Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 8 : น้ำใจ ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11893217/W11893217.html

บทที่ 8 น้ำใจ


“เป็นไข้ธรรมดานี่แหละครับ คงจะตากแดดมากไป กลับไปพักผ่อนที่บ้านเช็ดตัวให้บ่อยๆ กินยาตามที่หมอสั่งเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นหรือก็รีบกลับมาโรงพยาบาลอีกทีนะครับ”

พันดุลเอ่ยขอบคุณหมอ มือใหญ่ลูบหลังน้อยๆ ขึ้นลงด้วยความรักและห่วงใย

น้องป้องเอ๊ย ลุงไม่ดีเอง ปล่อยปละละเลยทั้งที่ตั้งใจว่าจะดูแลให้ดีเหมือนลูกของตัวเอง แต่นี่เขาก็มัวแต่ทำงาน

“เป็นยังไงบ้างคะ”

สีหน้าของคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องรอตรวจกับท่าลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วตามด้วยคำถามไถ่จุดความชื่นใจขึ้นกับพันดุล พู่ชมพูให้คนอื่นกลับบ้านหมดแล้ว แต่เธอก็แสดงความมีน้ำใจด้วยการอาสาขับรถตัวเองมาส่ง

นึกถึงปากของเจ้าเก่งแล้วพันดุลก็นึกขอบใจที่หมอนั่นมีส่วนทำให้พู่ชมพูขับรถของตัวเองมาส่งน้องป้องที่โรงพยาบาล

“เมื่อวานผมได้ยินว่ารถของพี่เดี่ยวยังไม่ได้เติมน้ำยาแอร์ไม่ใช่เหรอ ขืนเอาคันนั้นไปน้องป้องได้ร้อนตับแตกไข้ขึ้นกว่าเดิมกันพอดี” ตอนที่เก่งพูดเจ้านั่นยังแอบขยิบตาใส่เขาจนแทบจะปลิ้น

“ถ้าอย่างนั้นเอารถพู่ไปดีกว่า ไปกันเร็ว”

“ดีๆๆ จะได้ช่วยๆ กันดู เดี๋ยวผมจะเฝ้ารถให้” เก่งไม่รีรอจะเร่งให้ดำเนินการแถมยังอาสาจะเฝ้ารถเกี่ยวข้าวให้เสียอีก ส่วนบูลย์นั้นขอตัวกลับบ้านก่อน โดยบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมาช่วยงานต่อ

“อ้าว ถามแล้วก็ยังยิ้มอยู่ได้ ลืมเอาปากไว้ในห้องตรวจคนไข้หรือไง”

เจอการกระตุ้นด้วยวาจาและสีหน้าดุของพู่ชมพู พันดุลเลยคลี่ยิ้มแห้งๆ ออกมาแต่แววตาแจ่มใส อยู่บ้านเรามองไปทางไหนมีแต่คนรู้จัก ถึงคนรู้จักจะทำเสียงดุบ้าง ตาเขียวบ้าง แต่ใครคนนั้นก็คือหนึ่งในจุดหมายของชีวิต

“หมอบอกว่าน้องป้องเป็นไข้ กลับไปพักที่บ้านเช็ดตัวเสียหน่อยก็จะดีขึ้น เดี๋ยวพี่ไปรับยาก่อนนะ” ตอนท้ายประโยคชายหนุ่มบอกแล้วทำท่าจะเดินเลยไป

“เดี๋ยวพู่รับให้ก็ได้” ว่าแล้วก็รีบสาวเท้านำหน้าพันดุลไป

ความสงสารบวกกับเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนนั่นกระมังที่ทำให้พู่ชมพูดรับอาสาช่วยเหลือ คำพูดของเจ้าสัตว์ปีกสองคนนั่นทำให้เธอแอบเห็นความเจ็บปวดที่ฉายออกมา แล้วยังจะเรื่องน้องป้องอีก ถึงจะไม่ใช่หน้าที่อะไรที่เธอจะต้องมาดูแลเจ้าตัวเล็กแม้จะถูกไหว้วานจากคนเป็นพ่อก่อนจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับรถเกี่ยวข้าวอย่างไม่ยอมหยุดพักก็ตามทีเถอะ แต่เธอก็อดรู้สึกผิดนิดๆ ไม่ได้ที่ปล่อยให้เด็กน้อยเล่นตากแดดตากลมคนเดียว ส่วนเธอก็มัวแต่ยุ่งกับการกำกับงานและขับรถขนข้าว ไอ้การจะจับเด็กขึ้นรถไปด้วยเธอก็กลัวว่าจะตกรถตกราเป็นอะไรไปอีก

เธอทำนาเป็นอย่างเดียว แต่ไอ้เรื่องจะให้ทำลูกแทนชาวบ้านเขาคงต้องขอเข้าคุกรับโทษทัณฑ์ดีกว่า!

“ทำข้าวต้มให้เด็กทานนะคะ แล้วก็หมั่นเช็ดตัวบ่อยๆ ดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าไข้ยังไม่ลดก็กลับมาหาหมออีกนะคะ ไงคะ...เจ้าตัวเล็กเงียบเชียว อ้อนพ่อเหรอจ๊ะ นี่ค่ะคุณแม่...ยาของลูกชาย”

พู่ชมพูเงยหน้าขวับ เธอมองตามสายตาของเภสัชกรประจำโรงพยาบาลแล้วหันไปด้านหลัง เห็นร่างสูงยืนซ้อนอยู่ แถมดวงตาคู่นั้นยังเป็นประกายวิบวับเหมือนได้ยินเรื่องถูกใจนักหนา

สาวห้าวขึงตาใส่ก่อนจะหันกลับมาอย่างแรงจนคอแทบหัก คนบ้า ไม่รู้จักแก้ความเข้าใจผิดกันเลย ตัวเองเป็นพ่อน่ะใช่ แต่ฉันไม่ใช่แม่นะรู้ไว้เสียด้วย

“ไป กลับ”

พอไม่พอใจ อารมณ์ก็กลับมากลายเป็นสาวดุ เสียงแข็ง ท่าเดินออกนำตัวปลิว เล่นเอาคนขายาวอย่างพันดุลเดินตามไม่ทัน

“พู่...”

“...”

“พู่”

“มีอะไรก็ว่ามาสิ จะเรียกทำไมนักหนานะ หัวไม่ได้หนวกเสียหน่อย” หญิงสาวหยุดที่ข้างประตูรถแล้วหมุนตัวกลับมาทำหน้าตาตึง

“พี่รู้ว่าพู่หูไม่หนวก แต่เวลาพู่โกรธพู่จะกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้”

“เอ๊ะ!”

“นั่น ยังมีอาการตาขวางด้วย แถมตาแดงน่ากลัวอีกต่างหาก”

“นี่! เดี๋ยวก็ทิ้งให้อยู่นี่เสียเลย”

“ใจร้าย คนพูดความจริงก็รับไม่ได้” พึมพำเบาๆ หากวงหน้ามีรอยยิ้มออดอ้อน เจ้าตัวเล็กเริ่มส่งเสียงโยเยพันดุลจึงรีบบอก “เอาไว้เถียงกันวันหลังเถอะ วันนี้พาพี่กลับบ้านก่อนนะ นะ”

เจ้าของรถไม่รีรอรีบเปิดประตูเข้าไปประจำที่ตัวตรง คอแข็ง พอเหลือบเห็นว่าผู้โดยสารทางด้านซ้ายนั่งเรียบร้อยแล้วก็ออกรถมุ่งกลับหมู่บ้านนาดีซึ่งห่างจากโรงพยาบาลประมาณสิบกิโลเมตร

*******************

ทั้งที่เติ้งบอกกับพิศงามว่าจะไปหานายไตรภพ แต่ด้วยความขี้เกียจบวกกับนอนไม่เต็มอิ่มทำให้กว่าจะขับรถเครื่องเข้าเขตไร่ของนายไตรภพก็เป็นเวลาตกเย็นแล้ว พอถึงหน้าโรงเก็บข้าวเปลือกขนาดใหญ่ก็ขับรถแล่นเลียบไปด้านข้างไปทางด้านหลังก่อนจะไปจอดรถใต้มะม่วง ดับเครื่องยนต์แล้วเดินเข้าไปสมทบกับนายไตรภพที่ยืนคุยกับลูกน้องสองสามคน ในขณะที่คนงานในหมู่บ้านสี่ห้าคนกำลังเก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน

“มาแล้วเหรอไอ้เติ้ง กกเมียจนฉ่ำแล้วเหรอเอ็ง”

เสียงถามของนายไตรภพเรียกเสียงหัวเราะผสานกันดังขึ้น เติ้งยิ้มรับอย่างไม่มีท่าทีขัดเขิน แต่ยิงคำถามถึงเรื่องที่จะได้เงินด้วยเสียงเบาๆ พอให้ได้ยินกันในกลุ่ม เพราะคนงานที่มาทำงานรับจ้างแบกกระสอบข้าวเปลือกบางคนไม่รู้เบื้องหลังของนายไตรภพ

“นายนัดคนมารับของเมื่อไหร่ครับ”

“ก็รอแกมาจัดการให้เรียบร้อยก่อนนี่แหละ เพราะว่ามันมีออเดอร์จากลาวโดยตรงด้วย ต้องเปลี่ยนพวงมาลัยขวาเป็นซ้ายให้เรียบร้อยก่อน”

“งั้นผมจะจัดการเร็วๆ นี้เลยครับ จะได้ส่งเร็วขึ้น ขอแรงหน่อยนะโว้ยไอ้อ๋อง” เติ้งหันไปกระดิกนิ้วเรียกชายร่างอ้วนที่ยืนอยู่ข้างนาย

นายไตรภพพยักพเยิด “เออ...ไอ้อ๋องไปเป็นลูกมือช่วยมันหน่อย ส่วนเอ็ง ไอ้ชัยพาฉันไปดูรถเกี่ยวข้าวหน่อย ไม่รู้ไอ้เป็ดไอ้ไก่มันหาลูกค้าได้เยอะหรือเปล่า แล้วคืนนี้ค่อยเข้าเมืองไปซื้อน้ำมันมาไว้เติมรถเกี่ยวข้าว”

“ได้ครับนาย” อ๋องกับชัยรับคำพร้อมกัน

“อ้อ...เดี๋ยวครับนาย เห็นเมียผมมันบอกว่าต้นเดือนหน้านี้จะมีงานสังฆทานที่วัดเราครับ เลยฝากถามนายมาว่าจะตั้งโรงทานหรือเปล่า ให้ชวนคุณเต้กับเมียมาด้วยครับ” เติ้งทำตามที่เมียบอกมาทันทีที่นึกได้

“เหรอ? เออๆ ดีเหมือนกัน เดี๋ยวซื้อขนมจีนน้ำยามาตั้งสักร้อยกิโล เอาให้ดังไปทั้งตำบลเลย”

ถ้าทำบุญแล้วคนรู้คนเห็นเยอะๆ รับรองว่าเจ้าของไร่ไตรภพพลาดไม่ได้ ทำบุญเอาหน้า ให้หน้าใหญ่เป็นกระด้ง ไม่น้อยหน้าใคร นี่แหละนายไตรภพ ยิ่งมีคนพูดยกยอปอปั้นว่าใจบุญอย่างโน้นใจดีอย่างนี้ล่ะก็ จากตาตี่ๆ อยู่แล้วก็จะหยีจนมองแทบไม่เห็นตาดำ

“จริงสิ เสร็จจากเรื่องรถแล้วแกพาฉันไปหาอบต.หน่อยนะโว้ยไอ้เติ้ง จะคุยเรื่องที่ดินหน่อย”

“ได้ครับนาย”

ไตรภพยิ้มกริ่ม วาดฝันถึงอำนาจและเงินตราที่จะได้มา ธุรกิจรับซื้อรถยนต์จากแก๊งค์ลักรถแล้วส่งขายประเทศเพื่อนบ้านนั้นแม้จะเสี่ยงค่อนข้างมากแต่อาศัยว่าลูกน้องแต่ละคนมีฝีมือโดยเฉพาะเติ้ง ที่สำคัญการมาซื้อที่ดินทำธุรกิจบังหน้าอยู่ตรงนี้เป็นทำเลเหมาะมากสำหรับซุกซ่อนของผิดกฎหมายแถมยังใกล้กับแหล่งส่งของอีกต่างหาก แค่จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ใหญ่ๆ หน่อยก็เอาลงแพส่งข้ามฝั่งได้แล้ว

แต่แค่นี้มันยังไม่พอหรอก ไร่ไตรภพต้องแผ่อาณาจักรกว้างใหญ่พร้อมกับการสร้างอิทธิพลด้วยการเป็นแหล่งเงินทุน คนมีเงินผู้คนจะต้องนับหน้าถือตา เริ่มจากชาวบ้านจากนั้นก็เป็นเจ้าหน้าที่ปกครอง ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ไปถึงอบต. พอมีอิทธิพลมีหน้ามีตาอีกหน่อยพูดอะไรชาวบ้านก็จะเห็นดีเห็นงามไปด้วยหมดจากนั้นก็จะกลายเป็นเกรงใจ พอเกรงใจเขาทำอะไรใครหน้าไหนก็ไม่กล้าหือ หรือถึงอยากจะหือแต่ถึงวันนั้นเขาก็ครอบงำทั้งเงินและความคิดได้แล้ว

*****************

เวลาทุ่มตรง พิณไพลินในชุดกางเกงเลกับเสื้อยืดสีขาวใบหน้าผ่องใสปล่อยผมยาวที่สระหมาดๆ กระจายเต็มหลัง หญิงสาวกำลังจัดผักสดหลากชนิดใส่จานใบใหญ่ มีทั้งมะเขือ ถั่วฝักยาว ยอดดีปลากั้ง ยอดมะกอก ยอดกระโดน ขณะมือเด็ดใบแก่ทิ้ง หูก็เงี่ยฟังการสนทนาของคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงระเบียงด้านหลังบ้าน ตอนเย็นครอบครัวเธอชอบออกไปนั่งกินข้าวที่ระเบียงเสมอ ถึงจะมียุงแต่ก็ไม่เป็นปัญหาเมื่อใช้เทียนจุดกันยุงซึ่งมีส่วนผสมของตะไคร้หอม

“ลาบปลาฝีมือพิณเขาล่ะ ลงมือเลยพ่อตั้ง เอ๊า! เสร็จหรือยังพิณ มาเร็ว”

อรวรรณเอ่ยขึ้นพลางร้องถามบุตรสาวที่อยู่ด้านในครัว ก่อนจะเลื่อนจานลาบปลาไปทางแขกหนุ่มหน้าเข้มอย่างเอาใจ

“เสร็จแล้วค่ะแม่”

ฮึ วันนี้ดูแม่อารมณ์ดีสดใสจริง หญิงสาวนึกในใจขณะถือจานผักออกไปที่ระเบียงตรงไปยังโต๊ะอาหารซึ่งมีนายตัวโย่งกับมารดานั่งอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงแล้วเลื่อนถ้วยต้มยำปลานิลไปตรงหน้ามารดาจัดการรินน้ำใส่แก้ววางไว้ให้พร้อมโดยไม่ลืมจะบริการชายอีกคนเสร็จสรรพ ถือว่าตอบแทนที่เขาช่วยงานหนักๆ ก็แล้วกัน

ในขณะที่อรวรรณนั้นไม่แค่คิดเรื่องตอบแทนเท่านั้น แต่จากที่ได้คุยกันเป็นวันแรกก็รู้สึกได้ว่าแขกหนุ่มเป็นคนมีน้ำใจและเป็นคนน่ารักคนหนึ่งทีเดียว ก็จะไม่คิดอย่างนั้นได้ยังไงในเมื่อนายตั้งเป็นแขกมาพักโฮมสเตย์แต่กลับมาแบกกระสอบข้าวเปลือกลงจากรถอีแต๋นไปเทแล้วยังช่วยตากข้าวที่ขนมาจนเสร็จเรียบร้อย ตากแดดเปรี้ยงจนเหงื่อไหลไคลย้อยก็ยังไม่ปริปากบ่นจนเธอต้องไปหาหมวกมาให้สวม ดูเหมือนว่าแค่เวลาไม่ถึงวันนายตั้งก็กลายเป็นขวัญใจของพี่ดวนกับพี่ลีคนในหมู่บ้านซึ่งเธอจ้างมาช่วยงานไปเสียแล้ว

“แล้วพู่ไปไหนล่ะครับ ไม่รอเธอมากินพร้อมกันหรือ”

การเรียกชื่อแบบง่ายๆ สนิทสนมทำเอาพิณไพลินนึกหมั่นไส้อยู่พอดู แต่พอคิดอีกแง่หนึ่ง เออนะ... แล้วเธอจะให้เขาเรียกว่าอะไรล่ะ คุณพู่ คุณพิณ หรือว่าน้องพู่ น้องพิณ อึ๋ย! ไม่ดีหรอก ขนลุกขนชันชะมัด งั้นเรียกอย่างนี้แหละดีแล้ว

“พู่โทรมาบอกแล้วจ้ะว่าไม่ต้องรอกินข้าวเพราะจะกลับมาช้าหน่อยต้องไปส่งลูกตาเดี่ยวที่บ้าน เออ...แม่ก็เพิ่งรู้นะว่าตาเดี่ยวกลับมาอยู่บ้าน มัวแต่ยุ่งกับงานเลยไม่ได้รู้ข่าวรู้คราวลูกหลานเลย” อรวรรณหันไปหาบุตรสาวที่ตักลาบใส่จานข้าวตัวเอง

“พี่พู่กับพิณก็เพิ่งรู้เหมือนกันค่ะแม่ แต่ถามไข่ดูก็ได้ยินบอกว่าพี่เดี่ยวมาได้ไม่กี่วันเอง”

“แล้วพี่ภาล่ะ” อรวรรณถามถึงแม่ของเดี่ยว

“เห็นว่าเสียแล้วนะคะ”

“ตายจริง แล้วดิวล่ะ”

พิณไพลินส่ายหน้า เธอกับดิว หรือดรุณี รู้จักกันเพียงผิวเผินเพราะถึงจะเกิดในบ้านนาดีเหมือนกันแต่รายนั้นเป็นรุ่นน้องหลายปีและดรุณีก็ไปเข้ากรุงเทพฯ กับป้าโสภาตั้งแต่ที่ดินถูกนายไตรภพโกง “ไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่ แต่คิดว่าน่าจะยังอยู่ที่กรุงเทพฯ เพราะไข่บอกว่าแวะไปบ้านพี่เดี่ยวเมื่อวานก็ไม่เจอใครนอกจากพี่เดี่ยวกับน้องป้อง”

“น้องป้องนี่ลูกตาเดี่ยวเหรอ”

“คงจะใช่มั้งคะแม่” พิณไพลินตอบอย่างไม่มั่นใจนัก สงสัยว่าเธอจะต้องหาคำตอบจากไข่เสียแล้ว รายนั้นวิ่งไปวิ่งไปมาให้สืบความเดี๋ยวคงได้รู้เรื่อง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่พู่กับพี่เดี่ยวเคยเป็นแฟนกันมาก่อน แต่ก็นั่นแหละ เธอก็ไม่ค่อยรู้ถึงความสัมพันธ์ของพี่สาวกับแฟนเท่าใดนัก รู้แต่ว่าพี่เดี่ยวเป็นคนขี้เล่นนิสัยดีแต่พอมีปัญหาและเข้ากรุงเทพฯ ก็หายเงียบไป

“ครอบครัวพี่ภานี่ก็น่าสงสารนะ นายไตรภพก็เหลือเกิน ตัวเองมาอยู่ทีหลังเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเป็นนายทุนเงินหนายังไม่พอ ยังโกงเอาที่ดินเขาหน้าด้านๆ อีก คงจะเห็นว่าพี่ภาเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่มีเงินไม่มีอำนาจจะไปฟ้องร้องสู้รบปรบมือ”

“นายไตรภพคนนี้เขามาอยู่ที่นี่นานหรือยังครับน้าอร” ชายหนุ่มเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารเอ่ยถาม เขาเรียกอรวรรณว่าน้าอย่างไม่มีเคอะเขิน แต่หญิงสาวอีกคนกลับรู้สึกว่าเขากำลังคืบคลานเข้าสู่ความสนิทสนมอย่างช้าๆ เสียอย่างนั้น

“ได้ประมาณห้าหกปีเห็นจะได้จ้ะ มาถึงก็ตั้งโรงรับซื้อมันสำปะหลัง ข้าวเปลือก ผลผลิตการเกษตร แถมยังพยายามกว้านซื้อที่ดินของชาวบ้านเราอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเอาเงินมาจากไหนสิน่า พวกนายทุนมาเป็นพ่อค้าคนกลางนี่รวยเร็วนะ ไม่เหมือนพวกชาวไร่ชาวนากว่าจะลืมตาอ้าปากได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ต้องขยันและทำงานหนักมากกว่าคนอื่นหลายเท่า”

“ผมเชื่อนะครับว่าคนที่นี่ขยัน” ว่าแล้วก็ปรายตาไปยังพิณไพลิน แต่รายนั้นเอาแต่กินข้าวแต่เขารู้หรอกว่าเรื่องที่คุยกันเข้าหูเธอหมด “แต่บางทีก็รู้สึกว่าขยันเกินไปจนกลายเป็นว่าทำงานหนักมากเกินกำลังผู้หญิงไปหรือเปล่าครับ น่าจะมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระ”

“แน่นอนค่ะว่าเราทำงานได้ไม่หมดทุกอย่าง เราถึงได้จ้างคนมาช่วยงานไงคะ” พิณไพลินพูดขึ้นหลังจากกลืนข้าวแล้ว

ตัวเองเป็นนักเขียนจับปากกาอย่างเดียวจะมารู้ดีเรื่องงานเกษตรแค่ไหนกันนักเชียว ได้มาแบกกระสอบข้าววันเดียวทำเป็นรู้ดีไปหมดหรือไง เธอรู้หรอกว่ากำลังของผู้หญิงและคนในครอบครัวมีแค่ไหน หญิงสาวค่อนในใจอย่างหมั่นไส้

“จ้างได้ แต่บางทีก็ต้องมีคนที่คอยจัดการทุกอย่างในไร่ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก”

“พี่พู่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่แล้วค่ะ”

ชายหนุ่มยิ้ม เขากำลังนึกว่าที่พิณไพลินตอบเขาทันควันน่ะเพราะเธอรู้ใช่ไหมว่าเขาหมายถึงอะไร คิดแล้วก็ตักลาบปลามาใส่จานแล้วเอ่ยกับอรวรรณตรงๆ “ไร่นี้ไม่มีผู้ชายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักหรือครับน้าอร”

“ไม่หรอกจ้ะ พวกเรามีกันแค่นี้ แต่พู่ก็เก่งและเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแทนน้าได้หมดแล้วจ้ะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะบางทีน้าก็สงสารลูกทั้งสองคนเหมือนกัน เป็นผู้หญิงแต่ทำงานเกินตัวอย่างพ่อตั้งว่า”

แหม...แม่เราก็ช่างกระไรเลย เรียกเขาได้น่าเอ็นดูจริ๊งจริงว่า ‘พ่อตั้ง’ ทำไมไม่เรียกว่า ‘ตาตั้ง’ เหมือนที่เรียกพี่เดี่ยวว่า ‘ตาเดี่ยว’ บ้างล่ะ คงน่ารักตายล่ะ

“ทำไมคุณไม่หาใครซักคนมาช่วยล่ะครับพิณ”

คนถูกค่อนในใจหันมาถามเอาดื้อๆ เล่นเอาพิณไพลินถึงกับชะงักมือที่กำลังถือช้อนตักข้าวซึ่งกำลังจะส่งเข้าปาก เธอเงยหน้าหันไปมองคนถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาหมายความว่ายังไง

“ก็บอกแล้วว่าเรามีคนช่วยอยู่แล้วค่ะ ทั้งลุงจอม ป้าทุม แล้วก็ไข่”

ไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้นะพิณไพลิน ใบหน้าเข้มคลี่ยิ้ม นึกสนุกกับการต่อปากต่อคำกับเธอจนลืมตักอาหารใส่ปาก

“ผมหมายถึงผู้ชายที่จะเป็นผู้นำครอบครัวต่างหาก” ตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมเลยทีนี้

หญิงสาวหน้าแดง เธออุตส่าห์ทำเป็นไม่รู้ความนัยแล้วนะ นายตั้งนะนายตั้ง กล้าพูดออกมาได้หน้าตาเฉยทำยังกับว่าสนิทสนมกับครอบครัวเราเป็นแรมปี ฮึ เห็นว่าแม่คุยด้วยดีๆ ก็เลยได้ทีล่ะสิ

“น้าอรไม่อยากได้ลูกเขยมาช่วยงานหรือครับ”

โอ๊ย! เอาใหญ่แล้วนะนายตั้ง พิณไพลินอยากหาอะไรยัดปากจริงๆ มะเขือนั่นเป็นไงกลมๆ กรอบๆ น่าจะหยุดคำพูดได้ดีชะงัดนัก

อรวรรณหัวเราะอย่างชอบใจ “อยากได้ก็จะทำยังไงล่ะจ๊ะในเมื่อลูกสาวน้าแต่ละคนท่าทางแข็งๆ กันทั้งนั้น อย่างนี้ไม่รู้จะขายออกหรือเปล่า”

“ขายออกสิครับ”

คนที่ตกเป็นประเด็นขึงตาใส่นายหน้าเข้ม ก่อนจะรีบเปลี่ยนประเด็นก่อนที่มารดาจะพูดต่อหน้านายตั้งให้เธอได้ตีหน้าไม่ถูกมากไปกว่านี้

“แม่คะ กินข้าวดีกว่าค่ะ ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่พู่กลับมาหรือยัง”

ได้ผล เมื่ออรวรรณหันมาคะยั้นคะยอให้แขกกินอาหารมื้อเย็น

“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วโทรหาพี่เขาหน่อยนะลูก... เอ๊า กินเยอะๆ นะพ่อตั้ง เคยกินผักพวกนี้ไหม ผักนี้เราไม่ได้ซื้อหรอก ที่เห็นทั้งหมดนี่ปลูกเองทั้งนั้น บางทีพู่เขาก็ชวนไข่ลูกของคนช่วยดูแลไร่เราไปเก็บในป่าชุมชน รายนั้นชอบกินผักกับน้ำพริกมากเพราะเขาจะกินรสจัด ถามหาทุกวัน วันไหนไม่ได้ทำน้ำพริกก็จะเอาพริกป่นใส่ถ้วยเหยาะน้ำปลาบีบมะนาวเข้าไปก็เป็นใช้ได้”

“แล้วพิณล่ะครับ เขาชอบกินผักไหม” คนถามเอ่ยเหมือนชวนคุย และปรายตามองทางหญิงสาวด้วยสีหน้าราบเรียบแต่ประกายตานั่นต่างหากที่ทำเอาพิณไพลินอยากเอาพริกจิ้มตาให้ร้องจ๊ากแล้วดิ้นพราดๆ

“รายนี้ก็ชอบแต่เขากินเผ็ดมากไม่ได้”

“เหมือนผมเลยครับ ผมก็กินเผ็ดมากไม่ได้แสบท้องแสบไส้”

ทำไมจะต้องยิ้มแล้วหันมาทางฉันด้วยล่ะนายคนนี้นี่ แล้วทำไมต้องทำท่าดีใจที่มีอะไรเหมือนกันด้วย แม่ก็นะ... จะยกเรื่องอื่นมาคุยไม่ได้หรือไง ทำไมต้องยกเรื่องลูกสาวตัวเองมาพูดด้วย

“ถ้ากลัวแสบท้องแสบไส้ก็เอาผักนี่ไปกินนะคะ กินกับลาบปลาอร่อยมากเลยนะคะรสชาติจืดๆ แต่เป็นยาสมุนไพรบำรุงกำลัง กินเยอะๆ เลยค่ะ”

หญิงสาวหยิบยอดดีปลากั้งสีเขียวเข้มสี่ยอดวางโปะลงบนจานข้าวจนแทบจะมองไม่เห็นเม็ดข้าว อรวรรณอ้าปากจะพูดอะไรแต่บุตรสาวแอบขยิบตาใส่ ผู้เป็นมารดาเลยส่ายหน้ายิ้มๆ

“กินสิคะ ถ้าไม่กล้ากินก็ไม่เป็นไรหรอกนะคะ เพียงแต่ฉันคงไม่กล้าเชิญคุณมากินข้าวอีก เพราะอาหารบ้านเรามันพื้นๆ คนเมืองกรุงหรือเป็นคุณหนูคุณชายก็อาจจะไม่กล้าแตะเพราะกลัวท้องไส้ปั่นป่วน”

ทำไมจะไม่รู้ว่าถูกประชด เจ้าของจานข้าวเหลือบมองจานตัวเองแล้วหยิบยอดผักที่ไม่เคยคุ้นขึ้นมามองมันยิ้มๆ ก่อนจะชำเลืองดูคนใจดี

“เขาเรียกว่ายอดอะไรเหรอคุณ”

“ดีปลากั้งค่ะ”

“ดีปลากั้ง คุณว่ารสชาติจืดๆ งั้นเหรอ แต่ฟังจากชื่อ ดี ก็น่าจะขมนะ” แขกหนุ่มหรี่ตาถาม

“ไม่ค่ะ ไม่ขม จืดๆ มันๆ อร่อยดีออก” คนแนะนำบอกหน้าใสซื่อ

“ถ้าผมกินก็หมายความว่าผมก็ไม่ได้รังเกียจผักพื้นบ้านพวกนี้เลย แต่ถ้ารสชาติไม่จืดอย่างคุณว่าก็แสดงว่าคุณโกหกผม ซึ่งคุณก็ต้องรับผิดชอบด้วยการชวนผมมากินข้าวที่นี่ทุกมื้อ”

เจอการดักไว้ก่อนแบบนี้พิณไพลินเลยรีบกันไว้ก่อน

“งั้นก็ไม่ต้องกินค่ะ เก็บคืนดีกว่า เดี๋ยวกินแล้วเกิดแพ้เป็นลมชักกระแด๊กๆ ขึ้นมาฉันจะมีบาปติดตัวและติดคุกฐานฆ่าคนตายโดยไม่ได้เจตนา” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปหยิบยอดผักแต่ถูกมือสีแทนยกขึ้นกางกั้นไว้ก่อนราวกับหวงแหนแถมยังดึงจานข้าวของตัวเองออกห่างอีก

“ท่าทางแบบนี้แสดงว่ามีพิรุธ”

พิณไพลินเม้มปากแน่น รู้ตัวว่าตกหลุมไปแล้ว สุดท้ายเลยได้แต่รอดูปฏิกิริยาของคนที่ค่อยๆ เด็ดผักเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ววางบนข้าวตักลาบปลาบนผัก จากนั้นก็ค่อยตักใส่ปาก พอเห็นสีหน้าพิลึกพิลั่นของคนกินแล้วหญิงสาวก็สะใจนัก

“กินให้หมดนะคะ ฉันเห็นสีหน้าคุณแล้วรู้เลยว่าชอบ” ว่าแล้วก็หยิบยอดดีปลากั้งยอดที่ห้าและหกวางลงบนจานให้อีกอย่างเอาใจ

ไหนๆ ก็อ้างว่าจะมากินข้าวที่บ้านเธออยู่แล้วนี่ เพราะฉะนั้นต้องจัดผักให้เต็มที่

“ไม่ต้องกลัวนะคะว่าวันหลังจะไม่มีกิน เพราะบ้านเราปลูกไว้เยอะพอสำหรับเด็ดยอดกินได้ทุกวันเลย”

ตติยะมองคนหน้าหวานๆ แต่แกล้งคนได้หน้าตายอย่างฝากไว้ก่อน เมื่อมองนิ่งนานไปจากความหมั่นไส้ก็กลายเป็นความเอ็นดูและความรู้สึกนั้นก็กรุ่นไปจวบจนเมื่อเขากลับถึงบ้านพักพอๆ กันกับรสชาติขมของดีปลากั้งที่ติดลิ้นนั่นทีเดียว

*****************


ตอบเมนต์ค่ะ
อ่านเมนต์คุณ GTW แล้วนั่งขำ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ หากเราไม่ใช่คนบ้านนอกบ้านนาเหมือนกันคงไม่รู้เรื่องค่ะ 555
ขอบคุณกิฟด้วยนะคะ

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 55 06:58:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com