Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 10 ติดต่อทีมงาน

สำหรับบทที่ 8-9 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11868737/W11868737.html

ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ
ขอบคุณ : นารีจำศีล, Travel to the moon, kdunagin, mementototem, npuiy, รพิชา, wor_lek, เพชรรุ้งพราย, กุหลาบมอญ, Hermosa, นวลน้ำผึ้ง, สุชาดาวดี, เรียวรุ้ง ด้วยครับ

บทที่ 10


            เงาตะเกียงวูบไหวไปมากับผนังศิลาสีขาวขุ่นรอบด้าน เหมือนเงาของภูตพรายที่มาร่ายระบำยวนยั่วอยู่รอบตัวตลอดเวลา ยิ่งการเดินไต่ไปตามขอบสูงละลิ่วของหอคอยแห่งนี้ ปีระกากลับพบว่ามันไม่ง่ายเหมือนกับที่คิดเอาไว้แต่แรก


                หล่อนไม่ได้ก้มมองลงไปข้างล่าง ได้แต่เงยศีรษะทอดมองเป้าหมายด้านบนที่เป็นประตูเหล็กเปิดแง้มเอาไว้ด้วยใจจดจ่อ มันเป็นเส้นทางให้ลอดขึ้นไปสู่ห้องด้านบนอันเป็นห้องใต้หลังคาหอคอยนั่นเอง และบัดนี้ก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ


         นานเหมือนนับชั่วโมง เมื่อฝืนแรงโน้มถ่วงโลกเพื่อขยับก้าวขึ้นไปเกาะประตูเหล็กแข็งแกร่งที่ห้อยร่องแร่งอย่างน่าหวาดเสียวได้สำเร็จ สภาพอันเก่าทรุดโทรมทำให้มองเหมือนกับมันเปิดแง้มเอาไว้จากด้านล่างของชั้นหอคอย แต่เมื่อเข้ามาพิจารณาใกล้ๆจึงเห็นว่าประตูเหล็กบานนั้น ปราศจากนอตเหล็กส่วนบนที่ยึดติดกับขอบกำแพง แต่ยังดีที่บานเหล็กทั้งบานถูกตรึงเอาไว้อีกสองตำแหน่ง แต่ก็ทำให้มันแกว่งช้าๆส่งเสียงเอียดอาดของสนิมที่ขึ้นจนฝืด และอาจจะหลุดลงไปกระแทกพื้นเบื้องล่างได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง


            จับราวประตูเรียบร้อยแล้ว พลันก็ต้องแบมือด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วลากไปยังส่วนอื่นๆของราวเหล็กด้วยความฉงนฉงาย


            มันเรียบสะอาดเหมือนกับมีใครบางคนขึ้นมาใช้ห้องด้านบนของหอคอยก่อนหน้านี้ ไม่มีผิด!!


           เงาจากตะเกียงแก้ว ส่องกระทบลงมาบนเนื้อโลหะเก่าคร่ำ ภายในช่องประตูปรากฏรอยแม่กุญแจที่คล้องกับส่วนโซ่เหล็กเปิดค้างเอาไว้ แม้ไม่ปรากฏตัวลูกกุญแจที่ไขเปิดอยู่ก็ตาม แต่สภาพที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นานจนเกิดเป็นคราบบนเนื้อเหล็กก็ปรากฏชัดว่า ประตูบานนี้เพิ่งถูกเปิดออกใช้งานล่วงหน้ามาไม่นานนี้เอง!


       และผู้ที่เปิดประตูก่อนหน้านี้ ก็เปิดมันทิ้งค้างเอาไว้พอดี...


          ...พอดี???


                รู้สึกเกลียดคำๆนี้เหลือเกิน ทุกอย่างลงตัว “พอดี” ประตูที่ปิดตาย แต่กลับเปิดทิ้งเอาไว้ เพื่อให้หล่อนได้มีโอกาสผ่านเข้าไปข้างใน ในจังหวะนั้น “พอดี” ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกจัดให้ลงตัวเรียบร้อยแล้ว โดยที่หล่อนเป็นฝ่ายถูกกำหนด ให้ดำเนินไปตามเกมบงการที่มองไม่เห็น!!


            ปีระการีบสลัดความคิดสับสนสงสัยนั้นทิ้งไปก่อนจะว้าวุ่นใจมากไปกว่านี้ ความอยากรู้อยากเห็นทวีมากขึ้นทุกขณะ แม้จะรู้สึกว่าตัวเองช่างกล้าหาญชาญชัยเกินเหตุ ที่สู้ไต่บันไดเหล็กสูงชัน จนขึ้นมาถึงส่วนยอดของหอคอยทับสนธยา โดยไม่มีอาวุธป้องกันตัวแม้แต่ไม้จิ้มฟันสักอันเดียว!!


                 แต่ไม่มีประโยชน์อะไรจะถอยย้อนกลับไปอีกแล้ว เจ้าตัวเผลอชะโงกหน้ามองลงไปข้างล่าง เห็นเกลียวบันไดทอดเวียนเป็นวงโค้งลงไปตามแนวปล่องหอคอยไม่ต่างกับม้วนก้นหอยที่ขดโค้งเป็นอนันต์โดยไม่มีจุดสิ้นสุด แล้วก็ต้องรีบเบนหน้ากลับขึ้นมาด้วยความหวาดเสียว ก่อนจะเป็นลมหรือเวียนหัวไปมากกว่านี้ ยิ่งเมื่อได้มองจากตำแหน่งด้านบน ทำให้เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็เป็นโรคกลัวความสูงอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน


              ประตูเหล็กบานนั้นส่ายน้อยๆทั้งที่ไม่มีกระแสลมใดๆทั้งสิ้น และแสงบางอย่างก็ขีดวาบขึ้นในความสลัวเลือนราง ณ ปลายทางเบื้องบน อันเป็นตำแหน่งของห้องใต้หอคอยนั่นเอง


               มันเป็นแสงสีทองอร่ามประหลาดตา ที่กระพริบวูบเพียงครั้งเดียว แล้วก็ดับหายไปอย่างเป็นปริศนา


            และเป็นครั้งเดียวที่ทำให้นักเขียนสาว ตัดสินใจก้าวเท้าผ่านขึ้นสู่อาณาเขตด้านในแห่งนั้นในทันที


             โดยไม่อาจรู้ว่ามีสิ่งใดรอคอยอยู่เบื้องหน้า...


           **********************


                 ชลธรนอนพลิกกระสับกระส่ายเมื่ออากาศเย็นยะเยือกยามดึกล่วงผ่านเข้ามาภายในห้อง แสงจากตะเกียงดับลงไปแล้วจนเหลือเพียงแสงสลัวจากแสงจันทร์ภายนอกส่องผ่านเข้ามาเพียงเลือนราง ด้วยอาการงัวเงียง่วงงุน เพื่อนสาวของปีระกาเอื้อมมือควานมือหาผ้าห่มมาคลุมกาย แต่เจ้ากรรม มันร่นตกไปอยู่ปลายเตียงจนต้องฝืนใจยันกายลุกขึ้น ทั้งที่ยังอยากจะนอนนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่เช่นเดิม แต่ความจำเป็นทำให้หญิงสาวต้องฝืนลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือออกไปคว้าผ้าห่ม


              สายตามองไปยังนาฬิกาเรือนโบราณที่ตีดังขึ้นในจังหวะนั้นพอดี


             เที่ยงคืน...


             หันมองข้างกายก็พบว่ามีเพียงหล่อนคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่บนที่นอน นี่ยายปีระกาตัวดี ออกไปสำรวจข้างนอกนานถึงสองชั่วโมงตั้งแต่หล่อนเผลอนอนหลับไปก่อนหน้านี้เลยหรือ?


                ความห่วงกังวลทำให้ความง่วงงุนแต่แรกแทบเลือนหายไปเป็นปลิดทิ้ง หญิงสาวผุดลุกขึ้นจากที่นอน แล้วเดินตรงไปที่โต๊ะกระจกริมหน้าต่าง มีกระเป๋าสัมภาระที่นำติดตัวมาจากกรุงเทพวางกองเอาไว้โดยไม่ทันจัดเข้าตู้ หล่อนรีบรูดซิบควานหากระบอกไฟฉายในความมืดสลัว จำได้ว่านำติดตัวมาด้วย แต่ในช่วงเวลาฉุกละหุกอย่างนี้กลับหาไม่เจอเสียอีก!


             มองไปมองมา ก็เห็นแต่ตะเกียงน้ำมันวางตั้งเผื่อเอาไว้ที่โต๊ะปลายเตียง


                สงสัยจะต้องจุดตะเกียงแทนเสียแล้วกระมัง?


                ระหว่างที่กำลังวุ่นวายใจอยู่นั้นเอง ก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากภายนอกระเบียงห้อง แม้จะเพียงแผ่วเบาเพราะระยะทางอันห่างไกล แต่ก็พอจะทำให้ถึงกับหยุดชะงักไปชั่วขณะ


               ชลธรพยายามข่มความหวั่นไหว รีบลุกขึ้นแล้วค่อยย่องไปที่ระเบียงห้องซึ่งมีเพียงผ้าม่านปลิวไสว เปิดรับสายลมยามราตรีแล้วเมียงหน้าผ่านออกไปช้าๆ


              ในเงาตะคุ่มของลานต้นไม้นานาพันธุ์ด้านล่างนั้นเอง สายตาก็มองเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวช้าๆ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ระหว่างแนวพุ่มไม้รกทึบที่เป็นเสมือนฉากธรรมชาติกั้นเอาไว้


             เสียงควบม้า...


              แม้จะแผ่วเบาเพียงใด แต่ในความสงัดแห่งรัตติกาลเช่นนี้ ก็ดังพอจะทำให้หล่อนสังเกตพบได้ไม่ยาก และไม่นานเลย เมื่อคนบังคับม้าค่อยๆผ่อนสายบังเหียนเพื่อให้อาชาตัวนั้นเปลี่ยนเป็นเหยาะย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังโดยเจตนา แล้วหยุดนิ่งลงในระยะห่างออกไปไม่ไกลนัก ก่อนที่ร่างๆหนึ่งจะขยับเคลื่อนตัวลงมาอย่างคล่องแคล่ว


                แสงจันทร์กึ่งกลางฟ้าส่องกระทบลงมาเห็นท่าทางอิดโรยของอีกฝ่ายชัดเจน ในขณะที่ร่างของผู้ขับอาชากระตุกสายบังคับให้เคลื่อนตัวย้อนกลับไปในทิศทางเดิม เมื่อนั้นชลธรจึงเห็นชัดเจนว่าร่างในเงาตะคุ่มนั้นคือ คนใช้สาวของทับสนธยานั่นเอง


              “มะขิ่น?”

             ***********************


            “นี่มันเป็น... ห้องสมุด?”


               เป็นความประหลาดใจอย่างที่สุด เมื่อก้าวเท้าผ่านบันไดเล็กๆพ้นจากชั้นหอคอยขึ้นไปสู่พื้นเฉลียงที่แผ่กว้างเหมือนใบพัดคลี่ออก และพื้นไม้ก็ยกระดับสูงขึ้นไปเพียงเล็กน้อย ปีระกาตัดสินใจก้าวผ่านเข้าสู่ห้องลึกลับใต้หลังคาด้านบนสุดแห่งนั้น เมื่อนั้นเองนักเขียนสาวยืนงงอยู่พักใหญ่ แสงตะเกียงที่ส่องสว่างเรืองรอง มองเห็นพื้นไม้ด้านในคงจะเคยลงน้ำมันจนเรียบลื่นและแผ่กว้างออกเป็นรัศมีวงกลมขนาดใหญ่ แม้ว่าในบัดนี้มีเพียงฝุ่นผงกระจายตัวปกคลุมอยู่จนหนาทึบมากแล้วก็ตาม


                ความเข้าใจแต่แรกทำให้หล่อนคิดว่าน่าจะเป็นห้องขนาดเล็กๆที่กรุกระจกและเป็นแนวระเบียงล้อมรอบเพื่อให้ผู้ขึ้นมาเยี่ยมชมได้ชื่นชมกับทัศนียภาพในมุมสูงของทับสนธยาแห่งนี้มากกว่า


              แต่ผิดคาด!


               การณ์กลายเป็นว่า ตำแหน่งห้องชั้นบนสุดของหอคอยฝั่งใต้ กลับเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ผายกว้างออกจากส่วนหอคอยที่สอบขึ้นไป ผนังศิลาฉาบปูนทับรอบด้านทึบตัน ล้อมรอบด้วยชั้นวางหนังสือติดผนัง บรรจุหนังสือนับร้อยพันเล่มเรียงรายจนจรดพื้นเพดานห้อง โดยมีเพียงผนังด้านเดียวเท่านั้นที่เจาะเป็นช่องหน้าต่างกระจกสำหรับระบายอากาศ และมีชานยื่นออกไปสำหรับไปนั่งรับลมเล่นด้านนอก


                 ความเก่าแก่ของสภาพห้อง ทำให้เห็นรอยฝ้าขาวปรากฏขุ่นมัวบนบานกระจกขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าในกรอบไม้แผ่นนั้น สายตาหล่อนเลื่อนกลับเข้ามาอย่างสำรวจตรวจตรา ระหว่างชูตะเกียงให้สูงขึ้น


              ณ กึ่งกลางห้องแห่งนี้คือโต๊ะเขียนหนังสือขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยสรรพตำราเล่มหนาเรียงรายลดหลั่นเป็นชั้นอย่างเป็นระเบียบสวยงาม จนละลานตาเต็มไปหมด ตัวหนังสือปกแข็งเดินทองเหล่านั้นกระตุ้นความสนใจให้ปีระกา ก้าวเดินขึ้นไปหาเหมือนต้องมนตร์สะกด ในฐานะนักเขียนหนังสือ ทำให้หล่อนสนใจการอ่านหนังสืออยู่ไม่น้อยเป็นทุนเดิม


             ฝุ่นละอองคลุ้งขึ้นมาทุกจังหวะการก้าวย่างที่เหยียบลงไปบนพื้นไม้แห่งนี้ หากเสียงเอี๊ยด อ๊าดยามเนื้อไม้ขยับ ก็หาทำให้รู้สึกหวั่นเกรงใดๆไม่


             ปีระการู้สึกราวกับบัดนี้ได้ก้าวเข้าไปในอีกอาณาจักรหนึ่งที่แตกต่างจากทับสนธยาโดยสิ้นเชิง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่แยกออกต่างหากจากเรือนคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้น เหลือเพียงพื้นที่เล็กๆที่มีความอบอุ่นอย่างประหลาด


              สายตาของนักเขียนสาวมองเห็นกรอบกระจกขุ่นฝ้าวางคว่ำเอาไว้บนกองหนังสือพอดี ทายาทสาวแห่งทับสนธยาถือโอกาสหยิบมาพลิกหงายขึ้น มีรอยคราบคร่ำคร่าเต็มไปด้วยฝุ่นละอองหม่นมัวเกาะบนพื้นกระจก แสดงถึงสภาพที่ปราศจากการดูแลมานาน แน่นอน สภาพห้องใต้หลังคาหอคอยแห่งนี้คงจะไม่มีผู้ใดขึ้นมาทำความสะอาดไหว ยกเว้นผู้เป็นเจ้าของ “ห้องสมุด”แห่งนี้ ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเวลานานมาแล้วเช่นกัน


             นิ้วข้างหนึ่งค่อยเกลี่ยไล่เศษฝุ่นละอองช้าๆ จนเผยให้เห็นภาพถ่ายสีเหลืองซีดภายในกรอบแห่งนั้น และหัวใจของหล่อนกระตุกนิดหนึ่ง เมื่อเห็นภาพชายคนแรกในชุดสากลอย่างฝรั่ง ผูกโบไทด์ และสวมเสื้อสูททับไว้อีกชั้นหนึ่ง ร่างนั้นยืนเด่นเป็นสง่าเต็มตัว ปรากฏขึ้นชัดเจนภายหลังจากเศษฝุ่นถูกลบออกไปจนหมดสิ้นแล้ว


              คุณหลวงอนุรักษ์วนาดร!


                 ชายหนุ่มรูปงามในภาพวาดขนาดใหญ่ของโถงประธานแห่งทับสนธยานั่นเอง เพียงแต่มิได้อยู่ในชุดราชปะแตนแบบไทยๆ แต่เป็นชุดสากลอย่างที่เรียกกันว่าทักซีโด ที่เสริมส่งสง่าราศีให้แก่ผู้สวมใส่ได้ไม่แพ้กัน!


               ภาพถ่ายสีขาวดำที่แม้จะซีดจางไปตามกาลเวลา และไม่ลงรายละเอียดชัดเจน แต่ก็ยังมองเห็นความสง่างามคมสันของผู้เป็นเจ้าของทับสนธยาได้ชัดเจนยิ่ง ใบหน้าคร้ามคมคายที่ดูหนุ่มฉกรรจ์กว่าในภาพวาดแรก กำลังทอดมองออกมาด้วยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยคล้ายจะทักทาย นัยน์ตาคมกล้าเปล่งประกายเจิดจรัสด้วยวัยฉกรรจ์ บ่งถึงความมุ่งมั่นเด็ดขาดอันเป็นตัวตนของคุณหลวงผู้นี้โดยแทบไม่ต้องเอ่ยวาจาใดๆออกมาจากริมฝีปากได้รูปเลยด้วยซ้ำ


                มือของปีระกาเลื่อนไปยังมุมด้านซ้ายของภาพ เมื่อนั้นหล่อนเห็นว่ายังมีใครอีกคนที่ยืนถ่ายภาพเคียงคู่กับคุณหลวงอนุรักษ์วนาดร อดที่จะบังคับมือไม่ให้สั่นไม่ได้ คิดในใจว่าเจ้าของรูปคนนั้นน่าจะเป็นคุณย่าทวดของหล่อนนั่นเอง สตรีที่มีนามว่า “อบ”ตามที่ได้ยินมา แม้จะยังไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าแท้จริงของอีกฝ่าย


                แต่กลับไม่ใช่!


                 ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าภายในกรอบกระจกรูปเก่าแก่ผ่านกาลเวลามาไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี จนเนื้อกระจกใสขุ่นฝ้า ก็คือใครอีกคนหนึ่งที่ยืนเคียงกับคุณหลวงอนุรักษ์วนาดร เมื่อสายตาปรับรับภาพนั้นเต็มที่ ก็ทำให้ถึงกับเกิดความงุนงงขึ้นมายิ่งกว่าเดิม


             ไม่! เป็นไปไม่ได้!!


                  เผลออุทานออกมากับตัวเองด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด เมื่อนิ้วเลื่อนมาแต่รูปชายอีกผู้หนึ่งที่ปรากฏชัดเจนในกรอบกระจก ไม่ใช่คุณย่าทวดอบอย่างที่คิดไว้แต่แรกเสียแล้ว


               หากแต่เป็นชายวัยชราภาพ ผู้มีใบหน้าเดียวกันกับ


                คุณลุงอาตม์!!


            ************************


              ชลธรขยับชายกระโปรงยาวรุ่มร่ามด้วยความร้อนใจ หญิงสาวพยายามปรับไส้ตะเกียงชุบน้ำมันแล้วจุดไม้ขีดลงไปอย่างทุลักทุเล ในเมื่ออยู่กรุงเทพ หล่อนถนัดแต่การกดสวิทช์เปิดไฟอย่างทันอกทันใจ ไม่ทันนึกว่าจะต้องมาเตรียมการจุดตะเกียงน้ำมันในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้  


              ผ่านไปไม่นานนัก เพื่อนสาวของเกตุมาลาก็รีบปลดล็อคกุญแจจากด้านในห้องแล้วก้าวออกมา อากาศภายนอกห้องนอน เย็นยะเยียบยิ่งกว่าที่คิดไว้จนเจ้าตัวต้องรวบชายเสื้อเข้าหากันแล้วกอดอกไว้หลวมๆ


          “ปีระกา ยายปี หนีไปอยู่ที่ไหน ตอบด้วย... วู้!”


           หญิงสาวพยายามตะโกนร้องออกไปเท่าที่เสียงตนเองจะมี คิดแต่เพียงว่าปีระกาไม่น่าหายตัวไปนานขนาดนี้ รวมถึงมะขิ่น ที่ย้อนกลับมาที่ทับสนธยาในกลางดึก เหมือนกับเด็กสาวผู้นั้นออกไปธุระข้างนอกมากกว่าจะกลับเข้าหมู่บ้านตัวเองอย่างที่บอกเอาไว้แต่แรก


           หล่อนรีบเดินเร่งฝีเท้าผ่านความมืดสลัวไปตามระเบียงยาวที่ทอดออกไปทั้งสองทิศทาง ด้านหนึ่งตรงไปยังบันไดเวียนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อยังไปห้องโถงประธานและห้องรับประทานอาหาร ตามที่ภูไทนำขึ้นมาแต่แรก แต่อีกด้านหนึ่งนั้นเล่า...


              มองไปในความมืดสลัว เห็นแต่เพียงเสาสลักลวดลายอ่อนช้อยสีขาวโพลนเรียงรายต่อเนื่องกันไปสุดสายตาในโค้งระเบียงแห่งอุโมงค์ที่ต่อเชื่อมไปยังหอคอยฝั่งใต้...


              หอคอยฝั่งใต้!


                คล้ายกับได้ยินปีระกาพูดถึงในสวนกุหลาบขาวตอนเย็น หล่อนฟังเองไม่ค่อยถนัดสักเท่าไร ในเมื่อมัวแต่กำลังชื่นชมดอกกุหลาบขนาดโตเท่าชามแกง แถมยังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณเสียอย่างนั้น


                “แกเป็นอะไรไปหรือยายปี?”


              “ลองดูโน่นสิ หอคอยสูงๆฝั่งนั้นน่ะ ดูเหมือนมีคนอยู่ข้างบนเลยนะ”


             หล่อนละมือจากกอกุหลาบ เลื่อนมือให้ห่างจากปลายหนามอันแหลมคม แล้วหันมามองตามมือเพื่อนชี้


             “ไม่เห็นมีอะไรเลย ตาฝาดรึเปล่าฮึ? สงสัยจะขับรถวกวนจนเมารถเหมือนกันแน่ๆ”


              เห็นแต่ปีระกาทำหน้านิ่วเล็กน้อย และไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งถึงห้องนอนนั่นแหละที่ยายปีเกิดคิดพิเรนทร์จะออกไปสำรวจทับสนธยากลางดึก แม้ว่าอาคารหลังนี้จะเป็นของเจ้าหล่อนเองก็ตาม


              ชลธรเริ่มแน่ใจแล้วว่า ปีระกา ต้องย้อนกลับมาที่หอคอยฝั่งใต้ที่เจ้าตัวหมายตาสงสัยเอาไว้ตั้งแต่ตอนเย็นแน่ๆ...


                  หล่อนพยายามข่มความหวั่นกลัว กับบรรยากาศที่หลอนเป็นใจเช่นนี้ หักห้ามใจไม่ให้ย้อนกลับเข้าไปนอนบนเตียงแล้วข่มตาหลับโดยไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ซึ่งรู้ดีว่าตัวเองทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะความเป็นห่วงเพื่อนที่มีมากกว่าสิ่งอื่นใด


              ยายปี...


            เพื่อนสาวของปีระกานึกในใจด้วยความหงุดหงิดและว้าวุ่นใจขีดสุด


               “ไม่น่าหาเรื่องให้ฉันต้องมาร่วมปวดหัวกับเธอด้วยเลยนะนี่ พับผ่าเหอะ! รู้งี้นอนเล่นนั่งเล่นอยู่ที่กรุงเทพซะดีกว่า”


            แต่ถึงบ่นไปก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี หญิงสาวตัดสินใจยกตะเกียงในกำมือชูสูงขึ้นเพื่อให้แสงสว่างจากไฟ ดวงน้อยส่องนำทางไปยังเบื้องหน้า แล้วตัดสินใจก้าวเท้าไปตามพื้นระเบียงที่มีเพียงเสียงฝีเท้าของตัวหล่อนเองเท่านั้น ที่ดังอยู่ในความเงียบสงัดกลางรัตติกาล...

           ********************


             “เป็นไปได้ยังไง นี่มันรูปถ่ายหลวงอนุรักษ์วนาดรตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พ.ศ. สองพันสี่ร้อยแปดสิบกว่าๆ! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แสดงว่ารูปนี้ต้องมีอายุไม่น้อยกว่าเจ็ด-แปดสิบปีไปแล้วแน่ๆ แล้วทำไมคุณลุงอาตม์ในรูปถึงได้ถ่ายรูปพร้อมกับคุณปู่ทวดท่านได้ในสภาพเหมือนเดิมทุกประการ เหมือนกับไม่ได้แก่ไปเลย?”


              หล่อนนึกทบทวนความรู้ในประวัติศาสตร์ที่มีเพียงเลือนรางเต็มทน สงครามโลกครั้งที่สองสมัยนั้นก็น่าจะอยู่ช่วงปี พ.ศ. 2480 เศษๆ ปัจจุบันกว่า พ.ศ. 2550 มาหลายปีแล้วใบหน้าชายชราภายในรูปถ่ายสีเหลืองซีด ให้เพ่งมองอย่างไร ปีระกาก็คิดว่าใบหน้าชายผู้นั้นไม่ต่างกับอาตม์ ราวกับเป็นฝาแฝด ไม่ใช่พ่อลูกเด็ดขาด


                 ราวกับว่าในช่วงระยะเวลานั้น ชายชราผู้ดูแลทับสนธยาจะมีอายุเท่ากับเมื่อกว่าเจ็ดสิบปีผ่านมา จนแทบไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆขึ้นอีกเลยกับสภาพสังขารของตน


             เสมือนกาลเวลาหยุดนิ่ง...


              ส่วนคุณหลวงอนุรักษ์วนาดรนั้นเล่า?


                ไพล่นึกไปถึงหนังสือที่ภูไทยื่นมาให้ จากที่ฟังมาคร่าวๆหนังสือเล่มนั้นก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆทั้งหมด ซ้ำยังส่วนหลังของหนังสือก็หายไปเสียอีกด้วย จนไม่อาจปะติดปะต่อเรื่องราวใดๆในห้วงเวลาต่อจากนั้น


                  ปีระกานึกเสียดายอยู่ครามครัน ที่ไฟในห้องดับลงเสียก่อนจนหล่อนยังอ่านบันทึกหลวงอนุรักษ์ไปไม่จบส่วนที่เหลืออยู่ คิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องไม่พลาดเด็ดขาด


                 หญิงสาวเผลอทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ทรงกลมที่วางอยู่ข้างโต๊ะไม้สักเก่าแก่เพื่อพักเหนื่อยไม่ต่างกับวิ่งร้อยเมตร แต่เป็นการเดินทางในแนวดิ่งที่เหนื่อยอยู่มิใช่น้อย  


               เห็นจะมีแต่เฒ่าอาตม์ผู้มีบุคลิกประหลาดเท่านั้นที่จะไขเรื่องราวต่างๆให้กระจ่างขึ้นได้ แม้ว่าท่าทางอีกฝ่ายจะขัดหูขัดตาหล่อนอย่างประหลาดก็ตาม


               ประกายวาบบางอย่างปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ปลายหางตา คล้ายเงาสีดำฉวัดวูบเหมือนกับสัญญาณครั้งแรกที่ชี้นำให้หล่อนเดินตรงมายังหอคอยทับสนธยาแห่งนี้ตั้งแต่แรก


              ปีระกาเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และเมื่อสายตามองเห็นได้ชัดเจน หญิงสาวก็เกือบจะเผลออุดริมปากเพื่อกลั้นเสียงกรีดร้องไว้ไม่ทัน!!


           ************************

ตอบเพื่อนนักอ่านครับ

คุณไก่ : เรื่องนี้ยังไม่ไซไฟชัดเจนเหมือนกีฏมนตราครับ บทที่เป็น part คุณหลวง ผมว่าเขียนยากที่สุดเลยครับ

คุณทะเลเดือดพันธุ์ร็อค : ขอบคุณครับ ติดตามบทบาทของลุงอาตม์ต่อไปนะครับ จะมีส่วนสำคัญมากๆในตอนท้ายเรื่องเลยครับ

คุณปุ้ย : วันที่ 1 น่าจะได้ไปอยู่ครับ อาจจะช่วงบ่ายๆ
ปล. ตอนนี้เอกสารหลักฐานประกอบแต่ละตัวบ่งชี้ กองเต็มคณะไปหมดแล้วเหมือนกันครับ บางทีนึกว่าเป็นโกดังเก็บของไปซะอีก

คุณรพิชา : ขอบคุณครับ ตอนที่ 10 ก็มาไวเช่นกันครับ

คุณHermosa : บทนี้พักเรื่องลุงอาตม์สักครู่นะครับ ตามปีระกาไปสำรวจทับสนธยากันก่อน

คุณscottie : ติดตามลุงอาตม์ไปด้วยกันต่อนะครับ ว่าชะตากรรมหุ่นยนต์ตัวนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร

คุณnasa nasa : ไม่ย้อนยุคอนาคตแน่นอนครับ แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ตัวละครตัวนี้ถือกำเนิดขึ้นครับ

ขอบคุณทุกท่านนะครับ

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 55 07:55:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com