Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หัวใจก้นครัว ๓๒-๓๓-๓๔ (แก้ไขใหม่) ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๓๒  

         หญิงสาวร่างสูงสมส่วน ในชุดกีฬารัดรูปสีชมพูอ่อน ที่เพิ่งจะเสร็จจากการเล่นโยคะ ในตอนเช้าของวัน
เดินตามกลิ่นหอมกรุ่นของอาหาร ที่ลอยโชยมาจากในครัวไทย บริเวณหลังบ้าน เมื่อมาถึงหน้าประตูที่เปิดกว้าง หล่อนเห็นภาพของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ที่กำลังขะมักเขม้นอยู่หน้าเตาถ่าน เพื่อคอยควบคุมความร้อนให้พอดีกับน้ำแกงที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในหม้อเคลือบใบใหญ่ตรงหน้า จนหญิงสาวอดที่จะเอ่ยแซวออกมา ให้คนที่กำลังตั้งอกตั้งใจอยู่หน้าเตานั้นรู้ตัว

         “แหม!...หอมจังเลยอ่ะ แค่ได้กลิ่นก็น้ำลายสอแล้วนะเนี่ย”

       รักษภูมิหันมายิ้มให้ สิตาที่กำลังเดินเข้ามาในห้องครัวอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะตักน้ำแกงใสสีเหลืองอำพันในหม้อตรงหน้า ใส่ถ้วยกระเบื้องบางเฉียบที่เตรียมไว้ แล้วพูดว่า

         “เอาสิ กำลังได้ที่พอดีเลย ช่วยชิมให้ที”

          “โอ๊ย! ตั้งใจขนาดนี้ ไม่ต้องชิมก็รู้น่า ถ้า ตาเชฟภัทรได้กินเข้าไป มีหวังหายไอไปหลายปีแน่ๆ” สิตาพูดพลางตักน้ำแกงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดถ้วย ก่อนจะหันไปจัดการ อาหารเช้าที่ป้าดอกแม่ครัวใหญ่จัดใส่จานมาวางให้อย่างรู้ใจ

          ขณะที่สิตากำลังจัดการกับอาหารเช้าชุดใหญ่อยู่ รักษภูมิก็หันไปตักน้ำแกงใส่กระติกเก็บความร้อนใบใหญ่ พลางถามเรื่องราวในอนาคตที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ไปด้วย

          “แล้วเรื่องงานถ่ายมิวสิควีดีโอไปถึงไหนแล้วล่ะ มันจะทันกับที่จะต้องไปเปิดตัวกับผู้บริหารค่ายเพลงสากลที่สิงคโปร์อาทิตย์หน้าไหม?”

         “เส้นร้องน่ะเสร็จแล้ว เหลือแต่ทำสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษอีกนิดหน่อย เย็นนี้พอเลิกเรียนก็คงจะไปถ่ายให้เรียบร้อย เดือนหน้าสิตาคงจะยุ่งๆสักหน่อย เพราะเพลงจะปล่อยออกมาโปรโมตแล้ว ดีไม่ดีอาจจะต้องโดดเรียนบ้างนะเนี่ย” สิตาตอบทั้งๆที่ยังจัดการกับอาหารตรงหน้าอยู่

         “ยังไงก็อย่าให้ขาดเรียนมากนัก ระวังจะเรียนไม่จบเอานะ ดีไม่ดีจะขายหน้าเขาเปล่าๆ”

           “แหม...เขาที่แดงว่าน่ะ มันหมายถึงตาเชฟภัทรรึเปล่าน้า... รับรองน่า สิตาไม่ยอมให้ตาเชฟมาถากถางสิตาได้อย่างที่เคยก็แล้วกัน” สิตาจบการรับประทานอาหารเช้าด้วย น้ำส้มสดคั้นใหม่แก้วใหญ่

           ก่อนที่จะเดินจากไป แล้วทิ้งท้ายคำพูดให้รักษภูมิที่หันไปช่วยจัดอาหารเช้า สำหรับสมาชิกคนอื่นๆในบ้านที่จะทยอยมากิน ก่อนจะออกไปเรียนหรือทำงานนอกบ้าน ตามประสาคนในครอบครัวใหญ่

          “เดี๋ยวสิตา จะออกไปคุยกับสไตลิสต์ของบริษัท เรื่องเสื้อผ้าหน้าผมซะหน่อย มากมายหลายสิ่งกันไปมา จนศิลปินชักจะปวดหัว แต่ยังไงวันสองวันนี้ต้องรู้เรื่องแล้ว เจอกันที่ไทยทัศน์เลยทีเดียวนะ ตอนบ่ายละกัน ไปก่อนนะ”

           ยังไม่ทันที่รักษภูมิจะตอบว่าอะไร สิตาก็เดินหายไปอย่างรวดเร็ว สวนกับเด็กในบ้านคนอื่นๆที่เดินเข้ามาในห้องครัวแล้วเช่นกัน

            ในช่วงเวลาพักเที่ยงก่อนที่จะเข้าเรียนในตอนบ่าย รักษภูมิ เดินเข้ามายืนที่หน้าห้องทำงานของภัทร เขายืนมองเข้าไปในห้อง ก็พบแต่สุรักษ์เลขาคู่ใจนั่งทำงานอยู่เพียงคนเดียว เขาเคาะกระจกเบาๆก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

          “เชฟภัทร ออกไปตรวจรับของสดที่เพิ่งส่งเข้ามาน่ะครับ คุณรักษภูมิ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

          “ผม ทำน้ำแกงมาให้เชฟภัทรน่ะครับ ผมฝากกับพี่สุรักษ์ไว้แล้วกัน เดี๋ยวผมจะเขียนโน้ตฝากไว้ให้ด้วย” รักษภูมิ บอกกับสุรักษ์ก่อนจะออกไปสมทบกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่ทยอยมาอยู่ที่ห้องแคนทีน เพื่อรอเข้าเรียนในช่วงบ่ายนี้

           เมื่อภัทรกลับเข้ามาในห้องทำงานอีกครั้ง เขาก็พบกระติกเก็บความร้อนวางอยู่บนโต๊ะทำงาน และมีโน้ตวางไว้ เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำแกงสมุนไพรนี้ หลังจากที่ดื่มน้ำแกงอุ่นใสสีเหลืองอำพันหอมกรุ่นเข้าไปแล้ว เขาก็เกิดความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับมานานแสนนาน ตั้งแต่โกเคี้ยงและคุณไดอาน่าจากไป รสชาติคุ้นลิ้นผสมผสานกับความรักความห่วงใย จนทำให้อาการเจ็บป่วยนี้หายไปได้อย่างรวดเร็ว...

            “คุณภัทร ลื้อต้องกินให้หมดชาม คุณไดอาน่า อุตส่าห์ตั้งใจตุ๋นให้ลื้อด้วยตัวเองเลยนะ” โกเคี้ยง ยืนยิ้มอย่างเอ็นดูในตัวเขา เมื่อเห็นว่าเขากำลังค่อยๆดื่มน้ำแกงร้อนๆตรงหน้าตน

              “คุณภัทร เธอคงไม่คุ้นกับน้ำแกงอย่างเราๆมั้งคะ เฮียเคี้ยง ดูไม่ค่อยกล้ากินสักเท่าไหร่” ไดอาน่าที่กำลังอุ้มหนูน้อยแอนนี่อยู่ไม่ไกลนัก พูดแย้งโกเคี้ยงที่กำลังเคี่ยวเข็ญให้เขากินน้ำแกงที่รสแปลกไม่คุ้นลิ้นอยู่นั่นเอง

             “ใหม่ๆรสชาติมันก็จะแปลกๆอย่างนี้ล่ะ พอสักพักมันก็จะชุ่มคอ ชุ่มชื้นไปถึงปอดเลยล่ะ กลิ่นยาจีนถ้าลื้อกินบ่อยๆ ก็จะชิน อีกหน่อยจะติดใจ เรียกหาอีกล่ะสิไม่ว่า” โกเคี้ยง โฆษณาสรรพคุณของน้ำแกงสูตรประจำตระกูลของเขา ให้เด็กหนุ่มตรงหน้าฟังอย่างภูมิใจ ก่อนที่จะเอ็ดเขาต่อไปอีกว่า

           “ช่วงนี้อากาศมันเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ ยังจะออกไปเตะฟุตบอลกับเด็กๆในวังตอนเช้าอีก ตอนเช้าน่ะน้ำค้างมันแรงรู้ไหม แล้วเราทำงานกับควัน กับอาหารด้วยแล้ว ต้องดูแลรักษาปอดเราไว้ให้ดี จะไอนิดไอหน่อยไม่ได้ ถ้าลูกค้าของเรามาเห็นพ่อครัวไอ ตอนทำอาหาร มันจะดูไม่ดีนะ อาคุณภัทร”

             โกเคี้ยงหยุดบ่น เมื่อเห็นเขาดื่มน้ำแกงจนหมดชาม เขาหันไปยิ้มกับคุณไดอาน่าที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันไปยิ้มกับโกเคี้ยงอย่างขอบคุณ จนโกเคี้ยงอดที่จะเอามือมาขยี้หัวเขาเบาๆอย่างเอ็นดูไม่ได้


            รักษภูมิมาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะในตอนเช้าตามปกติ วันนี้เขามาเพียงลำพัง เนื่องจากสิตาต้องพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวถ่ายภาพนิ่งในตอนสายของวันนี้ เขาถีบจักรยานไปช้าๆอย่างสบายอารมณ์ กับธรรมชาติอันงดงาม จนเขาต้องมาเบรกจนเกือบสะดุดล้ม กับบุคคลที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง

            “คุณรักครับ ผมมีอะไร อยากจะคุยด้วยสักหน่อย ได้ไหมครับ” ภัทรรีบพูด ก่อนที่รักษภูมิจะหายตกใจไปเสียก่อน

              รักษภูมิเดินจูงจักรยานตามภัทรไปอย่างงงๆ ทั้งคู่พากันไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาอดตื่นเต้นไม่ได้กับท่าทีที่จริงจังของภัทร จนรู้สึกใจจดจ่อไปกับคำถามที่จะได้รับจากชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้

            “เชฟมีอะไรสำคัญมากเหรอครับ ดูจริงจังทีเดียว ผมตื่นเต้นไปหมดแล้วนะฮะ” เมื่อนั่งลงบนม้านั่ง รักษภูมิก็เอ่ยขึ้นมา เพื่อลดความเคร่งเครียดระหว่างเขาทั้งคู่ลงไปบ้าง  

             “ผม...เอ่อ...ผม อยากถามคุณรักษภูมิ เกี่ยวกับเรื่องน้ำแกงที่นำมาฝากผมเมื่อวานนี้ รสชาติดีมากเลยครับ ไม่ทราบว่าได้สูตรนี้มาจากไหนกันครับ” ภัทร พยายามเรียบเรียงคำพูดอย่างยากลำบาก เพราะในใจของเขาตอนนี้ กำลังลุ้นอยู่ว่า เขาอาจจะได้ทราบข่าวคราวจากคนที่เขากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้

            “อ๋อ... เชฟชอบเหรอครับ งั้นวันหลังผมจะทำไปฝากอีกนะครับ” รักษภูมิพูดตอบไป ทั้งๆที่ยังไม่ค่อยแน่ใจในจุดประสงค์ที่ภัทรตั้งคำถามนั้นเท่าใด แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบราวกับให้เขาตอบคำถามให้ถูกจุด จนเขารวบรวมความกล้าค่อยๆหันไปมองภัทรด้วยใจตึกตัก ก่อนจะตอบออกมาอีกครั้งด้วยอาการคล้ายกับคนถูกมนตร์สะกด

             “ส่วนสูตร ก็เป็นของคุณอาคนสนิทของที่บ้านน่ะครับ สิตาเองก็รู้จักดีเหมือนกันครับ”

             “แล้วเขาชื่ออะไร? อยู่ที่ไหน?เป็นคนจีนหรือเปล่าครับ? คุณรัก” ภัทรสวนคำถามออกไปอย่างลืมตัว จนรักษภูมิก็อดที่จะแปลกใจในท่าทีนั้นไม่ได้ แต่ก็ตอบไปทั้งๆที่ยังงงๆอยู่ว่า

             “ชื่ออาพงศ์ครับ อยู่ที่ระยอง เขาคอยดูแลรีสอร์ตให้กับครอบครัวของเราน่ะครับ ส่วนเป็นคนจีนรึเปล่านั้น ผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าไม่น่าใช่ เพราะดูแล้วอาพงศ์ดูเหมือนจะอยู่ที่ระยองมานานแล้ว”

            รักษภูมิสังเกตเห็นว่าสีหน้าของภัทรสลดลงไปอย่างคนที่ผิดหวัง เขาแอบได้ยินชายหนุ่มข้างกายถอนหายใจออกมาอย่างแรงอีกด้วย เขาจึงพูดตอบออกไปอย่างปลอบใจว่า

            “เดี๋ยวผมจะโทรถามอาพงศ์ให้ละเอียดอีกทีดีไหมครับว่า แกได้สูตรมาจากไหน แต่ที่แน่ๆสูตรนี้ป้าดอกแม่ครัวที่บ้านก็ต้มให้พวกเรากินบ่อยๆ ตอนอากาศเปลี่ยนอย่างนี้น่ะครับ”

             ภัทรได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งแน่ใจว่า เขาคงเข้าใจผิดไปเอง บางทีอาจจะไม่มีการเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย ป่วยการที่จะขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก เขาจึงบอกรักษภูมิว่า

            “ช่างมันเถอะครับ ผมอาจจะคิดมากไปเอง ขอบคุณอีกครั้งนะครับ สำหรับน้ำใจที่มีให้ผม”

           รักษภูมิ ยิ้มรับคำขอบคุณนั้นอย่างเขินอาย ก่อนที่จะพูดความในใจออกไปอย่างที่ใจคิดไว้ ฝนก็ตกลงซู่ใหญ่ ภัทรถอดแจ็คเก็ตที่กันฝนได้ของเขาออกมากางบังสายฝนที่กำลังตกลงมา ระหว่างทางที่ทั้งรักษภูมิและภัทรวิ่งมาที่รถจักรยานที่จอดทิ้งไว้อยู่นั้น

          แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่รักษภูมิก็อยากจะหยุดเวลาไว้เพียงแค่นั้น กลิ่นหอมอ่อนๆของอาฟเตอร์เชฟจากชายหนุ่มหน้าตาคมสัน ร่างที่สูงกว่าเขาขณะที่ยกเสื้อมากันฝนให้กับเขานั้น ทำให้เขาต้องย่อตัวให้เข้าไปใกล้กับซอกคอและแผงอกอันกว้างกำยำของภัทร ทำเอารักษภูมิแทบจะไร้เรี่ยวแรงที่จะก้าวตามภัทรไปเลยทีเดียว

            เหมือนท้องฟ้าจงใจกลั่นแกล้งเขา เมื่อไปถึงรถจักรยานฝนก็หยุดตกลงมา ท้องฟ้าแจ่มใสไปด้วยแสงแดด ราวกับไม่เคยมีฝนตกมาก่อน ภัทรขึ้นไปนั่งที่อานแล้วบอกว่า

           “ให้ผมขับไปส่งคุณรักก็แล้วกันนะครับ”

           สนามหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่หลังฝนตก เป็นภาพที่งดงาม จนภัทรดูแล้วอดที่จะอารมณ์ดีไปด้วยไม่ได้ เขาผิวปากเป็นเพลงเบาๆอย่างครึ้มใจ ขณะที่รักษภูมิที่ซ้อนอยู่ที่เบาะด้านหลังนั้น กลับว้าวุ่นใจ ทั้งที่ภัทรอยู่ตรงหน้าเขา ในใจตนอยากจะเอื้อมมือเข้าไปโอบกอดให้สมความปรารถนา แต่เขาก็ทำได้แค่นั่งตัวเกร็งไปตลอดทางเพียงเท่านั้นเอง


             เสียงข้อความเข้าของโทรศัพท์ดังเตือน ทำให้สิตาที่กำลังนั่งเลือกแบบชุดอยู่ หยิบขึ้นมากดดู หล่อนเห็นเป็นข้อความภาพจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เมื่อกดขึ้นดูก็พบว่าเป็นภาพของแดงกับภัทรที่วิ่งฝ่าสายฝนมาด้วยกัน มีทั้งภาพไกลและใกล้ จนน่าสงสัย หญิงสาวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แต่ที่สงสัยในใจมากที่สุดก็คงจะเป็นคำถามที่ว่า...

             ใครคือคนที่ส่งคือใคร?...และมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?


             กลิ่นหอมของน้ำกะทิใส่พริกแกงเขียวหวานที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้อง ภัทรเปิดโอกาสให้นักเรียนนำช้อนมาตักชิมรสชาติที่ปรุงไว้ พร้อมอธิบายเหตุผลเพิ่มเติมด้วยว่า

           “น้ำพริกแกงที่เราเตรียมไว้จะมีเพียงแค่น้ำกะทิ พริกแกง และปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย เพื่อให้เก็บรักษาไว้ได้นาน เมื่อจะใช้ก็นำที่เราแบ่งใส่ถุงแช่แข็งไว้ นำมาละลาย ใส่ของสดที่เราเตรียมไว้ แล้วค่อยปรุงรสด้วยเครื่องปรุงตามสูตร”

           สิตา ชิมน้ำแกงเขียวหวานสีเขียวอ่อนระเรื่อ ที่ปรุงรสด้วยเพียงแค่เกลือเท่านั้น แต่ความหอมหวานของกะทิสด บวกกับความเค็มปะแล่มๆของเกลือสมุทร กลับเข้ากันได้ดีอย่างประหลาด จนแทบจะไม่ต้องปรุงรสเพิ่มเลยด้วยซ้ำ เสียงภัทรที่พูดอยู่ไม่ไกลลอยมาให้หล่อนได้ยินว่า

            “ในปัจจุบันนี้ที่ส่วนใหญ่ มักจะนิยมใช้น้ำมันผัดกับพริกแกงก่อนที่จะใส่กะทิตามลงไป วิธีนี้อาจจะดูเหมือนง่าย และทำให้แกงมีน้ำมันลอยหน้าชัดเจน แต่รับรองว่ารสชาติที่ได้ แตกต่างกว่าที่เราผัดกะทิให้แตกมันก่อนแน่นอนครับ”

            เมื่อทุกคนแยกย้ายมาประจำที่หน้าเตาของแต่ละคนแล้ว เปียโนที่จับคู่กับสิตาในวันนี้ หันมาถามสิตาที่ยืนอยู่หน้าเตา ในกระทะทองเหลืองมีกะทิเริ่มเดือด ส่งกลิ่นหอมลอยขึ้นมาว่า

          “พี่สิต้า! เป็นอะไรเนี่ย ยืนเหม่ออยู่ได้ กะทิจะไหม้หมดแล้ว ทำไมไม่ค้นมันเลย”

          ถ้าเป็นปกติ สิตาคงจะอดขำในความไม่คล่องภาษาไทยของเปียโนไม่ได้ จนต้องเอ่ยแซวกลับไปบ้าง แต่วันนี้หล่อนไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น จึงได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วก็คนกะทิในกระทะไปอย่างเงียบๆและทำทุกอย่างไปอย่างเซ็งๆ จนเสร็จสิ้นการเรียนในวันนั้น

            ก่อนที่จะหมดคาบเรียน ภัทรแจ้งข่าวแก่นักเรียนทุกคนให้ทราบทั่วกันว่า

          “พรุ่งนี้ และวันเสาร์  ผมจะต้องไปทำธุระให้กับโรงแรมในเครือฯ จึงไม่สามารถมาสอนได้ เชฟสุขสมร จะมาเป็นคนสอนแทน แล้วพบกันในวันอังคารนะครับทุกคน”

           ก่อนที่จะออกไปจากห้อง ภัทรแอบชำเลืองมองไปทางสิตาที่ยืนเช็ดโต๊ะอยู่กับเปียโน หญิงสาวมองตอบเขาอย่างเฉยเมย จนรู้สึกแปลกใจ แต่เนื่องจาก เขาต้องไปประชุมกับพนักงานในครัวที่รอสรุปสำหรับงานเลี้ยงใหญ่ในคืนนี้ จึงทำให้เขาต้องรีบเดินออกไปจากห้องเรียนด้วยความสงสัยในใจ

           ทับทิมจัดเรียงอาหารใส่ปิ่นโต ที่ภัทรนำมาเตรียมไว้ให้ ตั้งแต่ตอนกลางคืนจนเสร็จเรียบร้อย ยังไม่ทันที่จะสั่งให้ต้นแม่บ้านโทรศัพท์ไปตามภัทรที่ห้องนอน ชายหนุ่มก็แต่งตัวเรียบร้อยลงมาเสียก่อน ในมือของเขามีถุงพลาสติกบรรจุของอีกหลายอย่าง ภัทรพูดกับผู้เป็นป้าอย่างอารมณ์ดีว่า

         “นึกขึ้นมาได้ว่า ซื้อขนมจันอับกับขนมไหว้พระจันทร์มาใส่บาตรด้วย ฝากจัดใส่ถาดเพิ่มด้วยนะครับพี่ต้น”

        “ทำไมถึงเอาของมาใส่บาตรมากมายนักล่ะ คุณภัทร มีอะไรหรือเปล่า” ทับทิมถามขึ้นมา ทั้งๆที่ช่วยหยิบขนมที่อยู่ในถุงมาจัดวางใส่จานไปด้วย

          “อยู่ดีๆผมก็นึกถึงโกเคี้ยงครับ ทั้งคิดถึงและฝันถึงด้วย เลยอยากจะเอาของชอบพวกนี้ใส่บาตร อย่างน้อยก็จะได้สบายใจว่าเราไม่เคยลืมแก” ภัทร พูดถึงผู้ชายที่เคยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตมาในอดีตอย่างมีความสุข

          ทับทิมมองภัทรในชุดเสื้อยืดโปโลสีเขียวอ่อนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างเห็นใจ แม้ว่านายคงและครอบครัวจะทำให้ชีวิตของชายหนุ่มต้องพลิกผันไปอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็ไม่เคยกล่าวโทษพวกคนเหล่านั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนหล่อนอดที่จะย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาวุ่นวาย เมื่อนายคงและครอบครัวได้จากไปแล้วนั้นไม่ได้เลย…

            ขณะที่ภัทรยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น พงศ์ น้องชายคนเดียวของนายคงที่เหลืออยู่ มักจะแวะมาเยี่ยมดูอาการของภัทรอยู่บ่อย แต่เมื่อภัทรฟื้นขึ้นมา เขาก็กลับหายตัวไป อีกทั้งอาการป่วยทางจิตที่เคยเป็นในตอนเด็ก ก็กลับมาเป็นอีกครั้ง หมอสันนิษฐานว่าเขาคงจะช็อกกับเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนวันเกิดเหตุ และอาจไปกระตุ้นให้ความทรงจำในวัยเด็กกลับมาอีกครั้ง

            หม่อมเกตแก้วและคุณหญิงรัดเกล้า ต่างเป็นกังวลกับอาการป่วยทางจิตของภัทรมาก จนถึงขั้นขอร้องให้ทับทิมวางมือจากการขายของ มาดูแลภัทรอย่างเดียวจนกว่าจะหายเป็นปกติอีกครั้ง

            จากนั้นเป็นเวลากว่าหนึ่งปี ที่ภัทรจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม แต่ภายในรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เขาสร้างขึ้นมานั้น ส่วนลึกของจิตใจ ยังคงมีริ้วรอยของความเสียใจซ่อนอยู่ ทับทิมจึงค่อยๆถ่ายทอดวิชาในการแกะสลักผลไม้ที่หล่อนมีความรู้ความสามารถให้กับภัทร ด้วยหวังเพียงแค่ต้องการให้หลานชายเพียงคนเดียวจะพอมีอะไรให้ทำเพื่อคลายความทุกข์ในจิตใจลงไปได้บ้าง

              ในที่สุด ภัทรก็กลับมามีสมาธิเหมือนปกติ แต่ที่สร้างแปลกใจให้กับท่านหญิงเกตุแก้ว คุณหญิงรัดเกล้า รวมถึงนางทับทิมเอง นั่นก็คือการที่เด็กหนุ่มเข้ามาเอ่ยปากถึงแผนการเรียนในอนาคตว่า

           “ผมจะขอเรียนเกี่ยวกับการทำอาหารโดยตรง จนจบมหาวิทยาลัยเลยจะได้ไหมครับ”

              เพื่อทายาทเพียงคนเดียวของคุณชายเภาสวัสดิ์ ท่านหญิงเกตุแก้วโปรดให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง โดยมอบหมายให้คุณหญิงรัดเกล้าเป็นผู้ปกครอง และคอยให้คำแนะนำให้ภัทรได้ศึกษาในศาสตร์ที่ดีที่สุด ภัทรได้เรียนอาหารไทยและต่างประเทศกับสถาบันที่ดีที่สุดในประเทศ และยังมีทับทิมคอยเป็นผู้ถ่ายทอดเคล็ดลับของครัวในวังสิราวรกาญจน์ให้อย่างหมดเปลือก จนจบระดับชั้นวิชาชีพขั้นสูง

              ภัทรได้ถูกส่งไปเรียนการอาหารและการโรงแรมในสถาบันที่ดีที่สุด ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนไปต่อการทำอาหารนานาชาติในประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ก่อนที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเรียนจบ ชายหนุ่มขอไปฝึกงานตามโรงแรมในประเทศต่างๆ เช่นญี่ปุ่น โมร็อกโก และอิตาลี่

               จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ทางโรงแรมในเครือได้มีการติดต่อทาบทามมา ทางทรัพย์สินส่วนกลางของวังสิราวรกาญจน์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของหม่อมราชวงศ์หญิงรัดเกล้า เพื่อขอเช่า วังสิราวรกาญจน์ที่ขณะนั้นถูกปิดลง

              เนื่องจากสิ้นท่านหญิงเกตแก้วแล้ว สมาชิกคนอื่นๆในตระกูลต่างก็แยกย้ายไปอยู่กันตามครอบครัวของตน โดยจะเปิดเป็นภัตตาคารอาหารไทยครบวงจร เพื่อเป็นสถานที่ต้อนรับแขกต่างชาติคนสำคัญของทางโรงแรม

               คุณหญิงรัดเกล้าตามภัทรให้กลับมาดูแลการเปิดตัวของ ‘ไทยทัศน์’ อีกครั้ง โดยภัทรมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวนั่นก็คือ การที่เขาจะต้องเปิดสอนอาหารไทยอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งโครงการนี้ก็สามารถเป็นรูปร่างได้ขึ้นมาในปัจจุบันได้  ก็เพราะภัทรได้ทุ่มเทความสามารถทั้งหมด รวมถึงความร่วมมือจากเส้นสายของตระกูลสิราวรกาญจน์และโรงแรมในเครืออีกด้วยเช่นกัน

            “ป้าทับทิมครับ พระคงใกล้มาแล้ว ผมช่วยพี่ต้นยกข้าวของไปวางที่โต๊ะหน้าบ้านก่อนแล้วกันนะครับ” เสียงเตือนของชายหนุ่มทำให้ ทับทิมตื่นจากภวังค์ความคิดในอดีต หล่อนยิ้มให้หลายชายเพียงคนเดียว แล้วพูดว่า

            “มัวแต่คิดโน่น คิดนี่จนเพลินไปหน่อย รีบไปเถอะคุณภัทร เดี๋ยวป้าจะถือถาดดอกไม้ธูปเทียนกับปัจจัย ตามไปสมทบแล้วกันนะ”

           ภัทร ยิ้มรับอย่างเด็กน้อย ก่อนที่เขาจะกุลีกุจอช่วย ต้น สาวร่างใหญ่ถือถาดอาหารและปิ่นโตเดินนำไปที่โต๊ะหน้าบ้าน ทับทิมมองภาพตรงหน้าอย่างมีความสุข แต่เมื่อหล่อนยันกายขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ โลกทั้งใบก็กลับมืดลงอย่างฉับพลัน หล่อนเซไปปัดข้าวของบนโต๊ะตกลงมา  แต่ก็ไม่ได้ดังจนได้ยินไปถึงชายหนุ่มที่ยืนจัดข้าวของอยู่ที่ด้านหน้าประตูบ้าน ซึ่งไกลออกไปพอสมควร

            เด็กรับใช้พากันมาประคองทับทิมให้ไปนั่งพักที่โซฟาหวายสีขาว พลางส่งยาดมให้หล่อนดม ไม่นานนักหล่อนก็พอจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง ทับทิมจึงรีบหยิบถาดที่เด็กรับใช้จัดเรียงให้อย่างเรียบร้อยอีกครั้ง แล้วค่อยๆเดินไปหาภัทรที่รออยู่หน้าบ้าน ก่อนที่เขาจะรู้สึกผิดสังเกต โดยไม่ลืมกำชับเด็กรับใช้ในบ้านที่เข้ามาดูแล ด้วยเสียงเคร่งขรึมจนคนฟังอดเกรงไปด้วยไม่ได้ว่า

           “ไปทำงานกันต่อได้แล้ว พอคุณภัทรกลับเข้ามา อย่าบอกเรื่องเมื่อครู่นี้ให้เธอทราบล่ะ เข้าใจไหม เดี๋ยวจะไปทำงานที่ต่างประเทศอย่างไม่สบายใจ!”

จากคุณ : Awork
เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 02:39:58




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com