กลิ่นแก้วนั่งเฝ้าบิดาอยู่ในห้อง แต่ทว่าความรู้สึกและความเป็นห่วงนั้นกลับตกไปอยู่ที่ใครอีกคนแทนที่จะเป็นบิดาเธอที่นอนอยู่ตรงหน้า
รู้สึกผิด.... กลิ่นแก้วบอกกับตัวเองว่า คงเป็นเพราะเธอรู้สึกผิดมากกว่าเลยทำให้ตัวเองค่อนข้างกระวนกระวายรอคอยว่าเมื่อไหร่พี่ชายและมารดาจะกลับมาเสียที กลิ่นแก้วจะได้รู้ว่า เขาเป็นอย่างไรบ้าง
แต่จนแล้วจนรอด พี่ชายและมารดาไม่กลับมาเสียที เลยทำให้กลิ่นแก้วตัดสินใจผุดลุกขึ้นแล้วเดินเปิดประตูออกไปนอกห้อง แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักของผู้ชายคนนั้นทันที
พอมาหยุดตรงห้องที่ต้องการ หญิงสาวก็มีอาการลังเลอีกว่าจะเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปดีหรือไม่ แล้วถ้าเข้าไปล่ะ กลิ่นแก้วจะบอกกับมารดาและพี่ชายว่าอย่างไร
เพราะว่าเธอนึกเป็นห่วงคนที่นอนป่วนอยู่ในห้องนี้มาก จนต้องตามมาดูให้เห็นกับตาหรือ
ไม่ ! หญิงสาวส่ายหน้าให้กับความคิดนั้นทันที และกลิ่นแก้วจะหันกลับอยู่แล้วเชียว ประตูห้องพักผู้ป่วยห้องนี้ก็เปิดออก พร้อมๆ กับเสียงอุทานของคนที่กลิ่นแก้วรู้จักดี
“อ้าวกลิ่น! ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะลูก”
“แม่...” กลิ่นแก้วหันกลับไปมอง เห็นมารดาและพี่จุกก้าวออกมาจากห้องนั้น ทั้งสองต่างส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมเธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้
“เอ่อ คือว่ากลิ่น เอ่อ...”
“นั่นน่ะสิ...” จุกรำพึงจ้องหน้าน้องสาว ที่บัดนี้กลิ่นแก้วเอาแต่ก้มหน้าหงุด “หรือว่าพ่อกำนันตื่นแล้ว กลิ่นเลยจะมาตามพี่และแม่ไปดูพ่อใช่มั้ย!” จุกอุทานขึ้นมาบ้าง จากนั้นแม่เพ็ญระตีก็ขานรับอีกเสียงหนึ่ง
“จริงหรือลูก! พ่อเค้าตื่นแล้วหรือ!”
“เอ่อ ...” ในที่สุดไม่รู้ว่าจะหาคำอธิบายใดมาพูดกับมารดาและพี่ชาย กลิ่นแก้วจำปดๆ ไปตามน้ำ “ค่ะๆ ใช่แล้วค่ะ”
“งั้นมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม? ไปรีบกลับห้องสิ ไปดูพ่อกัน” แม่เพ็ญไม่พูดพล่ามทำเพลงรีบตวัดมือแล้วลากลูกสาวกลับ กลิ่นแก้วที่ยังอ้ำๆ อึ้งๆ แถมมีส่งสายตาอันน่าเสียดายมองเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยตรงหน้า
“มองอะไรเหรอน้องกลิ่น?” จุกยื่นหน้าอันงงงวยมาถาม
กลิ่นแก้วจึงตวัดสายตามองพี่ชายพร้อมส่ายหน้าหวือ “เปล่าๆ นี่ ไปกันเถอะ ไปดูพ่อกำนันกัน”
จากนั้นกลิ่นแก้วก็ถูกดึงกลับห้องไปที่ห้องพักของบิดา ด้วยความรู้สึกยังเสียดายที่ไม่ได้รู้อาการของหนุ่มเจ้าของไร่เพียงดิน .
ครั้นพอกลับมาที่ห้องกลิ่นแก้วก็ถูกมารดาและจุกรุมดุ ด้วยข้อหาที่ปดคนทั้งคู่ว่าคนเป็นพ่อตื่นแล้ว กลิ่นแก้วจึงแก้ตัวอ้ำๆ อึ้งๆ ว่าสงสัยเธอตาฝาดไปที่เห็นบิดาลืมตาขึ้น จากนั้นเมื่อเห็นว่ากำนันเพิ่มศักดิ์ยังไม่ตื่นแม่เพ็ญระตีจึงคิดที่จะกลับไปทำกับข้าวที่บ้าน เพราะพอกำนันเพิ่มศักดิ์ตื่นขึ้นมาจะได้ทาน กำนันเพิ่มศักดิ์จะติดใจในรสมือทำกับข้าวของผู้เป็นศรีภรรยามากกว่าที่จะทานจากที่อื่น ดังนั้นหน้าที่การเฝ้าดูแลกำนันเพิ่มศักดิ์จึงตกเป็นของกลิ่นแก้วและจุก
ตลอดเวลากลิ่นแก้วเองที่ยังรู้สึกติดค้างอยู่ในใจ เธอยังไม่ทราบอาการของรักษ์ไทเลยว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง จึงคิดที่จะให้จุกเล่าให้ฟัง แต่จนแล้วจนรอดพี่ชายเธอคนนี้ก็ซื่อบื้อเสียจนมองไม่ออกว่าเธอกำลังพยายามหลอกถามอาการรักษ์ไท โดยที่เธอเอาแต่จ้องหน้าพี่ชาย เอาเขาก็เอาแต่อ่านหนังสือพิมพ์ไม่ยอมเลยสายตาขึ้นมาสบสายตากับเธอเลย สุดท้ายกลิ่นแก้วหมดอารมณ์ที่จะถาม จึงตวัดสองแขนขึ้นมากอดอก แล้วถอนหายใจออกหนักๆ สีหน้าบึ้ง ได้แต่ปล่อยให้ความอยากรู้มันค้างๆ คาๆ อยู่อย่างนั้นไปก่อน
.
“พี่รักษ์ครับ!”
เสียงเรียกนั้นทำให้คนที่เอาแต่เหม่อสายตามองออกไปนอกระเบียงห้อง ต้องยอมลดสายตากลับมาจ้องหน้านุชิต
“ทานข้าวมั้ยครับพี่รักษ์ แม่เพ็ญระตีทำข้าวต้มปลามาให้พ่อกำนันแล้วแบ่งมาให้พี่รักษ์ด้วยนะครับ”
รักษ์ไทส่ายหน้า ก่อนจะถามถึงคนป่วยอีกคนที่เขาเพิ่งทราบมาจากชายหนุ่มคนนี้ ในตอนเช้าเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ในห้องๆ นี้ “ลุงกำนันเป็นยังไงบ้างชิต?”
“ตอนนี้ก็ดีแล้วครับพี่ ลุงกำนันน่ะเหมือนพี่รักษ์เลย พอตื่นขึ้นมาก็ถามหาพี่รักษ์คนแรก ไม่ได้นึกห่วงตัวเองเลย”
รักษ์ไทยิ้ม ตวัดมือจับตรงศีรษะ ที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ดีนะที่เขาแค่หัวแตก ผลจากการตรวจสมองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปรกติอะไร แล้วเพื่อความสบายใจของคนอื่นๆ เขาก็เลยต้องนอนอยู่ที่นี่ไปสักคืนสองคืน
“ยังเจ็บแผลอีกเหรอพี่รักษ์?” นุชิตถามอีกด้วยความเป็นห่วง
“ไม่แล้วล่ะ” ชายหนุ่มปฏิเสธเรียบๆ “พี่อยากไปดูลุงกำนันหน่อย” ชายหนุ่มพูดพร้อมทำท่าจะขยับแต่ชายหนุ่มต้องรีบห้ามปรามทันที
“ไม่ได้นะพี่รักษ์ อย่าเพิ่งขยับไปไหนเลย”
“แต่ว่า....”
“ผมรู้นะว่าพี่รักษ์เป็นห่วงลุงกำนันมาก แต่ลุงกำนันแกปลอดภัยแล้ว แกกำลังพักผ่อนอยู่ พี่รักษ์ก็เพิ่งฟื้น ยังสะลึมสะลืออยู่ เอาไว้ก่อนดีมั้ยครับ”
รักษ์ไททำหน้าครุ่นคิดเพียงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ายอมเชื่อฟังคำห้ามของชายหนุ่ม
จากนั้นชายหนุ่มก็หันไปดูโทรทัศน์ในห้องพักตามเดิม ช่วงเวลานี้แหละที่รักษ์ไทมีเวลาอยู่เงียบๆ คนเดียวอีกครั้ง สายตาของเขาส่อแววครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เรื่องลอบดักทำร้ายเขาระหว่างทาง
ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะมีนายตำรวจมาสอบปากคำเพิ่มเติม และสอบถามว่าเขาสามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้หรือไม่
เขาตอบได้คำเดียวเลยว่า ‘ไม่‘ ไม่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารดจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย แต่สำหรับเขานั้นหมายความว่า ไม่อยากที่จะบอกตำรวจมากกว่า
นี่แหละคือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่บอกตำรวจไปทั้งหมดรวมทั้งน้ำเสียงข่มขู่เขาเสียงนั้น
‘เฮ๊ย! พอแล้วไม่ต้องซ้ำ คุณผู้หญิงบอกว่าเอาแค่สั่งสอนก็พอ’
คุณผู้หญิง คุณผู้หญิงคนนั้น คือใคร?? รักษ์ไทครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างหนัก... เพราะมีหลายๆ คนต่างก็พากันพูดไปเป็นเสียงเดียวกันว่านี่ไม่ใช่การทำร้ายตนเพื่อมุ่งหวังทรัพย์สิน เนื่องจากกระเป๋าเงิน และก็ยังมีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในรถ รวมทั้งคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้หายไปไหน ถ้าอย่างนั้นสาเหตุการทำร้ายร่างกายเขาก็คงจะมีเพียงแค่สาเหตุเดียว นั่นคือมุ่งทำร้ายร่างกาย แต่ไม่ให้ถึงแก่ชีวิต เพียงแค่สั่งสอนให้เขารู้จักจำ และหวาดกลัว!
ใครเลยที่จะทำเรื่องแบบนี้กับเขาได้ ชายหนุ่มคิดมาตั้งแต่ช่วงกลางวัน และหนึ่งคำตอบที่เขาได้ก็คือ เสียงข่มขู่เสียงหนึ่งก่อนที่เขาจะขับรถกลับมาที่ไร่
‘กลับบ้านดึกๆ รับรองจะต้องมีคนดักตีหัวแตกแน่!’
นี่คือเรื่องบังเอิญหรือเป็นเรื่องที่อยากให้เกิดขึ้นจริง!
กลิ่นแก้ว คุณทำเรื่องแบบนี้กับผมจริงๆ หรือ?
(มีต่อ) .
แก้ไขเมื่อ 05 เม.ย. 55 23:04:17
จากคุณ |
:
พิณพลอย
|
เขียนเมื่อ |
:
5 เม.ย. 55 23:03:30
|
|
|
|