 |
เมืองลำปาง, ห้างฉัตร ลานจอดรถด้านนอกสุสาน
การณาปนกิจศพเสร็จสิ้นสำหรับทุกคนเมื่อเวลาห้าโมงยี่สิบห้านาที ปฏิกิริยาของแขกที่มาร่วมงานซึ่งเดินเข้ามาในลานจอดรถบ่งบอกว่ามีเรื่องสำคัญบางประการเกิดขึ้น ทุกคนพูดคุยซุบซิบกันไม่หยุด โดยเฉพาะกลุ่มของนักข่าวที่ดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ
พีภัทรตรวจดูเงาของตัวเองบนกระจกหน้าต่างรถเก๋งคันหนึ่ง แล้วเขาก็ขยับแว่นดำทำเท่ห์เมื่อเป้าหมายปรากฏตัวเข้ามาในลานจอดรถ และมุ่งตรงมายังรถเก๋งคันที่เขาใช้เป็นกระจกแต่งหล่อ
เป้าหมายของเขาคือนักข่าวสาวจากหนังสือพิมพ์เชียงใหม่ โพสต์ที่ชื่อว่ามนชนก
เขาทำความรู้จักกับหล่อนตั้งแต่ช่วงบ่ายที่มารอขบวนเคลื่อนศพที่สุสาน มนชนกเป็นนักข่าวที่ถูกส่งมาจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในตัวอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ หล่อนไม่ค่อยรู้จักนักข่าวท้องถิ่นที่ลำปางเท่าไหร่ พีภัทรเห็นหล่อนนั่งแกร่วอยู่คนเดียวจึงเข้าไปตีสนิทด้วย
เขาแนะนำตัวว่าเป็นนักข่าวจากลำพูนชื่อเอกภูมิได้รับมอบหมายให้มาทำข่าวที่งานนี้เหมือนกัน แต่เกิดความผิดพลาดบางอย่างระหว่างการประสานงานขั้นสุดท้ายจึงทำให้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำข่าวในงานเผาศพทั้งที่เขาอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามจังหวัดมาเพื่อทำข่าวงานนี้โดยเฉพาะ
แต่จากรูปลักษณ์ของพีภัทรในตอนนี้ที่เป็นหนุ่มสุดเซอร์ สวมกางเกงบลูยีนสีซีด เสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงิน ใส่แว่นตาดำ ย้อมผมสีน้ำตาลเข้ม สะพายเป้ติดกายตลอดเวลา มันจึงไม่เป็นการยากที่จะทำให้หญิงสาวมาดเปรี้ยวอย่างมนชนกหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้โดยที่เขาไม่ต้องขอ
หล่อนบอกว่าถ้าเขายินดีรอ หล่อนจะแบ่งปันข่าวที่ได้จากในงานเผาศพให้เขารู้ประหนึ่งว่าได้เข้าไปในงานด้วยตัวเอง มนชนกบอกเขาว่าหล่อนเข้าใจดีว่าการเป็นนักข่าว แต่ต้องกลับสำนักงานมือเปล่าไม่มีข่าวให้เขียนนั้นเป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่ขนาดไหน เพราะหล่อนก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ สมัยเป็นนักข่าวหน้าใหม่เมื่อสองสามปีก่อน
แม้หน้าตาของเขาพอจะมีประโยชน์ก็ในการใช้โปรยเสน่ห์กับเพศตรงข้ามแบบนี้อยู่มาก แต่พีภัทรก็ไม่ค่อยชอบใช้วิธีนี้เท่าไหร่นัก ทุกครั้งที่ทำ มันจะส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังหลอกใช้ผู้หญิงอยู่ทุกที
พีภัทรสะกดความรู้สึกทั้งมวลกลับลงไป เขากระแอมไอเล็กน้อยเมื่อสบตากับนักข่าวสาว ดวงตาของมนชนกฟ้องว่าหล่อนเป็นคนเจ้าชู้พอควรเมื่อเห็นเขายืนรออยู่ที่รถของหล่อน
“ไงครับ งานเรียบร้อยดีมั้ย?” พีภัทรยิ้มกว้างอวดฟันขาว ขยับตัวออกจากประตูรถของอีกฝ่าย ท้องฟ้าในตอนนี้มีเมฆครื้มดำทะมึนอีกครั้ง อากาศวันนี้แปรปรวนจนไม่แน่ใจว่าฝนจะตกลงมาจริงๆ หรือเปล่า เขาคิดว่ามันจะตกตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน แต่ฝนก็ไม่ตก
“ตอนแรกก็เรียบดีนะคะ แต่ตอนหลังชักไม่แน่ใจ” มนชนกยิ้มตอบขณะกดรีโมทปิดสัญญาณกันขโมยและไขกุญแจเปิดประตูรถ
พีภัทรยืนมองหล่อนหันหลังให้เขาแล้วสอดตัวเข้าไปในรถเพื่อวางกล้องและกระเป๋าสะพายลงบนเบาะด้านใน ท่วงท่านั้นขับเน้นสะโพกกลมกลึงภายใต้กางเกงยีนรัดรูปของหล่อนต่อสายตาของผู้มองเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มแน่ใจว่ามนชนกคงทำให้ผู้ชายหลายคนจิตใจเตลิดเปิดเปิงเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าหล่อนจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
“เกิดอะไรขึ้นครับ อย่าบอกว่ามีเรื่องวิวาทกันอีกแล้ว?” พีภัทรถามเมื่อหล่อนดึงตัวกลับออกมาจากในรถและหันหน้ากลับมายืนยิ้มให้เขาอีกครั้ง “คุณภูมิหมายถึงการวิวาทแบบชกต่อยน่ะหรือคะ?” มนชนกถามพลางบิดประตูและยืนพิงประตูรถคุยกับเขา นักฆ่าหนุ่มสังเกตเห็นว่าในมือของหล่อนถือโทรศัพท์อยู่เครื่องหนึ่ง
“ครับ ผมได้ยินว่าเมื่อคืนมีเรื่องเกิดขึ้นที่งานศพของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์” พีภัทรตอบ เขาได้ยินข่าวเรื่องการวิวาทระหว่างทิวากรกับพวกของลูกชายพ่อเลี้ยงกำธรแห่งเกาะคาที่ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองห้างฉัตรมาจากพนักงานทำความสะอาดที่โรงแรมระดับสองดาว ซึ่งเขาเข้าไปหาห้องพักในช่วงสายของเช้าวันนี้
พนักงานทำความสะอาดสองคนนั้นคุยกันเป็นที่สนุกสนานว่ากบิลและลูกน้องถูกทิวากรไล่กลับถิ่นตัวเองด้วยสภาพสะบักสะบอมและเต็มไปด้วยความอับอาย แต่พีภัทรคิดว่าคงไม่เกิดเหตุซ้ำซ้อนภายในรอบสองวันติดกันแน่ มันต้องมีเหตุอื่นอีกที่ทำให้นักข่าวจากทุกสำนักตาเป็นประกายได้มากมายถึงขนาดนั้น
“มิวก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน แต่วันนี้มิวเห็นพ่อเลี้ยงกำธรก็เข้าไปคุยกับภรรยาของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ดีนี่คะ ส่วนลูกชายที่ไปก่อเรื่องไว้ไม่ได้มาด้วย เลยไม่มีการวิวาททางกายค่ะ แต่ว่ามีการวิวาททางอื่นกับคนอื่นมาแทน” นักข่าวสาวหลิ่วตาตอบแบบฉบับสาวขี้เล่น
พีภัทรเลิกคิ้วสูงทำท่าประหลาดใจ “วิวาทแบบไหนครับ?”
มนชนกยิ้ม “วิวาททางวาจาค่ะ”
แล้วหล่อนก็ยื่นโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือส่งให้พีภัทรพร้อมกับกล่าวว่า “แต่ไม่ต้องเสียดายนะคะที่คุณภูมิไม่ได้เข้าไปเห็น มิวบอกแล้วว่าจะทำให้คุณภูมิรู้สึกเหมือนได้เข้าไปในงานด้วยตัวเอง รับรองว่าคุณจะไม่พลาดอะไรเลย”
พีภัทรรับโทรศัพท์มาถือไว้ เขาพบว่าหน้าจอของมันอยู่ในโหมดสำหรับเล่นคลิปวีดิโอคลิปหนึ่งที่มีความยาวประมาณแปดนาทีครึ่ง เขายกโทรศัพท์ตามด้านขวางขึ้นในระดับสายตา ก่อนแตะปลายนิ้วชี้ลงบนหน้าจอที่เป็นระบบทัชสกรีน
แล้วคลิปวิดีโอก็เริ่มเล่น
เสียงของชายคนหนึ่งดังออกมาจากลำโพง เจ้าของเสียงคือชายร่างเตี้ยในชุดสูทสีเทาที่ยืนอยู่กลางจอภาพ เขากำลังอ่านอะไรบางอย่างบนกระดาษแผ่นหนึ่ง และเมื่อตั้งใจฟังดีๆ ก็จับใจความได้ว่า ชายคนนั้นกำลังอ่านรายละเอียดของพินัยกรรมให้ทุกคนภายในเต็นท์รับทราบ
มันคือพินัยกรรมของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์!
พีภัทรตั้งใจดูและฟังมากขึ้น เขาไม่แปลกใจเลยที่รายละเอียดในพินัยกรรมตลอดหกนาทีแรกของคลิป จะส่งผลให้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงในสองนาทีหลัง
ในพินัยกรรมระบุไว้ว่า ทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลบุษบายุธ จะตกเป็นของริสา บุษบายุธถึงแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกสิบเปอร์เซ็นต์ตกเป็นของรัมภา บุษบายุธ และอีกห้าเปอร์เซ็นต์ให้บริจาคในมูลนิธิเด็กกำพร้าประจำจังหวัดลำปาง
ไม่มีชื่อของเรณู บุษบายุธผู้เป็นภรรยาอยู่ในพินัยกรรม
ไม่มีชื่อของเดโชและพิชิต สองผู้ช่วยซึ่งเปรียบเสมือนมือซ้ายและมือขวาคอยช่วยงานตลอดมาอยู่ในพินัยกรรม
พีภัทรนึกถึงข้อสันนิฐานของตัวเองในตอนที่ปฏิเสธงานจ้างฆ่าริสา บุษบายุธ เขาคิดว่าการว่าจ้างต้องมีผลประโยชน์บางส่วนมาจากข้อความที่ปรากฏในพินัยกรรม และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อปรากฏว่า หลังจากที่ทนายความร่างเตี้ยผู้นั้นอ่านข้อความต่างๆ ในพินัยกรรมจบ เรณูก็แสดงอากัปกิริยาไม่ยอมรับพินัยกรรมฉบับนี้อย่างเปิดเผย
หล่อนก้าวออกมายืนต่อว่าทนายความว่าจัดทำพินัยกรรมมั่วซั่ว แต่ทนายความผู้นั้นก็ได้แต่ยืนกรานว่าทุกข้อความที่อยู่ในพินัยกรรม ล้วนเป็นความประสงค์ของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ทั้งสิ้น รวมถึงการสั่งให้เขาเก็บตัวเองอย่าให้ใครหาพบและต้องเปิดเผยพินัยกรรมในวันเผาศพพ่อเลี้ยงด้วย
ในนาทีที่คลิปวิดีโอจบลง มันเป็นตอนที่ทนายกำลังจะพูดอะไรบางที่จะยืนยันได้ว่าพินัยกรรมฉบับนี้เป็นพินัยกรรมที่ถูกต้อง แต่เป็นขณะเดียวกับที่ลูกน้องคนหนึ่งของเดโชหันมาเห็นบรรดานักข่าวกำลังชูกล้องบันทึกภาพกันเป็นแถวจึงเดินเข้ามาเพื่อสั่งให้เลิกถ่าย
“โชคดีจริงที่พวกการ์ดไม่ยึดโทรศัพท์ของคุณไว้หรือสั่งให้ลบคลิปทิ้ง” พีภัทรกล่าวหลังจากส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ
“ก็ไม่ได้มีมิวคนเดียวนี่คะที่ถ่าย” มนชนกหัวเราะแบบโปรยเสน่ห์ “แล้วมิวก็ไหวตัวทันเป็นคนแรก แค่เห็นการ์ดคนนั้นขยับขาจะเดินเข้ามา มิวก็รีบเก็บโทรศัพท์แล้วกลับนั่งที่ ตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ปล่อยให้พวกไหวตัวช้ารับกรรมไป”
พีภัทรร่วมหัวเราะด้วยเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเมื่อเสียงหัวเราะแผ่วลง “แล้วเหตุการณ์หลังจากคลิปนี้เป็นยังไงต่อครับ ดูเหมือนทนายคนนั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก”
นักข่าวสาวผงกศีรษะ “ค่ะ เขาบอกว่ามีสิ่งยืนยันว่าพินัยกรรมฉบับนี้เป็นของจริง”
“สิ่งนั้นคืออะไรครับ?” พีภัทรสวมบทนักข่าวผู้กระหายใคร่รู้
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ทนายคนนั้นบอกแต่เพียงว่าของสิ่งนั้นฝากอยู่ในตู้เซฟของธนาคารไทยนิยมที่กรุงเทพ ต้องใช้กุญแจสามดอกเปิด ดอกแรกอยู่ในตู้เซฟของคฤหาสน์บุษบายุธ ดอกที่สองคุณทนายเก็บเอาไว้ในตู้เซฟส่วนตัว ส่วนดอกที่สามอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่ธนาคาร” มนชนกตอบแล้วเลิกคิ้วข้างเดียวมองชายหนุ่ม “ข้อมูลของมิวพอจะให้คุณภูมินำไปเขียนข่าวได้หรือยังคะ?”
“เหลือแหล่เลยครับคุณมิว” พีภัทรยิงฟันยิ้ม ประกายในดวงตาเจ้าชู้ของนักข่าวสาวคนนี้กำลังบอกเขาว่าหล่อนต้องการอะไรต่อไป เขาจึงขยับถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งเพื่อบอกเป็นนัยให้หล่อนรู้
“แหม คุณมีให้มิวได้แค่คำขอบคุณเท่านั้นเองหรือคะ?” มนชนกพูดเสียงเล็กเสียงน้อย ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้ม แต่ดวงตาของหล่อนนั้นจับจ้องเหมือนอยากจะมองทะลุถึงดวงตาหลังแว่นดำของเขาเสียให้ได้
แล้วพีภัทรก็ลบรอยยิ้มออกจากใบหน้าของหล่อนด้วยการกล่าวออกมาพร้อมกับยักไหล่ไม่แยแส
“ผมคงให้อะไรคุณไม่ได้นอกจากคำว่าขอบคุณจากใจจริงอีกแล้วครับ ยินดีที่ได้พบกัน แต่เห็นทีผมต้องขอตัวกลับก่อน เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับข่าวที่นำมาฝาก” พีภัทรพูดพลางก้าวถอยหลัง เขาถอยห่างออกมามากแล้วเมื่อมนชนกเหยียดตัวยืนตรงและยกมือเท้าเอวมองเขา
“คุณจะไปง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ?” หล่อนพูด “ไม่มีเบอร์โทร? ไม่มีอีเมล์? แล้วที่มานั่งป้อตลอดบ่ายนั่นคืออะไร? – หรือคุณเข้างานไม่ได้เลยมาหลอกใช้ฉัน?”
พีภัทรหยุดเท้า นึกขำที่เมื่อครู่มนชนกยังเรียกตัวเองว่ามิวอย่างนั้นมิวอย่างนี้ แต่มาตอนนี้ ‘มิว’ คนเมื่อกี้กลับกลายเป็น ‘ฉัน’ ที่แข็งกระด้างซะแล้ว
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เสียใจด้วยครับ คุณไม่ใช่สเป็กผม” พูดจบพีภัทรก็เหยียดยิ้มและยกมือแตะหางคิ้วอำลา
เขาหมุนตัวเดินจากมาโดยไม่แม้แต่เหลียวกลับไปมองสีหน้าของมนชนก แต่ถึงกระนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงหล่อนเปิดประตูรถแล้วกระชากปิดดังปัง ก่อนที่หล่อนจะถอยรถและแล่นพรืดผ่านหน้าเขาไปอย่างดูออกว่าคนขับกำลังหัวเสีย
พีภัทรถอนหายใจ เขาไม่ชอบวิธีการหาข่าวอย่างนี้เลยจริงๆ แต่มนชนกไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่เขาหลอกใช้แล้วตีชิ่งออกห่างอย่างน่ารังเกียจ เขาจำเป็นต้องทำให้หล่อนเกลียด หล่อนจะได้ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าเขาคือใคร หลังจากนี้ไป มนชนกคงไม่อยากนึกถึงหน้าเขาด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับทั้งตัวหล่อนเองและตัวเขาด้วย
เมฆครึ้มบนท้องฟ้าทำให้ความมืดของเย็นวันนี้มาถึงเร็วกว่าปกติ เมื่อนักฆ่าหนุ่มย่างเท้ากลับมายังมุมที่จอดมอเตอร์ไซค์ของตนเองไว้บริเวณข้างต้นไม้ใหญ่ตรงทางออกด้านนอกสุดจากสุสาน บรรยากาศโดยรอบก็มืดสนิททั้งที่เข็มบนนาฬิกาข้อมือยังชี้ไม่ถึงหกโมงเย็นด้วยซ้ำ
สายฟ้าที่แลบแปลบผสานสายลมแรงๆ ทำให้เขาต้องรีบถอดแว่นดำ ใส่แจ็คเก็ต กระโดดขึ้นคร่อมอานและสวมหมวกกันน็อค เครื่องสำอางบนใบหน้าเขาคงไม่ทนทานอย่างที่เป็นสักเท่าไหร่หากต้องเผชิญสายฝนชุดใหญ่
แต่ขณะที่สวมหมวกกันน็อคลงบนศีรษะนั้นเอง รถยนต์คันหนึ่งก็ชะลอความเร็วเล็กน้อยเมื่อเคลื่อนผ่านหน้าเขาไป
พีภัทรมองผ่านกระบังหมวกกันน็อคที่เลื่อนปิดลงมา พบว่านั่นคือรถของพิชิตที่มีสารถีเป็นชายหน้าซูบ ส่วนเจ้าของรถนั่งอยู่บนเบาะหลัง กำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียด ถนนช่วงนี้มีเนินลูกระนาดชะลอความเร็วปรากฏขึ้นมาเป็นระยะ เลยเป็นเหตุให้ต้องขับรถกันอย่างชะลอ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเห็นพีภัทรเป็นที่ผิดสังเกตแต่อย่างใด
รถของพิชิตเลี้ยวผ่านไปทางขวา พีภัทรกำลังสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซค์เมื่อรถยนต์คันที่สองเคลื่อนผ่านลูกระนาดออกมาจากลานจอดด้านในสุสาน คราวนี้เป็นรถยนต์คันหรูของเดโช มีคนขับชื่อซาน เดโชกับเรณูนั่งอยู่บนเบาะหลัง ทั้งสองคนต่างก็กำลังคุยโทรศัพท์หน้าเครียดพอๆ กับพิชิต
พีภัทรเริ่มผิดสังเกตเมื่อรถของเดโชเคลื่อนผ่านไปทางเดียวกับรถของพิชิต และในอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง รถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นก็เคลื่อนออกมา รถคันนี้มีคนขับเป็นลูกน้องของเดโชชื่อเชา ทนายร่างเตี้ยที่เขาเห็นในคลิปวิดีโอของมนชนกกำลังนั่งหน้าไร้อารมณ์อยู่บนเบาะหลัง โดยมีเฟยกับลูกสมุนอีกคนนั่งประกบซ้ายขวา
และรถคันนี้ก็แล่นไปทิศทางเดียวกับรถของพิชิตและเดโชเช่นกัน
ความสงสัยผุดวาบขึ้นในใจของพีภัทร คนพวกนั้นจะพาทนายของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ไปไหน แล้วการกระทำของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ที่สั่งให้ทนายความเปิดเผยพินัยกรรมต่อหน้าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานณาปนกิจศพนั้น ช่างไม่ต่างจากการตบหน้าเรณูโดยตรง แต่พ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ต้องการอะไรถึงทำอย่างนั้น?
พีภัทรตัดสินใจ เขาควรสะกดรอยตามไปห่างๆ ว่าทนายคนนั้นจะถูกพาตัวไปยังที่ใด ก่อนที่คืนนี้เขาจะไปหาเดโชที่บ้านพักซึ่งได้ยินว่ามีระบบการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนากว่าคฤหาสน์ของพิชิตหลายเท่าตัว
แต่ในขณะที่นักฆ่าหนุ่มกำลังจะขยับรถเคลื่อนออกไป ก็เป็นเวลาเดียวกับที่รถเก๋งสัญชาติเยอรมันของทิวากรเคลื่อนผ่านลูกระนาดออกมาพอดี เขาจึงหยุดชะงักและมองทะลุเข้าไปด้านในรถซึ่งทิวากรเป็นคนกุมพวงมาลัย ส่วนเบาะด้านหลังเป็นที่นั่งของสองพี่น้องตระกูลบุษบายุธ ริสาและรัมภา
รถของทิวากรชะลอผ่านลูกระนาดขั้นสุดท้ายก็แล่นเลี้ยวซ้ายออกไป พีภัทรเห็นริสานั่งเอนตัวพิงเบาะ ศีรษะนั้นก็อิงกระจกหน้าต่างรถ เหม่อมองข้างทางอย่างเลื่อนลอย และแวบหนึ่งนั้น เขาก็คิดว่าสายตาของเธอและสายตาของเขาสบประสานกันผ่านกระบังหมวกกั้นและกระจกรถ
แต่มันเป็นเวลาเพียงวินาทีเดียว พีภัทรไม่รู้ว่าริสาจะสังหรณ์ใจอะไรบ้างหรือไม่ แต่เขาพบว่าเธอเหยียดตัวตรงและเหลียวมองเขาจนลับตาเมื่อรถที่เธอนั่งเคลื่อนผ่านเขาไป
ทิศทางที่ทิวากรขับรถไปนั้นทอดนำไปสู่รีสอร์ทกลิ่นเกสรสาขาลำปาง ส่วนทิศทางที่รถสามคันแรกมุ่งหน้าไปเป็นเส้นทางถนนสายหลักที่นอกจากจะนำพาไปสู่ทางกลับคฤหาสน์บุษบายุธ และบ้านพักของเดโชแล้ว มันยังเป็นเส้นทางที่ทอดนำไปสู่อำเภอข้างเคียงได้อีกด้วย
และถึงแม้จะแปลกใจบ้างที่สองสาวพี่น้องตระกูลบุษบายุธไม่ได้เดินทางกลับบ้านตามบรรดาญาติผู้ใหญ่ แต่พีภัทรไม่คิดว่ามันจะมีอะไรน่าสงสัย สองพี่น้องที่ได้รับส่วนแบ่งมรดกไม่เท่ากันคงหาทางปรับความเข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังหรืออะไรทำนองนั้น
เขาสลัดใบหน้าของสุภาพสตรีกุหลาบแดงออกจากสมอง หากเขาไม่รีบเร่งออกรถไปตอนนี้ อาจจะตามรถของพวกเดโชไม่ทัน แต่มือและเท้าของพีภัทรยังไม่อาจเคลื่อนไหวได้เมื่อรถของทิวากรแล่นหายลับไปไม่ถึงสิบวินาที รถกระบะอีกสองคันก็เคลื่อนตามออกมาติดๆ และแล่นผ่านไปในทิศทางเดียวกัน
รถกระบะแต่ละคัน มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำนั่งอยู่บนกระบะหลังไม่ต่ำกว่าหกคน
มันคงไม่มีอะไรถ้าชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถจะไม่ใช่กบิล – บุตรชายของพ่อเลี้ยงกำธร!
หัวคิ้วของพีภัทรในหมวกกันน็อคขมวดวุ่น กบิลและพรรคพวกขับตามรถของทิวากรไปทำไมในเมื่อถนนสายนั้นไม่มีเส้นทางทอดทะลุสู่ทางกลับเกาะคาสักหน่อย?
แล้วมนชนกก็บอกว่าวันนี้กบิลไม่ได้มาร่วมงานณาปนกิจศพของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ไม่ใช่หรือ?
อะไรบางอย่างเตือนพีภัทรว่ากำลังมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นจากทั้งสองทาง นักฆ่าหนุ่มขยับรถออกมาอยู่กลางทางออกของสุสาน เบื้องหน้าเป็นทางแยกสองสายคือทางซ้ายและทางขวา
ถ้าเขาตามขบวนของกบิลไป เขาก็จะไม่รู้ว่าทนายความร่างเตี้ยคนนั้นถูกพาตัวไปที่ไหน
แต่หากเขาตามรถของลูกน้องเดโชไป เขาก็ไม่มีทางทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกของทิวากรหรือไม่
บางครั้งคนเราก็พบกับการตัดสินใจที่ยากลำบากอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่พีภัทรคุ้นชินกับเรื่องการตัดสินใจดี เมื่อถึงคราวที่ต้องเลือกหนทาง เขามักจะใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจ
ใบหน้าของริสาที่เอี้ยวคอมองเขาผุดวาบเข้ามาในห้วงคิดอีกครั้ง
ฝนเม็ดแรกหล่นลงมาจากฟากฟ้าพร้อมการตัดสินใจของพีภัทร
นักฆ่าหนุ่มโน้มตัวลง บิดคันเร่ง พารถเคลื่อนออกจากที่ แล่นไปทางถนนด้านซ้ายมืออย่างมั่นใจว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ไม่มีสิ่งใดเตือนว่า การตัดสินใจครั้งนี้ ได้เปลี่ยนโชคชะตาของเขาไปทั้งชีวิต!
++++++++
แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 55 12:38:08
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
2 เม.ย. 55 11:22:52
|
|
|
|
 |