหนุ่มกับอายุสิบห้า เต็มไปด้วยความสับสนของวัยและเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ความคิดเรื่องแม่ที่หลับสนิทราวกับหมีจำศีล ครั้งล่าสุดที่เคยถามพ่อด้วยความสงสัยเรื่องแม่ก็เกือบ ๆ จะห้าปีมาแล้ว
อยู่ดี ๆ แม่ก็มาปรากฎตรงหน้า
โขงเคยสร้างภาพแม่ในอุดมคติ เคยคิดว่าผู้หญิงที่พ่อชอบและผูกพันจนให้กำเนิดเขาหน้าตาเป็นอย่างไร น่าแปลกที่บางครั้งมีภาพปุริมาขึ้นมาซ้อนเสียอีก
หากความเป็นจริงแตกต่างกับมโนภาพไปพอสมควร เขารู้จักสาวสวย เจ๊ปูนิ่มกับพี่บุ้งก็เป็นผู้หญิงสวย แต่แม่ไหมมีเสน่ห์ในอีกแบบ กลิ่นน้ำหอมกับใบหน้าค่อนไปทางเฉี่ยวเหมือนดอกไม้สีสดเช่นกุหลาบ
ทำไมดอกไม้ดอกนี้ถึงได้จากเขาไปนาน ทิ้งพ่อกับเขาไว้อยู่กับช่องว่างที่ถูกถมจนเต็มไปแล้ว
“โขงอยู่ชั้นไหนแล้ว”
“จะขึ้นม.3 แล้วครับ”
“ท่าจะเรียนเก่งนะ”
โขงหัวเราะแผ่ว “ไม่หรอกครับ”
“เก่งอย่างอื่นน่ะ” เขมรัฐแทรกยิ้ม ๆ คนเป็นลูกทำเสียงโอด เจ๊หงส์ลุกขอตัว
“งั้นเดี๋ยวย่าไปทำอะไรให้กิน คุยกันไปก่อนนะ สายไหม เดี๋ยวกินข้าวด้วยกันนะ”
“ขอบคุณค่ะ” แม้คำชวนจะไม่ถึงกับอ่อนหวานแต่เรียกความปิติในใจหญิงสาวได้ ทำให้สร้างบทสนทนาที่เริ่มไหล่ลื่นระหว่างเธอกับลูกชาย โดยมีคนเป็นพ่อนั่งอยู่เป็นเพื่อนไม่ให้เก้อเขิน
อาจด้วยเพราะโขงอยู่ในช่วงอายุที่ประมวลความเองได้จึงใช้เวลาไม่มากนักสำหรับการทำความคุ้นเคย สองแม่ลูกแปลกเปลี่ยนข้อมูลกัน สายไหมบอกว่าเธอทำงานที่กรุงเทพ โขงเล่าถึงงานอดิเรก
“เล่นกีตาร์เหรอ เหมือนพ่อเลย” เธอปรายตา ยิ้มหวาน “เมื่อก่อนพ่อโขงเนื้อหอมนะ มีกีตาร์ตัวหนึ่งดีดจีบสาวได้ทั้งโรงเรียนเลยแหละ”
“จริงเหรอครับ”
“อย่ามาพูดเรื่องนี้เลยน่า มันเก่าแล้ว” เขมรัฐบอกยิ้ม ๆ แต่เด็กชายยังทำท่าสนใจ
“จะว่าไป ตอนนี้พ่อก็ยังจีบสาวอยู่นะครับ แต่ไม่ได้ใช้กีตาร์แล้วเท่านั้นเอง”
“โขง”
เจ้าของชื่อชะงัก เสียงเขมรัฐจริงจังจนสร้างหลุมดำในชั่ววินาที หากก่อนที่บรรยากาศจะเสีย เจ๊หงส์ก็เดินออกมาครัวมาบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว ทั้งหมดจึงลุกไปและทิ้งให้เหตุการณ์นั้นผ่านไปเป็นแค่เครื่องบินตกหลุมอากาศ
สายไหมยืนอยู่ที่รถ สมาชิกครอบครัวนาวามาศมาส่งทั้งหมด เธอหันไปทางผู้อาวุโสที่สุด
“ถ้าไหมขออนุญาตมาเยี่ยมโขงอีกได้ไหมคะ”
เจ๊หงส์ตอบเสียงเรียบ “ทำไม่จะไม่ได้ล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ” เธอยกมือไหว้
“แล้วแม่จะมาใหม่นะ” เธอบอก โขงพยักหน้า คนสุดท้ายที่สายไหมส่งสายตาคือเขมรัฐ หลายวินาทีก่อนจะผละออกไป
“ขอบคุณนะเข้”
“ครับ ขับรถดี ๆ ล่ะ”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มี.ค. 55 18:45:11
|
|
|
|