37 ยังไม่แปดโมง แต่สายไหมมาจอดรถที่หน้าบ้านเขมรัฐแล้ว เธอหิ้วถุงกับข้าว ยา ลงมาก่อนจะเปิดประตูพร้อมส่งเสียงทักทายอย่างเคย
เจ๊หงส์กำลังทำครัว รับมือไหว้ผู้มาเยือนด้วยอาการแปลกใจเล็กน้อย “ได้ยินว่าโขงไม่สบาย ไหมเลยมาเยี่ยม ซื้อโจ๊กกับยามาให้ค่ะ” “รู้ได้ยังไงนี่” “พอดีไหมโทรหาโขง แต่เข้เขารับสายเลยรู้น่ะค่ะ” ผู้อาวุโสกว่าพยักหน้า “เข้ามาสิ กินข้าวกันก่อน” สายไหมก้าวเข้าบ้าน ปฏิเสธเสียงหวาน “ไม่เป็นไรค่ะ ปกติไหมไม่ค่อยกินข้าวเช้า” เขมรัฐเดินลงมาจากชั้นสอง เขาพยักหน้าทักผู้มาเยือน แล้วเดินไปที่ครัว “โขงเป็นยังไงบ้างคะเข้” “ตื่นแล้วล่ะ กำลังจะหาอะไรไปให้กิน จะได้กินยา” “ไหมซื้อโจ๊กมา กินได้ไหม” ชายหนุ่มมองไปยังผู้เป็นแม่แว่บหนึ่ง เพราะบนเตาแก๊สก็มีหม้อข้าวต้มตั้งไว้อยู่แล้ว สายไหมอ่านออกว่าเธอกำลังทำให้เขาลังเลใจ แต่ช้ากว่าเจ๊หงส์ “เอาไปให้กินเถอะ ดีเหมือนกัน ข้าวต้มยังไม่เปื่อย” หญิงสาวใจชื้น เขมรัฐจึงรับถุงโจ๊กจากสายไหม เธอยื่นถุงยาให้ด้วย แล้วยืนมองชายหนุ่มจัดแจงเตรียมข้าวกับยาให้ลูกชาย “ไหมกินอะไรดี กาแฟ หรือรอข้าวต้ม” หัวใจรัวจังหวะอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้อยคำชวนอาจจะเป็นไปตามมารยาท หากเพียงแค่ได้ยินเสียงโทนทุ้มและนุ่มนวลแบบนั้นแล้ว เธอต้องข่มความดีใจไม่ให้ออกนอกหน้า “เข้ล่ะ” “เดี๋ยวจะกินกาแฟ เอาข้าวไปให้โขงก่อน” “งั้นไหมขอด้วยแล้วกันค่ะ” เธอพูดยิ้ม ท่าทางเก้อเขิน “เดี๋ยวฉันชงให้” เจ๊หงส์หยิบแก้ว “อุ้ย ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวไหมทำเอง” “ไม่เป็นไร ไหมเป็นแขก เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านอยู่แล้ว กาแฟ น้ำตาลกี่ช้อนล่ะ” พูดแล้วก็หยิบช้อน หยิบขวดผงเครื่องดื่มออกมา สายไหมสังเกตเห็นกิริยาที่เต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติแล้วสรุปว่า น่าจะเป็นขั้นตอนปกติของการต้อนรับผู้มาเยือน เธอคงไม่ได้มีความพิเศษอะไร หากว่าเท่านี้ก็เพียงพอ ไม่เย็นชาใส่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว “ขอบคุณค่ะ” เธอยกมือไหว้เมื่อรับแก้วกาแฟ เขมรัฐเดินลงมาตรงไปชงกาแฟ ตอบผู้เป็นย่าลอย ๆ “มันบอกจะกินเอง” “เหรอ บอกหรือเปล่าว่าสายไหมมา” “ก็เผลอไปบอกนี่แหละ เลยจะขอกินข้าวเอง บอกว่าจะลงมาหาไหมด้วย” เขาหยิบแก้ว แล้วหันมามองสายไหม “ไหมกินข้าวต้มสิ แม่ทำอร่อยนะ” สายไหมฉีกยิ้ม โขงต้องรู้แน่เพราะเธอโทรหาเขา “ขอบคุณค่ะ เข้...ไหมขอรอเจอโขงได้ไหม” ชายหนุ่มยกคิ้ว “ก็ได้นี่” “แล้วเข้ไม่ต้องไปทำงานเหรอ” “เดี๋ยวบ่าย ๆ ค่อยไป” เขาวางแก้วกาแฟที่โต๊ะอาหาร เจ๊หงส์ถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้กับเก้าอี้พอดี “เข้ เดี๋ยวแม่ไปซื้อของทำขนมก่อนนะ ดูเจ้าโขงด้วยล่ะ ไหม...ตามสบายนะ หิวก็บอกเข้เลย” ผู้มาเยือนกล่าวคำขอบคุณหน้าบาน มองผู้อาวุโสกว่าเดินไปหยิบกระเป๋า กุญแจรถ แล้วเดินออกไปจากตัวบ้าน ได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ เธอห่อปากเมื่อเห็นยานพาหนะของเจ้าบ้าน เขมรัฐยิ้ม “ใครเห็นแม่ขับรถก็ทำหน้าแบบนี้ทุกคน” สายไหมดึงสายตากลับมา “ดีนะ ไหมชอบ ดูแกร่งแล้วก็เข้มแข็งจัง” “เป็นธรรมดา ไหนจะต้องคุมคนงาน ไหนจะต้องเลี้ยงลูกหลานผู้ชาย แล้วก็แสบทั้งสองตัว ดีนะที่ยังทำขนมแบบผู้หญิง ๆ เป็น ไม่งั้นจะให้โขงเรียกปู่แล้ว” หญิงสาวหัวเราะคิก “แม่ทำขนมอะไร เค้กเหรอ” เขมรัฐจิบกาแฟ “ทำนองนั้นแหละ พวกที่ตกแต่งสวย ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม ทำเสร็จจะกินเลยก็ไม่ได้ ต้องถ่ายรูปก่อน ผมเคยเผลอไปกินก่อน โวยวายซะยังกับถูกโจรกระชากกระเป๋า” อีกฝ่ายหัวเราะหนัก คารมของเขาทำเอาน้ำตาเล็ด “เข้นี่ตลกไม่เปลี่ยนเลยนะ แบบนี้ใครมาคุยด้วยเป็นอันได้หลงทุกคนแน่ ๆ” เขาไหวไหล่ หันไปมองหม้อบนเตา “กินข้าวต้มไหม” สายไหมเก้อไปเล็กน้อยเพราะรู้ว่าชายหนุ่มตั้งใจเปลี่ยนเรื่องแบบเนียน ๆ “เข้ ไหมขอโทษด้วยนะ ที่พาโขงไปตะลอน ๆ จนไม่สบาย” เขมรัฐวางถ้วยข้าวต้ม ส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก มันนอนดึกของมันเอง เล่นกีตาร์ยันเที่ยงคืน อย่าคิดมาก” เขาขยับนั่ง คนข้าวต้มในถ้วยตนเอง “แล้วนี่ไหมลาพักร้อนกี่วัน” คำถามนี้ยืนยันได้ว่าชายหนุ่มอ่านสถานการณ์ได้เฉียบขาด แทนที่จะถามว่า ‘ทำไม’ แต่ข้ามไปสู่ประเด็นที่คิดว่ารู้อยู่แล้ว “อาทิตย์นึงค่ะ” เธอตักข้าวต้มแล้วเอ่ยปากชม มองดูอีกฝ่ายที่จัดการของในถ้วยเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วจิบกาแฟ ดูเหมือนเขาจะหมดเรื่องคุย “แต่ไหมว่าจะลาออกแล้ว” ได้ผลเพราะเขาหันมา “ทำไมล่ะ” “เบื่อ” เธอถอนหายใจ “ก็เรื่องคนมีเจ้าของแล้วมาตามจีบนั่นแหละ ไหมไม่ชอบ หวุดหวิดจะซวยตั้งไม่รู้กี่หนแล้ว” เขมรัฐจำได้ ผู้ชายที่ร้านอาหารคนนั้นนั่นเอง แต่มันดูเหมือนไม่ใช่การตาม ช่างเถอะ “เดี๋ยวผมไปดูโขงแป๊บนะ” เขาพูดแล้วก็ลุกไป หายไปไม่ถึงห้านาทีก็กลับลงมาพร้อมถ้วยโจ๊กที่เกือบหมดถ้วย แต่ยาไม่ถูกแตะต้อง สายไหมงง คนเป็นพ่อยิ้มระอา “อย่างนี้แหละ โขงไม่ชอบกินยา เมื่อกี้ทำเป็นรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ไข้ลดแล้ว นอนหลับไปแล้ว ไม่เป็นอะไรมากหรอก” หญิงสาวนึกอยากเอ่ยปากขอขึ้นไปดูแลแต่เกรงว่าจะล้ำเส้นเกินไป จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ เมื่ออิ่มมื้อเช้าไม่นาน เจ๊หงส์ก็กลับมาพร้อมข้าวของหลายถุงใหญ่
“ปูนิ่ม หนูว่างไหม เอาเอกสารไปให้คุณหงส์หน่อยสิ” ปุริมาลุกทันที แม้กำลังดูทีวีแต่ไม่ใช่รายการหรือเรื่องที่สำคัญ เธอหยิบหมอนอิงวางไว้ที่เดิมแล้วรับซองสีน้ำตาลขนาดเอสี่จากผู้เป็นพ่อ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นหนที่สามหรือสี่แล้วที่เธอรับหน้าที่พนักงานส่งเอกสาร ลูกสาวรับซอง มองหน้าคนให้ “เอกสารอะไรเหรอคะเนี่ย” คเชนทร์สบตาเธอ แว่บหนึ่งที่ดวงตาอ่อนโยนแต่เข้มแข็งนั้นสั่นไหว ปุริมายิ้มหวาน “เป็นความลับก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็แค่ถามดูเพราะเห็นว่าพ่อให้หนูเอาไปให้เจ๊หงส์หลายครั้งแล้ว” เธอเดินไปหยิบกุญแจรถ อีกฝ่ายแตะหัวไหล่ “ความจริง ปูนิ่มรู้ไว้ก็ดีเหมือนกัน” คเชนทร์มีน้ำเสียงจริงจัง “อย่างที่พ่อเคยบอก คุณหงส์ช่วยเหลือโรงเรียน พ่อเลยต้องส่งรายงานรับจ่ายรายเดือนให้เธอดู รวมไปถึงเงินที่ต้องชำระคืนด้วย” เขาสบตาปุริมาที่เหมือนกำลังคิดตาม “ผิดหวังในตัวพ่อหรือเปล่า” คนเป็นลูกส่ายหน้า “ไม่นี่คะ หนูว่าพ่อเก่งจะตาย บริหารงานตัวคนเดียว ถ้าไม่มีความสามารถและสร้างความไว้ใจได้ ใครจะเชื่อถือยอมช่วยเหลือล่ะจริงไหมคะ นี่อาคารใหม่ก็เสร็จแล้ว เทอมหน้านักเรียนคงเพิ่มขึ้น อีกไม่นานคงได้ถึงจำนวนที่พ่อคาดไว้” สีหน้าคนฟังปลื้มใจ “หนูเสียอีกที่แย่ ไม่เคยสนใจเลย กว่าจะมาช่วยพ่อก็ช้าไปมากเลย...” พูดอยู่ดี ๆ ปุริมาก็หยุดแล้วหัวเราะคิกคักจนคเชนทร์ที่ตั้งใจฟังงง ลูกสาวทำตาวิบวับ
“อะไร” “หนูคิดเล่น ๆ ว่า พ่อเป็นลูกหนี้เจ๊หงส์ ถ้าวันไหนพ่อไม่มีเงิน เจ๊หงส์จะเอาหนูไปขัดดอกหรือเปล่าเนี่ย” คเชนทร์หัวเราะบ้าง ลูบศีรษะหญิงสาว “ช่างคิดจริงนะเรา แต่เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าคิดอยากให้เป็นอย่างนั้นน่ะ” ปุริมาเดินออกไปแล้ว พลางฮัมเพลงเสียงสดใส ‘...รักแอบ รักแฝง รักเหมือนมดแดงเฝ้าม่วง รักด้วยใจหึงหวง รักไม่ลวงรักจริง...*”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันจักรี 55 10:29:16
|
|
|
|