Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โนอาห์ 63 1/3 ติดต่อทีมงาน

เสียงกริ่งดังก้องห้องวิจัยเล็กๆเหม็นอับทำให้ชายร่างสันทัดในชุดกาวน์เงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ช้าๆ คิ้วสองข้างแทบชนกัน “คารม่าเปิดการเชื่อมต่อ ดูสิว่าใครมาเยี่ยมแต่เช้า” ชายหนุ่มลุกยืนหน้าเก้าอี้นวมเก่าๆ ข้างประตูสีเงินปรากฏหน้าจอสามมิติให้เห็นผู้ที่กดกริ่งหน้าประตูบ้าน แค่มองผ่านๆชายหนุ่มก็ใช้มือหยาบกร้านขยี้ผมสีดำยาว เขาอยากไล่แขกของวันนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“นพ! นพอยู่หรือเปล่า” หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ในหน้าจอด้วยท่าทางวิตกกังวล ลำโพงติดผนังใกล้ๆส่งเสียงของแขกออกมา ชายหนุ่มกดปุ่มติดต่อข้างลำโพงเล็กๆนั้นเพื่อทำการติดต่อ จากนั้นจึงยืนพิงกำแพงสีขาวขุ่นทำหน้าปั้นยากเหมือนไม่อยากคุยด้วย

“จะกลับมาทำไมเจนจิรา เรื่องของเราสองคนมันจบไปแล้ว”

“เจนกำลังมีลูก” เจนจิราพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ลูกชู้! นพรัตน์คำรามในลำคอรำคาญอีกฝ่ายที่ตามตอแยทั้งที่หล่อนเป็นฝ่ายหมดรักเอง “มันไม่ใช่อย่างที่นพคิดนะ นัทอยู่รึเปล่าเจนอยากคุยกับนัท” เจนจิราร้องเสียงหลงผมยาวประบ่ากระเซิงไม่เป็นทรง นพรัตน์อยากตัดการติดต่อเสียเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ติดที่ว่าเขาและหล่อนเคยเป็นแฟนกันมาก่อน ทั้งคู่เกือบได้แต่งงานกันแล้วถ้าไม่ใช่ว่าเจนจิราเล่นชู้แล้วหนีไปพร้อมกับชายโฉด

“อย่าเอาเจ้านัทมาเกี่ยวด้วย!! ผมไม่มีวันยอมให้คุณใช้มารยากับผมและเจ้านัทเป็นครั้งที่สองแน่” ใบหน้าเฉยเมยของนพรัตน์กระตุก นึกถึงความหลังตอนที่เขาและณัฐกานต์น้องชายพยายามให้เจนจิราเลือกว่าจะรักใคร เขาอาจผิดเองที่ไม่รู้จักมารยาหญิงดีพอ “คารม่าปิดการติดต่อ ถ้านางนั่นยังตอแยอยู่อนุญาตให้ใช้เอียร์ลิกได้เลย เอาให้โดนนะคราวนี้ไม่ต้องขู่แล้ว” ชายหนุ่มพูดกับสมองกลของบ้านที่มีเครื่องมือสื่อสารติดอยู่ทุกห้อง

“เดี๋ยวก่อนนพ คุณอาวัลลพจะพูดอย่างไรถ้าลูกชายเขากำลังฆ่าหลาน” เจนจิราร้องไห้ด้วยความจริงใจตะโกนใส่ลำโพงอย่างบ้าคลั่ง “อย่าเอาพ่อผมมาเกี่ยวด้วย ถ้าท่านยังอยู่คงทำอย่างที่ผมทำ” นพคำรามกลับจนหัวโขกกำแพงด้านหลังเบาๆ พ่อกับแม่ของพวกเขาหายสาบสูญไปกว่ายี่สิบปีแล้ว ถ้าพวกท่านอยู่คงไม่ต่อว่าเขาแน่

“เจนจิราอีกแล้วหรือพี่นพ”

หน้าจอสัญญาณดับลงไม่ทันให้แขกอุทธรณ์ ประตูห้องด้านหนึ่งเปิดออกให้ชายร่างเล็กอายุน้อยกว่านพรัตน์เล็กน้อยเดินเข้ามา พร้อมกับถ้วยกาแฟที่มีควันลอยขึ้นจนเป็นฝ้าบนแว่นตา ปากบ่นพี่ชายว่าส่งเสียดังเกินไปจนทำให้ตัวเองตื่นนอน ณัฐกานต์ลูกคนที่สองของดร.วัลลพถอนหายใจยาว ผมสั้นยุ่งเหยิงทำให้เขาดูเหมือนคนที่ไม่เคยสระผม ณัฐกานต์ขยับแว่นตาน้อยๆมองพี่ชายแล้วยื่นกาแฟให้ถ้วยหนึ่ง

“ช่างเถอะ พี่คิดไว้แล้วว่าคราวหลังจะเลือกแต่งงานกับแร่ควอร์ซ คงดีกว่าแต่งกับผู้หญิงมากรักอย่างนี้” นพรัตน์โคลงหัว รับกาแฟจากน้องชาย “มาดูว่าพี่เจออะไรสินัท มันแปลกมากไม่เหมือนกับแร่ชนิดไหนในโลกเลย” พี่ชายเคลื่อนเก้าอี้ให้น้องชายมายืนใกล้โต๊ะแสนรกของตนก่อนจะนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์เครื่องโปรด

มือที่หยาบกร้านของนพรัตน์คลิกเมาส์และแป้นคีย์บอร์ดพักหนึ่งเพื่อให้คอมพิวเตอร์แสดงการทดลองในรูปสามมิติและประมวลผลใหม่ แสงสีวูบวาบเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถเรียกรอยยิ้มให้แก่สองพี่น้องได้นอกเสียจากผลการวิเคราะห์สารที่ได้รับหลังจากการทดลองที่พิมพ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์งานใหม่เอี่ยมข้างๆกองหนังสือขนาดย่อมๆ

“วิเศษไหม ไอ้ชิ้นส่วนเล็กๆนี่หลังจากได้รับความร้อนจากแรงระเบิดจะปล่อยออกซิเจนและคาร์บอนออกมาแทนคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ ” นพรัตน์มีท่าทีตื่นเต้นทำให้น้องชายคึกคักไปด้วย ปฏิกิริยาที่ได้ในการเผาสารที่พบในอุกกาบาตที่ตกลงหลังบ้านของพวกเขาเมื่อวันก่อนผิดกับปฏิกิริยาการเผาไหม้ของวัตถุในโลกโดยสิ้นเชิง

“ทำไมมันไม่สูญหายไปตอนผ่านชั้นบรรยากาศล่ะพี่นพ แล้วถ้าในระบบสุริยะจักรวาลของเรามีแร่ชนิดนี้ทำไมถึงไม่เคยพบมาก่อน แค่มีไอ้นี่เราก็แก้ปัญหาโลกร้อนได้ดีกว่าไอ้โครงการปลูกป่าบังหน้านั่นอีก” ณัฐกานต์จิบกาแฟ เขาเบ้หน้าแล้วแลกแก้วกับพี่ชายเพราะเขาส่งให้ผิดแก้ว อย่างน้อยพี่ชายก็ชอบกินกาแฟดำไม่ใช่กาแฟใส่นม ไม่อย่างนั้นเขาคงทนกินผิดแก้วไม่ได้แน่

“พี่ว่าส่วนผสมทั้งหมดนั่นถูกผสมกันอย่างลงตัวทั้งก้อน เหมือนกับเราปั้นขี้ผึ้งเป็นก้อนกลมแล้วเอาไปเข้าเตาอบที่ยังอุ่น ถึงมันจะเหลือก้อนเล็กสักแค่ไหนมันก็ยังประกอบด้วยขี้ผึ้งอยู่ดี”

เหล่านักวิทยาศาสตร์ของไทยและอเมริกาให้ความร่วมมือกันในการแก้ปัญหาโลกร้อนมานานแล้ว กลุ่มกรีนพีซประสบความสำเร็จในการรณรงค์เพื่อรักษาโลกใบนี้ได้ในคืนส่งท้ายปีเก่าที่นิวยอร์กซึ่งไร้หิมะ วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากไปกว่าลดการใช้วัตถุที่ก่อมลพิษแต่มิอาจปิดช่องว่างของชั้นบรรยากาศได้

ในยุคที่ต้นไม้เหี่ยวเฉาทำให้ณัฐกานต์ศึกษาเรื่องชีววิทยาเชิงเคมีและพืชพันธุ์อย่างยากลำบาก ผิดกับพี่ชายที่เรียนพวกโลหะและแร่ ส่วนพ่อของพวกเขาศึกษาเกี่ยวกับเครื่องจักรและคลื่นสัญญาณต่างๆโดยมีแม่ของพวกเขาเป็นผู้ช่วย แต่สุดท้ายก็หายสาบสูญเพราะโครงการบ้าบอไร้สติของอเมริกา ทำให้พวกเขาต้องกำพร้าทั้งพ่อและแม่ มีเพียงอาที่ต้องไปทำวิจัยต่างประเทศอยู่ประจำและคารม่าสมองกลของบ้านหลังนี้เป็นเพื่อน จนกระทั่งห้าวันก่อนมีอุกกาบาตลูกหนึ่งหล่นลงมากลางสวนหลังบ้านทำให้สองพี่น้องมีของเล่นฆ่าเวลาในยามว่างเช่นนี้

“แล้วเราล่ะนัท”

“ไม่มีแบคทีเรียหรือเชื้อร้ายจากต่างดาวแปลกปลอมเข้ามา อุตส่าห์หวังเชียวว่าจะเจอเอเลี่ยนสักตัว” ณัฐกานต์ทำปากยื่นด้วยความผิดหวังที่ไม่มีอะไรแปลกปลอมติดมากับอุกกาบาต

นพรัตน์ยิ้มกว้างให้น้องชาย เขาคิดว่ามันดีแล้วที่ณัฐกานต์ไม่เจออะไรที่เป็นอันตรายและนำมาซึ่งการปิดบ้านกึ่งห้องแล็ปไว้เป็นสถานที่ควบคุมโรค สองพี่น้องหันไปมองดูก้อนอุกกาบาตขนาดเท่าศีรษะของคนวางอยู่ในแท่นกระจกสูงรูปไข่ ภายในอยู่ในสภาพปกติมีสายห้อยระโยงระยางเชื่อมต่อจากภายนอกสู่ภายใน นพรัตน์ที่ศึกษาเรื่องหินและแร่มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเก็บของจริงเอาไว้ในห้องทดลองของตัวเอง หากณัฐกานต์ต้องการตรวจเขาต้องใช้เครื่องสแกนเพื่อตรวจหาสิ่งมีชีวิตในห้องนี้แล้วเอาไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของตัวเองที่อาสร้างให้

“คุณนพรัตน์ มีการจับคลื่นสิ่งมีชีวิตได้ในห้องของคุณวัลลพครับ” เสียงสังเคราะห์ที่เหมือนกับชายหนุ่มดังจากลำโพงที่เพดาน

นพรัตน์และณัฐกานต์วางแก้วกาแฟแล้วออกคำสั่งให้ใช้ระบบป้องกันภัย ผู้บุกรุกจะถูกขังอยู่ในห้องปิดตายสมบูรณ์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาวุธจะถูกดูดติดกับผนังห้องด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่มีผลต่อมนุษย์ ห้องทำงานของรองศาสตราจารย์วัลลพไม่มีหน้าต่างทำให้ทั้งคู่แปลกใจว่าผู้บุกรุกเข้าไปในห้องนั้นได้อย่างไร ทั้งคู่เดินไปตามทางเดินที่เงียบสงัดและเรียบง่าย ถึงบ้านหลังน้อยๆของเขาจะเต็มไปด้วยห้องวิจัยและห้องเก็บอุปกรณ์สารเคมีแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนห้องทดลองของบริษัทใหญ่ๆ นพรัตน์กดปุ่มหมายเลขรหัสผ่านอย่างรวดเร็วประตูสีเงินเลื่อนออกทันทีตามคำสั่ง

ภายในห้องมีแสงสลัวจากห้องกระจกด้านในสุด ในห้องมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินไปมารอบๆเหมือนหนูติดจั่น นพรัตน์ย่นจมูกชี้ให้ณัฐกานต์เห็นผนังห้องด้านหนึ่งที่มีดาบเก่าๆและเกราะสีเงินติดอยู่ “อย่าบอกนะว่าเธอคนนั้นเอาไอ้พวกนั้นบุกรุกเข้ามาแทนที่จะเป็นปืนหรืออาวุธสงคราม” นพรัตน์คราง ในอดีตมีขโมยย่องเข้ามาในบ้านหลังนี้สองราย รายแรกถือปืนพก รายที่สองถือปืนกล พร้อมระเบิดมือ

ไฟส่วนอื่นในห้องสว่างทันทีส่องให้ผู้บุกรุกเห็นว่ามีคนมองดูอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของหญิงสาวมองมาทางนพรัตน์อย่างฉงนฉงายมือที่บอบบางทุบประตูปัง ปากขยับแต่พวกเขาสองคนไม่ได้ยินเสียง มือชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่วงแหวนเหล็กขนาดใหญ่ที่อยู่ชิดผนังห้องด้านหนึ่ง มันเป็นงานวิจัยสุดท้ายของพ่อ

“คารม่าเปิดการเชื่อมต่อส่วนลำโพง เราต้องการคุยกับเขาก่อนส่งตัวให้ตำรวจ” นพรัตน์พูด เสียงวี้เบาๆที่ไมโครโฟนเก่าๆข้างจอมอนิเตอร์ทำให้นพรัตน์รู้ว่าระบบลำโพงเชื่อมต่อระหว่างข้างนอกกับข้างในห้องกระจกแล้ว

“เปิดประตูให้ข้าที ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ” หญิงสาวมองพวกเขาสองคนด้วยความกระวนกระวาย แววตาใสซื่อแบบที่ชวนให้คิดว่าเจ้าหล่อนคงโกหกไม่เก่ง หล่อนพูดภาษาอังกฤษ ถึงณัฐกานต์จะฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่องก็เข้าใจได้เพราะคารม่าช่วยแปลให้พวกเขาอีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนคุณผู้หญิง คุณเป็นผู้บุกรุกส่วนเราเป็นเจ้าบ้าน เรามีสิทธิ์ถามคุณก่อน คุณต้องการอะไร แล้วเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร” นพรัตน์เผลอพูดภาษาไทย เขาหย่อนก้นลงบนเก้าอี้นวมที่ณัฐกานต์ลากมาให้โดยไม่สนใจฝุ่นบนเบาะหนังโทรมๆ

“ไม่ยักรู้ว่าท่านพูดภาษาอีธาเรี่ยนได้” หญิงสาวยักไหล่ คราวนี้พูดภาษาไทยชัดเปรี๊ยะแบบคำต่อคำ “ข้าเดินทางมาด้วยวงแหวนดีวาโลเพื่อตามหาผู้ช่วยเหลือ”

“ภาษาอะไรนะ อิตาเลี่ยนหรือ” ณัฐกานต์ขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน และที่หล่อนพูดก็ภาษาไทยเห็นๆ ชัดเปรี๊ยะยิ่งกว่าคนกรุงเทพฯเมืองหลวงเก่าเสียอีก

“พ่อข้าเป็นโซราส์แต่แม่ข้าเป็นอีธาเรียสข้าจึงพูดได้ทั้งสองภาษา ท่านคงไม่รู้จักหรอก ข้ามาจากมิลค์เวย์เพื่อขอความช่วยเหลือ พวกท่านต้องฟังข้า”

“ถ้าอย่างนั้นจะฟังหน่อยแล้วกัน” นพรัตน์พูดอย่างเยือกเย็น ณัฐกานต์บอกให้คาร์ลหาชื่อเมืองหรือหมู่บ้านที่ผู้บุกรุกพูดเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรบ้าง น้องชายรีบวิ่งกลับไปเอาแล๊ปทอปที่ห้องของตัวเองมาทันทีที่ทำได้ “ผมชื่อนพรัตน์ วงศ์แสวงโชค ส่วนน้องของผมคนนี้ชื่อณัฐกานต์ แล้วคุณล่ะ”

“โรส วาโนเลส มิลค์เวย์ของข้ากำลังพบกับภัยพิบัติใหญ่หลวง ตามตำนานบอกไว้ว่าโลกที่อยู่ด้านหลังวงเหล็กมีผู้สามารถช่วยพวกเราได้”

“พี่นพ ไม่พบสถานที่ตามที่เธอพูดเลยครับ” ณัฐกานต์พูดกับพี่ชาย เขาหอบเหนื่อยจนผมสั่นดิกๆตามจังหวะการหายใจ ทั้งคู่มีท่าทางอ่อนอกอ่อนใจกับแขกรายที่สองของวัน “เอาล่ะคุณวาโนเลส ถ้าคุณพูดจริงก็ลองแสดงให้เราดูสิ ทำให้วงแหวนเหล็กนั่นทำงาน…แล้วเราจะปล่อยคุณออกมา” นพรัตน์มองหญิงสาวผ่านกระจกอย่างครุ่นคิด ถ้าหล่อนพูดจริงมันต้องเกี่ยวกับงานวิจัยสุดท้ายของพ่อของพวกเขา ชื่อของงานวิจัยคือสัมพันธภาพระหว่างวัตถุและหลุมดำที่สร้างขึ้นโดยเครื่องกล

หญิงสาวที่อ้างว่ามาจากโลกอื่นไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบผลึกแก้วและหินก้อนเล็กๆออกมาจากถุงห้อยเอว วงแหวนเหล็กขนาดยักษ์ใหญ่พอที่รถบรรทุกผ่านเข้าออกได้ถูกเชื่อมต่อกับฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สองด้านมีเครื่องจักร หม้อแปลงพลังงาน และสายระโยงระยางต่อเข้ากับวงแหวนและคอมพิวเตอร์นอกห้องกระจก

หล่อนโยนหินก้อนเล็กๆลงไปในช่องที่เขียนไว้ว่าเชื้อเพลิง และโยนผลึกเล็กๆลงไปในเครื่องที่เขียนไว้ว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทำให้เกิดประกายไฟแปลบปลาบ เครื่องยนต์ด้านที่หล่อนโยนผลึกลงไปเดินเครื่องเสียงดังกระหึ่มจนนพรัตน์และณัฐกานต์อ้าปากค้าง แค่นั้นยังไม่พอ หญิงสาวหยิบกระบอกทำจากไม้ไผ่ที่ณัฐกานต์คิดว่าเป็นกระบอกน้ำออกมาแล้วเทราดในช่องที่โยนก้อนหินลงไป คราวนี้เครื่องยนต์ด้านที่หล่อนเทก้อนหินและน้ำลงไปส่งเสียงคำรามบ้าง

หล่อนทุบปุ่มสีแดงบนแท่นใกล้ๆทำให้วงแหวนเหล็กที่มีสายระโยงระยางส่องแสงวาวโรจน์ แสงสีม่วงดำกระจายตัวจากขอบของวงแหวนและไปบรรจบกันตรงกลางและหมุนวนเป็นลายก้นหอย นพรัตน์ยิ้มอย่างบ้าคลั่งในขณะที่ณัฐกานต์เช็ดแว่นแล้วสวมมันเข้าไปใหม่อีกครั้ง ผู้บุกรุกกอดอกมองทั้งคู่หวังว่าจะได้ออกไปจากห้องแคบๆนี่เสียที จนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์เงียบ แสงสีม่วงดำกลางวงแหวนหายไปพี่ชายคนโตจึงเพิ่งตั้งสติได้

“เราปล่อยคุณออกมาแน่วาโนเลส และจะรับฟังคำขอของคุณด้วย” นพรัตน์ปิดบังแววตาเจ้าเล่ห์ไม่มิดจนณัฐกานต์มองออกตั้งแต่ได้ยินคำแรกที่ออกมาจากปาก “ช่วยอธิบายให้ผมฟังเกี่ยวกับหินสองอย่างที่คุณใส่ลงไปในเครื่องนั้นทีได้ไหม คุณคงไม่รู้ว่ามันต้องใช้พลังงานมากแค่ไหนในการเดินเครื่องเปิดมิติ” นพรัตน์พยักหน้าให้คารม่าเปิดประตูให้กับหล่อน

เครื่องเปิดมิติของรศ.วัลลพจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าหลายพันโวลท์และความร้อนสูงกว่าสามร้อยองศาในการเดินเครื่อง นพรัตน์ยังจำได้ดีว่าพ่อของเขาต้องใช้เครื่องปั่นไฟอัดไฟลงในคอนเดนเซอร์เสียก่อนจึงเดินเครื่องได้ นี่แค่หย่อนหินสองสามก้อนลงไปก็เดินเครื่องได้แล้ว ถ้าเธอยังมีหินอีกพวกเขาอาจพบแหล่งพลังงานใหม่ที่ยอดเยี่ยมนำมาซึ่งรางวัลโนเบล เครื่องเปิดมิติของพ่อสามารถสร้างหลุมดำที่ใช้เดินทางเชื่อมต่อกับที่แห่งอื่นที่มีเครื่องรับได้ บางทีโลกของหล่อนอาจสร้างเครื่องแบบนี้แล้วสัญญาณตรงกันพอดี แต่สิ่งที่คาใจของนพรัตน์คือทำไมหล่อนพูดภาษาอังกฤษและภาษาไทยได้

“แล้วเกราะกับดาบของข้าล่ะ” หญิงสาวเดินไปดึงดาบของตัวเองที่ถูกดูดติดกับผนัง เธอเกือบล้มเพราะอยู่ๆแรงดูดก็หายไป เกราะป้องกันหน้าอกหล่นกระทบพื้น โรสผู้ที่อ้างว่ามาจากโลกอื่นหยิบมันขึ้นแล้วสวมมันราวกับเป็นเสื้อผ้าชิ้นสำคัญ นพรัตน์โคลงหัว หากโลกของนางยังใช้ดาบกับเกราะเหมือนในยุคสงครามครูเซดทำไมจึงสร้างเครื่องเปิดมิติได้ นี่มันเป็นทฤษฎีที่เพิ่งมีมาก่อนยุคศตวรรษที่ 21 แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น

“คุณยังมีมันอยู่อีกหรือเปล่า” นพรัตน์ลุกขึ้นจับมือกับโรสอย่างว่องไว หล่อนบอกว่ายังมีอีกมากแล้วหยิบมันวางลงบนมือของนพรัตน์อย่างละชิ้น ก้อนหินสีเขียวหม่นมีชื่อว่าอัลคาไรซ์ ส่วนผลึกสีรุ้งสดใสชื่อว่ามัลลัสก้า “ทีนี้ผมขอเวลาสักครู่ศึกษามันหน่อย คุณคุยกับเจ้านัทไปก่อนก็ได้นะ” นพรัตน์หัวเราะแล้วเดินออกจากห้องไป ตายังจ้องมองแร่ปริศนาด้วยความสงสัย ลักษณะของหินคล้ายกับหินฟอสเฟต ส่วนผลึกสีรุ้งมีลักษณะร่วมระหว่างผลึกเกลือและผลึกจากแร่โลหะ

ณัฐกานต์ชวนโรสนั่งบนเก้าอี้แล้วชวนคุยเกี่ยวกับสภาพการเป็นอยู่รวมถึงประเพณีและวัฒนธรรมเพื่อรอพี่ชาย เขาอยากชวนเจ้าหล่อนไปสัมภาษณ์ที่ห้องนอนแต่กลัวพี่ชายจะอารมณ์เสียเพราะต้องรอถึงพรุ่งนี้กว่าเขาจะออกมา ดินแดนที่ชื่อว่ามิลค์เวย์ประกอบด้วย 8 เมืองใหญ่ ไวนิส, เมอร์ไครัส, อีธาเรีย, มีร์, โจปิแตร์, ซีธาร์น, ยูโรน์ส และเนปธา ทั้งแปดเมืองอยู่ในการปกครองนครใหญ่ที่มีชื่อว่าโซราส์ แต่ศาสนากลับมีแต่อย่างเดียวผิดกับโลกที่มีหลายเชื้อชาติหลากศาสนา ราวกับบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นพวกเดียวกันความคิดอ่านจึงคล้ายกันด้วย

ที่มิลค์เวย์มีพระอาทิตย์ดวงเดียวเหมือนกันแต่มีพระจันทร์ห้าดวงผลัดส่องแสงตามฤดูกาลต่างๆ มีภาษาที่เหมือนกับภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักและภาษาที่เหมือนกับภาษาไทยเป็นภาษารอง มีตำนานกล่าวไว้เกี่ยวกับผู้สร้างมิลค์เวย์ว่า มีพระเจ้าสิบองค์ลงมาจากดินแดนอันไกลโพ้นเพื่อสร้างมวลมนุษย์ขึ้นจากเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตที่พวกเขานำมา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีนพรัตน์ก็กระหืดกระหอบวิ่งเข้ามาในห้องพร้อมกระดาษพิมพ์ผลการทดลอง ณัฐกานต์คว้ามาดูทันที ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นหินทั้งสองอย่างที่โรสให้นพรัตน์ไปตรงกับผลที่ได้จากก้อนอุกกาบาต แสดงว่าหินทั้งสองเป็นชนิดเดียวกัน

“คุณวาโนเลส ช่วยมากับผมหน่อย” นพรัตน์ดึงแขนของแขกรายที่สองพาเดินไปยังห้องวิจัยโดยที่เธอไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย “คุณเคยเห็นไอ้ก้อนแบบนั้นไหม” ทันทีที่ประตูห้องทดลองเลื่อนเปิดออกไฟเพดานก็เปล่งแสงให้โรสมองเห็นก้อนอุกกาบาตแข็งกระด้างอย่างชัดเจน

“นั่นมันสินแร่อาร์เคไนท์นี่ ท่านได้มาอย่างไร เราสกัดเอาอัลคาไรซ์และมัลลัสก้าออกมาได้ มันผุดขึ้นทุกเดือน พวกเราใช้สร้างไฟฟ้าและแสงสว่าง”

“แล้วคุณต้องการให้พวกเราช่วยอะไร จึงได้เดินทางมา”

“หลายอย่าง มิลค์เวย์พบกับหายนะหลายรูปแบบ พายุ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ น้ำท่วม…พวกท่านคงต้องไปเห็นปัญหาก่อนนั่นล่ะ”

นพรัตน์เกาคางหันไปปรึกษาน้องชายที่เดินตามหลังมา มันจะคุ้มกันไหมระหว่างชีวิตกับชื่อเสียง พวกเขาเป็นแค่นักวิทยาศาตร์เฉพาะด้านธรรมดาๆไม่ได้มีเวทมนตร์คาถาอย่างในนิยายหรือเก่งเสียทุกด้านอย่างหมอ แต่ของรางวัลก็ยั่วน้ำลายอยู่ แร่สองชนิดที่เป็นพลังงานทดแทนสามารถแก้ปัญหาโลกร้อนมาอยู่ตรงหน้า “ถ้า…ถ้าพวกผมสองคนช่วยคุณได้จะขอแร่สองอย่างนั่นมาได้ไหม” นพรัตน์ลังเล

“ได้สิ สินแร่ผุดขึ้นมาทุกเดือน จะเอาไปสักเท่าไหร่ก็ได้”

“ตกลง ผมยินดีช่วยดินแดนของคุณโดยมีเงื่อนไขคือแร่สองอย่างนั่น แต่ถ้าพลาดช่วยส่งผมกลับมาโลกนี้โดยไม่มีบาดแผล”

“ผมดีกว่า พี่นพยังต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง ผมอยู่นี่จะทำอะไรได้”

“แกก็ยังเหลือวิทยานิพนธ์ที่ต้องส่งไงละ จะเป็นไรไปถ้าพี่จะหาอะไรแปลกใหม่บ้าง แกยังมีอนาคตอีกยาวไกล เชื่อสิพี่ต้องกลับมาได้”

“อย่างนั้นผมขอไปด้วย สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวจริงไหม” ณัฐกานต์ตัดบท นพรัตน์มองน้องชายอย่างภูมิใจระคนเป็นห่วง เขาต้องเป็นทั้งพี่ชายทั้งพ่อของณัฐกานต์ ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อนที่รศ.วัลลพ และผศ. มัลลิกา หายสาบสูญ นิสัยดื้อรั้นเด็ดเดี่ยวก็ติดมาจากตัวเขาเอง ทำให้รู้ว่าถึงจะห้ามไปก็ไม่มีความหมาย

“ตกลงเราสองคนจะไปช่วย แต่ขอข้อมูลเพิ่มหน่อยได้ไหม เรื่องเวลาและการนับวันของที่โน่น” ณัฐกานต์ขยับแว่นน้อยๆ

“จริงสิห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ของพ่อ” นพรัตน์ขยี้หัว “คารม่าปลุกลาเวนเดอร์ เราต้องใช้รถขนอุปกรณ์ทดลองและข้าวของไป คงช่วยได้ไม่มากก็น้อย” เขาพูดใส่ลำโพงติดผนัง “รับทราบครับคุณนพรัตน์” เสียงสังเคราะห์ตอบอย่างเรียบๆเสมอต้นเสมอปลาย

ณัฐกานต์ซักถึงเรื่องที่สำคัญเช่นการขึ้นและลงของดวงอาทิตย์ การขึ้นลงของน้ำ การนับเวลา และจำนวนรอบวันของฤดูต่างๆ เขาอุทานหลายครั้งเพราะทุกอย่างเหมือนกับในโลกนี้ราวกับเป็นโลกคู่ขนานที่เหมือนกันทุกประการ เสียเพียงว่าทุกอย่างแปรปรวนตั้งแต่เกิดหายนะขึ้น ครั้งหนึ่งซีกดาวที่เป็นตอนกลางวันเกิดพายุขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นกลางคืนทันที บางที่น้ำลงก็กลับเป็นน้ำขึ้นสูงจนท่วมแล้วลดระดับลงไปอีกครั้ง

“ไว้ไปดูก็เห็นเอง” นพรัตน์ที่จินตนาการไม่เก่งเท่าน้องชายพ่นลมออกจากจมูก “จะกินข้าวเช้ากับพวกเราก่อนรึเปล่าคุณวาโนเลส” เขาหิวจนท้องร้องประท้วงหลายหน เรื่องขนเสื้อผ้าค่อยให้คารม่าช่วยทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้เขาอยากไปกินข้าวกับน้องและแขกคนสำคัญเสียก่อน แขกที่นำพาชื่อเสียงและเงินทองให้กับเขาสองพี่น้องเท่านั้น

หลังอาหารเช้านพรัตน์ใช้บริการรถขนส่งขนาดเล็กของคารม่าในการขนเสื้อผ้าและเครื่องใช้ไปไว้ในรถตู้คันใหญ่ สมองกลของรถเป็นหญิงวัยรุ่นผิดกับคารม่าที่เป็นชายวัยกลางคน โรสแขกคนสำคัญเดินดูรถที่ใหญ่เกือบเท่ารถบรรทุกเสียทั่วด้วยความสนใจหลังจากลองนั่งรถเข็นเล็กๆที่ควบคุมด้วยสมองกลมาแล้ว ณัฐกานต์พยายามติดต่อกับอาแต่พบว่าไปทำวิจัยอยู่ที่ทะเลทรายซาฮาร่าจึงยังติดต่อไม่ได้ แต่ได้ฝากข้อความไว้แล้วว่าพวกเขาจะไปพักร้อนแบบไม่มีกำหนด

“ระบบพร้อมแล้วค่ะคุณนพรัตน์” สมองกลของรถพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ไม่เจอกันนานนะ ตอนนี้เราต้องพึ่งเธอแล้วลาเวนเดอร์” นพรัตน์ขับรถให้จ่อกำแพงโรงรถ กำแพงด้านนี้เชื่อมติดกับห้องทดลองของรศ.วัลลพพอดี กำแพงโลหะบางๆตรงหน้าของนพรัตน์ค่อยๆเลื่อนออกให้เห็นว่าณัฐกานต์โรสเตรียมรออยู่แล้ว

ณัฐกานต์เห็นว่าทุกอย่างพร้อมแล้วจึงโรยแก้วผลึกสีรุ้งที่กอบไว้เต็มฝ่ามือลงไปบนเครื่องยนต์ที่ใช้รับพลังงานไฟฟ้า ส่วนวาโนเลสโรยหินไปในช่องที่เขียนว่าพลังงานแล้วเทน้ำตาม น้องชายคนเล็กของบ้านเดินไปทุบปุ่มสีแดงเพื่อเดินเครื่อง เสียงดังกระหึ่มและพลังงานรูปก้นหอยปรากฏในวงแหวน อากาศในห้องใหญ่อุ่นและร้อนขึ้นทันตาเห็น นพรัตน์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ไม่อยากคิดว่าถ้าเกิดความผิดพลาดจะเป็นอย่างไร ทั้งคู่เดินขึ้นรถมานั่งหลังคนขับอย่างเยือกเย็น “แล้วเจอกันคารม่า” นพรัตน์พูดเบาๆแล้วเหยียบคันเร่งเข้าไปในวงแหวน...

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : 5 เม.ย. 55 23:04:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com