Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โนอาห์ 63 2/3 ติดต่อทีมงาน

แสงรอบด้านดับลงทันทีที่ขับเข้าไปในวงแหวน นพรัตน์ไม่หลับตาแต่เหยียบคันเร่งไม่ยอมหยุดจนหลุดออกมาสู่แสงสว่างภายนอก ดวงอาทิตย์ส่องเข้าทางหน้าต่างรถ รอบด้านของพวกเขามีต้นไม้และแม่น้ำเหมือนกับป่าในภาพสามมิติที่ณัฐกานต์เคยดู “เบรกมีไว้ใช้นะคะคุณนพรัตน์” เสียงสังเคราะห์ของลาเวนเดอร์ล้อเลียน โชคดีที่หล่อนช่วยเบรกให้ก่อนจะชนต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า

ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างโล่งอกโชคดีที่ใช้รถของพ่อที่ติดตั้งสมองกลไว้ โรสใช้วิธีเปิดประตูรถที่ณัฐกานต์สอนให้ลงไปพร้อมกับสองพี่น้อง วงแหวนเหมือนกับของที่บ้านพวกเขาอยู่ไม่ไกลนัก แต่มันเก่าคร่าราวกับฝ่าแดดฝ่าฝนมาเป็นร้อยปี มีทั้งร่องรอยของสนิมและรอยขีดข่วนต่างๆนานา

“นี่คือวงแหวนดีวาโล เป็นทางเข้าออกในตำนาน” โรสพาคนทั้งคู่ไปดูวงแหวนเหล็กใกล้ๆ นพรัตน์จ้องมองชื่อที่สลักอยู่ที่ฐานเครื่องยนต์ มันเขียนไว้ว่า ดีวาโลจริงแต่มันมีช่วงเว้นวรรคน่าสงสัย มันคงกะเทาะและเลือนไปตามกาลเวลาจึงไม่เห็นว่าเขียนอย่างไรกันแน่

“D WA LO อ่านว่าดีวาโล” วาโนเลสสะกดให้นพรัตน์ฟังเพราะคิดว่าเขาอ่านไม่ออก “ในตำนานเมื่อห้าร้อยปีก่อนเล่าว่า เหล่าผู้สร้างกลับออกมาจากวงแหวนนี้เพื่อเปลี่ยนดาวที่รกร้างให้เป็นบ้านของพวกเราชาวมิลค์เวย์”

“พี่นพ ข้างล่างนั่นมีเมืองด้วย” ณัฐกานต์มองลงไปทางหน้าผาใกล้ๆ ด้านล่างเป็นบ้านเรือนยาวจนสุดสายตา มีปราสาทหลังใหญ่และคฤหาสน์อยู่ประปรายทำให้คิดถึงหนังยุคเก่า “นั่นคืออีธาเรียเมืองที่ข้าอยู่ ใกล้ๆมีโบสถ์อาทาโพนกับโคนาทันอยู่ ข้าต้องไปให้หลวงพ่อรู้ก่อนว่าข้าพาผู้ช่วยเหลือมาแล้ว” วาโนเลสบอก นพรัตน์คิดว่าหล่อนคงเข้าใจผิดว่าพวกเขามาช่วยเปล่าๆ

สองพี่น้องมองตากันแล้วยอมทำตามที่หล่อนบอก นพรัตน์ขับรถอย่างยากลำบากเพราะทางคดเคี้ยวและแคบเพราะเป็นทางคนสัญจร แม้จะใช้ระบบแรงดันที่ทำให้รถอยู่สูงจากพื้นหลายนิ้วแต่ก็ยังขับยากอยู่ดี โรสบอกทางผ่านป่าสนอย่างชำนาญ ณัฐกานต์รีบวิ่งเข้าไปในส่วนหลังรถคว้ากล้องมาถ่ายรูปต้นไม้เหล่านั้นไว้เพื่อเก็บเป็นข้อมูล ไม่แน่เขาอาจได้ตัวอย่างเนื้อเยื่อสำหรับเอาไปเพิ่มเติมในวิทยานิพนธ์ด้วย

“โชคดีที่พวกท่านมาตรงกับเดือนปลาคู่ เรากำลังเตรียมการบูชาเทพแห่งดวงอาทิตย์อยู่พอดี” โนวาเลสพูดเนือยๆเหมือนคิดเรื่องอื่นอยู่ แล้วบอกให้นำหยุดหน้าอาคารสีขาวสูงเท่าตึกสามชั้น ผู้คนในโบสถ์ไม่เคยได้ยินเสียงเครื่องยนต์มาก่อนต่างออกมายืนมองหน้าสลอน นพรัตน์คิดว่าเครื่องแต่งตัวเหมือนกับคนบนโลกของเขาทุกประการ เสื้อทำจากผ้าฝ้าย ส่วนกางเกงก็เป็นผ้าบ้างเป็นหนังสัตว์บ้าง วาโนเลสรีบลงไปก่อนคนแรก เมื่อชาวบ้านได้ยินชัดว่าเป็นผู้ช่วยเหลือก็คุกเข่าแสดงความเคารพราวกับสองพี่น้องเป็นผู้วิเศษ

“ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้” นพรัตน์ลงจากรถ อย่างไรเสียเขากับน้องก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีอิทธิฤทธิ์หรือเวทมนตร์คาถา “อย่างไรถ้าเราช่วยไม่ได้ก็อย่าทำรุนแรงแล้วกัน” นพรัตน์พูดเบาๆกับโรสที่ยิ้มอย่างเย็นชาผิดกับตอนที่ลงจากรถ

“หลวงพ่อคะ สองคนนี้บอกว่าจะพยายามช่วยเราแลกกับสินแร่อาร์เคไนท์” โรสบอกให้ทุกคนยืนแล้วแยกย้าย แต่มีส่วนหนึ่งเดินไปรอบๆรถของสองพี่น้องราวกับเป็นสิ่งประหลาด “ผมนพรัตน์ วงศ์แสวงโชค ส่วนนี่ณัฐกานต์” นพรัตน์แนะนำตัวเองและน้องให้รู้จัก หลวงพ่อที่โรสบอกคงเป็นนักบวชในศาสนาคล้ายพระหรือพวกนักบวช แต่หลวงพ่อผมขาวโพลนผู้นี้สวมชุดสีดำทำให้ดูเหมือนบาทหลวงมากกว่า

ชายชราในชุดดำที่โรสเรียกว่าหลวงพ่อจ้องสองพี่น้องนิ่งแล้วรีบพาเขาเข้าไปในโบสถ์ นพรัตน์คิดว่ามันเหมือนกับโบสถ์คริสต์ ไม่ว่าจะเป็นกระจกแก้วหลากสีและแท่นที่นั่งเรียงรายทั่วห้อง สุดกำแพงมีรูปเคารพหกรูปสูงกว่าสามเมตรตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ ด้านหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคนผมแสกข้างเหมือนนพรัตน์ และมีคิ้วเรียวเหมือนณัฐกานต์ คนพี่เสียอีกที่วิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ปากสั่นระริกอย่างไร้ทางควบคุม น้ำตาไหลเอ่อใกล้ทะลัก

“คุณพ่อ...” เขาหลุดปากออกไปได้อย่างไรไม่รู้ แต่รูปปั้นนั้นเหมือนพ่อของพวกเขามาก ทั้งรูปหน้าและสัดส่วนขาดเพียงชีวิตเท่านั้น พอมองไปที่รูปปั้นข้างๆที่เป็นหญิงวัยกลางคนก็เหมือนกับแม่ของทั้งสองอย่างกับแกะ

“องค์นั้นคือเทพแห่งดวงอาทิตย์ผู้นำแสงสว่างสู่มิลค์เวย์ ข้างๆคือชายาของพระองค์เป็นเทพีแห่งดวงดาว ท่านทั้งสองคงเป็นผู้ที่ท่านเทพและเทพีส่งมาเพื่อช่วยพวกเราจากความปั่นป่วนวุ่นวาย” บาทหลวงชราพูดแต่นพรัตน์ยังจ้องรูปปั้นทั้งสองนิ่งไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว

ในเสี้ยวเวลาที่ปกคลุมด้วยความเงียบ ระฆังบนเพดานก็เปล่งเสียงกังวานไปทั่วห้องโถงกว้างใหญ่ยิ่งทำให้เหมือนโบสถ์คริสต์เข้าไปอีก ณัฐกานต์สะกิดพี่ชายให้มองดูพื้นข้างรูปปั้นเทพแห่งดวงอาทิตย์ พื้นหินสีดำแกร่งค่อยๆยกตัวขึ้นให้เขาเห็นช่องลับใต้พื้นหิน หลวงพ่อของโรสสบถสาบานเพราะไม่เคยรู้เลยว่ามีสิ่งนี้อยู่ในสถานที่นี้ด้วย

ในเมื่อพี่ชายยังง่วนอยู่กับการเช็ดน้ำตาน้องชายจึงต้องลงไปดูก่อน ในช่องลับมีทางเดินเป็นบันไดหินแคบๆ มันแคบเสียจนไม่น่าจะเป็นหลุมหลบภัย นับลงไปสักสิบห้าขั้นเขาก็พบประตูแปลกๆที่มีเครื่องป้อนรหัสผ่าน ณัฐกานต์มุ่ยหน้าอีกครั้ง หากคนที่นี่สร้างประตูติดรหัสแบบนี้ได้แล้วเหตุใดจึงยังใช้ดาบเหมือนเป็นวิวัฒนาการที่ขัดแย้งเสียมากกว่า เขาลองกดปุ่มตัวหนังสือเลือนๆอย่างมั่วๆแต่ก็ไม่สามารถเปิดได้จึงกลับขึ้นมาเพื่อหาทางพังประตูเข้าไปดู

“มันแปลกอยู่นาพี่นพ ตอนแรกก็งานวิจัยของพ่อ รูปปั้นของพ่อ แถมยังมีประตูติดรหัสเฮงซวยข้างล่างนั่นอีก” ณัฐกานต์แยกเขี้ยวใส่ทางลับที่ค่อยๆปิดลงราวกับรู้ว่าทั้งคู่ไม่สนใจมันแล้ว

“บังเอิญน่า” พี่ชายเช็ดน้ำตาให้แห้งแล้วมองดูพื้นหินบริเวณที่เป็นทางลับ เมืองนี้ยังมีปริศนาที่เขายังไม่เข้าใจอีกมากมาย “คุณโรส ผมขอข้อมูลบันทึกเรื่องราวต่างๆของโลกนี้ได้ไหม เผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม”

สองพี่น้องเดินกลับไปยังรถด้วยความคิดอันหลากหลาย เหตุใดจึงมีรูปปั้นพ่อและแม่ของพวกเขา เหตุใดทางลับนั่นจึงเปิดออกได้เอง แล้วบันทึกของโรสจะช่วยพวกเขาได้แค่ไหนกัน ทั้งคู่อ้าปากหวอพร้อมกันเพราะประตูด้านข้างรถเปิดออกให้เห็นห้องกระจกสำหรับทำงาน น้องชายรีบวิ่งขึ้นบันไดพับข้างรถเพื่อตรวจดูว่ามีอะไรหายหรือไม่

“ของยังอยู่ครบ” ณัฐกานต์พูดกับพี่ชายที่กำลังดึงตัวเข้าสู้ส่วนท้ายรถที่เป็นห้องทดลองเคลื่อนที่ โต๊ะทำงานของทั้งสองมีทั้งอุปกรณ์สูงค่าและสมบัติเล็กๆน้อยๆ

ถึงจะเพ่งดูนานสักเท่าไรนพรัตน์ก็ไม่เห็นสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนจัดของ โต๊ะทำงานสี่ตัว สองตัวถูกจับจองด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ อีกสองตัวเต็มไปด้วยตัวอย่างและกองหนังสือ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าด้านหลังยังปกติ ประตูห้องนอนไม่ถูกเปิดออก ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่ใช่คำสั่งของพวกเขาลาเวนเดอร์ไม่มีวันเปิดประตูให้แน่

“เปิดประตูทำไม ลาเวนเดอร์” ใบหน้าของณัฐกานต์กระตุกเบาๆ หรือสมองกลของรถจะถูกควบคุมโดยอะไรสักอย่าง

“เมื่อครู่ท่านรองศาสตราจารย์วัลลพมาหาจึงเปิดประตูรับ แต่ท่านหายตัวไปเสียก่อนดิฉันจึงไม่ทันทักทาย” คำตอบซื่อๆของสมองกลทำให้สองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความพิศวง หากไม่ใช่ระบบรวนคงมีคนพยายามก่อกวนระบบทำให้ลาเวนเดอร์ถูกควบคุมอยู่อีกต่อหนึ่ง

คราวนี้น้องชายเป็นฝ่ายอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกบ้าง นพรัตน์รีบไปตรวจดูระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ไม่ใส่ใจน้องชายที่ค่อนข้างเชื่อเรื่องลึกลับอย่างภูตผีปีศาจหรือวิญญาณ แถวนี้คงมีสัญญาณวิทยุอะไรสักอย่างที่ทำให้ลาเวนเดอร์ประมวลผลพลาด

“ผีมันไม่มีจริงหรอก ถึงมีก็ไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้” นพรัตน์เอ็ดน้องชายที่พยายามบอกว่ามีวิญญาณกำลังพยายามติดต่อกับพวกเขาอยู่ “อย่างที่พี่เคยถามตอนนั้น ถ้าวิญญาณของพ่อมาหาแกจะกลัวไหม”

สุดท้ายณัฐกานต์ก็ถูกพี่ชายไล่ให้ไปช่วยโรสขนเอกสารทั้งหลายแหล่ขึ้นมาบนรถ มีทั้งหนังสือเก่าๆหนาหลายนิ้วและม้วนกระดาษยาวกว่าสองเมตร ทั้งสามใช้เวลากว่าครึ่งวันจึงจะจัดเรียงเอกสารตามหมวดหมู่เสร็จว่าฉบับใดเป็นบันทึก แล้วฉบับใดเป็นข้อมูล

“ไปสำรวจเมืองไป พี่จะอยู่ตรวจเอกสารที่นี่เอง”

นพรัตน์ขอให้น้องชายไปสำรวจสิ่งต่างๆในเมืองว่าเป็นอย่างไร แล้วพวกเขาจะต้องทำอย่างไรกันแน่ แก้ปัญหาเฉพาะเมืองหรือจัดการทีเดียวทั้งหมด ที่สำคัญก็คือบันทึกทั้งหลายแหล่ที่จะต้องหาความเชื่อมโยงกันด้วยความคิดของคนๆเดียว “ลาเวนเดอร์ปิดประตูด้วย ห้ามแอบดูตอนอาบน้ำอีกละ” นพรัตน์เอ็ดสมองกลของรถบ้านแล้วไปพักก่อนเริ่มทำงาน

เมื่อนพรัตน์อาบน้ำเสร็จก็พบสิ่งผิดปกติอีกครั้ง ประตูรถที่สั่งให้ปิดแล้วกลับเปิดออก เอกสารที่จัดเรียงไว้อย่างดีกระจัดกระจายอย่างเป็นระเบียบเหมือนมีคนเปิดอ่านค้างไว้ หนังสือเล่มหนาถูกคั่นหน้าด้วยปากกาบนโต๊ะ ส่วนเล่มบางๆถูกวางคว่ำหน้าเหมือนมีคนอ่านค้างไว้

“เจ้านัทกลับมาแล้วหรือลาเวนเดอร์” นพรัตน์พาดผ้าเช็ดหน้าไว้ที่พนักเก้าอี้ มองไปที่แผนที่ขนาดใหญ่ที่ถูกกางไว้บนพื้นรถ “โซราห์หรือ” เขาขมวดคิ้วจ้องเขม็งไปยังจุดที่ถูกปากกาแดงวงเอาไว้อย่างลวกๆ พร้อมกับเขียนโน้ตไว้เสียดิบดีด้วยว่า ‘ไปที่โซราห์’ แถมการหวัดตัวการันต์ยังคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกอีก

“ดูอะไรนี่สิพี่นพ” ณัฐกานต์กลับมาพร้อมกับสิ่งของเต็มอ้อมแขน มีทั้งต้นหญ้าที่มีรากติดอยู่ ซากแมลงที่ตายแล้ว แล้วก็ซากสัตว์ที่ดูอย่างไรก็เป็นไก่บ้านธรรมดา “มันเหมือนกับที่อยู่ในโลกของเราเลย ต้นข้าว วัชพืช แมลงด้วง แล้วก็ไก่ตัวนี้ พวกมันยังถูกเรียกด้วยชื่อที่เหมือนกันอีกต่างหาก”

ความเงียบเข้าครอบงำสองพี่น้องโดยไม่รู้ตัว คนพี่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าใครเป็นคนมาเปิดอ่านแล้วจัดเรียงหนังสือในเมื่อเขาสั่งสมองกลให้ปิดประตูไว้แล้ว ฝ่ายน้องชายเห็นพี่ชายยืนนิ่งก็รู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอีกแล้ว จนกระทั่งสมองกลของรถได้ทำลายความเงียบขึ้น

“เมื่อครู่รองศาสตราจารย์วัลลพท่านขึ้นมาอ่านหนังสือค่ะ แต่ท่านไม่ต้องการให้ดิฉันเรียกคุณนพรัตน์”

นพรัตน์ยิ้มเจื่อนแก้เก้อกับน้องชายว่าเดี๋ยวกลับไปจะต้องส่งไปตรวจระบบอีกครั้ง เขาชวนณัฐกานต์และโรสขึ้นมาดูสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจเกี่ยวกับกองหนังสือดังกล่าว ว่าเหตุใดจึงถูกเปิดอ่านไว้ทั้งที่พวกเขาไม่ได้แตะต้องมัน

“ตำนานโนอาห์ที่ 63 เรือบินของผู้สร้าง” ณัฐกานต์หยิบหนังสือบางๆขึ้นมาอ่านหน้าที่ถูกเปิดเอาไว้ สองพี่น้องสบตากันอย่างมีความหมายเมื่อคนน้องอ่านหัวเรื่องขึ้น “คงไม่ใช่ 108 โนอาห์หรอกน่า” พี่ชายร้องเบาๆคิดว่าคงไม่บังเอิญขนาดนั้น

“108 โนอาห์คืออะไร” โรสทำให้นพรัตน์ขบกรามแน่น ส่วนณัฐกานต์ย่นคิ้วเค้นความคิดอย่างไม่ใช่นิสัย

“มันคือโครงการของประเทศมหาอำนาจในโลกของพวกเรา หัวใจสำคัญคือการหาโลกอีกใบเพื่อเป็นที่อยู่ใหม่ของมนุษยชาติ ยาวอวกาศแต่ละลำจะมีนักวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆขึ้นไปกับเซลล์ตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตนับหมื่นชนิดที่พร้อมทำให้เติบโตเป็นชีวิตใหม่ขึ้นมา ยานโนอาห์ทั้ง 108 ลำจะท่องไปในอวกาศเพื่อค้นหาดวงดาวที่ชีวิตจากโลกมนุษย์อาศัยอยู่ได้ พวกเขาจะใช้เซลล์ตัวอ่อนที่นำมาสร้างดาวดวงนี้ให้เหมือนกับโลก ในขณะเดียวกันก็ส่งข่าวกลับไปโลกเพื่อส่งข่าวว่าพบแหล่งที่อยู่ใหม่แล้ว แต่โครงการนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยานทั้ง 108 ลำไม่มีลำใดสามารถกลับมาได้ พ่อของเราก็หายตัวไปพร้อมกับยานโนอาห์ลำที่ 63 น่าเวทนาจริงๆ”

“โครงการนั่นเริ่มขึ้นแล้วจบลงเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่โลกของคุณมีอายุหลายร้อยปีแล้วนี่นา” น้องชายเสริมเสียงใส แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่ออย่างรวดเร็ว

สองพี่น้องช่วยกันอ่านหนังสือในหน้าที่ถูกเปิดทั้งไว้ พี่ชายคิดว่าผู้ที่แอบขึ้นมาเปิดหนังสือมีจุดประสงค์จะให้พวกเขารู้เรื่องพวกนั้นอย่างแน่นอน แต่น้องชายนั้นกลับกัน ยิ่งนานยิ่งคิดว่าเป็นฝีมือของวิญญาณ เพราะข้อมูลที่ถูกเปิดขึ้นให้พวกเขานั้นมีความเชื่อมต่อกันอย่างน่าประหลาด ทั้งเรื่องเรือของเหล่าผู้สร้างที่จมอยู่บริเวณเมืองโซราห์ เมืองที่มีอัตราการเกิดภัยพิบัติต่ำที่สุดคือเมืองโซราห์ และตามตำนานเมืองแรกที่ถูกสร้างคือเมืองโซราห์เสียด้วย ทำให้จุดหมายแรกในการช่วยโลกใบนี้ให้กลับเป็นปกติคือการไปยังเมืองโซราห์ตามที่ใครสักคนต้องการให้เขาไป

“ไม่อยู่ร่วมงานเทศกาลกันก่อนหรือ” โรสทำให้นพรัตน์อยากตะโกนออกมาดังๆว่าพวกเขามาทำงาน ไม่ใช่มาเล่นสนุก

“เอาน่าพี่นพ จะได้เรียนรู้ความเป็นอยู่ของเขาว่าจะเหมือนโลกของเราแค่ไหน” ณัฐกานต์กล่อมพี่ชายให้พักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักคืน “พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”

“แล้วเดินกลับรถคนเดียวไม่กลัวผีหลอกหรือ” พี่ชายกระเซ้า สิ่งที่น้องชายเลือดร้อนเกรงๆอยู่มีไม่กี่อย่าง เรื่องภูตผีก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย “ไหนพี่นพบอกว่าผีไม่มีจริงไงละ” น้องชายเถียงคอเป็นเอ็น

สุดท้ายนพรัตน์ก็ยอมให้น้องชายไปดูงานเทศกาลได้หนึ่งคืน ส่วนตัวเขาจะอยู่อ่านข้อมูลให้ละเอียดเผื่อจะได้เงื่อนงำมากขึ้นกว่าเดิมว่ามีบันทึกเกี่ยวกับภัยพิบัติไหม และเหล่าผู้สร้างที่ว่าทำให้ภัยพิบัติยุติได้อย่างไร จนพระอาทิตย์ตกดินชายหนุ่มก็หาวหวอดอยากพักสมองหลังการทานอาหารเย็นที่มีรสชาติเหมือนไก่บนโลกของเขาไม่มีผิดเพี้ยน

“อีกสองชั่วโมงปลุกด้วย นอกจากเจ้านัทแล้วห้ามให้คนอื่นขึ้นมาบนรถเด็ดขาด แม้แต่คุณพ่อก็ไม่มีการยกเว้น” นพรัตน์เสริมอย่างเย็นชา เขายังไม่รู้จักที่นี่ดีพอจะวางใจทุกอย่างได้ทั้งหมด


ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ภายในห้องนอนแคบๆที่ถูกอัดด้วยเตียงสองชั้น ตู้เสื้อผ้าพลาสติกหลังย่อมๆ และตู้หนังสือเล็กๆสำหรับอ่านฆ่าเวลา นพรัตน์ลืมตาโพลงเพราะแรงสั่นสะเทือนที่ถูกส่งมายังเตียงชั้นล่าง เขาไม่คิดว่าน้องชายกลับมาแล้วเพราะเจ้าตัวบอกว่าจะกลับมาดึกหน่อยเนื่องจากจะต้องรอให้โรสมาส่ง แถมเขายังสั่งสมองกลไว้แล้วว่าห้ามเปิดประตูหากคนที่มาไม่ใช่ณัฐกานต์

“มีผู้บุกรุกเข้ามาด้วยคีย์การ์ด” เสียงสมองกลดังลั่นห้อง ไฟเพดานสว่างขึ้นทำให้เขาลุกนั่งทันที “ท่านรองศาสตราจารย์วัลลพใช้คีย์การ์ดสำหรับเชื่อมต่อกับระบบโดยตรง ดิฉันจึงฝ่าฝืนคำสั่งไม่ได้ค่ะ” ลาเวนเดอร์ทำให้นพรัตน์ย่นจมูก ผู้บุกรุกไม่ใช่แค่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนพ่อของเขา แถมยังมีบัตรผ่านพิเศษสำหรับปรับเปลี่ยนระบบที่มีแต่ผู้สร้างเท่านั้นที่มีอีก

นพรัตน์แทบลืมหายใจเมื่อได้ยินเสียงเบาๆจากหน้าประตูห้อง เขากลืนน้ำลายอย่างยากเย็นจ้องมองประตูห้องที่กำลังเลื่อนออก สิ่งที่อยู่หลังบานประตูควรเป็นคนธรรมดากลับเป็นร่างโปร่งแสง ดูจางๆคล้ายภาพสามมิติที่มองทะลุผ่านได้อย่างง่ายดาย โครงหน้าและรูปร่างเหมือนกับพ่อผู้สาบสูญของพวกเขาไม่มีผิด ร่างโปร่งแสงในชุดทำงานยิ้มอย่างเมตตาให้ชายหนุ่มที่นั่งอ้าปากค้าง เขาไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณจนถึงบัดนี้

“พ่อดีใจที่ได้เห็นลูกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว” เสียงจากผู้บุกรุกเหมือนกับเสียงในความทรงจำของนพรัตน์ทุกประการ เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี กรีดร้อง ร้องไห้ หรือรีบตื่นจากความฝัน “แต่เวลาของพ่อมีไม่มากแล้ว ไปที่โซราห์แล้วลูกจะเข้าใจทุกอย่าง รีบกลับบ้านไปเอาสิ่งนั้นมาใช้...แทนพ่อ”

ภาพลวงของพ่อค่อยๆเลือนหายไปราวกับเงาบนผิวน้ำ นพรัตน์นั่งตาลอยทำอะไรไม่ถูก หัวสมองว่างโล่งกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้ใช่พ่อของเขาจริงหรือเปล่า มีความจริงอะไรอยู่ที่โซราห์ แล้วเอามาใช้แทนคืออะไร ที่สำคัญ หากนั่นคือวิญญาณแล้วเหตุใดพ่อของเขาจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ดาวดวงนี้คงอยู่ห่างจากโลกหลายร้อยหลายพันปีแสง ไม่มีทางเดินทางมาที่นี่ได้ภายในเวลายี่สิบปีหรอก

“คุณนพรัตน์คะ ท่านรองศาสตราจารย์วัลลพหายไปอีกแล้วค่ะ” มีเพียงเสียงของสมองกลเท่านั้นที่ดังอยู่ในห้องแคบๆ “ขอคำสั่งต่อไปด้วยค่ะ คุณนพรัตน์”

“เตรียมระบบขับเคลื่อนด้วยคอมพิวเตอร์ลาเวนเดอร์ พรุ่งนี้...ไม่สิ ทันทีที่เจ้านัทกลับมา เราะจะออกเดินทางไปโซราห์ทันที บอกสองคนนั้นให้ขึ้นรถมาด้วย ไม่มีการเปลี่ยนแผนใดๆทั้งสิ้น” นพรัตน์คำรามเบาๆ หัวสมองที่ชาตื้อกลับมาทำงานอีกครั้ง เขาจะต้องไขปริศนาเหล่านี้ให้ได้ ไม่ว่าความจริงนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม...


รถสมองกลคันโตแล่นไปตามทางด่านโดยไร้คนขับ แสงไฟจากหน้ารถสาดลงบนทางที่มืดมิด แม้ตัวเครื่องรถจะทำงานได้ด้วยเสียงเบาแสนเบาแต่ก็ยังเป็นสิ่งแปลกปลอมสิ่งหนึ่งบนดาวดวง นี้ หน้าที่บังคับพาหนะเป็นของสมองกล ส่วนสองพี่น้องและโรสเจ้าบ้านเพิ่งเสร็จจากการนั่งคุยกันเรื่องสิ่งที่พี่ชายเห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ หากเป็นวิญญาณของพ่อแล้วเหตุใดจึงมาปรากฏบนดาวดวงนี้ได้ นพรัตน์ทำสิ่งที่คาดว่าเคยทำเป็นครั้งที่สองในชีวิต เขาใช้ให้น้องชายไประบุจุดหมายเพื่อเร่งให้ถึงเมืองโซราห์โดยเร็ว ส่วนตัวเขานั้นกินยานอนหลับย้อมใจแล้วล้มตัวลงนอนเพื่อลืมเรื่องเหนือธรรมชาติเมื่อครู่

“อย่างนี้เขาเรียกว่าปากว่าตาขยิบ ปากพูดว่าไม่เชื่อแต่สมองเชื่อและสั่งการไปเรียบร้อย” ณัฐกานต์หัวเราะลั่นรถที่เห็นพี่ชายพยายามหาข้อพิสูจน์เงาร่างเมื่อครู่จนต้องหนีความจริงด้วยการนอนหลับ “ไม่ได้เห็นมาตั้งนาน ครั้งแรกสมัยที่คบกับเจนจิรานั่นละ”

“มีพิราบสื่อสารไหม ข้าต้องส่งไปให้ตัวแทนอีกคนก่อน เขาไปหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้สร้างที่โซราห์” โรสมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ดวงจันทร์สีฟ้าใสทำให้ความรู้สึกมัวหม่นบอกไม่ถูก “ทางสภาสูงของมิลค์เวย์เลือกตัวแทนชายและหญิงขึ้นมาเพื่อช่วยทำให้หายนะทั้งหลายหายไป คนหนึ่งไปหาข้อมูลตามเมืองต่างๆ ส่วนข้าก็ใช้วงแหวนดีวาโลตามพวกท่านมาช่วย”

“เดี๋ยวเจอหมู่บ้านข้างหน้าค่อยส่งก็ได้ ความเร็วระดับนี้กว่าจะไปถึงใช้เวลาอย่างน้อยสองอาทิตย์ ถ้าไม่เจอพายุหรือคลื่นลมเวลาวิ่งข้ามทะเลไปอีกทวีปหนึ่ง” ณัฐกานต์หอบเครื่องนอนอีกชุดไปกองไว้ที่ห้องเตรียมอาหาร คงไม่ดีถ้าปล่อยให้หล่อนกับพี่ชายนอนห้องเดียวกัน จะลากพี่ชายไปนอนห้องอาหารเสียก็ไม่อยากลากไป

“รถคันนี้วิ่งบนพื้นน้ำได้ด้วยหรือ” โรสร้องเบาๆทำสำหน้าเหมือนเด็กเห็นของเล่นใหม่ น้องชายตอบด้วยความมั่นใจว่ามีเพียงสองสิ่งที่รถคันนี้ทำไม่ได้คือมุดดินและบินบนท้องฟ้า


“เป็นไปได้ไหมที่แถบนั้นจะมีสินแร่พิเศษที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ทำให้เกิดภาพหลอนในความทรงจำขึ้นมาได้ ส่วนที่หนังสือเปิดพลิกหน้าเองก็แค่ลมพัดหรือสัตว์ป่า” นพรัตน์พูดขึ้นในวันที่เจ็ดของการเดินทาง พวกเขาสามคนกินอยู่หลับนอนบนรถแล้วใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาโดยไม่กลัวพลังงานหมด ด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พายุเข้าหรือแผ่นดินแยกที่ทำให้การเดินทางล่าออกไป

“สินแร่อะไรอ่านความทรงจำคนได้ แล้วลิงที่ไหนเขียนหนังสือได้กัน” ณัฐกานต์แย้งทันควัน ทั้งคู่กำลังสนุกกับการคาดเดาอย่างคร่าวๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ส่วนโรสติดใจเครื่องทำน้ำผลไม้จนไม่ยอมอยู่ห่างจากตู้เย็นและเครื่องคั้นน้ำเกินครึ่งชั่วโมง

“ลองฟังอีกทฤษฏีเป็นไร” นพรัตน์หมุนปากกาเล่นบนโต๊ะทำงาน “เมื่อยี่สิบปีก่อนพ่อกับพวกในโนอาห์63 บินมาตกที่ดินแดนนี้จริง แต่ด้วยพายุแม่เหล็กไฟฟ้าในอวกาศทำให้ย้อนเวลากลับไปถึงห้าร้อยปี บังเอิญเสียเหลือเกินดาวดวงนี้เหมาะสำหรับการตั้งถิ่นฐานเป็นนิคมใหม่ พ่อเลยใช้เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตที่แบกมาด้วยสร้างเป็นโลกแห่งที่สอง แต่ละชื่อใกล้ตัวพวกเรามาก ตั้งแต่ทางช้างเผือกมิลค์เวย์ ชื่อเมืองเหมือนกับชื่อดาวเคราะห์ทั้งแปดโดยมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง”

“เป็นไปได้ที่เหล่านักวิจัยจะสั่งสอนและควบคุมประชากรรุ่นแรกด้วยเวทมนตร์ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ถ้ามีสินแร่มหัศจรรย์ที่เราต้องการอยู่ด้วยทำไมพ่อไม่นั่งยานกลับโลกเผื่อจะเร่งเวลาได้” น้องชายหาข้อโต้แย้งตามประสานักวิทยาศาสตร์ แม้จะมีการหลุดกรอบอยู่บ้างแต่นพรัตน์ชินเสียแล้วที่เห็นน้องชายคิดอะไรแบบนี้

“สุดท้าย ตอนนี้ยังหาข้อพิสูจน์เรื่องวิญญาณไม่ได้ทั้งหมดแต่เฉพาะพลังงานคงใช้ปากกาคั่นหนังสือไม่ได้ หยิบปากกามาเขียนด้วยไม่ได้ ถ้าเข้าสิงหรือทำให้เป็นลางสังหรณ์ล่ะว่าไปอย่าง” ณัฐกานต์เกยคางกับกองหนังสือ เวลาถกเหตุผลกับพี่ชายเขามักจะรู้สึกง่วงอย่างประหลาด “หรือไม่พ่อก็ลงมาบนดาวดวงนี้เมื่อยี่สิบปีก่อนจริง แต่บังเอิญดาวดวงนี้เหมือนกับโลกของเราทุกประการ แล้วก็บังเอิญติดต่อกับโลกไม่ได้ ช่องมิติก็ไม่เปิดเลยติดต่อกลับไม่ได้”

“บังเอิญมากไปหน่อยหรือเปล่านัท” นพรัตน์ขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญมีจอมมารที่จ้องจะทำลายดาวด้วยสิ บังเอิญเราสองคนได้รับเลือกให้ไปกำจัดมันเพื่อระงับหายนะทั้งหมด แล้วก็บังเอิญที่จอมมารนั้นเป็นพ่อของพวกเราอีกทีหนึ่ง ทำให้เราคนใดคนหนึ่งต้องพลีชีพด้วยความบังเอิญ” พี่ชายหัวเราะคิดถึงนิยายที่เคยอ่านสมัยเด็กๆ

“โลกของข้าไม่มีของแบบนั้นนะ ตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนที่ผู้สร้างนอนทอดกายทำให้เกิดทวีปและเกาะทางตะวันออกพวกเราก็ไม่เคยพบกับสิ่งเลวร้ายเลยสักอย่าง จนมาถึงช่วงนี้ที่เกิดความยุ่งเหยิงขึ้นหลายอย่าง” โรสเริ่มการคั้นน้ำส้มเป็นครั้งที่สี่ของวัน คราวนี้ทำแจกสองพี่น้องด้วย

“ที่ว่านอนทอดกายทำไมไม่มีระบุไว้ในนี้...ข้อมูลน้อยไปจริงๆด้วย” นพรัตน์ชูหนังสือบนโต๊ะให้ดู ชื่อหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน’ เปล่งประกายหลาแทบทิ่มตาหญิงสาว มันไม่มีเขียนเรื่องเกี่ยวกับนอนทอดกายเอาไว้เลยสักตัว “แล้วสังเกตกันไหม เรานั่งรถมาอาทิตย์หนึ่งยังไม่เจออะไรเลย แผ่นดินไหว น้ำท่วม แถมอากาศยังอุ่นสบายอีกต่างหาก”

“นั่นเป็นฉบับย่อ ของจริงที่เก็บรายละเอียดทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องอยู่ที่โซราห์ คิดว่าโบสถ์เก่าซอมซ่อแบบนั้นจะหาของดีๆได้หรือ” หญิงสาวมุ่ยหน้าแล้วเริ่มกินน้ำส้มแสนอร่อยต่อ

“วิญญาณของใครสักคน เขาคงอยากให้พวกเราไปโซราห์เสียจนสามารถใช้พลังวิญญาณบังคับสภาพอากาศได้” ว่าแล้วณัฐกานต์ก็รื้อฟื้นเรื่องผีสางมาพูดอีกครั้งหนึ่ง

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : วันจักรี 55 15:07:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com