Defeated by your love SP : เรื่องราวระหว่างนั้น...I will tell you I love you by...(ปติกรณ์+มินตรา)
|
 |
สวัสดีคะ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่แต่งไว้ ก่อนจะแต่งเรื่อง Defeated by your love ปราชัยรัก เป็นนิยายสั้นๆ เขียนเอามันส์
โดยเรื่องของนิยายคือความรักที่เกี่ยวกับรอคอย ความเข้าใจผิด แต่ยังไงก็รักและคิดถึงอยู่เสมอ (แนวๆอารมณ์นี้นะคะ)
เป็นเรื่องราวของปติกรณ์ หรือ ตี้ ที่จู่ๆก็หายตัวไป ไม่ยอมไปทำงาน จนทำให้หยินเกิดเรื่องขึ้น (ฮา)
ขอขอบคุณนักอ่านทุกท่าน และขอน้อมรับคำติชมเพื่อนำไปแก้ไขคะ ขอบคุณคะ
I will tell you I love you by
ครืด....ครืด....ครืด....
เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นไม่ใกล้ไม่ไกลจากเด็กสาวคนหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือนิยายอังกฤษที่อ่านไปได้แล้วกว่าครึ่งเล่ม หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆแก้วกาแฟของเธอขึ้นมาดู เผยรอยยิ้มที่ดูน่ารักสดใสสมวัยทันทีเมื่อรู้ว่าฝ่ายที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทของตนเอง
กริ๊ก ฮัลโหลน้ำหวาน กลับมาจากอเมริกาแล้วเหรอ เด็กสาวกดรับและกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ใช่ กลับมาเมื่อคืนเอง เนี่ยเราตื่นมาก็รีบโทรหามิ้นท์เลย แต่ส่วนน้ำแข็งนะยังนอนตายอยู่บนห้องโน้น นั่งเครื่องกลับไทยแบบน็อนสต๊อปกันเลยจะเหนื่อยก็ไม่แปลกหรอก แล้วมิ้นท์หล่ะเป็นไงบ้าง ปิดเทอมนี้ทำอะไรบ้าง อีกฝ่ายตอบ ในขณะที่ฟังเด็กสาวที่อีกฝ่ายเรียกว่ามิ้นท์ก็เอื้อมมือไปหยิบที่คั้นหนังสือลายดอกทานตะวันมาคั้นหน้าที่อ่านค้างไว้
ก็ไมได้ทำอะไรอ่ะ ทำการบ้านปิดเทอม อ่านหนังสือนิยาย เรื่อยๆเปื่อยๆ แอบเบื่อนิดๆ
แหม ก็ไม่ยอมไปอเมริกากับเค้าเองนะ ถ้าไปด้วยกันนะ รับรองมันส์สนุกแน่
ฮ่าๆๆ เกรงใจน้ำหวานน้ำแข็งกับคุณพ่อคุณแม่นะ ไปกันเป็นครอบครัวนี่ ให้เราไปด้วยอีกคนก็เดี๋ยวจะมัวแต่เกรงใจเรากัน
โหย ไม่หรอก พ่อแม่เรากับมิ้นท์ก็สนิทกันจนมิ้นท์จะมีมาเป็นลูกคนที่สามอยู่แล้ว
ซะงั้นนะ ถึงยังงั้นเราก็เกรงใจ แต่ว่ากลับมามีของอะไรมาฝากเรามั่ง
มีเยอะมาก ถ้าว่างๆก่อนเปิดเทอมมิ้นท์ก็มาบ้านเราดิมาเลือกของฝาก เดี๋ยวเรากะว่าจะโทรหาพลอยต่อเลย รายนั่นสงสัยจะไม่เกินอาทิตย์ก็คงวิ่งแจ้นจากสุพรรณบุรีมารีบเอาของฝากแน่ๆ
คิคิคิ ก็คงจะยังงั้นนะ รายนั่นนะไม่เคยจะพลาดของฝากสักชิ้น เด็กสาวหัวเราะน้อยๆเมื่อนึกถึงเพื่อนในกลุ่มอีกคนหนึ่ง ในกลุ่มของเธอนั้นรวมตัวของเธอด้วยก็มีสมาชิกทั้งหมดสี่คน มีเธอที่ดูเหมือนจะเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มเพราะถ้านับตามเดือนเกิดของคนในกลุ่มแล้ว เธอเกิดต้นปีมีอายุมากที่สุดจึงเหมือนพี่ใหญ่ไปโดยปริยาย รองมาก็คือน้ำหวานเย็นกับน้ำแข็งใส ทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกัน เกิดช่วงกลางๆปี คนสุดท้ายก็คือพลอย เป็นน้องเล็กสุดในกลุ่มเพราะเกิดท้ายปี ในกลุ่มของเธอนั้นทุกคนสนิทสนมรักใคร่กันดีเหมือนพี่เหมือนน้องกันแท้ๆ ถึงแม้จะมีทะเลาะกันบ้างตามประสาแต่ก็ไม่เคยทะเลาะหรือโกธรกันนานให้ขุ่นเคืองหัวใจเลย
โอเคนะมิ้นท์ เดี๋ยวเราโทรหาพลอยก่อน กะว่าโทรบอกพลอยเสร็จจะไปอาบน้ำออกไปหาอะไรกินสักหน่อย
โอเคได้ๆ งั้นแค่นี้นะ
โอเคจ้า บ้ายบาย
บ้ายบาย กริ๊ก เด็กสาวกดวางโทรศัพท์ก่อนจะวางลงบนโต๊ะที่เดิม เธอหันไปมองรอบๆบริเวณร้านกาแฟในช่วงบ่ายที่เงียบสงบไม่ค่อยจะมีผู้คนมานั่งดื่มซักเท่าไหร่ถึงแม้ตัวร้านเองจะตั้งอยู่ใจกลางเมืองก็เถอะ อาจจะเพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเปิดเทอมก่อนหมดฤดูหนาว โรงเรียนของเธอเป็นโรงเรียนนานาชาติจึงไม่เคยปิดตรงกับโรงเรียนปกติ อีกสองอาทิตย์โรงเรียนของเธอถึงจะเปิดเรียน และถ้าให้คำนวณดีๆ อีกประมาณสามอาทิตย์โรงเรียนปกติถึงจะเริ่มทำการปิดเทอมหน้าร้อนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กสาวรู้สึกแปลกแยกอะไรเพราะเธอเรียนนานาชาติมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นแล้ว การที่จะปิดเทอมหรือเปิดเทอมไม่ตรงกับเด็กคนอื่นๆจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติของเธอ
เด็กสาวมองไปรอบๆได้สักพักก็หยิบหนังสือนิยายอังกฤษขึ้นมาอ่านต่อ พอเริ่มอ่านไปได้สักพักไม่ถึงสิบนาที จู่ๆก็มีการสั่นเตือนข้อความเข้าดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาเปิดดูก่อนจะเห็นว่าคนส่งก็คือน้ำหวาน เพื่อนที่เพิ่งจะวางสายจากเธอไม่นานส่งข้อความเป็นภาษาอังกฤษมาให้ อ่านจับใจความได้ว่า โทรหาพลอยแล้ว วันจันทร์พลอยจะมาหาและจะมาพักที่กรุงเทพเลยจนกว่าจะเปิดเทอมเลย มิ้นท์มาวันจันทร์ซิจะได้มากินข้าวด้วยกันทีเดียวเลย เมื่อเด็กสาวอ่านจบก็รีบกดพิมพ์ข้อความตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน โอเค งั้นวันจันทร์หน้าเจอกันนะ และกดส่งทันทีเมื่อพิมพ์เสร็จ
จริงๆปกติทุกครั้งที่ปิดเทอมเธอกับกลุ่มของเพื่อนๆเธอมักจะหางานพิเศษทำกันฆ่าเวลา ถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วบ้านของเธอกับเพื่อนๆอยู่ในฐานะที่พอมีอันจะกิน จะไม่ทำงานหรือจะใช้เงินยังไงก็ได้ไม่มีใครว่า แต่ว่าเนื่องจากถูกดูแลมาแบบเด็กฝรั่ง พอเริ่มเข้าม.ปลายเธอก็เริ่มคิดที่จะทำงานพิเศษ แต่ว่าปิดเทอมครั้งนี้เป็นเทอมแรกที่ไม่ได้ทำงานพิเศษเลยเพราะว่าคุณพ่อกับคุณแม่ของเธออยากให้เธอพักผ่อนบ้างเพราะอีกเทอมเดียวก็จะเรียนจบไฮสคูลแล้ว คุณพ่อคุณแม่อยากจะให้เธอใช้ช่วงเวลานี้ให้คุ้มค่า ประจวบเหมาะกับเพื่อนสนิททั้งสามคนไม่ได้อยู่กรุงเทพกัน น้ำหวานเย็นและน้ำแข็งใสไปเยี่ยมคุณยายที่อเมริกาและเห็นว่าไปเที่ยวเมืองอื่นๆด้วย ด้านพลอยก็กลับสุพรรณบุรีไปช่วยคุณพ่อกับคุณแม่ตัวเองดูแลบัญชีของกิจการรีสอร์ท ส่วนตัวของเธอนั้นตอนแรกน้ำหวานเย็นและน้ำแข็งใสเองก็ชวนไปเที่ยวอเมริกาด้วยกัน แต่เนื่องจากความเกรงใจจึงปฏิเสธไป เลือกที่จะอยู่บ้านและออกไปข้างนอกบ้างบางครั้งถ้าเกิดเบื่อ
เด็กสาววางโทรศัพท์มือถือลง ยกมือเรียกพนักงานที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาเตอร์มาเช็คบิลค่าอาหารเครื่องดื่มทันที ค่อยๆเก็บหนังสือและสิ่งของลงในกระเป๋าสะพายข้างใบโปรด ไม่นานนักพนักงานชายคนหนึ่งก็เดินมาหยุดยังโต๊ะของเธอ
ทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบบาทครับ พนักงานชายพูดพลางยื่นใบเสร็จมาให้ เด็กสาวรับมาดูและเช็คเพื่อความแน่ใจ อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นนิสัยเก่าที่เกิดจากการทำงานพิเศษของเธอ ต้องคอยดูว่าตัวเลขถูกต้องหรือเปล่าอยู่เสมอ บางครั้งถ้าไปกับครอบครัวและสั่งอาหารกันเยอะๆ เธอก็จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดตัวเลขตรงนั้นทันทีเลยว่าพนักงานคิดถูกต้องหรือเปล่า จนบางครั้งพ่อกับแม่เธอก็รู้สึกอายเพราะดูไปดูมาอาจจะเหมือนลูกสาวเป็นคนขี้งก แต่จริงๆแล้วบอกว่าไม่ได้งกแต่เพื่อความถูกต้อง
นี่คะ เด็กสาวยื่นธนบัตรใบละหนึ่งร้อยสองใบให้พนักงานเมื่อเห็นว่ารายการอาหารที่สั่งและตัวเลขถูกต้อง พนักงานโค้งรับและเดินกลับไปที่เคาร์เตอร์เพื่อจะนำเงินมาทอนให้เธอ ไม่นานนักพนักงานชายคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับเงินทอน เธอหยิบเงินทอนใส่กระเป๋าสตางค์และลุกขึ้นเดินออกจากร้านทันที ก่อนจะเหลือบไปเห็นนาซิกาดิจิตอลอันใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าร้าน บอกวันเดือนปีและเวลาเสร็จสรรพหมดทุกอย่าง และในใจก็พลางคิดว่า แป๊ปเดียวเวลาแห่งการปิดเทอมก็ผ่านไปแล้วสามอาทิตย์ อีกสองอาทิตย์ก็เปิดเทอมแล้ว เฮ้อ เปิดเทอมก็มีสอบ สอบและสอบกับสอบและก็สอบ เฮ้อ แถมสอบจบไฮสคูลด้วย จะสอบได้มั้ยเนี่ย
เด็กสาวเดินคิดเรื่องการสอบจบม.ปลายอย่างเหม่อลอย จนไม่ได้ตั้งใจมองทางเดินข้างหน้า แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหลัง เด็กสาวตกใจหันไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับผู้ชายไว้หนวดเครารุงรังคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้ามายังทางที่เธอกำลังเดินอยู่ เธอตกใจเพราะดูจากสภาพจากแต่งตัวแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยจะน่าไว้วางใจสักเท่าไหร่
เฮ้ย ยัยบ้า หลีกไป ขวางทางเว้ย ชายหนวดเครารุงรังตะโกนขึ้นให้เด็กหลีกทาง แต่อารามตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงไม่ได้เดินหลบแต่ยังยืนอยู่ที่เดิม
ชิ ยัยบ้า ชายคนนั้นสบถและเมื่อวิ่งเข้ามาใกล้ตัวของเธอ ชายคนนั้นก็ใช้มือข้างซ้ายปัดตัวของเธอให้ออกไปจากทางที่ชายคนนั้นกำลังวิ่งอยู่
ว้าย เด็กสาวเซไปทางด้านซ้ายเล็กน้อยเพราะแรงสะบัด แต่เพราะสวรรค์ไม่คิดอยากจะช่วยคนดีหรือยังไงก็ไม่ทราบ ด้วยโชคร้ายของเด็กสาว ทางด้านซ้ายมือนั้นเป็นทางเดินต่างระดับ ถึงแม้เธอจะเซแค่เล็กน้อย แต่เมื่อเซไปทางต่างระดับและเมื่อเท้าสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า เธอจึงล้มลงไปที่ทางต่างระดับอย่างช่วยไม่ได้ หัวของเธอกระแทกลงบนพื้นถนนคอนกรีตอย่างจัง ชายหนวดเครารุงรังหันมามองแว็บนึงก่อนจะหันหน้ากลับและวิ่งต่อไปอย่างไม่สนใจ
โอ้ย! เด็กสาวร้องขึ้นเมื่อค่อยๆพยุงตัวขึ้นมาจากพื้น พยายามมองหาว่าชายหนวดเครารุงรังวิ่งหายไปแล้ว แต่ก็ไม่ทันซะแล้วเพราะชายคนนั้นได้วิ่งหายไปในซอกตึกตึกใดตึกหนึ่งตั้งแต่ตอนที่เธอพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นมา
อ้าวหนู เป็นไงบ้างตำรวจนายหนึ่งวิ่งเข้ามาดูอาการของเด็กสาว ค่อยๆช่วยประคองเด็กสาวลุกขึ้นมาจากพื้น เมื่อมองดูว่าเด็กสาวไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรมากก็หันไปบอกลูกน้องคนข้างๆที่วิ่งมาด้วยกัน เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บจากผู้ร้ายคนเมื่อกี้ เดี๋ยวจ่าช่วยพาไปโรงพยาบาลส่งทำแผลทีนะ ผมกับรถตำรวจคันอื่นจะสกัดจับมันแถวนี้ก่อน ผมว่ามันไม่น่าจะไปไหนได้ไกล ตำรวจนายนั้นพูด
อ๋อ ไม่เป็นไรคะ แผลแค่นี้เอง หนูกลับไปทำที่บ้านก็ได้ เด็กสาวพูดขึ้น แค่งานของพวกคุณตำรวจเองก็ยุ่งอยู่แล้ว แผลไม่ถึงกับชีวิตเธอรักษาเองได้
ไม่เป็นไรแน่นะหนู ยังไงเดี๋ยวให้เรียกแท็กซี่กลับบ้านให้มั้ย คุณตำรวจคนเดิมถามด้วยความเป็นห่วง เด็กสาวส่ายหัวเบาๆก่อนจะที่จะตอบกลับไป แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตอบกลับไป จู่ๆก็มีเสียงเสียงหนึ่งพูดแทรกดังขึ้นจากข้างหลัง
หมวด รายนี้ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมดูแลเอง เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อครั้งแรกที่ได้ฟังเสียงนี้เด็กสาวก็รู้สึกคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน ตำรวจคนเดิมยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์ก่อนที่จะเดินไปทางอื่น เด็กสาวหันกลับไปมองตามเสียงที่ได้ยิน เมื่อหันไปเธอก็พบกับชายหนุ่มผมสั้นหน้าตาดีสวมชุดเครื่องแบบตำรวจ เธอมองหน้าตำรวจหนุ่มอย่างสงสัยว่าเป็นใครสักพัก เขาค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆเธอก่อนจะส่งยิ้มให้ ทันใดนั้นเองหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ภาพรอยยิ้มที่คุ้นเคยในอดีตถูกดึงขึ้นมาซ้อนทับกับรอยยิ้มของตำรวจหนุ่มคนนี้เหลือเกิน
พี่ตี้ พี่ตี้ ปติกรณ์ใช่ป่ะคะ เด็กสาวพูดขึ้น ชายหนุ่มเมื่อเห็นว่าเด็กสาวจำเขาได้แล้วก็เอื้อมมือไปลูบหัวอย่างเอ็นดู
ไงเรา ไม่เจอกันซะนานเลยนะ โตขึ้นนะเนี่ย
โอ้ยๆ พี่ตี้ เจ็บหัว เด็กสาวร้องเมื่อตำรวจหนุ่มลูบไปโดนจุดที่เพิ่งจะกระแทกไปกับพื้นเมื่อกี้นี้
เฮ้ย ขอโทษ ไหนขอดูแผลหน่อยซิ ตำรวจหนุ่มพูดพลางดึงแขนของเด็กสาวเข้ามาใกล้ๆตัว เด็กสาวรับรู้ได้ถึงความร้อนที่จู่ๆก็พุ่งขึ้นบนในหน้าของตนเอง อีกทั้งจู่ๆมือไม้ก็สั่นผิดปกติ จะว่าเกิดจากการล้มกระแทกพื้นเมื่อกี้ก็ไม่ใช่ เพราะถ้าเกิดจากการกระแทกพื้นเมื่อกี้จริง ทำไมมันเพิ่งจะมาเป็นเอาตอนนี้หล่ะ
ตำรวจหนุ่มจับหัวเด็กสาวหันซ้ายหันขวา และยกแขนซ้ายแขนขวายังเด็กสาวขึ้นมาดู โหย นี่หัวโนเลยนะเนี่ย แล้วนี่...นี่...แผลถลอกปลอกเปลือกตามแขนตามขาหมดเลย
อ่า ไม่เป็นไรหรอกคะ แผลแค่นี้ ไกลหัวใจ
เอ้อ เด็กคนนี้ ไม่เจอกันหกปี แต่ก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นยังงั้นอยู่เลยนะ ให้มันได้ยังงี้ซิ โตแต่ตัวสมองไม่โตจริงๆเลยนะ ตำรวจหนุ่มพูด เด็กสาวหัวเราะคิกคักเล็กน้อยเพราะคำพูดของตำรวจหนุ่ม แผลเยอะขนาดนี้จะกลับบ้านไหวมั้ยเนี่ย หม่ะ เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งที่บ้าน
เอ้ย ไม่เป็นคะ มิ้นท์กลับเองได้ แผลแค่นี้เอง เด็กสาวปฏิเสธ ถึงแต่ก่อนจะเคยสนิทกันมากยังไง แต่ก็ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว เธอย่อมรู้สึกเกรงใจเป็นธรรมดา
ได้ยังไงกัน กลับบ้านสภาพอย่างนี้ เดี๋ยวก็โดนใครมองไม่ดีหรอก ให้พี่ไปส่งแหละดีแล้ว ตำรวจหนุ่มพูด เด็กสาวทำหน้าคิดมากลำบากใจสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบรับความมีน้ำใจครั้งนี้ของเขา
ก็ได้คะ
ดีมาก ว่านอนสอนง่ายยังงี้ซิดูน่ารักขึ้นเป็นกองเลย ตำรวจหนุ่มพูดแล้วส่งยิ้มให้ เด็กสาวหน้าแดงขึ้นอีกรอบ หัวใจเต้นถี่มากขึ้นเมื่อทั้งได้รับคำชมและรอยยิ้ม
......
ถ้างั้นมิ้นท์ไปยืนรออยู่ตรงหน้าปากซอยถนนตรงนั้นนะ พอดีพี่จอดรถไว้ที่โรงพัก อยู่ไม่ห่างจากตรงนี้หรอก เดี๋ยวไม่เกินสิบนาทีพี่มารับ พูดเสร็จตำรวจหนุ่มก็วิ่งกลับไปทางโรงพักซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก เด็กสาวหันไปมองตำรวจหนุ่มสักพักก่อนจะหันกลับมาและเดินไปยังหน้าปากซอยที่ตำรวจหนุ่มบอกให้ไปยืนรอ
ปี๊นนนน.....ปี๊นนนน.....
เสียงบีบแตรรถดังขึ้น เด็กสาวสะดุ้งตกใจ หลุดจากความความคิดเหม่อลอยและหันไปมองตามเสียงแตรทันที เมื่อหันไปมองบนถนนก็เห็นว่ารถที่กำลังบีบแตรอยู่นั้น คือรถมินิคูเปอร์สีชมพู ติดฟิล์มกระจกรถที่ดูมืดกว่ากระจกรถธรรมดาทั่วไป ในขณะที่เด็กสาวชะเง้อมองสักพักว่าเป็นรถใคร ไม่นานกระจกรถฝั่งคนก็ถูกกดไขลงอัตโนมัติและก็เผยให้เห็นว่าคนขับก็คือตำรวจหนุ่มนั่นเอง
มิ้นท์ ขึ้นรถมาซิ ตำรวจหนุ่มพูด เด็กสาวเดินมาเปิดประตูฝั่งคนนั่งและนั่งลงทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นรถของอดีตพี่ชายข้างบ้านสมัยประถม
นี่รถพี่ตี้เหรอคะ เด็กสาวหันไปถามชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้ถอดเครื่องแบบของตำรวจออกแล้ว เมื่อมองดูดีๆ ชายหนุ่มหลังจากถอดเครื่องแบบออกก็เหมือนกับชายหนุ่มวัย 24-25 ปีธรรมดาทั่วไป
ใช่ ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะหันไปหันเตือนเมื่อเห็นว่าอดีตน้องสาวข้างบ้านยังไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัย มิ้นท์ รัดเข็มขัดด้วย พูดจบชายหนุ่มก็เอื้อมตัวไปทางฝั่งคนนั่ง ดึงเข็มขัดนิรภัยมารัดให้กับอดีตน้องสาวข้างบ้าน
เด็กสาวตัวแข็งทื่อ เพราะเมื่อตอนแรกที่อดีตพี่ชายข้างบ้านเตือนให้เธอรัดเข็มขัดนิรภัย เธอเองก็กำลังจะเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดมารัด แต่ในขณะนั้นเองจู่อดีตพี่ชายข้างบ้านคนนี้ก็เอื้อมตัวมารัดให้กับเธอแทน ตอนนี้หัวใจของเด็กสาวเต้นแรงกว่าปกติ อาการมือไม้สั่นที่เมื่อกี้เหมือนจะหายไปแล้วก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะสั่นแรงมากกว่าครั้งเดิมเสียด้วย
เอ้า เสร็จแล้ว โตแล้วยังต้องให้พี่ทำให้นะเนี่ยเรา ชายหนุ่มพูดแล้วหันตัวกลับไปทางฝั่งคนขับเหมือนเดิม
อะ...อะ...อะไร มิ้นท์โตแล้วนะ เมื่อกี้มิ้นท์จะทำเองแล้วด้วย พี่ตี้นั่นแหละมาทำให้มิ้นท์เอง เด็กสาวตอบอย่างตะกุกตะกัก ชายหนุ่มหันมายิ้มรับอย่างอารมณ์ดีและขับรถออกไปทันที
ผ่านไปได้ห้านาทีกว่าแล้วตั้งแต่ที่เด็กสาวเริ่มมานั่งรถ โดยมีชายหนุ่มอดีตพี่ชายข้างบ้านเป็นคนขับ ตอนแรกทั้งเธอและเขาดูเหมือนจะมีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันเยอะแยะเพราะนี่เป็นเวลาเกือบหกปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน นับตั้งแต่ชายหนุ่มเรียนจบมัธยมปลายและไปเรียนต่อที่อังกฤษ ส่วนเธอพอจบชั้นประถมหกก็ย้ายบ้านจากสมุทรปราการมายังกรุงเทพฯและย้ายโรงเรียนไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่พัทยา ถึงแม้สำหรับคนอื่น ห้านททีอาจจะเป็นเหมือนเวลาแป๊บเดียว ไม่นานก็หมดแล้วสำหรับเวลาแค่ห้านาที แต่สำหรับเด็กสาวตอนนี้ การที่เธอมานั่งรถคันนี้ เวลาห้านาทีนั้นเปรียบเสมือนกับเวลาห้าชั่วโมง ทั้งเงียบและเชื่องช้า ไม่ได้การแล้ว ต้องหาเรื่องคุย เด็กสาวคิด
พี่ตี้คะ เด็กสาวพูดแทรกขึ้นระหว่างความเงียบบนรถ ชายหนุ่มหันมามองหน้าเด็กสาวแว๊บหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองถนนด้านหน้าต่อ
อะไรเหรอ
พี่ตี้บอกจะไปส่งมิ้นท์ที่บ้าน แล้วพี่ตี้รู้เหรอว่าบ้านมิ้นท์อยู่ที่ไหน
กึก ชายหนุ่มหยุดรถกะทันหัน หันมามองหน้าเด็กสาวก่อนจะส่งยิ้มแหยๆให้
จริงด้วยซิ มิ้นท์ย้ายบ้านไปแล้วนี่นา แฮะๆ
ก็ใช่นะซิ ว่าแต่มิ้นท์ตัวเองก็ป้ำๆเป๋อๆนะเนี่ย
ฮ่าๆๆ แล้วบ้านมิ้นท์อยู่ไหนหล่ะ บอกที่อยู่ซิ เดี๋ยวขับไปส่ง
อยู่สุขุมวิท ซอย xxx บ้านหลังสีฟ้า เลี้ยวเข้าไปในซอยมีอยู่หลังเดียวหล่ะที่เป็นสีฟ้า
อ๋อ เคๆ ได้
............
............
เมื่อการสนทนาเรื่องทางกลับบ้านหมดลง ในรถก็ก่อเกิดความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง เด็กสาวชำเลืองตามองชายหนุ่มข้างๆที่กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการขับรถขับไปส่งเธอที่บ้าน ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ก็หันมาส่งยิ้มให้กับเด็กสาว เด็กสาวหน้าแดงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกถึงการจ้องมองของเธอ เธอหันกลับไปมองทางมองถนนเหมือนเดิม
แล้วนี่พี่ตี้กลับจากอังกฤษมานานยังคะ เด็กสาวที่ทนไม่ไหวกับความเงียบ จึงเอ่ยถามคำถามเรื่อยเปื่อย อันที่จริงก็ไม่ใช่คำถามเรื่อยเปื่อยหรอก แต่เป็นคำถาจริงจังที่เด็กสาวอยากรู้มากตั้งแต่ได้พบกับชายหนุ่มอดีตพี่ชายข้างบ้านที่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เธอคิดถึง...คิดถึงเขามาตลอดหกปี คิดถึง...จนเกือบอยู่ในทุกๆลมหายใจของชีวิต
มีคนเคยเขียนบทความบทความหนึ่งไว้ว่า ยิ่งห่างไกล...ยิ่งคิดถึง....อาจจะลืมไปบ้างบางเวลา แต่ถ้าวันไหนได้มาเจอะเจอกันอีกครั้ง คุณก็จะรู้ว่าความคิดถึงมันเพิ่มทวีคูณมากกว่าคุณเคยคิดเอาไว้ อืม ดูท่าหลักการนี้จะจริงแหะ
ก็เรียนจบก็กลับมาไทยเลย สองปีได้แล้วหร่ะ
เหรอ
อื้ม แล้วนี่เราตอนนี้เรียนที่ไหนเนี่ย ชั้นอะไรแล้ว ชายหนุ่มถามเด็กสาวกลับบ้าง เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเด็กสาวอดีตน้องสาวข้างบ้านคนนี้ ทั้งโตขึ้นและสวยขึ้นมาก...
ก็เรียนอยู่นานาชาติที่พัทยาอ่ะ ชั้นปีที่ 11 แล้ว ใกล้จะจบแล้ว เด็กสาวตอบ
เหรอ จะขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วนี่เนอะ
ก็...อืม คะ
แล้วนี่จะต่อที่ไหน ไทยหรือนอก ชายหนุ่มถาม เด็กสาวทำท่าครุ่นคิดสักพักก่อนจะหันไปตอบอย่างทีเล่นทีจริง
ก็ดูก่อน ถ้าแฟนอยากต่อที่ไหน มิ้นท์ก็ไปต่อที่นั่น
อะไรกัน ตัวแค่นี้มีแฟนแล้วเหรอห๊ะ
ฮ่าๆๆ บ้า มีกันที่ไหนเล่าฟงแฟน มิ้นท์ล้อเล่น ให้มีมาจีบซักคนเหอะจะดีใจมาก เด็กสาวตอบพลางหัวเราะอย่างชอบใจที่ทำให้อดีตพี่ชายข้างบ้านตกใจได้
ซะงั้นนะ ยังขี้เล่นเหมือนเดิมเลยนะ ทำพี่ตกอกตกใจหมด
พี่ตี้นั่นแหละที่ชอบอำมิ้นท์เล่นตอนเด็กๆ มิ้นท์เลยเอาคืนไง
ฮ่าๆๆ พี่เป็นคนยังงั้นเหรอ ชายหนุ่มหันกลับไปถามเด็กสาวอีกรอบ เด็กสาวไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ส่งยิ้มให้ ดูเหมือนว่าเด็กสาวเริ่มจะชินแล้ว ไม่เก้ๆกังๆเหมือนตอนแรกๆที่ขึ้นรถมา หลังจากนั้นชายหนุ่มกับเด็กสาวก็ถามถึงสารทุกข์สุขดิบเรื่องราวๆต่างๆ ทั้งตั้งใจถามบ้างไม่ได้ตั้งใจถามบ้าง
ครืด....ครืด....ครืด....
แล้วมิ้นท์ก็นะ.... เด็กสาวหยุดพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่น ชายหนุ่มที่กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีหันมามองเด็กสาวเมื่อเห็นว่าจู่ๆก็หยุดพูดไป
มีอะไรเหรอมิ้นท์
เสียงโทรศัพท์สั่น อ๊ะนั่น ของพี่ตี้เปล่า เด็กสาวชี้ไปที่ช่องที่ของหน้ารถที่ตอนนี้มีโทรศัพท์วางไว้อยู่ ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและหันไปตอบเด็กสาว
เออใช่จริงด้วย มีนโทรมา ชายหนุ่มตอบแล้วกดรับโทรศัพท์ทันที ฮัลโหลมีน ว่าไง เออ...ใช่....แล้วไง
เด็กสาวหน้าหงอยลงทันทีเมื่อรู้คนที่โทรศัพท์เข้ามาชายหนุ่มคือใคร มีน ลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง อายุมากกว่าเธอหกปี พูดง่ายๆก็คืออายุเท่ากับพี่ตี้ อดีตพี่ชายข้างบ้านคนนี้ของเธอ แต่ก่อนพี่มีนก็ชอบมาค้างและเล่นด้วยกันกับเธอบ่อยๆ พอพี่มีนจบชั้นมัธยมปลาย ก็ตัดสินใจไปเรียนต่อที่อังกฤษ...ที่เดียวกับพี่ตี้ จริงๆเธอเองก็ไม่ได้เจอพี่มีนเลยตั้งแต่พี่มีนไปเรียนต่อที่อังกฤษ เพราะพ่อแม่ของเธอย้ายบ้าน และดูเหมือนว่าพ่อแม่ของพี่มีนเองจะย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่แทน
เออ รู้แล้ว จะย้ำทำไมเนี่ย เออๆ แค่นี้แหละ บาย กริ๊ก เมื่อเสียงชายหนุ่มดูท่าวางสายโทรศัพท์จากเพื่อนสาวที่สนิท เด็กสาวก็หันไปมองอีกรอบ เธอก็พบกับชายหนุ่มที่ท่าทางดูมีความสุข อมยิ้มเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี นั่นทำให้หัวใจของเด็กสาวรู้สึกเจ็บแปล๊บ ไม่ว่าจะผ่านไปแล้วกี่วันกี่เดือนกี่ปี ข้างๆหัวใจของชายหนุ่มก็ยังคงมีแต่เธอผู้นั้นซินะ...
พี่มีนเหรอคะ เด็กสาวถามขึ้น แต่ว่าใบหน้าหันออกไปมองถนนข้างนอกแทน ตอนนี้เธอกำลังเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่เคยคิดว่าจำจะต้องมาเจ็บแบบอีกนี้ ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองไว้แล้วแท้ว่าจะต้องทำใจให้ได้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคน
อืมใช่ แล้วมินท์ได้เจอมีนบ้างมั้ย ชายหนุ่มถาม ตอนนี้เค้าขับรถมาถึงถนนสุขุมวิทแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงซอยบ้านของอดีตน้องสาวข้างบ้าน ชายหนุ่มลดความเร็วของรถลง แถวถนนสุขุมวิทรถมักจะเยอะ การขับรถเร็วถือว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายมาก
ก็...ไม่ได้เจอเลยคะ เด็กสาวตอบ แต่ตายังมองออกไปนอกถนนอยู่ ยิ่งชายหนุ่มถามเธอถึงเรื่องลูกพี่ลูกน้องของเธอมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว สมัยก่อนเคยเจ็บปวดเพราะสิ่งนี้มากเท่าไร...ตอนนี้ก็ยังคงเจ็บปวดเพราะสิ่งนี้มากเท่านั้น
เคยคิดไว้ว่าเวลาจะช่วยเยี่ยวยา แต่ไม่เคยคิดเลยว่า...เวลาจะรักษาไม่ได้ ดังนั้น...ความเจ็บปวดมันเลยยิ่งทวีคูณ บาดแผลที่เคยคิดว่าปิดสนิทไปแล้ว มันกลับถูกเปิดออกมาในช่วงเวลาไม่กี่นาที และดูเหมือน เลือดจะไหลออกมาไม่ยอมหยุด
เหรอ ก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง เพราะพ่อแม่ของมีนเค้าย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้วนี่เนอะ
อืม คะ
หลังจากตอบคำถาม เด็กสาวก็เงียบตลอดทาง ชายหนุ่มมองหน้าเด็กสาวอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ สักพักไม่นานรถมินิคูปเปอร์สีชมพูก็เลี้ยวเข้าซอย xxx เด็กสาวเมื่อเห็นว่าเป็นสถานที่ที่คุ้นเคยก็หยุดอาการเหม่อลอยหันไปตั้งใจมองทางข้างหน้า ก่อนจะชี้ไปที่บ้านหลังคาสีฟ้าที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทางเข้าหน้าปากซอย
พี่ตี้ นั่นบ้านมิ้นท์
อ้อ จริงด้วย หลังคาสีฟ้าใช่ไหม
ไม่นานหลังจากรถวิ่งเข้าซอย ก็ถึงบ้านของเด็กสาว เป็นบ้านหลังคาสีฟ้า ตัวบ้านสีขาว หลังเล็กๆสไตล์โมเดิร์น ดูอบอุ่น เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก ชายหนุ่มขับรถมาจอดตรงประตูรั้วบ้าน เด็กสาวชะเง้อมองว่าข้างในบ้านมีคนหรือเปล่า เพราะถ้ามีเสียงรถมาจอดอยู่หน้าบ้าน ปกติคุณแม่ของเธอต้องเดินมาเปิดประตูบ้านแล้ว แต่วันนี้เงียบผิดปกติ
เอ แม่ไม่อยู่เหรอยังไงเนี่ย เด็กสาวพึมพำ แต่ก็ยังชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน ประตูหน้าบ้านไม่ได้เปิดไว้ นั่นหมายความว่าคุณแม่ของเธออาจจะออกไปข้างนอกก็เป็นได้
ทำไมเหรอ ไม่มีคนอยู่บ้านเหรอ ชายหนุ่มถาม
อือ สงสัยจะใช่อ่ะ เดี๋ยวมิ้นท์ขอโทรหาแม่ก่อนนะ พูดจบ เด็กสาวก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาจากกระเป๋าสะพาย เตรียมตัวที่จะกดโทรออก แต่ยังไม่ทันที่จะกดโทรออก จู่ๆรถมาสด้าสีเทาก็วิ่งมาจอดต่อจากรถมินิคูเปอร์ของชายหนุ่ม พร้อมกับบีแตรเสียงดังสองสามครั้ง เด็กสาวหันไปมองทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นใคร
พ่อ! แม่! เด็กสาวตะโกนขึ้น รีบถอดเข็มขัดนิรภัยออก หลังจากนั้นก็เปิดประตูรถออกไปทันที มื่อรถอีกคันเห็นว่าบุคคลที่เพิ่งเปิดประตูเดินออกมาคือลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเอง ทั้งฝ่ายสามีและฝ่ายภรรยาต่างก็เปิดประตูรถ เดินเข้าไปหาลูกสาวทันที
อ้าวมิ้นท์เองเหรอ แล้วนี่รถใครเนี่ย บุคคลที่เป็นพ่อถามขึ้น หลังจากนั้นไม่นานเสียงเปิดประตูรถก็ดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาดีเดินออกมา ยกมือขึ้นสวัสดีทั้งสองคน ทันทีที่ทั้งสองคนเห็นชายหนุ่ม ก็ยิ้มดีใจและทักทายชายหนุ่มทันที
อ้าว นี่ใช่ตี้ใช่มั้ยเนี่ย ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะ ฝ่ายพ่อเดินเข้าไปตบที่ไหล่ชายหนุ่มเบาๆสองสามที
โอ้ หนูตี้เองเหรอ ฝ่ายแม่ทักขึ้นบ้าง ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ทั้งสองคนและยกมือสวัสดีอีกรอบ
สวัสดีครับคุณลุง สวัสดีครับคุณป้า
เอ้า ไหว้พระเถอะจ๊ะ ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีใช่มั้ยจ๊ะ
สบายดีครับ คุณลุงกับคุณป้าหล่ะครับ สบายดีไหมครับ
สบายดีๆ แหมๆ ไม่เจอกันตั้งนาน ดูโตเป็นผู้ใหญ่เยอะเลย ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย
อายุ 24 ปีแล้วครับ
นี่พ่อดูซิยี่สิบสี่แล้ว เด็กสมัยนี้มันโตไวจริงๆเลยนะ
นั่นซินะ แล้วไปไงมาไงหล่ะนี่ ทำไมถึงอยู่กับยัยมิ้นท์ และมาบ้านลุงได้เนี่ย เหมือนคนเป็นพ่อจะเพิ่งนึกขึ้นจึงถามขึ้น ส่วนคนเป็นแม่เดินไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้านก่อนที่ลูกสาวจะช่วยเลื่อนเปิดให้
เผอิญเจอกับมิ้นท์นะครับเพราะอุบัติเหตุนิดหน่อย ผมก็เลยอาสามาส่งมิ้นท์ที่บ้าน พอชายหนุ่มพูดจบ คนเป็นพ่อก็ทำท่าตกใจหันไปมองลูกสาว
อ้าว นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ยเห๊อะ
ก็...เอ่อ...เออ...ไม่เป็นอะไรมากหรอกคะ เด็กสาวตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำสักเท่าไหร่
ไม่เป็นอะไรมากได้ยังไง ดูซิครับ หัวกระแทกพื้น แถมทางแขนขาก็มีรอบถลอกเต็มไปหมดเลย ชายหนุ่มพูดจบ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็รีบวิ่งเข้าดูสภาพลูกสาวของตัวเองทันที ก่อนจะพูดขึ้น
จริงอย่างที่พี่ตี้เค้าบอกเลยลูก นี่อะไรเนี่ย หัวโนแล้วยังรอยถลอกเต็มไปหมดเลย ตายแล้วลูกแม่
โธ่ แม่คะ นิดหน่อยเอง จริงๆ หนูไม่ได้เจ็บอะไรมากเลย
ไม่เจ็บได้ยังไงเนี่ย มีเลือดซึมออกมาด้วย เร็ว เข้าบ้านไปทำแผล อ้อ ตี้ก็เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่าด้วยซิ ฝ่ายสามีหันไปชวนชายหนุ่ม
ครับ ชายหนุ่มยิ้มและตอบตกลง
ยังมีต่อคะ
จากคุณ |
:
mollaly
|
เขียนเมื่อ |
:
5 เม.ย. 55 11:55:59
|
|
|
|