Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 11 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ ควันหลงงานสัปดาห์หนังสือ ได้พบเพื่อนๆในถนนนักเขียนหลายคนเลยครับ น้องอิน คุณนุ้ย คุณเขมปัณณ์ และท่านอื่นๆ ขอบคุณนะครับที่แวะมาทักทายกัน

  ส่วนผมเองได้หนังสือหลายเล่มไปอยู่เหมือนกันครับ ส่วนใหญ่เป็นบูทหนังสือเก่าเสียมากกว่า มีโอกาสจะนำมารีวิวลงในบล็อกนะครับ

สำหรับล่องกัลปาลัย ตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11899741/W11899741.html

และตอนที่ 11 ครับ
บทที่ 11


              มะขิ่นยืนมองจนมินอ่องควบม้าลับสายตาออกไปแล้ว จึงค่อยเร่งฝีเท้าเดินดุ่มมาตามเส้นทางเล็กๆลงสู่บริเวณลานอุทยานดอกไม้ด้านหลังของทับสนธยา


           เงาทะมึนของเทือกผาพระจันทร์อยู่ไกลลิบออกไป ในขณะที่เงาเงื้อมของปีกคฤหาสน์กลับเผยกว้างออก คล้ายเชื้อเชิญอาคันตุกะยามราตรีให้ก้าวเข้ามาเยือน


            เบื้องหน้าในระยะใกล้ เสาหินขนาดย่อมปรากฏเรียงรายอยู่บนเนินเล็กอันร่มครึ้ม ป้ายบนเสาหินแต่ละเสาบ่งชัดถึงร่างที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน อันเป็นธรรมเนียมเฉพาะตนของผู้อาศัย แสงจันทร์สุกสกาวส่องทาบหลักศิลาสีขาวโดดเด่นในท่ามกลางรัตติกาลอันเย็นเยียบ


                     เด็กสาวเผ่าชนกลุ่มน้อยชายแดนไทย พยายามควบคุมสติสัมปชัญญะระหว่างลัดเลาะตามเส้นทางเปลี่ยวปราศจากแม้เสียงหรีดหริ่งเรไร ทุกอย่างเงียบสงบเหมือนพวกมันพร้อมใจกันหยุดกรีดปีกร้องระงม เฉกที่เจ้าหล่อนเคยได้ยินในทุกค่ำคืน หากนั่นคือภายในหมู่บ้านที่หล่อนอาศัยอยู่ หาใช่ทับสนธยาแห่งนี้ไม่


                ด้วยมืออันสั่นเทา เด็กสาวกำพวงกุญแจเอาไว้แน่นจนสัมผัสเหงื่อที่เปียกชื้นของตัวเอง นี่คือกุญแจดอกเดียวที่จะช่วยไขเข้าสู่ประตูเล็กทางด้านหลังของอาคารคฤหาสน์ หล่อนเคยแอบขโมยมันมาจากตาเฒ่าอาตม์ คนเฝ้าทับสนธยาอย่างซื่อสัตย์ มะขิ่นต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อนำมันไปทำเลียนแบบมาใช้ในยามฉุกเฉิน และรีบนำมาคืนที่เดิมในเวลาที่ตาเฒ่านั่นเผลอตัว...


             เพื่อการกระทำภารกิจสำคัญ...


               ภารกิจ... ใช่ มันคือภารกิจ ที่ต้องพยายามค้นหา “สิ่งของ” ตามคำบัญชาของเขา หากไม่ว่าจะใช้เวลาเนิ่นนานเพียงใด ทั้งมะขิ่นและมินอ่องก็ยังไม่อาจประสบผลสัมฤทธิ์ แม้จะรู้ว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้นายท่านผิดหวังมากเพียงใด


               ทั้งที่มันเป็นเพียงแค่หนังสือเล่มเดียว!!


              ตราบจนผู้หญิงคนนั้นเดินทางมาถึง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินคาด มันยิ่งบ่งว่าเวลาเริ่มหมดลงทุกขณะ มะขิ่นตัวสั่นเทาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนนายท่านจะรับรู้ทุกอย่างไม่ต่างกับมีนัยน์ตาทิพย์ ยกเว้นเพียงของสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่อาจรู้...


               เมื่อนึกถึงบุรุษในเสื้อคลุมที่มาดักรออยู่ผาพระจันทร์แล้ว มะขิ่นก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าหล่อนเกรงกลัวสิ่งใดมากกว่ากัน ระหว่าง “นายท่าน” กับ “ทับสนธยา” ที่ปรากฏเป็นเงาตะคุ่มทะมึนในท่ามความมืดมิดกลางราตรีเช่นนี้


                มีความรู้สึกเหมือนกับอาคารทรงสูงตระหง่านเบื้องหน้าไม่ต่างกับร่างอสุรกายที่กำลังอ้าปาก แสยะกว้างขึ้น เพื่อลวงหลอกให้หล่อนก้าวเข้าไปสู่ภายในปากของมัน แล้วกลืนกินเข้าไปก่อนจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของอสูรร้าย...


               “จำไว้ว่าต้องคอยจับตาดูผู้หญิงคนนั้นให้ดี ข้าเห็น! นางผู้มาถึงพร้อมกับโอกาสสุดท้ายของข้า”


              โอกาส? นายท่านพูดถึงโอกาสบ่อยครั้ง แต่มะขิ่นก็ไม่เคยเข้าใจความหมายนั้น นอกจากรู้ว่า ต้องทำตามความต้องการของนายท่านโดยมิอาจปฏิเสธ


            ด้วยรู้ว่าโทษทัณฑ์นั้น น่าหวาดเกรงเพียงใด


              เสียงของนายยังดังแว่วมาในห้วงภวังค์ราวกับจะหลอกหลอนเร่งเร้า ยิ่งกระตุ้นให้เด็กสาวก้าวเท้าเร็วขึ้นไปอีก พวงกุญแจในมือสั่นกระทบกันกรุ๊กกริ๊กระหว่างการก้าวเดินแต่ละครั้ง แต่มะขิ่นไม่มีเวลาสนใจอีกต่อไป


              “บางทีคำตอบ และของที่เราต้องการหา อาจจะอยู่ไม่ไกลแล้วก็เป็นได้ ผู้หญิงคนนั้น ที่จะนำพาความปรารถนา และความสำเร็จมาให้ข้า!!”


            “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ให้นายผู้หญิงคนนั้นหามันให้เลยสิ!”

           
          ฉาด!!


          ฝ่ามือหนาหนักกระทบใบหน้าเด็กสาวจนหันสะบัดตามแรงกระทบ


            “เจ้าพูดง่ายนักมะขิ่น คิดหรือว่านางผู้นั้นจะไม่คิดสงสัย และสิ่งนั้นแหละจะยิ่งทำให้ความประสงค์ของข้าหลุดลอยออกไปไกลยิ่งขึ้นทุกที”


            นัยน์ตาในเงามืดคล้ายเรืองแสงสีแดงก่ำดุจก้อนทับทิม


              “มีเพียงเจ้ากับพี่ชายเท่านั้น ที่ต้องพยายามทำให้มันวางใจให้ได้ นางจะเป็นผู้ นำไปสู่สิ่งที่ข้าต้องการ...”


             ก็แค่หนังสือเล่มเดียวนี่น่ะหรือ?


                มะขิ่นอดนึกในใจด้วยความฉงนฉงายไม่ได้ รู้ดีว่าถ้าหากพูดออกไป อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายตัวเองมากขึ้นไปอีก แม้จะมีความสงสัยจนท่วมท้น


                “มันไม่ใช่หนังสือ แต่มันคือ กัลปาลัย!”


                     คำพูดคล้ายรำพึงของนายท่านเพียงลำพังหาได้สร้างความเข้าใจใดๆแก่สองพี่น้องไม่


                “กัลปาลัย? นายท่านหมายถึงสิ่งที่ต้องการให้ข้ากับพี่ช่วยกันค้นหาน่ะหรือ แล้วมันจะมีอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อข้าก็เพียรพยายามจนทั่วทุกหนทุกแห่งในทับสนธยาแล้ว แต่ไม่เคยพบเห็นมันเลย”


               “ก็เพราะเจ้ายังทำได้ไม่เต็มที่น่ะสิ มะขิ่น... สิ่งนั้นอาจจะปรากฏอยู่แล้ว แต่เจ้ามองผ่านมันไปด้วยไม่ฉุกใจ เสียดาย ถ้าข้า... มีอำนาจเฉกเช่นเดิมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกเจ้าให้ยุ่งยาก เพราะไอ้เฒ่าเดนนรกนั่นแท้ๆ”


              ประโยคท้ายของนายท่าน เป็นสิ่งที่มันสมองน้อยๆของมะขิ่นไม่อาจเข้าใจ หล่อนพะวงถึงภารกิจอันน่าเบื่อหน่าย และมองไม่เห็นความเป็นไปได้ ในเมื่อปราสาททับสนธยาหลังนั้นกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด จะต้องใช้เวลาและการค้นหาอย่างละเอียดสักเท่าใดกันเล่าถึงจะสามารถค้นหาหนังสือเล่มเดียวที่ซ่อนอยู่ในนั้น


              เป็นเดือน เป็นปี สิบปี ยี่สิบปี หรือตลอดทั้งชีวิต!


             “แต่...”


                “อย่ามีคำว่าแต่... เจ้าต้องทำให้ได้ กัลปาลัยอันเป็นของสำคัญสิ่งนั้น มันต้องถูกซุกซ่อนอยู่ภายในที่ใดที่หนึ่งแห่งนี้แน่นอน และข้าก็ต้องการครอบครองมันให้ได้ ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะได้มันไป และตอนนี้ ก็มีเจ้าเท่านั้นแหละมะขิ่น ที่จะใช้โอกาสที่มีอยู่นำมันมาให้ข้า”


              เด็กสาวฝืนพยักหน้ารับ ข่มความหวาดกลัว รู้ดีถึงความอำมหิตจนน่าขนลุกของอีกฝ่าย ในเมื่อเคยประจักษ์มาก่อนแล้ว ในขณะที่มินอ่อง เองกลับแทบไม่อาจข่มกลั้นอาการหวาดกลัวใดๆไว้ได้เลย เขาหน้าขาวซีดจนแทบไม่มีสีเลือด หล่อนรู้ดีว่าเขาขลาดมากยิ่งกว่าหล่อนนัก


                 และนั่นเองที่ทำให้หล่อนต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง พร้อมกับเตรียมคำพูดสำหรับแก้ตัวกับนายหญิงคนใหม่ของทับสนธยา เพื่อให้ได้มาอยู่สังเกตการณ์อีกฝ่ายให้ใกล้ชิดมากที่สุด นายบอกว่า คุณปีระกาคนนั้น จะนำไปสู่การหาหนังสือเล่มสำคัญ


                   หล่อนเข้าใจแต่ว่ามันคือ “หนังสือ” ซึ่งถูกสะกดด้วยคำที่ไม่คุ้นปากว่ากัลปาลัย และไม่รู้ว่ามันมีค่าสักเพียงใด นอกจากรู้แต่เพียงว่า บรรจุด้วยกลอนนิทานเล่มหนึ่งเท่านั้น เรื่องที่มีชื่อแปลกประหลาดว่า...


                    สุวรรณชตุกา หรือค้างคาวทอง!


          ************************


                  “ค้างคาว... โอคุณพระช่วย ทำไมมันถึงได้เยอะมากอย่างนั้นนะ”


                ปีระกาแทบจะเผลอปัดตะเกียงหล่นลงจากพื้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปสู่เวิ้งเพดานด้านบน ร่างของสัตว์ครึ่งนกครึ่งหนูเหล่านั้นกำลังห้อยหัวลงมาจากขื่อพาดยาวที่ตีเป็นเส้นตัดขวางด้านบน เรียงรายกันไม่ต่ำกว่าสิบตัว


                 พวกมันหรุบปีกแนบกาย เห็นแต่ส่วนหัวหลิมเล็กห้อยนิ่งค้างอยู่บนขื่อไม้เหล่านั้นโดยมิขยับไหวติงใดๆทั้งสิ้น น่าแปลกที่ภายในบริเวณห้องใต้หลังคาหอคอยที่เต็มไปด้วยค้างคาวจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านั้น น่าจะสกปรกรกรุงรัง เต็มไปด้วยซากและกลิ่นมูลค้างคาวตลบอบอวล แต่ปีระกากลับไม่พบสิ่งเหล่านี้เลยสักนิดเดียว  


               ทั้งชีวิตที่ผ่านมา สาบานได้ว่าไม่เคยมีโอกาสเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้อย่างใกล้ชิดเสียจนเกิดความรู้สึกขนลุกกรูเกรียวขึ้นมาเฉยๆ แสงสว่างจากตะเกียงนั่นเองที่ทำให้พวกมันบางตัวเริ่มขยับเคลื่อนไหว และแผงปีกสีดำที่เต็มไปด้วยปุยขนยุ่บยั่บก็คลายตัวออกจากกันจนเห็นร่างและใบหน้าที่หรุบซ่อนอยู่


            ก่อนที่จะเบิกนัยน์ตาขึ้น นัยน์ตาสีแดงระเรื่อเหมือนก้อนทับทิม ในระยะใกล้เช่นนี้ ปีระกาเพิ่งรู้ว่าหล่อนเกิดความหวาดกลัวค้างคาวเหล่านั้นมากเสียจนต้องรีบหาทางลงไปจากห้องแห่งนี้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะขยับตัวและบินร่อนถลาลงมา ถึงแม้จะพอรู้ว่าพวกมันมีการส่งสัญญารคลื่นเสียง หรือเรดาร์ส่วนตัวสำหรับรับ-ส่งในการบินไม่ให้ปะทะสิ่งกีดขวางไม่ว่าจะมีปริมาณมากน้อยเพียงไหน แต่ปีระกาก็ไม่ต้องการจะเสี่ยง


            นักเขียนสาวยกมือขยับไปจับตะเกียงแก้ว แล้วค่อยๆเลื่อนตัวถอยไปทีละน้อย ทีละน้อย มองเห็นช่องทางที่เปิดกว้างอยู่ถัดออกไปไม่ไกลนัก แค่ก้าวลงไปยังห้องด้านล่างจากนี้ แล้วปิดประตูไม้กลับเข้าที่ ก็จะไม่เป็นการรบกวนพวกมันอีกต่อไป
 

                 หล่อนถอยช้าๆ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีชิ้นส่วนวัตถุบางอย่างถูกวางเอาไว้ จนเผลอไปสะดุดและเสียหลักขึ้น ตะเกียงในมือแกว่งไกวไปมา ก่อนจะพลัดหลุดจากอุ้งมือลงไปกระแทกพื้น ด้วยความตกใจ นักเขียนสาวรีบกระชากมันขึ้นมา กลัวน้ำมันจากใส้ตะเกียงจะทำให้เปลวไฟลุกไหม้ไปบนกระดาษหนังสือที่มีอยู่รอบด้าน


           มีผลให้ดวงไฟที่เริ่มหรี่แสงอยู่แล้วก็ดับวูบลงทันที แล้วปล่อยให้ความมืดมิดเหมือนน้ำหมึกข้นเทราดลงมาในชั่วพริบตา


               เมื่อนั้น จึงรู้สึกตัวว่าอยู่เพียงลำพังในความมืดที่ปราศจากแสงสว่างใดๆทั้งสิ้น...


                มืดไม่ต่างกับการตกอยู่ในห้วงขุมนรก!


                    ก่อนที่เสียงกระพือปีกของค้างคาวพวกนั้นจะกรูกังวานขึ้นพร้อมกัน ราวกับพวกมันมีจำนวนนับหมื่นแสนตัว และต่างก็กำลังบินร่อนวนเวียนไปมาอยู่ภายในห้องแคบๆใต้หลังคาหอคอยแห่งนี้ โดยที่ไม่อาจมองเห็น


                    การเคลื่อนไหวเหมือนกับถูกกระตุ้นด้วยปรากฏการณ์บางอย่าง...


                    ปีระกาเกือบเผลอหวีดร้องออกมาแล้วด้วยความตื่นตระหนก ถ้าไม่ได้ยินเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาในท่ามกลางเสียงอึงอลของการขยับกระพือปีก แสก สาก รอบทิศทางเหล่านั้น


              “ปีระกา”


                เธอจำได้ไม่มีวันเลือน... นั่นเป็นเสียงเรียกของธาม!!


           **********************


                  แสงโคมไฟในมือส่ายไหวน้อยๆเมื่อเจ้าตัวพยายามเกร็งมือ ก้าวอย่างช้าๆไปตามระเบียงทอดยาวที่ไปสิ้นสุดยังห้องริมสุดของปีกตึก


               ในความมืดสลัวเช่นนี้ ยิ่งนึกว่าภายในอาคารอันกว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าคาดคิดมากนัก หล่อนไม่ได้นับระยะทางที่เดินมาว่าไกลจากห้องพักตัวเองสักเพียงใด หากรู้สึกถึงความเนิ่นนาน จนทะลุมาถึงห้องที่เชื่อมต่อกับปีกตึกด้านนี้ แล้ววกหักข้อศอกเชื่อมต่อไปยังอีกด้านหนึ่งอย่างเป็นปริศนา


                 ชลธรพยายามทบทวนความทรงจำระหว่างยืนขบคิดและพิจารณาไปรอบด้าน ฝั่งอาคารทางด้านนี้น่าจะเป็นส่วนของหอคอยที่มองเห็นในยามกลางวันนั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น ปีระกาก็น่าจะเข้ามาถึงที่นี่ด้วยเช่นเดียวกัน


                แต่ทำไมยังไม่กลับมา?


              หล่อนผลักประตูขนาดใหญ่แล้วก้าวผ่านเข้าไปยังห้องด้านใน เมื่อนั้นจึงพบว่ามันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่อีกห้องหนึ่งที่ส่วนของเพดานห้องกลับโล่งลิ่วขึ้นไปสู่ความมืดมิดเบื้องบน นี่กระมังคือส่วนของอาคารหอคอยฝั่งทิศใต้ที่ปีระกาพูดถึง?


                 สายตาหญิงสาวชะโงกหน้ามองข้ามพื้นโล่งเรียบของห้องโถงแห่งนี้ไปยังฝั่งด้านในสุด ณ ตำแหน่งปลายทางด้านนั้นยังมีประตูอีกบานหนึ่งที่ปิดเอาไว้เหมือนกับมีห้องหรือส่วนเชื่อมต่อไปยังที่ใดที่หนึ่งนอกเหนือจากการสำรวจในขณะนี้ ขณะที่ส่วนของบันไดเกลียวขนาดใหญ่จากบริเวณ จุดนั้น ก็ทอดวนประดุจก้นหอยม้วนตัวเลาะเลียบวนไปตามผนังของห้อง โดยไต่ระดับขึ้นไปสู่ความสูงลิ่วด้านบน


                ชั้นบนสุดแห่งยอดหอคอยนั่นเอง...


                   เหลือบสายตาขึ้นมองอย่างชั่งใจ ระหว่างเดินกลับไปยังห้องพักแล้วนอนให้เต็มอิ่มรอคอยการกลับมาของเพื่อนรัก กับการเลือกเสี่ยงปีนบันไดนี้ขึ้นไปอย่างไม่รู้จุดหมาย


                    ชลธรถอนหายใจยาวเหยียด นึกในใจว่าไม่ว่าเชื่อคำพูดยายปี แล้วตามมาที่นี่เลยจริงๆ!เพราะนอกจากตัวเองจะเป็นโรคกลัวความมืดอยู่ไม่น้อยแล้ว ก็รู้ตัวเองดีว่าเป็นโรคกลัวความสูงไม่แพ้กันอีกด้วย


                 พยายามข่มใจถือตะเกียงเดินมาถึงเชิงบันได ทุกก้าวที่สัมผัสพื้นศิลาก็ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าของตัวเองดังกระทบแล้วสะท้อนก้องกังวานภายในห้องโถงแห่งนี้ แม้จะพยายามจรดปลายฝีเท้าให้เบาสักเพียงใด ตราบจนมือสัมผัสราวเหล็กที่เย็นเฉียบด้วยอากาศภายนอกยามราตรี มันคือราวบันไดที่ทอดโค้งอย่างอ่อนช้อยคล้ายเชื้อเชิญให้หล่อนก้าวขึ้นไปสู่ความมืดข้างบนนั่นเอง


               “ปีระกา ยายปี วู้!”


                ตัดสินใจตะโกนร้องเรียกขึ้นไปสุดเสียงจนเริ่มรู้สึกคอแหบคอแห้ง น่าเสียดายที่หล่อนลืมเอานกหวีดติดตัวมาด้วย ไม่เช่นนั้นคงได้เป่าให้ดังลั่นกลางดึกนี้เป็นปฐมฤกษ์เสียแล้ว ตอนนี้ชลธรได้ยินแต่เสียงของตัวเองเท่านั้นที่สะท้อนซ้ำไปมาก่อนจะแผ่วจางหายไปในที่สุด ทว่าหาได้มีเสียงใดๆตอบกลับลงมาจากข้างบนแม้แต่น้อยไม่


                  จากสภาพที่เห็นในตอนกลางวัน คิดว่ามันน่าจะเป็นหอคอยที่สร้างสูงขึ้นไปไม่ต่ำกว่าตึกสักสิบชั้น และถ้าหากข้างบนเป็นห้องที่ปิดประตูเอาไว้เหมือนกับห้องโถงที่เชื่อมต่อกับตึกประธานเช่นเดียวกันนี่ คนที่อยู่ข้างบนก็คงจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงตะโกนเรียกเช่นเดียวกัน


                   คิดได้ดังนั้น หญิงสาวก็ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย ออกแรงเกร็งมือจับราวบันไดเพื่อเหนี่ยวตัวเองให้เหยียบกับบันไดขั้นแรกที่สูงขึ้นมากว่าระดับพื้นมากกว่าระดับขั้นอื่น แล้วเพ่งสายตาไปข้างหน้าในขณะที่มืออีกข้างชูตะเกียงเอาไว้ให้ส่องเห็นเส้นทางในระยะใกล้


                   โดยไม่ทันสังเกตว่าประตูเล็กที่อยู่ด้านหลัง ประตูที่หล่อนเห็นว่าปิดสนิทเหมือนไม่มีผู้ใดใช้งานมาก่อน กลับค่อยๆเปิดแง้มออกจากกันอย่างช้าๆ และร่างหนึ่งก็ก้าวผ่านออกมาจากเวิ้งเงามืด ก่อนจะตรงไปยังเบื้องหลังของหล่อนเป็นเป้าหมาย!!


            ***********************


                “ธาม... หายไปไหนมา?... รู้ไหมว่าปีคิดถึงแค่ไหน”


               หล่อนเปล่งเสียงด้วยความปิติยินดีขีดสุด เมื่อหันกลับมา ด้วยอารามลืมตัวจนแทบจะโผเข้าหาร่างสูงใหญ่นั้นด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันท่วมท้นแห่งความปลื้มปิติ แต่ก็ชะงักกายไว้ได้ทัน เมื่อตระหนักรู้ขึ้นในเวลาต่อมา ว่าร่างสูงใหญ่ในเงาตะคุ่มเบื้องหน้านี้ มิได้เปล่งแต่ “เสียงกระซิบ” เหมือนเช่นเคยอีกต่อไปแล้ว


                 นี่คือเรือนกายอันสมบูรณ์แบบแห่งบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ของธาม!


                 มองเห็นเพียงโครงร่างสูงตระหง่านในเงาสลัว และเสี้ยวหน้าคมคาย จนหญิงสาวถึงกับเว้นประโยคหลังค้างเอาไว้ในลำคอ แม้ว่าจะอยู่ในความมืดมิดยิ่งไปกว่านี้สักร้อยเท่าพันเท่า กระแสเสียงอบอุ่นอ่อนโยนของธาม ของทำให้ปีระการู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป


                 “ปีระกา... ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นเดียวกัน”


                  เสียงธามช้าลงแฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล ไม่มีอาการหยอกล้อเหมือนกับทุกครั้ง แต่หล่อนก็สัมผัสถึงความห่วงใยและความคิดถึงลึกซึ้งในทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมา


                 “รู้หรือเปล่าว่าเป็นห่วงแค่ไหน ฮึ? จู่ๆก็หายไปเลย นึกว่าจะตามยายคุณกรรณิการ์ไปเกิดใหม่ซะแล้ว”


               “รู้สิ... และรู้ด้วยว่าเจ้าต้องตามหาข้าเช่นเดียวกัน ไม่ต้องกังวลไป เพราะข้ายังไม่อาจจากเจ้าไปถือกำเนิดที่ไหนได้ในเวลานี้ดอก เรายังมีภารกิจสำคัญรอคอยอยู่”


           ธามเอ่ยตอบราวกับจะรู้คำต่อว่านั้นล่วงหน้าแล้ว


            “แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ธาม ไม่ติดต่อ ไม่ให้ฉันรู้เลยว่านายยังอยู่ จนฉันนึกว่านาย... เอ้อ... หนีไปแล้ว”


               น้ำเสียงสุดท้ายขาดห้วงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกลึกๆภายในใจ กระนั้นปีระกาก็รู้สึกถึงกระแสลมอ่อนโยนสัมผัสลูบไล้ผิวแก้ม และเสียงกระซิบทุ้มนุ่มนวลที่ริมหูของเขาอย่างปลอบประโลม เพื่อแสดงว่ามิเคยห่างหายจากไปไหน


                    “เพราะข้าเพิ่งรับรู้ความจริงน่ะสิปีระกา... ณ ทับสนธยาแห่งนี้ เมื่อเจ้าเดินทางมาถึง ความทรงจำทั้งมวลเกี่ยวกับตัวข้าก็บังเกิดขึ้น เหมือนสลักดาลที่ถูกถอดออกจากกันโดยอัตโนมัติ เพราะเจ้าคือทวารันต์ ผู้ปลดปล่อยความเป็นจริงให้ปรากฏ”


                  “หมายความว่าอะไร ปีฟังแล้วไม่เห็นรู้เรื่องเลยสักอย่าง”


                  คล้ายเสียงธามจะหัวเราะน้อยๆในความมืด เสียงห้าวทุ้มกังวานที่ใกล้เสียจนสัมผัสถึงละไออุ่นแห่งบุรุษหนุ่มแนบชิดอยู่ข้างกาย จนหญิงสาวรู้สึกหวิวไหวขึ้นเป็นครั้งแรก


                “เจ้าก็เป็นผู้นำทางข้าให้มาถึงที่นี่ด้วยตัวเองน่ะสิ ทับสนธยา... สถานที่แห่งนี้แหละที่ทำให้ข้าเพิ่งค้นพบว่า มันคือจุดกำเนิดของตัวข้านั่นเอง!!”


                   “จุดกำเนิด?”


                   ธามไม่ได้ตอบคำถามนั้น ในเสี้ยวหน้าคมคายของความมืดเลือนราง หล่อนมองเห็นคล้ายริมฝีปากจะหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน


                 “จงมองให้ดีๆปีระกา นี่คือธาม ผู้ที่เจ้าอยากจะได้พบและเห็นตัวจริง ถึงเวลาที่ข้าจะปรากฏกายแท้จริงให้เจ้าได้เห็นในบัดนี้”


              พริบตา ในความมืดสนิทของห้องใต้หลังคาหอคอย กลับปรากฏแสงสว่างเรืองรองขึ้นทีละน้อย หญิงสาวต้องหรี่นัยน์ตาลง ประกายสีทองเจิดจ้าแจ่มชัดขึ้นทุกขณะ จนปีระกาต้องเบนหน้าไปยังด้านหลังเพื่อให้เคืองระคายสายตา เสียงห้าวทุ้มนุ่มหูดังขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นจนแทบรับรู้ถึงร่างผู้พูดอยู่เคียงข้าง ไม่ปรากฏเสียงขยับปีกของค้างคาวพวกนั้นอีกต่อไป


             หล่อนสะดุ้งน้อยๆ สัมผัสถึงมือที่เอื้อมมาแตะแผ่นหลัง และเสียงกระซิบแผ่วเบาริมหู


                 “ใช่แล้วปีระกา จุดกำเนิดของข้า และภารกิจของเจ้าที่จักต้องกระทำให้ลุล่วง ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินไป”


              “ยิ่งนายพูดฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจ เหมือนกับการเดินทางมาที่นี่ มีวัตถุประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่หรือจ๊ะธาม?”



               “ถูกต้องแล้ว เพราะท่านคือทายาทแห่งทับสนธยา คือทวารันต์ อันเป็นนางผู้ปลดปล่อยของข้า และคือผู้เดียวเท่านั้นในเวลานี้ ที่จะเปิดทวารบถแห่งกัลปาลัยนั้นได้ เพื่อการปลดปล่อยทุกสรรพสิ่ง”


                 คำพูดนั้นยิ่งก่อให้เกิดความงุนงง หล่อนไม่เข้าใจเลยสักคำเดียว ทวารบถ ทวารันต์ กัลปาลัย หรือแม้แต่การปลดปล่อยที่ธามพูดถึง หากเสียงอ่อนโยนก็แว่วอยู่ข้างกาย ปลุกปลอบความว้าวุ่นใจของหล่อนเหมือนกับทุกครั้ง ไม่ต่างกับยังเป็นเพียงเด็กหญิงปีระกาเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด


               “หันหน้ากลับมาสิปีระกา เจ้าเองเคยบอกว่า ต้องการได้เห็น ได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของข้ามิใช่หรือ?”


                หล่อนยังยืนเกร็งนิ่ง ด้วยความรู้สึกอันยากบรรยาย รู้ว่าอุ้งมือที่สัมผัสคือธามอย่างมิต้องสงสัย ไม่ใช่มีเพียงน้ำเสียงที่หล่อนได้ยินเพียงผู้เดียวอีกต่อไป


               “ลืมตาแล้วหันมามองธามของเจ้า แล้วข้าจักเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ในบัดนี้”


               “ธาม...”


         “ยังมีสิ่งสำคัญที่ท่านจะต้องทำให้ลุล่วง


               ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเฉกเดิมไม่แปรเปลี่ยน ทำให้ปีระกาตัดสินใจหันหน้ากลับไปในทันที


                แล้วเมื่อนั้นเอง หล่อนแทบจะลืมแม้แต่ลมหายใจของตัวเอง

                      ************************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 55 11:52:12




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com