Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ห้วงแห่งคำสัญญา ตอนที่ ๑๘ ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ ๑๗ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11843624/W11843624.html

ตอนอื่นๆ ที่ลบไปแล้ว ติดตามอ่านได้ในบล็อกค่ะ ^^

 

 

ตอนที่ ๑๘

“อ๊ากกกกกก” ทัตพงศ์เบิกตากว้าง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่ของเขา แต่กลับเป็นของธุวชิต ที่กระเด็นออกจากตัวเขาอย่างแรง ร่างเปื่อยยุ่ยนั้นดิ้นทุรนทุรายราวกับโดนสาดน้ำกรดจนละลายหายไป ทิ้งไว้เพียงความตกตะลึงพรึงเพริดให้ชายหนุ่ม ที่รีบลนลานหักพวงมาลัยหลบก่อนรถจะพุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง

ทัตพงศ์ถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อรอดชีวิตมาได้อีกครั้งอย่างหวุดหวิด เขามองออกไปนอกรถที่ถนนค่อนข้างว่าง นานๆ จึงจะมีรถแล่นผ่านมาสักคัน ก่อนจะยกมือขึ้นแตะที่คออย่างแปลกใจที่ไม่มีสร้อยพระแขวนอยู่ ลองคิดทบทวนก็จำได้ว่าเขาถอดออกไปตั้งแต่เมื่อคืนตอนจะอาบน้ำ แต่ทุกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จเขาจะใส่สร้อยพระทุกครั้งไม่เคยลืม ทว่าเมื่อคืนนี้เขากลับนึกไม่อยากใส่ขึ้นมา

ชายหนุ่มขนลุกซู่เสียวสันหลังวาบ เมื่อคิดว่าเจ้าผีร้ายนั่นอาจจะอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่เอากระดูกมันมาแล้วก็ได้ แปลว่ามันรู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกัน มันถึงได้โผล่มาขัดขวางด้วยการยืมมือเขาฆ่าศศวรรธน์ แล้วตัวเขาเองก็ต้องกลายเป็นฆาตกร มือใหญ่ค่อนข้างสั่นจึงลนลานหยิบมือถือขึ้นมาโทร.หาคนช่วย เขาไม่ได้จิตแข็งเหมือนเพื่อนถึงจะได้กล้าต่อกรกับผีตามลำพัง

“เวรเอ๊ย แบตฯ ดันหมดอีก” ทัตพงศ์สบถก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมแรงๆ พลางคิดหนักว่าจะเอาอย่างไรต่อดี กลับบ้านหรือจะไปหาย่าทวดต่อ เพียงคิดถึงย่าทวดเขาก็ตกลงใจได้ว่าต้องไปต่อ อย่างน้อยเอากระดูกย่าทวดมาท่านคงพอคุ้มครองเขาได้บ้าง อีกอย่างระยะทางก็เหลืออีกไม่ไกลแล้ว แต่ถ้ากลับไปทางเดิมแล้วธุวชิตย้อนกลับมา ไม่ต้องเข้ามาถึงในรถหรอก แค่มันโผล่มาตัดหน้ารถเขาคงได้ตายก่อนกลับถึงบ้าน

 

          “บ้านเรียบร้อยดีนะลุง” ชายหนุ่มเอ่ยถามกับผู้ดูแลบ้านที่กำลังไขกุญแจเปิดประตูให้

          “เรียบร้อยดีครับคุณทัต เชิญครับ จะให้ผมรอหรือออกไปก่อนดีครับ”

          “รออยู่ด้วยกันสิลุง ผมเอาของแป๊บเดียวก็จะกลับแล้ว อ้อ ลุงจะเข้าไปกรุงเทพฯ ไหมจะได้นั่งรถออกไปด้วยกัน” อย่างน้อยการมีเพื่อนที่เป็นมนุษย์เหมือนกันนั่งออกไปด้วย มันย่อมอุ่นใจกว่าไปกับย่าทวดตามลำพัง

          “คงไม่ไปหรอกครับ เพราะวันนี้ญาติจากต่างจังหวัดจะมาหาที่บ้าน นี่ก็กำลังทำอาหารไว้รอเขาอยู่”

          นายแม้นจะเล่าอะไรอีกยืดยาวชายหนุ่มก็ไม่สนใจอยากจะรู้ เพราะสำหรับเขาต้องการแค่ไปหรือไม่ไปเท่านั้น ครั้นจะขอให้นั่งรถไปด้วยกันตรงๆ ก็ไม่รู้จะเอาเหตุผลไหนมาอ้าง ลุงแม้นไม่ใช่ยันต์กันผีขืนรู้เข้าคงได้กลัวไปด้วยอีกคน เขาถอนใจอย่างหงุดหงิดพลางเดินตรงเข้าไปในห้องโถง แสงไฟที่เปิดสว่างขึ้นทำให้มองเห็นโกศสีทองที่วางอยู่ด้านหน้ากรอบรูปขนาดใหญ่ของย่าทวด

          ‘ผมมารับกระดูกของย่าทวดแทนวรรธน์ เอ้ย ปู่ทวด ไปด้วยกันนะครับ แล้วอย่าลืมคุ้มครองผมจากไอ้ผีนั่นด้วย กว่าจะมาถึงนี่ผมก็เกือบแย่มาทีแล้ว’ ทัตพงศ์โอดอยู่ในใจระหว่างหลับตาพนมมืออธิษฐาน และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจะด้วยอุปาทานหรืออะไรก็ตาม ที่ทำให้เขารู้สึกว่าแววตาของย่าทวดที่มองตอบมา เศร้ากว่าทุกครั้งที่เขาเคยมายืนมองภาพนี้

ชายหนุ่มถอนใจอีกครั้งเมื่อตระหนักว่าไม่ใช่แค่เขาที่ทุกข์ แต่ย่าทวดของเขาเองคงกำลังโศกเศร้ายิ่งไปกว่า และการรีบไปสู่สุคติเสียโดยเร็วนั่นแหละคือการช่วยให้ท่านได้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ความเห็นใจทำให้มือใหญ่รีบหยิบโกศสีทองขึ้นมาแล้วก้าวออกไปจากห้องอย่างลืมความกลัวไปชั่วคราว

 

ทว่าเมื่อขับรถออกมาลำพังความกลัวก็เข้ามาเล่นงานเขาอีก เมื่อรู้สึกเหมือนมีใครสักคนมานั่งอยู่ข้างๆ บนเบาะที่วางโกศกระดูกเอาไว้ ทัตพงศ์ไม่แน่ใจนักว่าคิดไปเองหรือเปล่า หากความกลัวก็ทำให้เขาลืมเรื่องวลิดาไปได้ชั่วขณะ จึงได้เห็นอย่างที่หลวงตาเคยบอกไว้ว่าความคิดของคนเรามันไม่คงที่ พอมีเรื่องใหม่เข้ามาก็พร้อมจะลืมเรื่องเก่า ขอเพียงเราไม่ดึงใจตัวเองกลับไปจมกับมันเท่านั้น เรื่องที่เคยคิดว่าทำใจได้ยาก เขาจึงเริ่มมองเห็นทางสว่างขึ้นกว่าเดิมว่าพอจะมีทางทำได้

 

“ฉันได้กระดูกย่าทวดมาแล้ว” ทัตพงศ์เอ่ยกับเพื่อนที่เดินเข้ามาหาถึงประตูรถ ก่อนจะพ่นลมออกจากปากแรงๆ ที่รอดมาถึงวัดได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทัตเรื่องลิดาน่ะฉัน...” ศศวรรธน์อยากจะอธิบาย เพราะเมื่อเช้านี้ที่คุยกันอยู่ๆ อีกฝ่ายก็ตัดบทแล้ววางสายไปเฉยๆ หากเอ่ยยังไม่ทันจบก็โดนขัดขึ้นเสียก่อน

“ช่างเหอะ เอาเป็นว่าฉันเข้าใจแล้วกัน ลิดาเขารักแกเขาเต็มใจที่จะแต่งกับแกไม่ใช่ฉัน และฉันก็คิดเหมือนคุณแม่คือลิดาเหมาะกับแกที่สุดแล้ว เราไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันอีกและแกก็เลิกขอโทษฉันได้แล้ว” สำหรับเขายิ่งพูดถึงมันก็ยิ่งตอกย้ำใจสู้ไม่พูดเสียเลยยังดีกว่า

“ขอบใจนะเพื่อน” ศศวรรธน์ตบไหล่เพื่อนหนักๆ ใบหน้าที่แห้งเกรียมด้วยความทุกข์ค่อยดีขึ้น “เอาโกศใส่กระดูกคุณอรมาไว้ในรถฉันก่อนก็ได้ หลวงตาท่านติดกิจนิมนต์ยังไม่กลับมาเลย”

“เออ แล้วนี่แกเห็นย่าทวดตามฉันมาด้วยหรือเปล่าวะ?” ทัตพงศ์กระซิบถามเพื่อนเบาๆ

“ไม่เห็นนะ แกมีอะไรหรือเปล่า?”

“มียิ่งกว่ามีอีก แกรู้ไหมว่าธุวชิตน่ะมันรู้แล้วว่าเราเอากระดูกมันมา นี่มันก็ตามไปเล่นงานฉันถึงในรถ พระสักองค์ฉันก็ไม่ได้แขวนแต่อยู่ดีๆ มันก็กระเด็นออกไปเฉยเลย ไม่รู้ว่าโดนอะไรเข้าไป” ทัตพงศ์เล่าขณะส่งโกศให้เพื่อนเพื่อเอาไปเก็บไว้ในรถด้วยกัน

“แล้วแกไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?” ศศวรรธน์หันมากวาดตามองเพื่อนอย่างเป็นห่วง

“เออ ไม่เป็นไร บอกแล้วไงว่าอยู่ๆ มันก็กระเด็นออกไป แถมยังร้องโอดโอยเป็นหมาโดนน้ำร้อนลวกอีก แกพอจะคิดออกไหมว่ามันโดนอะไรเข้าไป”

ศศวรรธน์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ “แกจำได้ไหมวันที่หลวงตาให้พวกเราดื่มน้ำมนต์เข้าไป ท่านยังใช้ปลายเทียนเขียนอะไรสักอย่างไว้ที่หน้าผากให้ด้วย ฉันว่าธุวชิตมันอาจจะกลัวสองอย่างนี่ก็ได้”

“เออว่ะ” ทัตพงศ์พยักหน้าพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ “เฮ้ย อย่างนี้เราก็ไม่ต้องกลัวมันแล้วสิ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างฮึกเหิม อกใจที่สั่นขวัญแขวนค่อยมีกำลังใจขึ้น

“แต่ไงก็อย่าประมาทมันทำกับตัวแกไม่ได้ แกมันก็ใช้วิธีอื่นได้”

“รู้น่า แล้วนี่เผาพี่หวีตอนกี่โมง?” ถามพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูซึ่งเพิ่งบอกเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง

“สี่โมงเย็น” ศศวรรธน์ตอบพลันก็เหลือบไปเห็นชายที่เขาจำได้ว่าเป็นรปภ.ของหมู่บ้านตรงเข้ามาทัก

“โทษทีนะครับ วันสวดผมต้องอยู่เวรมาร่วมงานไม่ได้เลย กว่าจะมาได้ก็วันเผาเลย เสียใจด้วยนะครับคิดแล้วก็ยังไม่อยากเชื่อเลย ตอนเช้าวันที่คุณหวีเสียผมยังคุยด้วยอยู่เลย แกออกมาตักบาตรแต่เช้าผมยังบอกแกเลยว่าเห็นผีนั่งอยู่บนหลังคาบ้าน พอตอนสายก็ได้ข่าวว่าแกตกบันไดมาคอหักตายซะแล้ว เฮ้อ”

จากคุณ : นารีจำศีล
เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 55 23:36:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com