(ต่อ)
บรรยากาศภายในบ้านสองชั้นบนเนื้อที่กว้างกว่าสองไร่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพรรณ ตัวบ้านชั้นล่างนั้นสร้างเป็นปูนทาสีขาวสะอาดตา ส่วนชั้นบนสร้างด้วยไม้ขัดเงาดูสวยงามด้านนอกเป็นชานยื่นออกมาสำหรับนั่งเล่นพักผ่อน
ความสบายตาร่มรื่นใจเป็นเพียงแค่บรรยากาศรอบๆ บ้านเท่านั้น เพราะภายในบ้านตอนนี้ ผู้ที่ประชุมกันอยู่บนชุดรับแขกไม้สักกำลังคุยกันอย่างเคร่งเครียด ด้วยเรื่องของการขายหรือไม่ขายที่ดินบางส่วนซึ่งเป็นมรดกโดยตรงที่แสงตะวันได้รับจากผู้เป็นพ่อที่เสียไปเมื่อหลายปีก่อน
“เถอะนะแสง ยังไงๆ ที่ดินตั้งเยอะแยะขนาดนั้นแสงดูแลคนเดียวไม่ไหวหรอก ขายไปสักสี่ห้าไร่ก็คงไม่เป็นไร” อุษา อาสาวคนเล็กของเขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย อายุของเธอเลยสี่สิบมาหลายปีแล้ว แต่ด้วยการแต่งตัวที่ดูทันสมัยและการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทำให้ดูเหมือนอายุเพิ่งจะสามสิบกว่าเท่านั้น
“เธอจะมาเร่งอะไรหลานตอนนี้ล่ะษา ให้แสงเขาตัดสินใจเองเถอะ” อังกูร พี่ชายคนรองหรืออีกนัยคืออาของแสงตะวันพูดแทรกด้วยน้ำเสียงติดรำคาญเล็กน้อย เขาอยู่ในชุดม่อฮ่อมสีเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรงต่างไปจากคนอายุห้าสิบทั่วไป เพราะอยู่กับธรรมชาติและไร่สวนมาเกือบทั้งชีวิต
“พี่กูรก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง รู้ไหมว่าตอนนี้ที่ดินตรงนั้นราคามันไปถึงไหนแล้ว ถ้าไม่รีบตอนนี้แล้วจะรีบตอนไหนล่ะ”
“ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งมีราคาสูงนะ ปล่อยไว้อีกสักสิบปีสิ รับรองว่าราคาต้องเพิ่มกว่านี้เป็นสิบเท่า” พี่ชายยุ ในขณะที่อุษาร้องว้าย
“ได้ยังไงกันคะพี่กูร ถึงตอนนั้นน่ะ ราคามันก็ตกแล้วล่ะคะ เพราะพื้นที่รอบๆ เขาขายกันไปหมดแล้ว จะมีก็แต่ของเราย่อมเดียว ปิดทางเข้าออก คอยดูเถอะ เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เขาจะมากดราคาให้เรายอมขายเสียมากกว่า” อุษาค้านพร้อมค้อนพี่ชายประหลับประเหลือก ก่อนจะหันไปกล่อมหลานชายต่อ
“เชื่ออาเถอะนะแสง เราแบ่งขายไปแค่ไม่กี่ไร่เท่านั้น แล้วที่ตรงนั้นมันก็เป็นพื้นที่รกร้าง ไม่ได้เอามาทำประโยชน์อะไรสักหน่อย ขายไปก็ไม่กระทบอะไรหรอก”
“ผมขอไปดูที่ตรงนั้นก่อนได้ไหมครับ คุณพ่อเคยสั่งไว้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าขายที่ดินกิน” ชายหนุ่มบอก ทำเอาอาสาวต้องรีบโบกมือ
“ขายที่กินอะไรกันแสง นี่อาจะบอกอะไรให้นะ” พูดพลางขยับตัวมาใกล้คล้ายเป็นเรื่องลับ
“ที่ดินติดแม่น้ำแบบนั้นน่ะ ราคากำลังขึ้นเลยนะ แล้วคนที่ติดต่อมาเนี่ย เขาทุ่มให้ไม่อั้นเลยนะ เพราะต้องการเอาไปทำเป็นรีสอร์ทริมน้ำ และถ้าแสงยังไม่แน่ใจว่าราคาที่เขาเสนอมันโอเคหรือเปล่า อาจะให้คนมาประเมินก่อน รับรองว่าเราต้องขายได้ราคาดีแน่ๆ”
“ทำไมต้องให้ใครมาประเมินด้วย สิ้นเปลืองเปล่าๆ เรามีราคาอยู่ในใจอยู่แล้ว ถูกแพงก็ค่อยมาต่อรองกัน” อังกูรไม่เห็นด้วย
“ต้องประเมินสิคะ จะได้ยุติธรรมทั้งสองฝ่าย” น้องสาวพูดพลางเปรยหางตามองคนชอบขัด
“แล้วบริษัทที่เขารับประเมินนี่นะก็เชื่อถือได้ เขาประเมินให้ราคาดีมากๆ เรื่องนี้อารับรองได้ เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนเพื่อนของอาเพิ่งขายที่ดินไป ขนาดถนนก็ไปไม่ถึง น้ำไฟก็ยังไม่มี เขายังประเมินให้ราคาดีเลย และยังแจงออกมาเป็นข้อๆ ด้วยนะว่าทำไมถึงต้องเป็นราคานี้ ตอนแรกนายทุนเขาก็จะไม่ซื้อหรอก แต่พอฟังรายละเอียดของที่ดินตรงนั้นแล้วก็รีบซื้อทันที ไม่เกี่ยงเรื่องราคาด้วย” อาสาวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกระตุ้นคนฟังให้คล้อยตาม
“ลองดูหน่อยมั้ยล่ะแสง ให้เขามาประเมินดูก่อน ถ้ายังไม่พอใจในเรื่องราคาเราก็ไม่ต้องขาย แต่ถ้าแสงตัดสินใจขาย อาก็เห็นว่าดี เพราะตรงไหนมีหมู่บ้าน ความเจริญก็จะเข้ามาด้วยไง อีกอย่าง มันก็ไม่ได้เบียดเบียนสวนของเราสักหน่อยนี่”
สวนที่อาสาวพูดถึงคือสวนมะม่วงหลายสิบไร่ที่อังกูรเป็นคนดูแล และยังไม่นับรวมอาคารพาณิชย์ในตัวอำเภออีกหลายแห่งที่เปิดให้เช่าอีกด้วย แสงตะวันเคยเสนอให้อังกูรย้ายบ้านไปอยู่ในตัวอำเภอ แต่อาของเขาชอบชีวิตธรรมชาติและต้องการดูแลสวน จึงไม่คิดย้ายไปอยู่ที่ไหน ส่วนอุษานั้นย้ายตัวเองไปอยู่ในเมืองหลายปีแล้ว
“ถ้าคุณอาเห็นว่าดีผมก็ว่าดีครับ ให้เขามาประเมินก่อนก็แล้วกันครับ” แสงตะวันเอ่ยในที่สุด นำมาซึ่งความดีใจของอาสาวเป็นอย่างมาก
“แบบนี้สิจ๊ะ หลานรัก อาจะรีบจัดการให้เขามาประเมินให้โดยเร็วที่สุดเลยนะจ๊ะ รับรองว่าแสงจะต้องถูกใจและพอใจแน่ๆ เลย ยังไงวันนี้อามานานแล้ว ขอตัวกลับก่อนนะจ๊ะ ษากลับก่อนนะคะพี่กูร” เมื่อเห็นว่าเสร็จธุระของตนแล้ว อุษาก็ลากลับทันที อังกูรพยักหน้าให้น้องสาวอย่างขอไปที
“ถ้าอาติดต่อบริษัทประเมินที่ดินได้แล้ว อาจะโทรมาบอกแสงนะจ๊ะ” อุษาบอกก่อนจะเดินขึ้นรถยนต์คันหรูของเธอและขับออกไป โดยมีหลานชายและพี่ชายยืนส่งอยู่หน้ารั้วบ้าน
“แสงไม่น่าไปตามใจอาษาแบบนั้นเลย” อังกูรพูดกับหลานชายเมื่อรถของน้องสาวแล่นลับไปแล้ว ก่อนเขาจะเดินนำไปยังซุ้มศาลาหลังใหญ่ริมสวน แสงตะวันเดินตามไปด้วย
“อากูรจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ ขืนผมไม่ยอม อาษาก็จะพูดกล่อมจนทำให้ผมยอมให้ได้นั่นแหละครับ ยอมไปตั้งแต่แรกจะดีกว่า ไม่ต้องทนฟังนานๆ” ชายหนุ่มพูดพร้อมหัวเราะน้อยๆ ไปด้วย เช่นเดียวกับคนฟัง
“เลยตัดปัญหายอมให้มาประเมินที่ดินเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลยใช่ไหม”
หลานชายยิ้มรับและไม่ปฏิเสธ
“แต่ถึงยังไงก็อย่าขายไปจนหมดเสียล่ะ อย่าไปฟังอาษาเขามากนัก ถึงยังไงอาก็ยังอยากให้แสงกลับมาดูแลที่ดินของตัวเองอยู่”
“ครับคุณอา” หลานชายก้มศีรษะรับ “ถึงยังไงผมก็ต้องกลับมาดูแลอยู่แล้วครับ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ เพราะผมยังสนุกกับงานดนตรีตรงนี้อยู่ และที่ผมยอมขายก็เพราะเห็นว่าอาษาเป็นนายหน้าจัดการให้หรอกนะครับ ถ้าจู่ๆ จะให้ขายโดยไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ผมก็ไม่เอาเหมือนกันครับ”
“ดีแล้วล่ะที่แสงคิดแบบนั้น” ผู้เป็นอาพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อได้ฟัง
การขายที่ดินไปสองครั้งก่อนหน้านั้น อังกูรค่อนข้างเห็นด้วย เพราะนายทุนต้องการจะสร้างเป็นหมู่บ้าน มิใช่ซื้อเพื่อการเก็งกำไรเหมือนคนอื่นๆ อีกประการคือ ที่ดินตรงนั้นห่างไกลจากบ้านเขามาก ซึ่งผู้เป็นอาและแสงตะวันยังเปรยอยู่เลยว่าอยากจะขาย เพราะดูแลไม่ทั่วไป แต่สำหรับที่ดินครั้งล่าสุดนี้ไม่เหมือนกัน เพราะเป็นที่ดินแปลงสวยติดแม่น้ำบางปะกง มีนายทุนหลายรายมาติดต่อขอซื้อแต่ก็แห้วกลับไปทุกราย เพราะเจ้าของเคยบอกไว้แล้วว่าไม่คิดขายที่กิน
นี่สงสัยเพราะเข้าทางเจ้าของตัวจริงไม่ได้ เลยต้องอาศัยอุษาเป็นสะพานเชื่อมความสำเร็จเป็นแน่แท้ อังกูรคิดในใจ
“ครั้งนี้ก็เหมือนกันครับ ให้มาประเมินก่อน เพราะถึงยังไงที่ริมน้ำตรงนั้นผมก็ไม่คิดขายอยู่แล้ว เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะปลูกบ้านไว้อยู่ตอนแก่ครับ” แสงตะวันบอกผู้เป็นอาอีกครั้ง ทำเอาอังกูรยิ้มรับ
“อาดีใจที่แสงคิดได้แบบนั้น บอกตรงๆ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา อาไม่สบายใจเลยที่แสงไปทำงานที่กรุงเทพแล้วปล่อยให้ที่ดินรกร้างเฉยๆ แบบนั้น คิดว่าแสงจะไม่สนใจมันแล้วเสียอีก”
“ไม่หรอกครับคุณอา ถึงยังไงผมก็ต้องกลับมาที่นี่อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ผมกำลังสนุกกับงานอยู่เท่านั้นเอง ที่นี่เป็นสิ่งที่คุณพ่อสร้างไว้ให้ ผมไม่ปล่อยทิ้งไว้หรอกครับ” หลานชายให้คำมั่น ก่อนถามเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนี่นายนันไปไหนหรือครับ ผมไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”
“หนีเข้าสวนไปตั้งแต่รู้ว่าอาษาจะมานั่นแหละ ทั้งนายเนและนายนัน” ผู้เป็นอาพูดพลางบุ้ยหน้าไปยังด้านหลังของตัวบ้าน ซึ่งเป็นสวนมะม่วงหลายสิบไร่
“เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง สมแล้วที่เกิดเป็นฝาแฝด” เขายังคงพูดต่อพร้อมทั้งส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงลูกชายทั้งสอง
อเนกและอนันต์ ฝาแฝดแท้ที่เหมือนกันทุกสัดส่วน ทั้งรูปร่างและหน้าตา จนบางครั้งผู้เป็นพ่อยังสับสนเรียกผิดเรียกถูก
“แต่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่านันคิดถูกหรือเปล่าที่ตามเนไปสวนแบบนี้” แสงตะวันพูดยิ้มๆ เพราะรู้นิสัยอนันต์ แฝดคนน้องเป็นอย่างดีว่า เขาไม่ชอบทำสวน ไม่ชอบอยู่กับธรรมชาติและบรรยากาศเงียบสงบ ผิดกับอเนก แฝดพี่ที่รักธรรมชาติและสมัครใจที่จะเป็นชาวสวนตามรอยผู้เป็นพ่อ
ถึงจะเป็นคู่แฝดก็เหมือนเฉพาะรูปร่างและหน้าตาเท่านั้น เพราะนิสัยของสองพี่น้องนั้น ช่างต่างกันเหลือเกิน
“อาก็คิดแบบเดียวกับแสงนั่นแหละ” อังกูรพยักหน้าเห็นด้วย ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มอย่างนึกขัน เมื่อนึกถึงใบหน้าของอนันต์ที่ตอนนี้คงโดนแฝดพี่บังคับให้ทำงาน
“นี่เห็นทีว่าอาจะต้องเข้าสวนบ้างแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าป่านนี้นายนันสลบไปหรือยัง” ผู้เป็นอาพูดพลางขยับตัวลุกขึ้นก่อนหันมาถามหลานชาย
“แสงอยากเข้าไปดูหน่อยมั้ย ต้องซ้อมดนตรีหรือเปล่า” ท้ายประโยคเขาถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะก่อนหน้าที่อุษาจะมานั้น เขาเห็นหลานหยิบคาลิเน็ตออกมาจากกล่อง แต่ยังไม่ทันเริ่มบรรเลงก็ถูกอาสาวดึงตัวมาคุยเสียก่อน
“ไม่ครับ ผมแค่หยิบออกมาเช็ดเท่านั้น ยังไม่คิดจะซ้อมตอนนี้ครับ” เขาตอบพร้อมยืนขึ้น “กำลังจะขออากูรอยู่พอดีว่าอยากตามเข้าไปดูสวนเสียหน่อย”
“งั้นไป เผื่อว่าจะได้ช่วยกันหามนายนันกลับมา” อังกูรพูดติดตลกก่อนจะเดินนำแสงตะวันอ้อมไปทางด้านหลังบ้าน
สวนมะม่วงหลายสิบไร่แบ่งปลูกมะม่วงสองสายพันธ์คือน้ำดอกไม้และเขียวเสวย ซึ่งเป็นพันธ์ขึ้นชื่อของอำเภอในจังหวัดฉะเชิงเทรา สวนที่ทั้งสองเดินไปนั้นเป็นสวนที่ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ ซึ่งกำลังให้ผลดกเต็มต้น และด้วยลำต้นที่เป็นพุ่มไม่สูงมาก ทำให้การเก็บค่อนข้างง่าย
“นันกับเนอยู่ไหนล่ะ” อังกูรถามคนงานคนหนึ่งเมื่อเดินผ่าน
“ศาลากลางสวนครับ” คนงานตอบ อังกูรพยักหน้าขอบใจก่อนเดินนำหลานชายไปยังศาลาที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ไว้สำหรับหลบแดดหลบฝน หลังคามุงด้วยใบจากที่สานอย่างแข็งแรง ด้านล่างเป็นแคร่ขนาดใหญ่จุคนได้ราวสิบคน ฝั่งหนึ่งวางกระติกน้ำแข็งใบใหญ่และแก้วน้ำหลายใบ อีกฝั่งถูกชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดม่อฮ่อมสีเข้มจับจอง โดยใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ด้วยการนอนแผ่กางแขนขาจนคนอื่นๆ ไม่สามารถทิ้งตัวลงนอนได้
“ไงนัน เข้าสวนวันนี้สนุกมั้ย” แสงตะวันถามญาติผู้น้องด้วยแววตาขำๆ เสียงทักนั้นทำให้อนันต์หรี่ตามองเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวขึ้นนั่งด้วยท่าทางเหมือนจะสิ้นใจให้ได้
“เหนื่อยมหาศาล” เขาพูดปนหอบแบบเกินจริง ใบหน้านั้นคมคายอย่างชายไทยแท้ นัยน์ตากลมโตสีดำสนิท ผิวพรรณของเขาขาวละเอียดอย่างคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
“สำออย เรายังไม่เห็นนายทำอะไรเลยนัน” คนที่มีใบหน้าเหมือนอนันต์ราวส่องกระจกพูดขึ้น ผิวของเขาคล้ำกว่าน้องชายเล็กน้อย เพราะออกแดดมากกว่า
“ใครบอกเราไม่ทำ นั่นไง มะม่วงตะกร้านั้นเราเป็นคนเก็บเอง เหนื่อยจะแย่ แดดก็ร้อน”
“ก็แค่ตะกร้าเดียว เราเก็บไปตั้งสี่ห้าตะกร้าแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” แฝดพี่พูด
“นั่นมันนาย เราไม่เคยทำแบบนี้นี่ รู้งี้อยู่บ้านดีกว่า” น้องชายพูดด้วยใบหน้าง้ำงอเหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“อยู่บ้านแล้วต้องเจอกับอาษา นายทนได้หรือ” พี่ชายถาม ทำเอาใบหน้าที่ง้ำงออยู่แล้วยิ่งงอเข้าไปใหญ่
“นั่นสิ ทำไมอาษาต้องคอยถามด้วยนะว่าเมื่อไหร่เราจะทำงานทำการเสียที ทำเหมือนว่างานเดินแบบของเราไม่ใช่อาชีพอย่างนั้นแหละ คอยดูนะถ้าเราดังขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่ามาง้อละกัน”
“ก็นายเล่นมีเวลาว่างมากกว่าเวลาทำงานนี่นา แบบนี้จะไม่ให้อาษาถามได้ยังไงล่ะ แล้วที่บอกว่ามีคนติดต่อให้เล่นโฆษณาล่ะ เรื่องไปถึงไหนแล้ว” อเนกออกความเห็นพร้อมถามไปด้วย
“กำลังรอคำถามจากเอเจ็นซี่อยู่เหมือนกัน นี่ถ้าเราได้เล่นโฆษณานะ ต่อไปเราก็จะได้เล่นหนัง เล่นละคร เมื่อถึงตอนนั้น อาษานั่นแหละที่จะต้องมาขอโทษเราที่เคยพูดดูถูกเอาไว้” อนันต์ยังคงพูดถึงอาสาวด้วยน้ำเสียงแค้นเคืองอยู่อย่างนั้น
พ่อ พี่ชายและญาติ ต่างมองหน้ากันพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ส่ายหน้าเพราะไม่เชื่อคำพูดวาดหวังของเขา ทั้งสามเชื่อว่าสักวันอนันต์จะต้องได้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงแน่ๆ ด้วยรูปร่างสูงใหญ่สมส่วนอย่างชาติไทยและหน้าตาที่คมคายหล่อเหลาเป็นที่ถูกตาต้องใจโมเดลิ่งหลายราย
แต่ที่ทุกคนส่ายหน้ากันนั้น เพราะนึกขำอาการที่อนันต์มีต่ออาสาวของเขา อาหลานคู่นี้ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่นัก และมักพูดกระทบกระเทียบกันอยู่เสมอ แต่ลึกๆ แล้ว ทั้งสามรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดจากความเป็นห่วงของอาสาวที่มีต่อหลานชาย ส่วนอนันต์ก็แค่ต้องการพิสูจน์ให้อุษาเห็นว่าจริงๆ แล้วเขาก็ทำงานได้ โดยไม่ต้องพึงสมบัติของพ่อแม่
“แล้วเรื่องที่ดินตกลงว่ายังไงครับ พี่แสงยอมอาอีกหรือเปล่า” แฝดน้องถามเข้าเรื่อง และเมื่อเห็นแสงตะวันพยักหน้าช้าๆ เขาก็โวยวายเช่นเดิม
“อะไรกันพี่แสง ทำไมพี่ถึงยอมอาษาง่ายๆ แบบนั้นล่ะ ที่ดินติดแม่น้ำนั่นน่ะสวยมากเลยนะ ทำไมถึงยอมขายง่ายๆ ล่ะ”
“พี่แค่ยอมให้บริษัทมาประเมินเท่านั้นเอง ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะขาย”
“แล้วไป” อนันต์พูดด้วยน้ำเสียงโล่งๆ “พี่แสงอย่าไปยอมอาษาเด็ดขาดเลยนะ นี่สงสัยคงได้ค่านายหน้ามาเยอะแน่ๆ ที่ดินให้เช่าในตลาดก็ตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ตัวคนเดียวแบบนี้ ไม่รู้เมื่อไหร่จะใช้หมด” อนันต์พูดพลางส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คงเพราะตัวคนเดียวยังไงล่ะ ถึงต้องหาให้ตัวเองเยอะๆ แก่ตัวไปใครจะมาดูแล” แสงตะวันพูดพลางมองหน้าน้องชายยิ้มๆ และรอฟังคำตอบ
“อาษาคิดมากไปได้ ถึงอาจะไม่มีใครแต่ก็ยังมีพวกเรา อาทำเหมือนตัวเองไม่มีญาติอย่างนั้นแหละ”
แสงตะวัน พี่ชายและผู้เป็นพ่อยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ฟัง เพราะมันไม่ผิดไปจากที่คิดไว้นัก แม้อนันต์จะทำตัวเหมือนไม่ชอบอาสาว แต่ลึกๆ แล้วอนันต์นี่แหละคือคนที่เป็นห่วงอุษาที่สุด
“พรุ่งนี้พี่ว่าจะไปดูที่ตรงนั้นก่อนจะกลับกรุงเทพ เราจะไปด้วยมั้ยนัน” พี่ชายเอ่ยชวน
“ดีเหมือนกัน ที่ริมน้ำตรงนั้นผมไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว อยากเห็นเหมือนกันว่ารอบๆ จะเปลี่ยนไปแค่ไหนแล้ว เห็นพ่อบอกว่าตรงนั้นเจริญกว่าแต่ก่อนมาก” น้องชายเห็นด้วย
“แต่ก่อนที่จะถึงพรุ่งนี้ นายต้องช่วยเราเก็บมะม่วงอีกสองตะกร้า” แฝดพี่บอกก่อนจะดึงแขนน้องชาย อนันต์ทำหน้าเมื่อยพร้อมขืนตัวไว้ไม่ยอมขยับตามแรงพี่ชาย “เรายังไม่หายเหนื่อยเลย ขอพักอีกชั่วโมงนะ”
“ไม่ได้ รีบๆ เข้า เราต้องเก็บให้หมดภายในวันนี้ คนงานเขาล็อกต้นมะม่วงให้นายแล้วด้วย รีบๆ ลุก”
“ความจริงคนงานเราก็มี ทำไมถึงไม่ให้พวกเขาเก็บกันเองล่ะ เราขอตรวจความเรียบร้อยละกัน” น้องชายต่อรอง
“ไม่ได้ เราบอกเขาให้ไปเก็บที่อื่นแล้ว ต้นของนายอยู่ตรงนี้เอง มีลูกน้อยกว่าต้นอื่นๆ ด้วย เก็บง่ายจะตาย”
“ทำไมนายต้องบังคับเราด้วยนะ คอยดูนะถ้าเราได้เป็นดาราเมื่อไหร่ เราจะบังคับให้นายไปรับงานแทนเราบ้าง จะได้รู้ว่าเวลาที่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบน่ะ มันเป็นยังไง” อนันต์พูดขู่ก่อนจะยอมลุกตามพี่ชายไป ปล่อยให้พ่อและญาติผู้พี่มองตามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
. . .
จากคุณ |
:
latics1
|
เขียนเมื่อ |
:
1 เม.ย. 55 20:36:50
|
|
|
|