Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
+++รักพี่เอ๋ย...บทที่ 10+++ ติดต่อทีมงาน

๑๐.

หนุ่มไทยหน้าเข้มเดินอ้อมไปอีกด้านของตัวรถที่เปิดอ้าอยู่ ร่างบอบบางที่นอนหลับตาพริ้ม ทำให้เขายิ้มอย่างยินดี เขาท้าวแขนบนหลังคารถแล้วชะโงกหน้าเข้าไปใกล้คนป่วย พลางส่งเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงที่ตนคิดว่านุ่มทุ้มเป็นที่สุด

“น้องเอ๋ยครับ”

“เฮ้ย!” อิสรีย์สะดุ้งเฮือกเมื่อลืมตาแล้วปะเข้ากับหน้าคล้ำๆ เกรียมแดด ไวเท่าความคิดมือเรียวตวัดฟาดเข้าที่ใบหน้าของอบต.หนุ่มเต็มแรง

เพียะ!

“โอ๊ย!”

สิงห์ทองร้องลั่นหดหน้าหนี หากแต่ศีรษะกลับไปกระแทกเข้ากับขอบรถ เจ็บตัวซ้ำสอง ซึ่งเสียงของเขาเรียกความสนใจจากญาติๆ ของอิสรีย์รวมทั้งเรวินทร์ให้หันไปดู

“น้องเอ๋ยทำร้ายพี่” หนุ่มไทยหน้าเข้มพ้อเสียงอ้อน มือใหญ่คลำที่ศีรษะของตนป้อยๆ หวังว่าคนในรถจะเห็นใจ

คิ้วเรียวสวยกระตุกเข้าหากัน ดวงตาคมหวานจ้องมองชายหนุ่มผิวคล้ำอย่างครุ่นคิดระคนแปลกใจ ริมฝีปากอิ่มตึงเม้มแน่น

...ใครกันอีกล่ะเนี่ย!

สิงห์ทองยิ้มเรี่ยราดส่งให้ มองการแต่งกายที่ดูผิดแผกไปจากเดิมของอิสรีย์อย่างแปลกใจ ร่างบางอยู่ในชุดเสื้อยืดคอเต่าแขนกุดสีฟ้าพอดีตัว เน้นสัดส่วนความเป็นหญิง กระโปรงยีนส์สีดำปักลายดอกทานตะวันสีขาวสลับเหลือง สั้นพอดีเข่าอวดท่อนขานวลเนียน ส่งผลให้เธอดูอ่อนหวานกว่าปกติ

หญิงสาวนิ่วหน้าขึงสายตาดุส่งให้อีกฝ่าย ไม่ชอบใจนักกับสายตาที่เหมือนสำรวจตรวจสอบของชายแปลกหน้า
สิงห์ทองเบือนหน้าหลบตา เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีต่อกี่ปี เขาก็ยังไม่สามารถฝืนทนประสานสายตาสู้กับเธอได้สักครั้ง

“เจ็บมากไหมล่ะ” เสียงที่ถามนั้นพยายามดัดให้หวานเต็มที่

“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ พี่ซุ่มซ่ามเอง” สิงห์ทองตอบด้วยท่าทีขัดเขิน ก่อนชะงักงันเพราะจำได้ว่าเสียงของอิสรีย์นั้นใสกว่านี้มากนัก และเมื่อเขาหันกลับมาเจอกับป้าจันทร์ที่กำลังจูง หรือจะพูดให้ถูกว่ากำลังลากแขนเรวินทร์ให้มาขัดขวางเขานั่นเอง

“แล้วท่านรองนายกอบต.มาทำอะไรตรงนี้ล่ะ” คนมากวัยกว่าถามไปอย่างนั้นเอง ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั่นแหละ...รู้ว่าสิงห์ทองนั้นตั้งใจมาขายขนมจีบให้แก่อิสรีย์ แต่เรื่องอะไรนางจะยอมต้องขวางลำให้เต็มที่

“เอ้าพ่อคุณ ช่วยแม่เอ๋ยหน่อยเถอะ” ป้าจันทร์ว่าพลางผลักหนุ่มลูกครึ่งให้เข้าไปหาอิสรีย์

ด้านเรวินทร์นั้นก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะเดิมเขาก็ตั้งใจว่าจะช่วยพาเธอลงจากรถอยู่แล้ว หากแต่เพราะพวกญาติๆ ที่เข้ามารุมล้อมทักทาย ทำเอาเขามึนงงไปหมด ยังดีที่ป้าจันทร์ช่วยพาเขาออกมา

“ระวังหน่อยครับ ยืนไหวไหม” เรวินทร์ยื่นมือไปให้เธอจับจูง

ทว่ายังไม่ทันที่หญิงสาวจะยื่นมือไปรับ สิงห์ทองทำเนียนเบียดแทรกเรวินทร์เข้ามา ไหล่หนากระแทกเข้ากับไหล่ของหนุ่มลูกครึ่ง พร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้าเธอ

“ให้พี่ช่วยดีกว่าไหมครับ”

เรวินทร์มองการกระทำของหนุ่มไทยผิวเข้มอึ้งๆ หากแต่ด้วยความเป็นคนใจเย็นและมองโลกแง่ดี จึงทำให้เขาไม่คิดถือสาหาความอีกฝ่าย

อิสรีย์มองมือคนทั้งคู่สลับกับใบหน้าของหนุ่มทั้งสอง ขณะที่มือขาวๆ ของเรวินทร์กำลังจะหดกลับ เธอก็รีบตะครุบมือของหนุ่มลูกครึ่งไว้ ยึดอีกฝ่ายเป็นที่พึ่ง ยังไงเธอก็รู้สึกคุ้นเคยกับเขามากกว่าผู้ชายผิวเข้มๆ ที่จู่ๆ ก็เข้ามาทักเธออย่างสนิทสนมเกินเหตุ

สิงห์ทองหน้าเสีย แต่อาศัยลูกด้านเมื่อเธอไม่ส่งมือให้ เขาก็ถือวิสาสะช่วยเธอเสียก่อนสิจะเป็นไร มือใหญ่หมายจะคว้าแขนช่วยประคองร่างบาง

ด้านอิสรีย์รู้สึกระแวงอยู่แล้ว ดีที่ไหวตัวทันรีบเบี่ยงร่างของตนเข้าซุกอกของเรวินทร์เสียก่อน เธอจ้องสิงห์ทองด้วยสายตารังเกียจ คนอะไรเห็นๆ กันอยู่ว่าแฟนของเธอยืนทนโท่ทั้งคน ยังคิดมาแต๊ะอั๋งเธออีก

“อุ้ย! ฮิ ฮิ” ป้าจันทร์ส่งเสียงหัวเราะขำ “นี่แหละน้า เขาเรียกว่าหมาเห็นปลากระป๋อง”

โชคดีที่สิงห์ทองไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่จับจ้องอยู่ที่อิสรีย์ ไม่งั้นคงมีเดือดปะทะคารมกันบ้างแล้ว ตอนนี้อารมณ์หวงก้างมันบังตา ได้แต่ส่งสายตาเว้าวอนพ้อเธอเสียงอ่อน

“น้องเอ๋ยคงรังเกียจพี่มากสินะ”

“มาร้องลิเกหลงโรงอะไรวะ…อุ๊บ!” ปากจิ้มลิ้มโดนปิดจากมือขาวๆ ของคนข้างตัว

“พูดไม่เพราะเลยนะคุณ” เรวินทร์ตำหนิเสียงนิ่มอย่างอดไม่อยู่ ไม่ชอบยามเธอทำตัวก้าวร้าวเกเร มันทำให้เธอดูไม่น่ารักเลย

แม้สิงห์ทองจะได้ยินคำกระแทกจากหญิงสาวเต็มสองหูก็ตาม หากแต่ภาพความใกล้ชิดสนิทสนมของสองหนุ่มสาวทำเอาความริษยาขึ้นหน้า เผลอหลุดบริภาษออกมาเสียงเบา เพราะคิดเอาเองว่าเรวินทร์คงฟังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ ภาษาไทยก็คงพอรู้งูๆ ปลาๆ

“:-)เลวเอ๊ย! ได้ทีชีกอใหญ่เชียวนะ”

ทว่าแม้รองนายกอบต.จะสบถเสียงเบา หากแต่เรวินทร์และสองสาวต่างวัยก็ยังได้ยินอยู่ดี ป้าจันทร์กับอิสรีย์พากันนิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง ส่วนเรวินทร์หน้าแดงก่ำกำหมัดแน่น เพียรข่มกดความโกรธเอาไว้เต็มที่ เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นญาติๆ ของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง

อิสรีย์ปลดมือเรวินทร์ออก พร้อมทั้งเหน็บแรงๆ ใส่สิงห์ทอง “สำนวนส่อภาษา กริยาส่อสถุลจริงๆ”

สิงห์ทองสะดุ้งโหยง ได้ยินไม่ชัดว่าเธอใช้คำว่า สถุล หรือ สกุลกันแน่ หากแต่เขารู้ตัวว่าทำผิดพลาดลงไปก็รีบออกปากขอโทษ “พี่ขอโทษน้องเอ๋ยด้วยนะครับ ที่เผลอสบถออกมา”

“ไม่รับ...ขอโทษผิดคนแล้วมั้งคุณ คนที่คุณควรจะขอโทษคือแฟนฉันนี่” อิสรีย์จ้องอีกฝ่ายตาลุกวาว

“ใช่ถ้าไม่เต็มใจจะขอโทษ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย” ป้าจันทร์ช่วยสนับสนุนขับไสไล่ส่ง

สิงห์ทองเห็นท่าไม่ดีคำนวณถึงผลได้ผลเสียแล้ว ยังไงก็ต้องถนอมน้ำใจของอีกฝ่ายเอาไว้ เพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหน้า จึงยอมออกปากขอโทษอีกครั้งอย่างง่ายดาย พร้อมทั้งแก้ต่างเข้าข้างตนเอง

“พี่ขอโทษ พี่คงจะหัวโบราณไปหน่อย คนไทยส่วนใหญ่มักมองว่าผู้หญิงที่เดินคู่กับฝรั่งส่วนมาก มักจะเป็นผู้หญิงอย่างว่า พี่ไม่อยากให้น้องเอ๋ยโดนเหมารวมเป็นพวกเดียวกับผู้หญิงพวกนั้น”

อบต.หนุ่มหาเหตุมาอธิบายเสียยืดยาว หากสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษเรวินทร์ เพราะถือว่าตนนั้นไม่ได้เอ่ยชื่อใครออกมาเสียหน่อย

“เฮอะ!”

อิสรีย์แค่นเสียง ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนหน้าด้านหน้าทนแบบนี้อยู่ในโลกใบนี้ด้วย ขนาดทำผิดเห็นกันอยู่ชัดๆ ยังไม่ยอมรับผิดอีก คนพรรค์นี้อยู่ห่างๆ ไว้เป็นดีที่สุด เลิกคบได้ก็เลิกคบไปเลย

“คุณไรท์เราไปหาพ่อกันเถอะค่ะ ยืนนานๆ แบบนี้ฉันชักไม่ไหวแล้ว” หญิงสาวคว้าแขนเรวินทร์ยึดไว้เป็นหลักพิง ลากเขาให้เดินเข้าบ้าน

“นั่นสิป้าว่าพวกเรารีบไปจากที่ตรงนี้กันดีกว่า เข้าบ้านกันเถอะ อยู่แถวนี้แล้วรู้สึกเหม็นๆ ชอบกล” ป้าจันทร์ไล่ต้อนสองหนุ่มสาวให้ออกเดิน เพราะตัวเองก็รู้สึกทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน

“รอพี่ด้วยสิครับน้องเอ๋ย” คนโดนเหม็นขี้หน้าไม่รู้ตัวสักนิดขยับจะก้าวตาม

“อ้อพ่อสิงห์ไหนว่าจะไปทำสังฆทานไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่รีบไปซะล่ะ อย่ามาเสียเวลาเลยไม่มีอะไรแล้ว” ป้าจันทร์รีบมากางกั้น ไม่ให้สิงห์ทองตามติดสองหนุ่มสาวไปได้

“เอ๊ะป้า! หลีกไปนะถ้าไม่อยากเจอผลัก” หนุ่มผิวเข้มทำเสียงเคร่ง ได้แต่ข่มขู่ด้วยวาจาหากไม่กล้าลงมือทำอะไร

“ก็เอาสิ คนทั้งบางจะได้รู้พ่อสิงห์ทำร้ายคนแก่อย่างฉัน” นอกจากป้าจันทร์จะไม่กลัวแล้วยังขู่อีกฝ่ายกลับด้วย “ทางที่ดีพ่อสิงห์รีบกลับไปก่อนดีกว่า ทู่ซี้อยู่ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร หรืออยากจะทนอยู่ดูภาพบาดตาบาดใจเล่นๆ ก็เอานะ”

สิงห์ทองเม้มปากแน่นมองหนุ่มสาวที่ประคองกันไป โดยมีกลุ่มคนเฝ้าแห่แหนไม่ห่าง ได้แต่กล้ำกลืนฝืนความเจ็บใจ ก้าวเร็วๆ กลับไปยังรถกระบะของตนเอง และขับออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ล่ำลาผู้ใด สร้างความโล่งใจให้แก่ป้าจันทร์เป็นอย่างยิ่ง
.
.
.
.
.


ยิ่งเดินเข้าใกล้ตัวบ้านเท่าไหร่อิสรีย์ยิ่งรู้สึกปวดมึนศีรษะไปหมด จากบรรดาญาติพี่น้องที่ห้อมล้อมเดินตาม แล้วยังมีความเครียดกังวลเกี่ยวกับเรื่องของกำนันเมฆ เธอไม่รู้จักหน้าค่าตาของอีกฝ่ายเลย รู้งี้น่าจะหาดูรูปถ่ายค้นประวัติก่อนเดินทางมาซะก็ดีหรอก

หญิงสาวถูกเรวินทร์ประคองไปบริเวณใต้ถุนบ้าน หยุดอยู่หน้าชายสูงวัยสามคน ที่นั่งเอ้เต้จิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์อยู่กับชุดรับแขกไม้สักขัดมันเงาวับ เธอกวาดสายตามองชายทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว

เริ่มจากผู้ชายที่นั่งทางซ้ายมือ การแต่งเนื้อแต่งตัวดูทันสมัย สวมเชิ้ตลายทางสีฟ้าเข้ากับยีนส์สีซีด อายุอานามไม่น่าจะเกินห้าสิบปี เมื่อเทียบใบหน้ากับอีกสองคนที่เหลือแล้ว เดาว่าคนนี้ต้องเป็นน้องชายของกำนันเมฆชัวร์

และคนถัดมาที่นั่งอยู่ตรงกลาง ผมบนศีรษะขาวโพลนตัดกับสีผิวที่ดำคล้ำจากแสงแดด ใบหน้าตอบย่นดูใจดีแม้จะมีแว่นสายตาทำให้ดูทรงภูมิขึ้นก็เถอะ แต่สวมเสื้อยืดที่เพนต์โลโก้เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่งกับกางเกงขาสั้นอยู่บ้านแบบสบายๆ ทำให้ดูไม่มีสง่าราศีพอจะเป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านได้

ส่วนคนสุดท้ายอยู่ขวาสุด รูปร่างอวบอ้วนหน้าตาท่าทางฉลาด สวมใส่สร้อยทองเส้นโต เสื้อผ้าแม้ไม่ทันสมัยเท่าคนแรก แต่ก็ไม่ได้ดูแย่นักในเสื้อเชิ้ตสีเหลืองแขนสั้นปล่อยชาย กับกางแสลคสีดำ ดูแล้วเข้าท่าเข้าทางที่สุดในบรรดาสามคนนี้

คนนี้แหละกำนันเมฆแน่ๆ เลย...หญิงสาวคิดอย่างหมายมาด

“น้าเมืองกาแฟได้แล้วครับ” หนุ่มรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยกาแฟ และวางมันลงตรงหน้าชายร่างอ้วน

อิสรีย์เตรียมยกมือไหว้เป็นอันต้องชะงักค้าง มองหนุ่มรุ่นอย่างงงๆ

“แล้วชาเย็นของข้าล่ะไอ้บอมบ์” ชายผมขาวในกลุ่มทวงถาม

“โหใจเย็นๆ สิ ตาต้อย กำลังให้พี่โบว์ไปซื้อน้ำแข็งอยู่” เด็กหนุ่มที่ชื่อบอมบ์ตอบยิ้มๆ

อิสรีย์เบิกตากว้างเผลอจิกต้นแขนของคนข้างกายแน่นด้วยความลืมตัว หมายความว่าไม่มีกำนันเมฆอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ เธอแทบอยากจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วชายสูงวัยอีกสองคนที่เดินออกจากหลังบ้านมาสมทบ ทำเอากลับมาเครียดอีกครั้ง ทักทายไม่ถูกเลยไม่แน่ใจว่าหนึ่งในสองคนนี้ คนไหนคือกำนันเมฆกันแน่

โอ๊ย! อยากจะเป็นลม

คิ้วเรียวผูกเป็นโบว์กับความคิดของตนเอง เข้าท่าแฮะแกล้งเป็นลมมันนี่แหละ หญิงสาวไม่รอช้าลงมือปฏิบัติการทันที หลับตาพลางเอนกายอิงไปทางหนุ่มลูกครึ่ง เพราะถ้าจะล้มก็ขอล้มแบบเซฟตัวเองไว้ก่อน ไม่อยากหัวแตกซ้ำให้สมองเสื่อมมากลงไปกว่านี้

ทว่ายังไม่ทันได้ทิ้งกายลงเต็มที่ เสียงถามอย่างห่วงใยของเรวินทร์ก็ดังขึ้นเสียก่อน

“จะเป็นลมเหรอคุณ”

อ๊ะ! ถามเข้าทางดีแท้ คนแกล้งเป็นลมรีบพยักหน้ารับ เพื่อความสมจริงเธอทำเป็นขาอ่อนหมดเรี่ยวแรงให้คนตัวสูงช่วยพยุง

“น้องเอ๋ยเป็นอะไรเจ้าไรท์”

เสียงห้าวคุ้นๆ หูร้องถามอย่างตระหนกตกใจ คนแกล้งเป็นลมแอบหรี่ตามองคนที่มาเรียกเรวินทร์อย่างสนิทชิดเชื้อด้วยความอยากรู้ ผู้ชายที่นั่งอยู่ซ้ายมือคนที่หนุ่มที่สุดในกลุ่มนั่นเอง พอเห็นว่าเป็นใครแล้วเธอก็รีบปิดตาลงทันทีเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้

“สงสัยว่าจะเป็นลมครับ”

“อะไรกันน้องเอ๋ยนี่นะไม่สบาย ไหนเจ้าตุ่มว่าแค่หัวแตกเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากไง” ไม่พูดเปล่า มือสากยังเอื้อมมาแตะหน้าผากของเธอ ก่อนจะออกแรงดึงร่างเธอมาจากหนุ่มลูกครึ่งมาพิงอกตัวเองแทน

“ทำอะไร” ด้วยความตกใจอิสรีย์ผลักผู้ชายคนนั้นออก ก่อนผวาเข้าไปเกาะแขนของเรวินทร์ ดวงตาคมหวานจ้องอีกฝ่ายเอาเรื่องทีเดียว

“น้องเอ๋ย...ทำไมทำอย่างนี้ มันบาปนะจ๊ะ”

“บาปเบิปอะไร ฉันสิต้องแจ้งตำรวจจับ ที่แกมาลวนลามฉัน”

“น้องเอ๋ยทำไมพูดอย่างนี้กับพ่อล่ะลูก” คนที่อ้างตัวเป็นพ่อเบิกตาโตสีหน้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เอ๋! เมื่อกี้ว่าอะไรนะ...ใครพ่อ อิสรีย์อุทานอื้ออึงอยู่ในใจ ฟังผิดรึเปล่า

“คุณว่ายังไงนะ คุณคือกำนันเมฆ...พ่อของฉันเหรอ”

“ก็พ่อยังไงล่ะ พ่อของน้องเอ๋ย อย่าบอกนะว่าน้องเอ๋ยลืมพ่อ พ่อไม่ยอมนะ พ่อไม่ยอม” กำนันเมฆโวยวาย สร้างความเอือมระอาให้แก่ญาติๆ เป็นอย่างยิ่ง ที่แก่จนจะลงโลงอยู่แล้วยังมาทำตัวเหมือนเด็กๆ ไปได้

“สงสัยเพราะหัวแตก ความจำเจ้าเอ๋ยก็เลยเสื่อม ถึงขนาดจำพ่อตัวเองไม่ได้นะสิพี่เมฆ” ชายร่างอ้วนที่ชื่อเมืองเดาสุ่ม แต่ดันถูกซะอีก

“มีพ่อแบบไอ้เมฆใครมันอยากจะไปจำอะไรได้เล่า” ตาต้อยเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องตลก

“ว่าไงนะ” กำนันเมฆหน้าบึ้งเมื่อเจอเพื่อนแซว “พ่ออย่างข้านี่แหละประเสริฐสุดๆ แล้ว เอ็งอย่ามาเสี้ยมลูกข้าเลยนะไอ้ต้อย”

“เออ...แล้วที่จำพ่อกำนันเมฆไม่ได้จริงรึ ไม่ได้แกล้งใช่ไหม” ป้าจันทร์ทวงถาม สายตาเหล่าญาติๆ ต่างมองมาที่หญิงสาวอย่างใคร่รู้สุดฤทธิ์

อิสรีย์หน้าหดเหลือสองนิ้ว โกรธตัวเองนักที่ดันเผลอหลุดลืมตัวไปได้ แล้วยังถามคำถามปัญญาอ่อนแบบนั้นออกไปอีก ทีนี้ทุกคนก็คงรู้หมดแล้วล่ะสิว่าเธอความจำเสื่อม

“คุณความจำเสื่อมเหรอ” เรวินทร์ทวนคำขณะก้มมองคนข้างกาย

คนความจำเสื่อมเหงื่อแตกซิก เมื่อเจอสายตาคาดคั้นจากเรวินทร์และทุกคน รีบแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “ก็...ก็แค่ลืมนิดๆ หน่อยๆ เอง พอผ่านไปสักพักมันก็ค่อยๆ กลับมาจำได้เหมือนเดิมนั่นแหละ”

หนุ่มลูกครึ่งอึ้งความเข้าใจต่างๆ พลันจะแจ้ง เธอความจำเสื่อมเลยโมเมเอาเขาไปเอี่ยวด้วย ทำให้เขาต้องติดแหง็กอยู่กับเธอไปไหนไม่ได้ มือใหญ่บีบต้นแขนของหญิงสาว ดวงหน้าคมคายบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนเอ่ยเสียงเย็นออกมา “เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยแล้ว”

อิสรีย์หน้าซีดอ้าปากค้างไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน...ตายๆๆ โอย เครียด ปวดหัว เธอทนสายตาจับผิดและกดดันของญาติๆ ต่อไปไม่ไหวแล้ว…เป็นลมดีกว่าฉัน

“เฮ้ย! น้องเอ๋ย” กำนันเมฆอุทานเสียงลั่นเมื่อเห็นร่างของลูกสาวล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา

เรวินทร์กางแขนรับร่างบางด้วยความว่องไวตามสัญชาตญาณ เขาก้มมองคนในอ้อมแขนที่หลับตาพริ้มอย่างเข่นเขี้ยว เฮอะ...นี่คงจะแกล้งเป็นลมล่ะสิ ถึงได้ล้มมาหาเขาได้ เชื่อเถอะเขาไม่ทีทางหลงกลเธอซ้ำสองหรอก

“คุณๆ อย่ามาแกล้งเป็นลม ผมรู้นะ คิดหนีปัญหารึไง” เรวินทร์เขย่าร่างหญิงสาวเบาๆ

ให้ตายเหอะ! เกลียดที่สุดเลยคนรู้ทันนี่

อิสรีย์ได้แต่ร่ำร้องตะโกนอยู่ในใจ ตอนนี้ต่อให้เอาช้างมาฉุด เธอจะไม่ยอมลืมตาขึ้นเด็ดขาด เขาจะว่าเธอหนีปัญหาก็ยอมล่ะ

ทว่าคนที่หลงเชื่อกลับเป็นกำนันเมฆและบรรดาญาติๆ ของหญิงสาวแทน

“เจ้าไรท์ช่วยอุ้มน้องเอ๋ยทีสิ” กำนันเมฆร้องสั่งชายหนุ่ม ก่อนหันไปโบกมือไล่ญาติๆ ให้กระจายตัวออกไป “เอ้าๆ ทุกคนๆ ถอยออกไปห่างๆ ไม่เห็นเหรอว่าน้องเอ๋ยไม่สบายเป็นลม น้องเอ๋ยต้องการอากาศบริสุทธิ์อย่ามามุง”

ชายหนุ่มจำต้องข่มใจช้อนร่างบางขึ้นในวงแขนอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเดินตามหลังชายสูงวัยเข้าไปในบ้าน กำนันเมฆรีบจัดแจงนำหมอนขิดสามเหลี่ยมมาวางรอท่าบนตั่งไม้ตัวยาวที่ตั้งอยู่ริมผนังด้านหนึ่ง สั่งการให้เขาวางร่างเธอลงบนตั่งไม้ตัวนั้น ป้าจันทร์รีบกระวีกระวาดละลายยาหอมมาส่งให้เรวินทร์

“อะไรเหรอครับป้า” เรวินทร์รับถ้วยยาหอมมาถืออย่างงงๆ

“อ้าวก็ป้อนยาให้แม่เอ๋ยสิ”

“เอ่อ ผมว่าพ่อกำนันดีกว่าไหมครับ” หนุ่มลูกครึ่งส่งถ้วยยาให้กำนันเมฆ

“เรานั่นแหละจัดการ พ่อไม่ว่างเห็นมั้ย” กำนันเมฆชูพัดกาบหมากพลางพัดโบกเป็นการใหญ่ ส่วนมืออีกข้างยกยาดมจ่อแถวๆ จมูกของผู้เป็นลูกสาว ผลักภาระป้อนยาให้เรวินทร์หน้าตาเฉย

“ป้อนเลยๆ ไม่ต้องเขินหรืออายหรอก” พวกญาติๆ ของอิสรีย์ต่างส่งเสียงเชียร์กันเป็นที่สนุกสนาน

เรวินทร์ถอนหายใจเหนื่อยใจเกินกว่าที่จะขัดขืนหรือคัดง้างกับคนในตระกูลนี้ เขาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กับคนที่แกล้งสลบ ประคองศีรษะเธอให้มาพิงกับบ่าของตนเอง ก่อนจะยื่นยาถ้วยเล็กจ่อที่ริมฝีปากสีชมพูซีด

“ให้มันได้อย่างงี้ซี้” กำนันเมฆตบเข่าฉาดด้วยความชอบใจ “ข้าบอกเอ็งแล้วใช่ไหมไอ้ต้อย ลูกข้าเป็นผู้หญิงปกติ เป็นทงเป็นทอมที่ไหน ลือกันผิดๆ อยู่ได้เป็นปีๆ แล้วเป็นไงเห็นไหม ว่าที่ลูกเขยข้าเจ๋งไหมเล่าเป็นฝรั่งหัวทองพูดไทยคล่องปร๋อ รับรู้กันถ้วนทั่วแล้วนาทุกคน”

“ออกนอกหน้านอกตาไปรึเปล่าหาเอ็งน่ะ ผู้ชายเขาตกลงปลงใจด้วยรึยังเหอะ” ตาต้อยแทรกขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้เพื่อนร่วมรุ่น

“เอ๊ะไอ้ต้อยนี่:-)นะ เห็นๆ กันอยู่ว่าลูกข้าสวีตหวานแหววแค่ไหน ไอ้หนุ่มนี่รักลูกสาวข้าจะตายไป” กำนันเมฆแหวเพื่อนก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับเรวินทร์ “จริงไหมเจ้าไรท์”

ซึ่งหนุ่มลูกครึ่งไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่ง่วนทะเลาะกับคนป่วยในอ้อมแขน ที่นอกจากจะเจ้ามารยาแล้วยังดื้อด้านเป็นที่สุด

“กินเข้าไปอย่าเรื่องมากน่า”

“ไม่เอาเหม็น” อิสรีย์ดันถ้วยตะไลในมือของชายหนุ่มออกห่าง ยังไงก็ไม่ยอมทานยาหอมถ้วยนี้เด็ดขาด เพราะเธอแพ้ยาหอม ได้กลิ่นทีไรพานจะอาเจียนทุกครั้งไป

“รักจริงไหมเจ้าไรท์...เจ้าไรท์” กำนันเมฆถามย้ำเสียงดัง

เรวินทร์ที่ไม่ทันได้ฟังทว่าได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองแว่วๆ และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เจอกับสายตากดดันของกำนันเมฆ ทำให้เขาเผลอรับคำออกไป “ครับๆ”

“เห็นไหม” กำนันเมฆยิ้มแป้นหน้าบานเป็นจานเชิง หันไปยักคิ้วส่งให้เพื่อนและญาติๆ

“มีอะไรเหรอครับ” ชายหนุ่มกระพริบตามองอีกฝ่ายอย่างงงๆ เรียกเขาแล้วทำไมไม่พูดอะไรล่ะ

“ไม่มี้ ไม่มี” กำนันเมฆโบกไม้โบกมือ

ขณะที่เรวินทร์มัวแต่ให้ความสนใจอยู่กับกำนันเมฆ คนแกล้งป่วยก็รีบปัดถ้วยยาหอมจากมือชายหนุ่มอย่างแรง

“โอ๊ะ!” หนุ่มลูกครึ่งอุทาน ปล่อยถ้วยตะไลด้วยความตกใจ

เสียงตกแตกของถ้วยกระเบื้อง เรียกความสนใจจากพวกญาติๆ ให้หันมามองที่หนุ่มสาวทั้งสองคนเป็นตาเดียว ญาติบางคนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับอุทานออกมา

“ไหนบอกว่ารักกันไงล่ะ ไม่ทันไรเลยทะเลาะกันเสียแล้ว กำนันนี่โกหกเห็นๆ”

“พูดจาให้มันดีๆ หน่อย ใครโกหกหือ” กำนันเมฆที่รู้สึกเสียหน้าอย่างแรงเอ่ยเสียงเย็นเยียบ พลางกราดสายตาอันแข็งกร้าวมองญาติๆ อย่างเอาเรื่อง ไม่มีใครกล้าแหยมกระตุกหนวดเสือ วงสนทนาตกอยู่ในความเงียบงันทันใด เป็นอันรู้กันว่าเจ้าของบ้านกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างสุดๆ

บรรยากาศมาคุรายล้อมรอบกาย ทำให้อิสรีย์เผลอหันไปสบตากับเรวินทร์ ลืมเหตุแห่งความขัดแย้งชั่วคราว ไม่เข้าใจว่าทำไมกำนันเมฆถึงได้โกรธเป็นจริงเป็นจังนัก กับเรื่องแค่นิดเดียว


+++++++++++

(เจอกันวันอังคารนะคะ...^^)

คุณปุ๊กกุย...เอาตอนใหม่มาเสริฟแล้วจ้า ^_^

คุณพิมพ์นราขอบคุณสำหรับกิ๊ฟที่ให้นะคะ ^0^

ลิงค์ตอนเก่าจ้า...^0^

บทที่ 9... http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11919907/W11919907.html
บทที่ 8... http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11889306/W11889306.html
บทที่ 6-7... http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11859551/W11859551.html
บทที่ 5... http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11829456/W11829456.html
บทที่ 4... http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11798581/W11798581.html
บทที่ 3…http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11768529/W11768529.html
บทที่ 2…http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11734893/W11734893.html
บทที่ 1... http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11706142/W11706142.html

จากคุณ : แก้วชมพู
เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 55 09:18:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com