Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 9 : ความจริงที่ต้องบอกเธอ ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11895202/W11895202.html

บทที่  9


พู่ชมพูมองตามลำแสงไฟหน้าหม้อรถยนต์ที่สาดส่องไปยังตัวบ้านปูนชั้นเดียวมีหลังคายื่นออกมาทางหน้าบ้าน ต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบๆ ทำให้บริเวณบ้านเป็นเงาทะมึนทึม เธอยังไม่ดับเครื่องยนต์แต่รีรอให้พันดุลอุ้มปกป้องลงจากรถ ฝ่ายนั้นคงเห็นเธอยังนั่งอยู่ในรถจึงเดินอ้อมมาทางด้านที่เธอนั่งแล้วเปิดประตูรถออกทั้งที่มือข้างหนึ่งยังรัดขาน้อยๆ ของเจ้าตัวเล็กซึ่งพาดบ่าไว้

“พู่ลงมาก่อนสิ”

“จะให้ลงไปทำไมล่ะ” คงเป็นนิสัยของพู่ชมพูกระมังที่มักจะย้อนทื่อๆ อย่างไม่แคร์ใครอย่างนี้เสมอ

“ลงมาทำอะไรกินกันก่อน น้องป้องก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน” เหมือนจะรู้ว่าวิธีที่จะทำให้คนในรถใจอ่อนได้ ประโยคหลังคนป่วยจึงถูกยกมาอ้าง

“ก็หาอะไรให้ลูกกินเสียสิ”

“หาได้ แต่เพราะพี่ดูแลคนป่วยไม่เก่ง พู่ไม่สงสารกันบ้างเหรอ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน งานก็ยังไม่เสร็จ กลัวเจ้าของนาหักคอจิ้มน้ำพริกจะตายอยู่แล้ว หลานก็ยังมาป่วยอีก”

คนที่นั่งประจำที่คนขับหูผึ่งทันที หันหน้าขวับไปทางคนพูด แต่ฝ่ายนั้นชิงเดินไปเปิดไฟหน้าบ้านโดยอาศัยแสงจากรถยนต์ก่อนจะล้วงเอาลูกกุญแจจากกางเกงขายาวไขแม่กุญแจเข้าไป

หลาน! เมื่อกี้เขาพูดว่า หลานป่วย

ประโยคท้ายมีอิทธิพลมากพอที่ทำให้มือพู่ชมพูบิดกุญแจดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูรถออกมายืนนิ่ง อะไรกันเนี่ย? แล้วทำไมเธอจะต้องรู้สึกตัวลอยๆ ชอบกล ตามองตามเจ้าของบ้านที่จัดการถอดรองเท้าผ้าใบของหลานออกอย่างค่อนข้างลำบาก

คนบ้า! ชอบพูดชอบทำอะไรให้ค้างคา คงนึกว่าเธออยากรู้ล่ะสิ ที่เดินตามมานี่เพราะเห็นแก่เด็กหรอกนะ ดูสิ หลับไปแล้ว น่าสงสารจริง ว่าแต่ว่า...เมื่อกี้หูเธอไม่ฝาดแน่ๆ พี่เดี่ยวบอกว่า หลานป่วย แล้วจะหมายถึงใครได้อีกในเมื่อคนที่ป่วยอยู่คือน้องป้อง

“น้ำในตู้เย็นนะพู่ ไม่ต้องเกรงใจ คิดเสียว่าบ้านตัวเอง” พันดุลบอก

“พาน้องป้องไปที่ห้องนอนเช็ดเนื้อเช็ดตัวตามหมอสั่งแล้วก็ทำอะไรอ่อนๆ ให้กินจะได้กินยา” พู่ชมพูแนะนำแก้เก้อ ถึงเธอจะห้าวหาญไม่กลัวใคร แต่การมายืนอยู่ในบ้านพี่เดี่ยวตอนกลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่เคยทำมาก่อน

พันดุลยิ้มอ่อนๆ ให้กับคำแนะนำแต่ออกจะไปทางสั่งมากกว่า เพราะคนพูดปั้นหน้าเคร่งขรึมเป็นคุณหมอจอมดุ เขาเปิดประตูห้องหนึ่งเข้าไป ภายในห้องนั้นมีเตียงขนาดหกฟุตตั้งอยู่เกือบกลางห้องปูด้วยผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินเข้ม หมอนสองใบวางเรียงกัน ผ้าห่มพับทบซ้อนกันไว้ปลายเตียงสองผืนอย่างไม่เรียบร้อยนักเหมือนกับว่าคนพับจะรีบออกไปไหน ผืนล่างเป็นสีเดียวกับผ้าปูในขณะที่อีกผืนเป็นสีขาวลายการ์ตูนญี่ปุ่น

พู่ชมพูกวาดตามองข้าวของปราดเดียวในช่วงที่พันดุลวางร่างของเด็กชายลงบนเตียง สายตากระทบเข้ากับของสิ่งหนึ่งที่วางพาดกับเก้าอี้ติดกับโต๊ะชิดหน้าต่าง ผ้าขาวม้าลายสีเขียวเข้มสลับขาวผืนนั้น!

เธอเพ่งมองมันนิ่งนานราวกับจะให้แน่ใจว่าเป็นผืนเดียวกันที่เคยซื้อจากตลาดอินโดจีนจังหวัดมุกดาหารให้พี่เดี่ยวในวันเกิด

“พี่ใช้ผ้าขาวม้าผืนนั้นแทบทุกวันยกเว้นวันไหนเอาไปซัก ตอนไปอยู่กรุงเทพฯ ก็เอามันไปด้วย”

เสียงเอ่ยค่อนข้างเบาอยู่ข้างหลังใกล้ๆ หู

“แสดงว่างกมากจนไม่ยอมซื้อผ้าขนหนูผืนใหม่มาใช้ ชอบใช้ของฟรี” พู่ชมพูเอ่ยโดยไม่หันกลับไป ถ้าหันกลับไปก็รู้สิว่าหน้าเธอตอนนี้เป็นยังไง

“ของฟรีอันอื่นไม่ชอบหรอก แต่ผ้าขาวม้าผืนนี้ทำไมถึงได้ทั้งชอบทั้งรักทั้งหวงก็ไม่รู้ พู่รู้ไหมว่าผ้าขาวม้าผืนนี้มันดีตรงไหนสวยตรงไหน ลายก็ธรรมด๊า ธรรมดา เชยๆ ใครเลือกก็ไม่รู้”

พู่ชมพูนึกฉุน แม้จะพอรู้ว่าคนพูดล้อเล่น แต่มันหมดยุคจะมาล้อเล่นกับเธอแล้ว “เอ๊ะ ไม่ดีไม่สวยแล้วใช้ทำไม เอาไปทำผ้าขี้ริ้วถูบ้านเลยสิ” ว่าแล้วก็หมุนตัวกลับแต่หันไปจ๊ะเอ๋กับคนที่ยืนเป็นเสาหลัก

“ได้ยังไงกัน ของรักของหวงเอาไปถูบ้านก็แสดงว่าเป็นพวกไม่มีหัวใจน่ะสิ”

“เกี่ยวอะไรกับไม่มีหัวใจด้วย” เธอถามเสียงสะบัด

“อ้าว ก็ผ้าขาวม้าผืนนั้นเป็นหัวใจของพี่ เพราะว่าพู่เป็นคนให้มา แล้วพี่จะเอาหัวใจตัวเองไปถูบ้านได้ยังไงกัน”

คนฟังหน้าร้อน อะไรกัน คำพูดทื่อๆ เชยบรมอย่างนี้ยังจะมีอิทธิพลกับได้ด้วยหรือ

“ทำเป็นปากดี ระวังเถอะ ถ้าเมียโผล่มาเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟังว่าพี่มาปากหวานใส่ผู้หญิงตอนที่เมียไม่อยู่ คราวนี้แหละพวกผู้ชายห่างเมียแต่ทำตัวเป็นคนโสดจะได้หัวแตกเลือดสาดกันบ้าง จะรอสมน้ำหน้า”

“พู่... คิดไปถึงไหนแล้ว” พันดุลมองวงหน้าของพู่ชมพูอย่างครุ่นคิด ก่อนจะบอกออกมาเสียงหนักแน่น “พี่ไม่มีเมียซักหน่อย”

คนฟังหูผึ่ง แต่ดีว่าเก็บอาการไว้ได้ทัน เมียไม่มีเพราะเลิกกันหรือว่าห่างกัน หรือว่าเมียล้มหายตายจากทิ้งให้ตัวเองเป็นพ่อม่ายล่ะ

เกือบหลุดปากออกไปแล้วแต่ยั้งได้ทันเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหาว่าเธอถามเพื่อสืบเรื่องราวเพราะยังไม่ลืมเขา คนคิดไปไกลนึกได้ดังนั้นจึงทำเป็นพูดค่อนแคะ

“แล้วน้องป้องล่ะ ลูกใครถึงได้เรียกพ่อเดี่ยว พ่อเดี่ยว หรือว่าน้องป้องออกจากกระบอกไม้ไผ่ที่พี่เดี่ยวปลูกไว้พอตัดออกมาก็มีเด็กโผล่ออกมาร้องจ้าเลยเก็บมาเลี้ยง”

‘คนปลูกไม้ไผ่’ หัวเราะกับปากของพู่ชมพู “ถ้าออกจากกระบอกไม้ไผ่ได้ ก็เป็นหนอนรถด่วนเหมือนทางเหนือแล้วสิ คงไม่มีหน้าตาเหมือนคนอย่างนี้หรอกจ้ะพู่”

สาวห้าวขมวดคิ้วมุ่น ปรายตามองเด็กชายที่นอนบนเตียงพอเห็นปกป้องลืมตาปรือๆ มองนั่นแหละจึงนึกถึงความจริงที่เป็นอยู่ นึกโทษทั้งตัวเองและเจ้าของบ้าน

“มัวแต่คุยอยู่ได้เดี๋ยวลูกได้ไข้ขึ้นกันพอดี เห็นไหมล่ะว่าน้องป้องตื่นแล้ว ไหนล่ะผ้าขนหนูน่ะ เอามาสิจะเช็ดตัวไข้จะได้ลดลง”

“จริงด้วย งั้นพู่เช็ดตัวให้น้องป้องหน่อยนะ เดี๋ยวพี่จะไปต้มโจ๊ก”

พันดุลเดินหายออกไปจากห้องไม่ถึงสามนาทีก็มาพร้อมกาละมังใบเล็กใส่น้ำครึ่งหนึ่ง หยิบเอาผ้าขนหนูมายื่นส่งให้

“เอาผ้าผืนนี้ก็ได้ แต่ถ้าพี่ไม่สบายพู่เอาผ้าขาวม้าผืนนั้นเช็ดให้พี่นะ จะได้หายเร็วๆ” ว่าพร้อมกับบุ้ยปากไปทางผ้าขาวม้าก่อนจะเลื่อนสายตามาสบตากับเธออย่างง้องอน แต่ผลที่ได้รับคือตาขุ่นกับเสียงเขียวๆ

“เรื่องอะไรจะมาเช็ดตัวให้ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย และจะบอกให้นะว่าเรื่องเช็ดตัวไม่ถนัดแต่ถ้าจะให้เอาผ้าขาวม้าผูกคอคนตายล่ะก็คงจะง่ายกว่า ลองดูไหมล่ะ”

ว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งแกะกระดุมเสื้อตัวเล็กแล้วเริ่มเช็ดตัวให้เด็กชายซึ่งยังมีท่าทีสะลึมสะลือ ได้ยินเสียงพึมพำมาว่า ‘ใจร้าย’ ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะห่างออกไปตามด้วยเสียงปิดประตูแต่หญิงสาวไม่สนแถมยังยิ้มสมใจด้วย

แต่พอเช็ดตัวปกป้องไปได้สักพักหนึ่งก็เกิดอาการไม่เข้าใจตัวเองขึ้นมา ทำไมเธอต้องมาทำหน้าที่เป็นนางพยาบาลให้ลูกหลานคนอื่นในเวลาวิกาลซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนอยู่กันสองต่อสองเพราะน้องป้องเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง

นี่ถ้าชาวบ้านรู้เธอคงถูกเอาไปนินทากันสนุกปาก โดยเฉพาะป้าแพงป้าแท้ๆ ของพี่เดี่ยวนั่นแหละตัวดีนัก คิดขึ้นมาแล้วก็ให้เกิดอาการร้อนรนจนอยากจะกลับไปเสียทันที แต่แล้วเสียงเปิดปิดแก๊สในครัวตามด้วยกลิ่นหอมของโจ๊กก็ทำเอาเธอถอนใจ

บ้านหลังนี้อยู่กันสองคน พอคนโตไปทำงานเด็กก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไงกินยังไง ขนาดป่วย อาหารที่จะทำให้กินก็คงเป็นโจ๊กสำเร็จรูป ถึงเธอจะไม่ค่อยเก่งเรื่องการครัวเหมือนน้องสาว แต่เธอก็พอจะรู้ว่าเรื่องอาหารการกินสำหรับเด็กเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะในวัยนี้ แล้วนี่...พี่เดี่ยวเป็นพ่อจะดูแลลูกได้ดีสักแค่ไหนกัน

แล้วเธอจะคิดห่วงคนอื่นทำไมเนี่ย?

ความคิดของพู่ชมพูสะดุดเมื่อได้ยินเสียงของพันดุลลอยมาพร้อมกับกลิ่นโจ๊ก

“โจ๊กเสร็จแล้ว น้องป้องลุกขึ้นกินโจ๊กก่อนนะครับคนดีจะได้กินยา”

พู่ชมพูประคองร่างเล็กขึ้นมา ปกป้องครางอืออาขณะค่อยๆ ลืมตาขึ้น “กินโจ๊กหน่อยนะคับน้องป้อง จะได้หายเร็วๆ พรุ่งนี้จะได้วิ่งเล่นในทุ่งนาอีกไงคับ” เธอช่วยหลอกล่อ

“เล่นที่ไหนค้าบ” คนป่วยตัวน้อยพูดเหมือนละเมอ

“ก็เล่นที่นาแม่พู่ไง แต่ต้องหายก่อนนะ ไม่อย่างนั้นก็อดเล่น” พันดุลรีบตอบ พู่ชมพูจึงหันขวับไปขึงตาใส่คนที่พาเด็กเรียกเธอว่า ‘แม่พู่’ แต่คนพูดไม่หันมามอง เขาขึ้นไปนั่งข้างปกป้องแล้วใช้ช้อนตักโจ๊กขึ้นมาเป่าให้เย็นก่อนจะหลอกล่อต่ออีกว่า

“ถ้าน้องป้องอยากเล่นในนาแม่พู่ก็ต้องทำตัวเป็นเด็กดีให้แม่พู่เห็นด้วยการกินโจ๊กให้เยอะๆ แล้วก็กินยานะคับคนเก่ง คนว่าง่ายใครๆ ก็รัก น้องป้องอยากให้แม่พู่รักไหมคับ”

“อยากค้าบ”

“แม่พู่ใจดีนะ สวยด้วย เก่งด้วย อยากมีแม่เก่งเหมือนแม่พู่ไหมคับ”

“อยากค้าบ”

เฮ้ย! เอาใหญ่แล้วนะ คนที่ถูกดึงเป็นตัวชูโรงขึงตาใส่พันดุลจนตาแทบถลนอยู่แล้ว แต่ยัง...ยังทำเป็นไม่เห็นอีก

“แม่พู่สวย ป้องอยากมีแม่สวย อยากขับรถเก่งเหมือนแม่พู่ด้วย”

เอาเข้าไป พอกันทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก หญิงสาวเม้มปากก่อนจะถอนใจออกมาเสียงดังทีเดียวล่ะ แค่หลอกล่อเด็กน้อยให้กินโจ๊กกินยานี่ถึงกับยกยอให้ฉันเป็นนางฟ้าใจดี เป็นวีรสตรีแห่งบ้านนาดีไปแล้วหรือไง ไม่เห็นจะต้องถึงขนาดนี้เลย

“พ่อเดี่ยวก็อยากมีเมีย...เอ๊ย! หาแม่เก่งๆ อย่างแม่พู่นี่แหละมาเป็นแม่ของน้องป้อง เอ๊า อ้าปากเร๊ว”

ทนไม่ไหวแล้ว หญิงสาวกำมือแน่น รอให้เด็กน้อยอ้าปากรับโจ๊กแต่โดยดีไปก่อน พอพันดุลชักมือกลับมาใช้ช้อนคนโจ๊กก็ต้องสูดปากร้องครางแถมยังบิดตัว

“อูยยยย...ซี๊ดดดด...อ๋ายยยย”

“พ่อเดี่ยวเป็นอะไรค้าบ แม่พู่ทำอะไรพ่อเดี่ยว” ปกป้องถามหลังจากกลืนโจ๊กลงคอ

“มดคันไฟมันไต่ตรงเอวพ่อเดี่ยวจ้ะน้องป้อง อ้าว ไปที่หูแล้ว”

เจ้าของหูก้มตัวตามมือของพู่ชมพู โดยพยายามประคองถ้วยโจ๊กไปด้วย

“น้องป้องค้าบบบ ช่วยพ่อเดี่ยวด้วย มดกัดพ่อ โอ๊ย โอย...โอ๋ย”

มดที่ลอบกัดยอมปล่อยใบหูแต่โดยดี ใบหน้าของ ‘มดคันไฟ’ ยิ้มอย่างสาสมใจ คนที่ถูกมดกัดได้แต่ค้อนขวับๆ อย่างฝากไว้ก่อน

“คราวนี้จะป้อนโจ๊กให้น้องป้องได้หรือยัง”

“ป้อนจ้ะป้อน พู่อย่าเพิ่งกลับนะ เตรียมยาให้น้องป้องก่อน”

เขารีบบอก ต่อให้ถูกหยิกจนเจ็บราวกับเนื้อหนังจะหลุดออกแต่พันดุลก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองเจ้าของเล็บเลยแม้แต่น้อย ที่น่าขันคือเขากลับดีใจเสียอีกที่พู่ชมพูแตะเนื้อต้องตัวเขา ฮ่วย! เขามันเป็นพวกโรคจิตซาดิสหรือเปล่าหว่า?

พอป้อนได้ประมาณสิบกว่าคำปกป้องก็ส่ายหน้าไม่รับโจ๊กอีก พู่ชมพูใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้ากับแขนเล็กๆ อย่างอ่อนโยนจนพันดุลลอบมองด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง หลังจากกินยาแล้วพันดุลก็บอกปกป้องว่าจะไปส่งแม่พู่กลับบ้าน รายนั้นก็รู้ประสีประสาเหลือเกินยอมล้มตัวลงนอนแต่โดยดี พอออกมาถึงรถหญิงสาวก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งและจับประตูเตรียมจะปิดแต่พันดุลคว้าไว้ก่อน

“อยากถูกมดคันไฟกัดอีกหรือไง”

คนถูกขู่หัวเราะเบาๆ ฉีกยิ้มกว้างไม่ได้กลัวคำขู่เลยแม้แต่น้อย “พู่พี่มีเรื่องจะบอก”

“ว่า”

ไม่มีอ่อนหวานแต่สำหรับพันดุลแล้วเขาชอบพู่ชมพูที่เป็นแบบนี้แหละ

“พู่จะเอาค่าน้ำมันรถที่พาไปโรงพยาบาลเท่าไหร่”

หญิงสาวชักสีหน้า “โฮ้ย! ไม่เอาหรอก แค่นี้เอง ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งคนรวยร่วงหรอก มีแค่นี้เหรอ งั้นปล่อยมือออกจากรถ จะกลับบ้านแล้ว”

“มีอีกเรื่อง”

“ว่า”

พันดุลเกือบหัวเราะออกมา พู่ชมพูดูจะเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาก “พี่ไม่เคยมีเมีย เพราะฉะนั้นป้องไม่ใช่ลูกของพี่แต่เป็นหลานแท้ๆ”

“อะไรนะ?” หญิงสาวอุทานได้แค่นั้นจริงๆ

“ป้องเป็นลูกของดิว”

ชายหนุ่มอธิบายก่อนจะหมุนตัวเอาหลังพิงกับประตูรถของพู่ชมพู ยกมือขึ้นกอดอกเล่าเสียงเรียบโดยที่คนฟังไม่เห็นสีหน้าของคนพูด

“พี่ไม่อยากให้ใครรู้หรอกว่าน้องป้องเป็นลูกของดิว เพราะแกเกิดมาจากความผิดพลาด เกิดจากความไม่ตั้งใจของทั้งแม่และพ่อที่คบหากันโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน ตอนที่รู้เรื่องพี่กับแม่โกรธดิวมากเพราะเป็นความเสื่อมเสียและน่าอับอาย พู่รู้ใช่ไหมว่าเราเป็นคนบ้านนอกที่สังคมยังแคบ ถึงเราจะรู้ว่าไม่ควรสนใจปากคนแต่เราก็คือคนธรรมดามีความอายแต่พี่กับแม่ก็ไม่ได้อายจนถึงกับจะให้ดิวเอาเด็กออก แต่ดิวกับไอ้ผู้ชายคนนั้นกลับจะเอาน้องป้องออก”

พู่ชมพูอึ้ง น้ำเสียงขมขื่นในตอนท้ายทำให้เธอค่อยๆ เหวี่ยงขาออกมาจากท่าเตรียมพร้อมจะออกรถมาเป็นนั่งหันหน้าในทิศเดียวกับเขา เธอเห็นพันดุลมองท้องฟ้าเบื้องบนอย่างเลื่อนลอย

“ดิวจะเอาเด็กออกเลยหรือ”

“ใช่ ดิวกลายเป็นเด็กที่หลงแสงสีเมืองกรุงและความรู้สึกนึกคิดก็กลายเป็นคนกรุงไปจนแทบไม่เหลือความเป็นบ้านนอกอย่างเรา โชคดีที่พี่รู้ก่อน ไม่อย่างนั้นน้องป้องคงไม่ได้เกิดมา”

“พวกบาปหนาคิดจะฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง รักสนุกแต่ไม่รู้จักป้องกัน” หญิงสาวปรามาสโดยไม่แคร์ว่าคนนั้นจะเป็นน้องสาวของพันดุล “แล้วพอเด็กออกมาดิวได้สนใจไยดีบ้างหรือเปล่า”

“ไม่เลย คนบาปอย่างพู่ว่านั่นแหละ” พันดุลเค้นเสียงขื่น “แม้กระทั่งเรื่องน้องป้อง ดิวก็ยังไม่ให้พี่บอกว่าเป็นลูกของตัวเอง”

“ไม่เลี้ยงแล้วยังไม่ให้รู้ว่าตัวเองเป็นแม่อีกเหรอ” ยิ่งฟังดูเหมือนว่าอารมณ์สาวห้าวจะพุ่งปรี๊ดๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วพี่เดี่ยวบอกพู่ทำไมล่ะ”

“เพราะพี่ไม่อยากให้พู่เข้าใจผิดว่าช่วงที่ห่างกันไปพี่ลืมพู่ไปแล้วและแอบมีเมียจนมีลูก”

“โฮ้ย แล้วใครจะสน มีก็มีไปสิ” พูดเสียงสะบัดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ลอบยิ้มในความมืด

“เหรอ” พันดุลลากเสียงยาวอย่างยียวน แม้จะรู้สึกใจแป้วขึ้นมาหน่อยๆ “แต่พี่สนนะ สนมาก เพราะว่า...พี่อุตส่าห์เก็บความโสดและความสดไม่ให้สาวใดมาทำให้ตัวเองแปดเปื้อนและมีมลทิน”

พู่ชมพูหน้าร้อน รีบหันหน้าหนีก่อนจะเหวี่ยงขาเข้าไปในรถ กำลังอยู่ในช่วงดราม่าอยู่ดีๆ มาวกเข้าเรื่องนี้ได้ไง อึ๋ย...ขนลุก เอ๊ะ! แต่ทำไมใจมันเต้นระรัวอย่างนี้เนี่ย แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือที่ยื่นไปจับกุญแจ (แก้เขินไปอย่างนั้น) ถูกมือใหญ่อุ่นกุมไว้

“พู่จ๋า...”

“มีอะไร? จะพูดอะไรก็รีบพูดไปสิ” แล้วทำไมเธอไม่ดึงมือออกนะ

“ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมพี่ถึงได้รักษาความโสดและสดไว้”

“ไม่มีใครเอาน่ะสิ”

มือที่กุมมือเธออยู่บีบแน่นเขาพร้อมกับเสียงครางอย่างหมั่นเขี้ยว

“พี่ยังรอให้พู่เป็นคนแรกที่ได้เชยชมพี่ต่างหาก”

“บ้า! พูดบ้าๆ ปล่อยมือ จะกลับแล้ว” พูดออกมาได้ ว่าเชยชม อีตาบ้า ฉันเป็นผู้หญิงนะจะให้ไปเชยชมผู้ชายได้ยังไง

“พู่ พี่พูดจริงๆ นะ พี่คิดถึงและรอพู่มาตลอดเลย”

คนในรถอึ้งไปอึดใจ จากใจเต้นกลายเป็นพองออกเหมือนอึ่งอ่าง แต่... ไม่ได้ อย่าเพิ่งเชื่อนะพู่ แค่คำพูดใครก็พูดได้ ถ้าคิดถึงต่อให้ยังไงก็น่าจะส่งข่าวกันบ้าง นี่อะไร หายเงียบ เฮอะ! เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะเชื่อ ของอย่างนี้มันต้องดูนานๆ

“คิดเหรอว่าจะเชื่อ ไปอยู่เมืองกรุงมานานจนมีเงินซื้อรถเกี่ยวข้าวไปทำอะไรมาบ้างใครจะไปรู้ไปเห็นด้วย กลับมาจะพูดยังไงก็ได้ แต่เสียใจ...จะบอกให้ว่าไม่ได้สนใจไม่ได้รอแล้วด้วย เพราะว่าตำบลเราหนุ่มๆ หน้าตาดีฐานะดีเพียบ พวกทำงานเก่งก็มาก เป็นคนในเครื่องแบบมีเงินเดือนก็เยอะจะเลือกเอาสักคนเมื่อไหร่ก็ได้ ที่ผ่านมาพู่ไม่สนใจเอง แต่เดี๋ยวนี้คงต้องหาคนมาช่วยงานในไร่เสียหน่อยแล้ว”

“อ๋อ นี่พู่ชอบคนในเครื่องแบบเหรอ แสดงว่าพอพี่เข้ากรุงเทพฯ พู่ก็ไม่ได้คิดถึงพี่เหมือนที่พี่คิดถึง”

ได้ยินเสียงหงุดหงิดแล้วพู่ชมพูสะใจพิลึก นึกสนุกใหญ่ “ของอย่างนี้ ถ้าอยากให้เชื่อก็ต้องแสดงให้เห็นสิ แค่คำพูดใครก็พูดได้ แต่ถ้าไม่อยากแสดงก็แล้วแต่นะ ก็จะได้รู้ว่าที่พูดมาน่ะดีแต่ปากทั้งเพ”

หยอดให้ได้คิดแล้วก็ยักไหล่ก่อนจะบิดกุญแจรถจนเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ยื่นมือไปจับประตูแล้วจะดึงปิดแต่ถูกมือพันดุลดึงไว้พร้อมกับบอกเสียงหนักราวกับจะประกาศความมุ่งมั่น

“พี่ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาจีบพู่ได้สำเร็จหรอก คอยดูก็แล้วกัน”

                                 *********************



ตอบเมนต์ค่ะ

คุณห้าสิบป่าย --> บทที่ 9 มาแล้วนะคะ

คุณ GTW --> เชื่อแล้วค่ะว่าหวงนางเอก อาจจะแถมด้วยการหมั่นไส้พระเอกไปด้วย แต่ถึงจะหวงจะหมั่นไส้สายธารก็จะพยายามให้นายตั้งชนะใจน้องพิณให้ได้เล๊ย 555

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 55 18:28:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com