หัวใจก้นครัว ๒๙-๓๐-๓๑ (แก้ไขใหม่)
|
 |
บทที่ ๒๙
ทุกอย่างกลับมาสู่ภาวะปกติอีกครั้ง เพ้งกลับเข้าไปทำงานประจำของเขา ที่หน้าเตาตามปกติ เขานิ่งเงียบไป เพราะในใจรอว่า เมื่อไหร่ที่จะได้ลงมือตามแผนการ ที่ได้วางไว้เสียที แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการหรือพิรุธใดๆให้คนอื่นๆ รวมถึงเคี้ยงสงสัยว่า การที่เขาหายตัวไปอย่างไม่สาเหตุนั้น เกิดจากเรื่องอะไรกันแน่
แต่สำหรับเคี้ยง ทันทีที่รู้ว่าเพ้งกลับมาบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว เขาก็ไม่ได้ดุด่าหรือซักไซ้ถึงการหายตัวไป แต่อย่างใด เพราะเคี้ยงและไดอาน่าได้คุยกันว่า บางทีทั้งสองอาจจะเข้มงวดกับเพ้งมากจนเกินไป ด้วยเห็นว่า เพ้งก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว จึงอยากจะให้อิสระกับเขาบ้าง
และเคี้ยงก็ตั้งใจว่า จะหาโอกาสพูดคุยกับเพ้งอย่างเปิดอก ตามประสาพี่น้อง เหมือนที่เคยทำ ตั้งแต่ก่อนที่จะมาเปิดร้านไทยทัศน์จนใหญ่โตเช่นนี้ ไม่ใช่การพูดคุยกันแบบเจ้านายกับลูกน้องอย่างในตอนนี้
แต่ด้วยกิจการที่กำลังไปได้ดีจนต้องหันมาเอาใจใส่ในคุณภาพของอาหารมากขึ้น อีกทั้งต้องดูแลการแข่งขันให้กับภัทรจนกว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยดี ซึ่งหลังจากนั้นเขาคงจะมีเวลาว่างเพิ่มมากขึ้น เมื่อได้พูดคุยกันจนเข้าใจกันตามเดิมแล้ว เขาก็อยากให้เพ้งได้ลาพักร้อนไปท่องเที่ยว เพื่อคลายความเครียดตามวัยหนุ่มที่ควรจะเป็นกับเขาบ้าง ลื้อจะไปแข่งขันทำอาหารเหรอ คุณภัทร เมื่อไหร่ แล้วใครจะพาลื้อไปประกวดกันล่ะ? เพ้ง เอ่ยถามภัทร ขณะที่ภัทร มาช่วยผัดกับข้าว ในครัวร้อน ที่เตาข้างๆเขานั่นเอง เดือนหน้าครับ เฮียเพ้ง ก็คงจะเป็นโกเคี้ยงที่พาไป ภัทร ตอบเรียบๆ เขาอยากจะออมคำพูดไว้ให้มากที่สุด เมื่อต้องคุยกับชายหนุ่มที่ยืนข้างตน เพราะไม่รู้ว่า หากตนพูดจาผิดหูเมื่อไหร่ เพ้งก็พร้อมจะด่าว่าเขาอย่างไม่สาเหตุได้ตลอดเวลา
เพ้ง นิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด ก่อนที่จะคิดอะไรได้ ชายหนุ่มจึงยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาเสไปตักน้ำในถังข้างๆเตาราดลงบนกระทะ เพื่อทำความสะอาด ก่อนจะหันมามาพูดกับภัทรอย่างเป็นกันเองว่า
โห...เยี่ยมไปเลย คุณภัทร ลื้อนี่มันเก่งจริงๆ เอาล่ะ ถ้ามีอะไรให้เฮียช่วยก็บอกแล้วกันนะ เฮียจะช่วยเต็มที่เลย
ภัทร แทบจะหยุดคั่วข้าวผัดในกระทะ ด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำพูดที่แปลกหูของเพ้งที่เอ่ยกับเขาไม่ได้ เพราะเพ้งไม่เคยพูดแทนตัวเองว่าเฮีย ด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองกับเขามาก่อนนับตั้งแต่เขาเข้ามาฝึกงานในครัวในตอนแรก เพ้งก็มักจะพูดจาเป็นมะนาวไม่มีน้ำเสมอๆ เมื่อมีโอกาส ภัทร จึงนิ่งเงียบไปแทนคำตอบ เขานำข้าวผัดที่คั่วเสร็จแล้วเทใส่ผลสับปะรดที่คว้านเอาเนื้อออกไปแล้ว ก่อนที่จะมีพนักงานคนอื่นมานำไปอบ เพื่อทำเป็นข้าวอบสับปะรดทรงเครื่อง หนึ่งในเมนูอันขึ้นชื่อของร้านไทยทัศน์เช่นกัน วันต่อมา ขณะที่ภัทรกำลังยกกระบะมะนาว มาเพื่อล้างที่อ่างน้ำบริเวณนอกครัว เพ้งก็รี่เข้ามาช่วยยกอย่างกุลีกุจอ จนเขาอดแปลกใจไม่ได้ตามเคย หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็มักจะมีเพ้งมาช่วยโดยไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอเสมอๆ อีกทั้งคำพูดและกริยาที่แสดงต่อเขาก็ดูสุภาพขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ จนเมื่อถึงเวลาพัก เมื่อภัทร รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เขาก็นำถาดมาวางไว้ยังบริเวณแผนกล้างจาน โดยมีเพ้ง เดินตามหลังมาติดๆ ก่อนจะกระซิบเบาๆพอให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า คุณภัทร ออกไปคุยกับเฮียข้างนอกหน่อยจะได้ไหม? ภัทรเดินตามเพ้งออกไปยังบริเวณด้านหลังครัว เพ้งมองซ้ายมองขวา เมื่อเขาแน่ใจว่าไม่ใครอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว เขาจึงค่อยๆอ้อมแอ้มพูดออกมาอย่างขัดเขินว่า คือ...คุณภัทร เฮียมีเรื่องอยากให้ช่วยสักหน่อยจะได้ไหม? ภัทร ไม่ตอบอะไร เขาปล่อยให้เพ้งพูดให้จบว่าคือ ตอนนี้เฮียกำลังไปจีบสาวอยู่คนหนึ่ง เรารักกันน่ะ คุณภัทร แต่งานในร้านมันยุ่งเสียจน ไม่มีเวลาได้ไปเจอกันบ้างเลย บางทีทางโน้นเขาคิดถึงเฮีย เขาก็อยากจะโทรมา แต่ถ้า อาซ้อรู้ อาซ้อต้องไม่ยอมให้เฮียคุยโทรศัพท์กับเขาแน่ๆเลย คุณภัทรก็รู้นี่ว่า โกเคี้ยงกะอาซ้อ เขาเข้มงวดกับเฮียขนาดไหน เฮียก็เลยอยากจะขอให้คุณภัทรช่วยสักหน่อย จะได้ไหม นะ นะ เฮียเพ้งจะให้ผมช่วยยังไงครับ? ภัทร ถามเสียงเรียบอย่างสุภาพ ก็แค่... เฮียจะบอกว่า ถ้าเขาโทรมาหาเฮีย ให้บอกว่าขอสายคุณภัทรจะได้ไหม อาซ้อ เกรงใจคุณภัทรจะตายไป รับรอง ไม่ถามกวนใจ คุณภัทรหรอก แล้วเฮียก็ไม่ถูกด่าด้วย ได้ไหม นะนะ เพ้ง อ้อนวอนด้วยเสียงเศร้าอย่างขอความเห็นใจ ภัทร นิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด ในที่สุดเขาก็หาคำตอบได้แล้วเสียทีว่า การที่เพ้งมาทำดีแบบประหลาดๆนี้กับตนเพราะเหตุใด ที่แท้ก็กำลังมีความรักนี่เอง ถึงเขาเองจะเด็กไปสำหรับเรื่องนี้ แต่ก็โตพอจะเข้าใจได้ว่ามันคงมีความสำคัญอย่างไรบ้าง เรื่องที่เพ้งขอให้ช่วยก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเท่าใดนัก
บางทีหากเพ้งมีครอบครัวไป อาจจะทำให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่เสียที ทีนี้โกเคี้ยงกับคุณไดอาน่า คงจะไม่มีห่วงในตัวน้องชายคนเดียวคนนี้อีกต่อไป อีกอย่างถ้าการช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ จะทำให้เพ้งกลับใจมาเป็นมิตรกับเขาได้ มันก็คงจะดีแก่เขาไม่น้อยที่จะได้พี่ชายเพิ่มอีกคน ว่าแล้ว ภัทรก็พยักหน้าแล้วบอกเพ้งไปด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นใจว่า
ก็ได้ครับ เฮียเพ้ง
เพ้ง ร้องเสียงดังออกมาอย่างดีใจ เขากอดภัทรอย่างแรงแล้วเอ่ยปากขอบคุณ ในน้ำใจของภัทรอย่างจริงใจหลายๆครั้ง จนภัทร อดหัวเราะไปกับท่าทีที่เพิ่งเคยเห็นเพ้งเป็นแบบนี้ไม่ได้ เขาขอตัวกลับไปทำงานต่ออย่างอารมณ์ดีไปด้วยเช่นกัน เมื่อภัทรเดินจากไป เพ้งก็มองตามร่างของเด็กหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากอย่างพึงพอใจ ไดอาน่า รู้สึกได้ว่าระยะหลังมีการเปลี่ยนแปลงภายในร้านอยู่หลายอย่าง หนึ่งคือการที่เพ้ง เปลี่ยนมาเป็นคนละคนกับที่เคยเป็น เขากลายเป็นคนขยันขันแข็งและมีน้ำใจกับคนอื่นมากขึ้น อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนภัทรที่กำลังมุ่งมั่นกับการแข่งขันทำอาหารระดับประเทศ กลับมีเรื่องแปลกๆเข้ามาพัวพันด้วยเช่นกัน ในช่วงบ่ายของวันที่ภัทรมาฝึกงาน จะมีโทรศัพท์ที่มีปลายสายเป็นเสียงของผู้หญิง โทรมาหาเขาเสมอๆ เมื่อหล่อนนำโทรศัพท์ไปให้เขารับ เด็กหนุ่มก็มักจะมีรอยยิ้มแปลกๆ ที่หล่อนเองก็เดาไม่ถูกว่ารอยยิ้มนั้นมีความหมายอย่างไร มีหลายครั้งที่หล่อนตั้งใจจะสะกดรอยเด็กหนุ่ม ว่าเขาแอบไปคุยโทรศัพท์กับใคร แต่งานบัญชีตรงหน้าก็วุ่นวายเสียจนทำไม่สำเร็จเสียที จนมาวันหนึ่ง ขณะที่หล่อนกำลังคิดบัญชีหลังปิดร้าน เคี้ยงรับหน้าที่ดูแลแอนนี่อยู่ที่ห้องนอนชั้นบน เพ้งเดินเลียบๆเคียงๆ มองไปที่ทั่วๆร้าน ที่ขณะนี้มีเพียงแค่ชายหนุ่มและหล่อน จากนั้นจึงมานั่งพับผ้าเช็ดปากที่พนักงานเสิร์ฟพับไว้แต่ยังไม่แล้วเสร็จ อย่างตั้งใจอกตั้งใจ เพ้งเงียบไปอย่างผิดวิสัยที่เคย แต่ไดอาน่าก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับงานตรงหน้าให้เสร็จ เพื่อที่จะได้ขึ้นไปพักผ่อน เอ่อ... อาซ้อ อั๊วมีเรื่องอยากขอคำปรึกษาอะไรหน่อยสิ? เพ้ง ทำลายความเงียบที่มีด้วยคำถามที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงลังเลใจ อะไรเหรอ เพ้ง ว่ามาสิ ไดอาน่า ตอบ ทั้งที่มือยังคงกดเครื่องคิดเลขไปด้วย แต่เมื่อเพ้งไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยออกมา หล่อนจึงวางมือจากงานตรงหน้าที่เสร็จพอดี แล้วเป็นฝ่ายถามออกไปเสียเองว่า มีอะไรก็ว่ามาเถอะ ถ้าชั้นช่วยได้ก็จะช่วย คือ...แต่...ไม่เอา ไม่พูดดีกว่า จะว่าไปเรื่องมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอั๊ว สักนิดเลยจริง...จริ๊ง เพ้ง เสพับผ้าไปทั้งที่ปากก็ยังพูดอยู่ ไดอาน่า เห็นท่าทางของเพ้งก็พอจะเดาได้ว่า เขาต้องการบอกอะไรบางอย่างตามนิสัยพูดมาก แต่หล่อนเองก็เหน็ดเหนื่อยกับงานมาทั้งวันเสียจน ไม่อยากจะคะยั้นคะยอเพ้งอีกต่อไป จึงปิดโคมไฟดวงเล็กหน้าเคาน์เตอร์ที่ใช้คิดบัญชี แล้วเก็บข้าวของ เพื่อขึ้นไปยังห้องพักของตน เพ้ง เห็นท่าพี่สะใภ้ของตน จะเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจในท่าทีของตน เขาจึงร้องเสียงหลงห้ามไดอาน่าทันทีว่า เออๆ...อั๊วบอกก็ได้ เรื่องของอาคุณภัทร คนโปรดของเฮียเคี้ยง นั่นแหละ! ไดอาน่า ที่กำลังจะก้าวขาขึ้นบันได ก็หยุดชะงักไป เมื่อได้ยินชื่อที่ตนเองก็กำลังสงสัยในความประพฤติของเด็กหนุ่มอยู่เหมือนกัน เพ้ง รีบเล่าต่อไปว่า ช่วงหลังนี้ อาคุณภัทร อีชอบมาปรึกษาอั๊ว เรื่องผู้หญิง เห็นว่าไปชอบผู้หญิงแถวบ้านที่มีอายุมากกว่า แต่ไม่กล้าบอกใคร คงกลัวจะถูกดุเอา ตอนแรกอั๊วก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หลังๆนี่สิ มาฝึกงานก็เอาแต่คุยโทรศัพท์กับสาว งานไม่ทำไม่เป็นอะไรหรอก อั๊วทำแทนอีได้ แต่ที่ต้องบอกให้อาซ้อช่วยกันดูอีกทาง เพราะกลัวเด็กมันจะเสียผู้เสียคนไปซะก่อน ทางท่านหญิงจะมาว่าเฮียเคี้ยงได้ ว่าเอาลูกเอาหลานเขามาเลี้ยงได้ไม่ดี หลังจากพล่ามมายาวเหยียด เพ้งแสร้งทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะสำทับต่อไปอีกว่า ยังไงอาซ้อก็อย่าบอกใครนะ ว่าอั๊วเป็นคนมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง โดยเฉพาะเฮียเคี้ยงนะ ซ้อค่อยๆดูไป ก็จะเห็นเอง ว่าที่อั๊วบอกน่ะมันเป็นจริงไหม ไดอาน่า ไม่ตอบอะไรเสริมออกไป หล่อนพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ไดอาน่ามานั่งหวีผมที่โต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อมองผ่านกระจกไปด้านหลัง พอเห็นเคี้ยงนอนอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ก็อดจะถามไม่ได้ว่า
เฮีย ช่วงนี้ คุณภัทร เตรียมตัวแข่งไปถึงไหนแล้วล่ะจ๊ะ
ก็ดีนะ ขยันดีทีเดียว ยิ่งฝึกยิ่งเก่ง เฮียว่า การแข่งคราวนี้ คุณภัทรต้องได้รางวัลใด รางวัลหนึ่งติดมือมาแน่ เผลอๆ อาจจะได้ที่หนึ่งเลยก็ได้นะ คุณ เคี้ยงเล่าถึงลูกศิษย์เพียงคนเดียว อย่างภาคภูมิใจ แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไปตามเดิม
ไดอาน่า สางผมไปอย่างช้าๆ พลางใช้ความคิดทบทวน ถึงเรื่องของภัทร ที่ตนเองได้รับรู้มา ตกลงเรื่องราวเหล่านั้น เป็นความจริงหรือไม่ เป็นไปได้ไหม ที่เพ้ง อาจจะใส่ความภัทร แต่ เขาจะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกคนในครอบครัว ต่างก็เป็นหนี้บุญคุณของท่านชายที่เป็นปู่แท้ๆของเด็กหนุ่ม หรือ เคี้ยง จะรักและภูมิใจในตัวเด็กหนุ่ม จนมองข้ามความจริงที่ว่า เขาก็อยู่ในวัยที่คิดจะมีความรักเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปได้แล้ว จนต้องแอบไปปรึกษาเพ้ง ตามที่ได้ยินมา
แล้วตกลง หล่อนควรจะเชื่อใครดี?
แสงแดดอ่อนๆในช่วงเช้า ส่องกระทบใบไม้สีเขียวของต้นไม้ต้นใหญ่ที่ยืนต้นอยู่โดยรอบ ทำให้บรรยากาศรอบๆบ้านไม้สีเบจหลังใหญ่ ดูสดชื่นกว่าหลายๆวันที่ผ่านมา เพราะมีพายุเข้ามาในช่วงนี้ จึงทำให้ฝนตกลงมาทั้งวัน เคี้ยง กำลังเช็ดรถกระบะคู่ใจ ระหว่างที่รอภัทร มาสมทบเพื่อไปแข่งขันทำอาหารครั้งสำคัญที่โรงแรม หลังจากที่เขาเฝ้าดูแลให้ภัทรฝึกซุ่มซ้อมมานาน
ไม่นานนัก ภัทร ก็ขี่จักรยานคู่ใจ ออกมาจากวังสิราวรกาญน์ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบ เข้ามายกมือไหว้เคี้ยงที่รออยู่ ก่อนจะออกตัวว่า
ขอโทษครับโกเคี้ยง พอดีท่านย่ากับหม่อมป้า มัวแต่อวยพร ภัทรอยู่ กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ เล่นเอานานเลย เคี้ยง ตอบอย่างอารมณ์ดี ทั้งๆที่ยังเช็ดกระจกหน้ารถด้วยผ้าสะอาดว่า
อะไรกัน คุณภัทร ยังไม่ถึงเวลานัดสักหน่อย ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้
เมื่อจัดข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องเตรียมไปแข่งครบเรียบร้อยดีแล้ว ไดอาน่ากับแอนนี่ ก็ออกมาส่งเคี้ยงและภัทร พร้อมจะออกเดินทางแล้ว แต่เคี้ยงกลับรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก เขาหันไปมองรอบๆบ้านอย่างใจหาย ก่อนจะหันไปกอดไดอาน่าและลูกอีกครั้ง และตะโกนบอก เพ้ง ที่ยืนกวาดเศษใบไม้อยู่ไม่ไกลนักว่า
เพ้ง ลื้อดูแลไดอาน่ากับแอนนี่ดีๆด้วยนะ เฮียจะรีบไปรีบกลับ เพ้ง หยุดกวาดไบไม้ทันที เขาชะงักไปอย่างคนมีพิรุธ ก่อนขานร้องรับคำสั่งของเคี้ยงว่า
ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกเฮีย อั๊วจะดูแลทุกอย่างให้เรียบร้อยเองนะ
ภาพที่รถกระบะของเคี้ยงวิ่งออกไปจากประตูบ้านอย่างช้าๆ ผ่านไดอาน่าที่กำลังอุ้มลูกส่งกำลังใจตามหลังไปนั้น ทำให้เพ้งอดสะท้อนใจไม่ได้ว่า สิ่งที่ตนเองตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นในวันนี้ มันสมควรแล้วหรือไม่?
ไดอาน่ามองดูแอนนี่ที่กำลังนอนหลับอย่างมีความสุข หล่อนนอนคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาในวันนี้อย่างอดไม่ได้ แม้ว่าภัทร จะไม่ได้อยู่ที่ร้านก็ตาม แต่ก็มีโทรศัพท์ของหญิงสาวเสียงคุ้นหูคนเดิม โทรเข้ามาประจำ ทั้งๆที่หล่อนบอกไปแล้วว่า เด็กหนุ่มออกไปธุระข้างนอก แต่หญิงสาวคนนั้นก็ยังจะโทรมากวนใจอยู่เป็นระยะๆ
จนหล่อนคิดว่าหากผ่านพ้นการแข่งขันในวันนี้ไปแล้ว คงต้องเรียกภัทรมาซักถามถึงเรื่องราวแท้จริง ให้จนได้ หล่อนคงต้องให้คำปรึกษาแก่เด็กหนุ่มเสียที เพราะดูแล้วเรื่องราวอาจจะบานปลายไปกว่าที่คิดไว้มาก
เมื่อตอนหัวค่ำ เคี้ยงโทรมารายงานความคืบหน้าของการแข่งขัน ว่าภัทรทำได้ดีมาก จนผ่านไปถึงการแข่งในรอบสุดท้าย แต่เกิดเหตุขัดข้องภายในงานขึ้นมาเสียก่อน จึงทำให้งานเลิกช้าไปกว่าเวลาที่กำหนดไว้
น้ำเสียงที่เคี้ยงส่งมาตามสายนั้นดูมีความสุขเสียจน ไดอาน่าไม่อยากจะบอกเรื่องราวที่หล่อนกำลังคิดนี้ให้เขารำคาญใจไปเสียก่อน หล่อนจึงคิดว่า รออีกสักพักดีกว่าค่อยจัดการก็แล้วกัน ตอนนี้ทั้งร้าน มีเพียงแต่หล่อนกับลูกที่ห้องชั้นบนสุด และเพ้งที่พักอยู่ที่ห้องบริเวณชั้นสอง เมื่อร้านปิดแล้ว พนักงานทั้งหมดต่างก็พากันแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้ว แต่กลับมีเสียงกุกกักดังอยู่ภายนอก จนไดอาน่าที่นอนอ่านหนังสืออยู่ อดสงสัยไม่ได้ หล่อนเงียบและเงี่ยหูฟังถึงความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น จนได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ หล่อนจึงตะโกนทักออกไปว่า นั่นใครน่ะ อาเพ้งหรือ? ไม่มีเสียงตอบรับใดๆดังตอบกลับมา หล่อนจึงนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง จนแน่ใจว่าไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาแล้ว จึงตัดสินใจ ค่อยๆย่อง เดินออกไปถอดกลอนประตูห้อง แล้วค่อยๆแง้มออกดูว่าข้างนอกมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นมาหรือไม่ เมื่อตรวจดูแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ไดอาน่า จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก หล่อนนึกตำหนิตัวเองในใจว่า ช่างเป็นคนขี้ระแวงไปเสียนี่ ทั้งๆที่ เพ้งก็อยู่เฝ้าด้านล่างนี่เอง แต่ยังไม่ทันที่จะปิดประตูห้องได้สนิทตามเดิม ก็มีมือมาจับที่ขอบประตูแล้วกระชากมันให้เปิดกว้าง โดยที่หล่อนไม่อาจต้านแรงนั้นได้เลย ทันใดนั้น ก็มีกลุ่มคนในชุดดำ คลุมหัวเป็นไอ้โม่งพากันวิ่งขึ้นมาจากบันไดชั้นล่าง จนไดอาน่าต้องวิ่งหนีเข้าไปในห้องนอน หล่อนเข้าปรี่เข้าไปอุ้มแอนนี่ที่นอนบนเตียงไว้แนบอก ตามสัญชาตญาณของความเป็นแม่ เด็กหญิง ร้องจ้าด้วยความตกใจที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น กลุ่มคนในชุดดำ เดินสามขุมเข้ามาหาหล่อนกับลูก ที่ขณะนี้ถูกต้อนไปจนมุมที่ด้านในห้อง ด้วยความหวาดกลัว ด้านหลัง มีเสียงของเพ้งตะโกนมาอย่างเอะอะว่า เฮ้ย พวกแกเป็นใครวะ กูโทรเรียกตำรวจแล้วนะโว้ย! ขาดคำ เพ้งก็ถูกลากมารุมสกรัม ต่อหน้าต่อหน้าของไดอาน่า ทุกอย่างภายในห้องตอนนี้ ดูโกลาหลและวุ่นวายไปหมด เสียงร้องไห้ของแอนนี่ดังจนน่ารำคาญ คนในชุดดำเข้ามาจับตัวหล่อนแล้วลากออกไปข้างนอก ผ่านเพ้งที่โดนรุมซ้อมจนลงไปนอนกองที่พื้นอยู่ หล่อนไม่ได้ขัดขืนอะไรรุนแรงนัก ด้วยเกรงว่าพวกคนร้ายอาจจะทำอะไรตนและลูกสาวรุนแรง หล่อนค่อยๆร้องบอกคนร้ายด้วยเสียงเครือ ด้วยความตกใจและเสียขวัญว่า พวกแกอยากได้อะไรก็เอาไปให้หมดเลยนะ ชั้นรับรองว่าจะไม่บอกตำรวจหรอก แต่อย่าทำอะไรชั้นกับลูกสาว และน้องชายชั้นอีกเลยนะ... ยังไม่ทันที่จะพูดจบตามที่ตั้งใจไว้ ไดอาน่าหมดสติไปทันที ไดอาน่าเริ่มได้สติอีกครั้งหนึ่งเมื่อหล่อนถูกประคองมาวางไว้บนเตียงนิ่ม ฤทธิ์ของยาสลบยังคงมีอยู่ ทำให้หล่อนมึนหัวและยังไม่สามารถลืมตาได้ หล่อนกลั้นใจนอนนิ่งเงียบ เพื่อรอฟังความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่รอบๆข้าง และเสียงคุ้นหูที่ทำให้หล่อนต้องสะดุ้งด้วยความคาดไม่ถึง เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า น่าสมเพชนะเฮีย ดันมาถูกคนใกล้ตัวหักหลังเอาง่ายๆซะได้ นี่ถ้ารู้ความจริงว่าเป็นฝีมือของใคร จะไม่ช้ำใจตายไปเลยเหรอเนี่ย... ยังไม่ทันที่หญิงสาวคนนั้นจะพล่ามจนจบ หล่อนก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงห้าวของผู้ชายอีกคนว่า เงียบปากเถอะน่า ฮุ่ยเจิน งานของเราจบลงแล้ว แค่เอาตัวแม่กับเด็กมาส่งมอบให้ได้แล้ว ก็รีบๆกลับขึ้นฝั่งกันเถอะ เสียงของผู้หญิงคนนั้น ช่างคุ้นหูหล่อนเสียเหลือเกิน หล่อนเคยได้ยินหรือพูดคุยกับหล่อนมาก่อนหรือเปล่านะ? ไดอาน่านึกทบทวนทั้งๆที่ยังมึนงงอยู่ ใช่แล้ว! เสียงของผู้หญิงที่โทรมาหาภัทรบ่อยๆนั่นเอง!...หรือว่า จะเป็นภัทร ที่สมคบคิดกับคนพวกนั้นมาทำร้ายหล่อนกับลูกหรือเปล่า? ไดอาน่า นอนใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ เสียงของคนเหล่านั้นเงียบหายไปนานแล้ว เมื่อฤทธิ์ของยาสลบหมดลง หล่อนเริ่มลืมตาและมองไปรอบห้องจนทุกอย่างชัดเจนดี ก็พบว่าห้องนั้นเป็นห้องเล็กๆ ไฟถูกเปิดสว่างจ้า หล่อนและแอนนี่นอนอยู่บนเตียงนุ่มขาวสะอาด หล่อนค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ไปที่ประตูไม้ที่ปิดสนิทอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อบิดที่ลูกบิดก็ไม่ขยับเขยื้อน หล่อนจึงลงมานั่งอย่างหมดอาลัยบนเตียงตามเดิมเพราะรู้แก่ใจดีว่าที่แห่งนี้คือที่ไหนและจุดหมายปลายทางของการเดินทางในครั้งนี้คือที่ใด ทันทีที่ประตูถูกเปิดขึ้น ไดอาน่ากลับยิ่งรู้สึกแย่ลงไปกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าอาหลง มือของคนสนิทของมิสเตอร์เดวิดเดินนำแม่บ้านที่ถือถาดเครื่องดื่มตามมาด้านหลัง อาหลงพูดกับหล่อนอย่างสุภาพตามปกติที่เคยเป็นมาแต่ก็เฉียบขาดอยู่ในที ดื่มอะไรเสียหน่อยเถอะครับ คุณหนู อีกนานกว่าเรือจะถึงมาเก๊า เรามาไกลเกินกว่าครึ่งทางแล้วครับ ไดอาน่า ร้องไห้เสียงดังอย่างสะอึกสะอื้น จนอาหลงต้องเมินหน้าหนีด้วยความเวทนา แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไร เพราะเขาเองก็เป็นแค่คนรับคำสั่งของมิสเตอร์เดวิดเพียงเท่านั้น เขาจึงทำได้แต่เพียงเดินจากไปอย่างเงียบๆ และปิดประตูห้องเพื่อให้สองแม่ลูกอยู่กันตามลำพังอีกครั้ง เมื่ออยู่ตามลำพังกันเพียงสองคน ไดอาน่าก็เงียบเสียงลง เหลือเพียงแต่เสียงสะอื้น หล่อนนึกขึ้นได้ว่าเสียงร้องไห้ของหล่อน อาจจะทำให้แอนนี่ลูกสาวที่เป็นสมบัติแห่งความรักระหว่างหล่อนกับเคี้ยงที่เหลืออยู่ตื่นขึ้นมาได้ หล่อนจึงเอื้อมไปเปิดม่านที่หน้าต่างภายในห้องของเรือยอร์ชลำหรูลำนี้ ภาพภายนอกไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ เพราะเป็นเวลากลางคืนและมีพายุฝนตกหนักอยู่ภายนอก แต่ภาพของท้องทะเลมืดครึ้มที่ค่อยๆเคลื่อนหายไปเบื้องหลังนั้น ทำให้หล่อนสะท้อนใจว่า คงเป็นดั่งความสัมพันธ์ระหว่างเคี้ยงและหล่อนที่ถูกแยกจากกันคนโพ้นทะเล และอาจจะไม่มีวันหวนกลับไปเป็นดังเดิมอีกแล้วก็เป็นได้!
จากคุณ |
:
Awork
|
เขียนเมื่อ |
:
2 เม.ย. 55 03:39:00
|
|
|
|