Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นักรบจันทรา ตอนที่ 14 ความจริง ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 14 ความจริงจากอดีต


“ตรงนี้เลยหรือไบรอัน ที่มารีน่าอัดเวเบอร์ติดพื้นจนกระอักเลือด” การ์กับอลันจ้องมองรอยเลือดบนพื้นหินอ่อน คนงานในชุดหมีลังเลก่อนใช้ไม้ถูพื้นบรรจงเช็ดถูคราบเลือดให้หมดไป

หลังอาหารเช้าไม่ทันไรพวกเขาสามคนก็ถูกอลิเซีย หญิงสาวจากอนาคตลากถูไปยังห้องใต้ดินในโบสถ์เคารพเพื่อขึ้นมาสมทบกับไบรอันและริเรีย พวกเขาโดนต้มจนเปื่อยเพียงเพื่อไม่ให้พบกับเวเบอร์กลางทาง แถมนางผู้หยั่งรู้ยังเป็นครึ่งหนึ่งของเจ้าปากหนักเสียอีก การ์คิดถึงสายหมอกเมื่อตอนอยู่ที่ไครส์ อาจเป็นมารีน่าที่ออกมาหยุดพวกเขา

“ก็หมอนั่นมาลูบคมข้าก่อนนี่นา” มารีน่าในชุดเสื้อคลุมสีรุ้งงดงาม เขาคิดว่านางสวยกว่ามารีน่าที่เคยพบตอนอยู่โอ๊คแลนด์ หญิงสาวดูสง่างามยิ่งใหญ่ บางครั้งเป็นที่พึ่งพิงบางครั้งลงมืออย่างไร้ปรานีเหมือนท้องทะเลที่ยากคาดเดา “คงไม่ได้ลากถูสุดที่รักของข้ามาตอนกำลังกินอยู่ใช่ไหม ลิเซียน้อย”

“มารีน่า เจ้ารักองค์ฟิลลิปแห่งโอ๊คแลนด์หรือ” เจ้าปากหนักเอ่ยถามนางผู้หยั่งรู้ หมอเสียหน้าเล็กน้อยตอนที่อลิเซียพาพวกเขามาถึงภายในครึ่งชั่วโมง ยิ่งตอนเล่าว่าเมื่อคืนเวเบอร์ถูกจับกดติดพื้นจนกระอักเลือดยิ่งหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม หญิงสาววิญญาณร่วมของไบรอันเงยหน้าทั้งที่ยังกอดแขนของเขาอยู่อย่างรักใคร่

“ครั้งที่เท่าไรแล้วคำถามนี้...” นางก้มมาซบกับบ่าของเขาต่อ การ์กลายเป็นของเล่นของมารีน่าตั้งแต่เข้ามายังวิหารแก้วผลึก ริเรียทำกับเขาอย่างทาส เจ้าปากหนักไบรอันใช้เขาทำโน่นทำนี่โดยไม่บอกเหตุผล แล้วยังเจอคนที่ใช้เขาเป็นของเล่นสนุกอีก “ถึงท่านจะถามอีกสักกี่ร้อยรอบข้าก็ไม่ตอบ ทีท่านยังเอาสร้อยที่ข้าได้รับพระราชทานไปให้ไลล่าได้เลย หากกวนใจมากๆข้าจะบอกทุกคนให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น ไม่ลงโทษท่านแบบเวเบอร์หรอก”

เจ้าคนปากหนักคงรู้สึกจุกขึ้นในลำคอจึงไม่ถามต่อ หันไปหาอลันที่พูดคุยกับอลิเซียอย่างร่าเริง เมื่อคืนก่อนหลังเวเบอร์จากไปแล้วหญิงจากอนาคตและนางผู้หยั่งรู้ปลีกตัวไปคุยกันสองคน ส่วนเจ้าปากหนักกับริเรียได้รับห้องพักนอนรอจนกว่าจะเช้า

“วิหารแก้วผลึกนี่เคยอยู่พบพื้นดินมาก่อนหรือเปล่ามารีน่า เหตุใดจึงมีหญ้าธรรมชาติขึ้นรอบๆด้วย ข้างปราสาทก็มีต้นไม้ใหญ่อยู่ สิ่งก่อสร้างมีกลิ่นของเวทมนตร์จริง แต่ข้ารู้สึกว่าพื้นดินและต้นไม้เป็นของจริงไม่ได้ถูกทำขึ้นด้วยเวทมนตร์” การ์พยายามแกะแขนของนางผู้หยั่งรู้อย่างเอาเป็นเอาตาย ที่แขนนางคงมีหนวดหลายสิบเส้นงอกมารัดพันตัวเขาไว้จึงแงะออกยากเย็นนัก

“ถูกต้องแล้ว ปราการแก้วผลึกแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนพื้นดิน” หญิงสาวจุมพิตหน้าผากเขาเป็นรางวัล การ์รู้สึกถึงรังสีสังหารจากข้างหลังแต่ไม่หันไปมอง บางทีไบรอันอาจโกรธที่วิญญาณอีกครึ่งมาเล่นบ้าๆอย่างนี้ “นานมาแล้ว สองเมืองใหญ่เคยรบรากันเพื่อช่วงชิงเมืองแก้วผลึกแห่งนี้เอาไว้ในครอบครอง สุดท้ายนางผู้หยั่งรู้รุ่นนั้นจึงสร้างหมอกมนตราขึ้นเพื่อเป็นปราการรอบนอก จากนั้นก็ยกพื้นดินกลางเมืองที่ตั้งวิหารและปราสาทแก้วผลึกขึ้นไปยังท้องฟ้า บัลดาลให้สิ่งไร้ตัวตนอาศัยอยู่ข้างใต้พร้อมสร้างด่านรองรับ จากนั้นพระนางจึงประกาศว่าเมืองแก้วผลึกจะทำตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใด หากใครต้องการช่วงชิงขอให้ยกทัพมา แต่ไม่เคยมีใครทำได้เพราะหมอกอาคมด้านนอกทำหน้าที่เสมือนเขาวงกตส่งผู้คนที่คิดร้ายออกไปจากเขตเมือง”

“แล้วสายหมอกที่ทำให้พวกเราหลับตอนนั้น ใช่เจ้าหรือไม่” การ์แกะร่างบอบบางออกจากแขนได้สำเร็จแค่ชั่วครู่ คราวนี้นางโถมร่างเข้ากอดเขาแบบปัจจุบันทันด่วน หญิงสาวเหลือบตามองข้างหลังนิดหนึ่งเหมือนกับสังเกตปฏิกิริยาของใครสักคน

“อยากปากแข็งเอง ช่วยไม่ได้...สมเป็นสุดที่รัก เดาเก่งจริงๆ” หญิงสาวกันไม่ให้เขาหันไปดูว่ากำลังพูดกับใครอยู่ “ตอนนั้นข้ามีเป้าหมายส่วนตัวท่านคงไม่อยากรู้หรอก คราวนี้อยากได้อะไรล่ะ จูบปากดีไหม” มารีน่าพูดทีเล่นทีจริงจนการ์อดหวั่นใจไม่ได้ อย่างไรนางก็เป็นครึ่งหนึ่งของเจ้าปากหนัก คำถามเกี่ยวกับหญิงสองคนที่สำคัญของเขาแล่นขึ้นมาเป็นอย่างแรก

“แม่ของข้า” การ์นึกอีกชื่อหนึ่งอย่างถวิลหา “แม่ของข้าอยู่แห่งใด”

“แม่ของท่านก็อยู่กับพ่อของท่านอย่างไรละ ถึงเวลาเมื่อไรก็เห็นเอง” มารีน่าหัวเราะร่วนกอดคอเขาให้ใบหน้ามาชิดใกล้จนแทบสัมผัสลมหายใจของกันและกันได้

“ท่านมารีน่าเจ้าคะ เลิกแกล้งท่านนักรบจันทราได้แล้วเจ้าค่ะ การเตรียมการพร้อมแล้ว” นางจากอนาคตร้องอย่างแจ่มใส การ์ขอบคุณที่นางทำให้มารีน่าถอนใบหน้าออกจากหัวเขาได้สักที

“จริงสิการ์ อลิเซียโกหกท่านนะ ความจริงนางเป็นลูกของเราสองคนต่างหาก” นางผู้หยั่งรู้ไม่วายล้อเขาเล่น “อย่าพูดมากสิลิเซีย กำลังจะเชื่อแล้วดูสิ” หญิงจากอนาคตโดนเอ็ดที่ร้องประท้วงขึ้นว่าไม่จริง

การ์ได้รับคำยืนยันจากเจ้าปากหนักไบรอันแล้วว่านางผู้หยั่งรู้ชอบการล้อเล่นแบบนี้จริงๆ นอกจากเขาและเวเบอร์ นางยังบอกว่าอลิเซียเป็นลูกของนางกับอลันอีกด้วย ทั้งคณะเดินตามนางจากอนาคตเข้าไปในประตูด้านขวาของบัลลังก์ นางอธิบายแทนมารีน่าว่าหน้าบัลลังก์ใช้บอกปัจจุบัน ประตูหนึ่งบอกอดีต ส่วนอีกประตูบอกอนาคต แต่หากอยากฟังเฉยๆก็สามารถนั่งฟังหน้าบัลลังก์ได้เช่นกัน

ภายในห้องอดีตกาลทั้งสี่ด้านเป็นกระจกแก้วใส ไม่มีหน้าต่างแต่เพดานมีช่องระบายอากาศเปล่งแสงนวลตาให้เห็นพื้นหินอ่อนดำขลับ มีม้านั่งแถวยาวตั้งล้อมบัลลังก์หลังย่อมๆไว้อย่างเป็นระเบียบ มุมห้องมีกระถางกำยานและเครื่องหอมจนทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเอียน ทั้งม้านั่งและบัลลังก์สร้างจากผลึกแก้วสีดำสนิทคล้ายนิล การ์คิดว่าอดีตคือความมืดที่คอยฉุดรั้งผู้คนพื้นและม้านั่งจึงมีสีดำตามความหมายนั้น นางผู้หยั่งรู้นั่งบนบัลลังก์อย่างทรงภูมิบอกให้พวกเขานั่งบนม้านั่งตรงหน้า มีเพียงหญิงจากอนาคตเท่านั้นที่หยิบม้านั่งธรรมดามานั่งมองจากหลังห้อง

“ในการแสดงให้เห็นอดีต ข้าจะทำให้ทุกคนรวมถึงตัวข้าเองหลับแล้วฉายความจริงในอดีตให้เห็นในความฝัน” มารีน่าอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา การ์อยากถามว่าเป็นอย่างไรแต่ถูกไบรอันปรามด้วยสายตาว่าอย่าพูดมาก

“ร่างของพวกเราจะเข้าสู่การหลับใหล สติจะกลับมาเมื่อพิธีเสร็จสิ้น ระหว่างนั้นจำเป็นต้องมีผู้อารักขาร่าง ปกติจะให้เป็นหน้าที่ขององครักษ์แต่ข้าเปลี่ยนให้อลิเซียทำหน้าที่แทน ความสามารถของนางพอสูสีกับเวเบอร์ในตอนนี้แถมยังมีพลังสีขาวอีก เริ่มล่ะนะ อย่าเกร็งพวกท่านจะหลับในพริบตาเดียว” ไม่ทันสิ้นเสียงทุกสิ่งรอบตัวการ์ก็ดับวูบ ความรู้สึกต่างจากการนอนหลับราวกับเขาถูกดึงตัวผ่านชั้นอากาศบางๆรอบด้าน...


แสงสว่างที่ปากทางคืออดีตกาลที่พวกเขาอยากเห็น หุบเขาเอลฟ์ใต้ที่นางอัศวินมังกรพลีชีพ การ์จำภูเขาหินปูนทรงเหลี่ยมได้ ไกลออกไปเป็นเหล่ามังกรเดนตายที่ถูกริเรียจัดการ มารีน่าและผู้เฝ้ามองอดีตเข้ามาสะกิดบอกว่าพวกเขาสามารถมองเห็นและพูดคุยกันได้ ในขณะที่อดีตนี้เป็นภาพฝันพวกเขาไม่อาจเข้าไปยุ่ง และภาพในอดีตจะไม่รู้ถึงตัวตนของพวกเขา ไลล่าเรียกทุกคนดูร่างปวกเปียกของเขา ไบรอัน และริเรียนั่งกองรวมกันอย่างหมดเรี่ยวแรงทั้งกายและใจ

“ไหนๆเวลาก็ถูกร่นขึ้นมาแล้ว ข้าจะช่วยส่งพวกเจ้าไปเมืองแก้วผลึกให้ก็แล้วกัน” สตรีผมสีดำขลับโบกพัดเบาๆ

ร่างในอดีตของพวกเขาก็ลอยตามลมขึ้นไปบนท้องฟ้าจนหายไปจากคลองสายตา การ์พิจารณาสตรีปริศนาอีกครั้ง ผมและดวงตาสีดำขลับเหมือนคนปกติ ผิดกับเสื้อเกราะและรัศมีบางอย่างที่ดูสูงส่งกว่าคนทั่วไป พระนางอุทานเบาๆว่าพัดเบาไปนิด ไบรอันฟันธงกับอลันว่านางไม่ใช่คนปกติแน่นอน

“ยังแรงดีเหมือนเดิม” ชายปริศนาอีกคนเดินออกจากดงไม้ด้านหลัง การ์รู้สึกติดใจเป็นพิเศษกับคนผู้นี้ ผมสีทองยาวสลวยผูกเป็นหางม้าดวงตาสีฟ้าใสเปล่งบารมีน่าเกรงขามกว่าทุกคนที่เคยพบ เวเบอร์ในอดีตคุกเข่าคำนับอย่างรวดเร็ว “ไม่ดีใจหรือ เราไม่ได้พบกันสักห้าร้อยปีได้กระมัง ตั้งแต่ครั้งที่ข้าเข้าสู่ผนึก”

“ห้าร้อยปีอะไรกัน ข้ารู้ว่าท่านกับดีคลาทรี่แอบสร้างอาวุธเทพอันใหม่ขึ้นมาอีก สร้างขึ้นหลังการเกิดของเทพีเฟเรซิสสักสิบปีเห็นจะได้” หญิงสาวตาสีดำค้อนใส่ การ์อ้าปากค้างแทบไม่เชื่อหู ห้าร้อยปี ทั้งคู่ไม่ใช่คนปกติอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งสองทักทายกันด้วยหัวข้อที่พวกเขาไม่เข้าใจ เวเบอร์ได้รับคำสั่งให้นำศพนางทั้งสองมากองซ้อนกันไว้บนแท่นหินแล้วเผาแบบสดๆร้อนๆ การ์หันไปดูไบรอันขบกรามกรอดด้วยความโกรธ ไลล่าจ้องมองเจ้าปากมากด้วยแววตาที่ไม่อาจหยั่งวัด มีเพียงริเรียและมารีน่าที่มองเหตุการณ์เก่านี้อย่างใจเป็นกลาง

ไม่ทันไรกลุ่มก้อนอากาศสีขาวก็ปรากฏขึ้นใกล้ๆคนทั้งคู่ หญิงสาวอีกนางหนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มก้อนสีขาว ดวงตาสีดำขลับเปล่งประกายเจิดจ้าราวเปลวเพลิง ผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลังตัดกับเสื้อคลุมสีขาวปักลายทองเป็นรูปเปลวเพลิง การ์พลันนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เวเบอร์ล่าถอย ลูกธนูสามดอกและชายเสื้อคลุมปักดิ้นทองที่หายเข้าไปในกลุ่มเมฆหมอกสีดำ

“รอเสียนานกว่าจะปรากฏตัว” หญิงปริศนาคนที่สองพูดช้าๆทว่าน้ำเสียงทรงพลังดังพายุหมุน “นักโทษทั้งสองอยู่กันพร้อมหน้า ข้าจะได้เสร็จงานสักที” นางทำให้ชายปริศนาและเวเบอร์สะดุ้งโหยงอย่างไม่รู้ตัว การ์คิดว่าได้ยินไบรอันพูดเบาๆว่าผู้ร่วมอุดมการณ์ ก่อนจะเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัว

“อ้าว เราไม่ได้มาเจรจาต่อรองกันหรอกหรือ” หญิงผมสั้นร้องเบาๆเดาะพัดในมือเล่น “บอกว่าต้องการให้เป็นพยานจึงมาด้วย ข้ามีงานต้องทำเป็นกองสูงท่วมหัว ไม่มีเวลาดูพี่น้องทะเลาะกันหรอก”

“ถ้าท่านพี่จะสู้ก็ได้ขอรับ” ชายผมสีทองบอกให้เวเบอร์ลุกขึ้น “ท่านน่าจะรู้ดี หากอยู่ในดินแดนที่ไร้ผู้เคารพพลังของเทพองค์นั้นจะลดลงเหลือหนึ่งในสิบ เทียบกับร่างแยกของข้าในเวลานี้คงพอสูสี แถมข้ายังมีเวเบอร์อีกคนหนึ่ง”

ชายปริศนาพูดไม่ทันจบก้อนพลังสีแดงเลือดเป็นรูปทรงประหลาดพวยพุ่งจากร่างของสตรีผมยาว ห้วงอากาศบิดเบี้ยวอย่างฉับพลันจนเงาจากอนาคตอย่างเขาสัมผัสได้ การ์ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นรูปร่างของมันเป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีพวงหางใหญ่โต ชายหนุ่มในอดีตเร่งสร้างก้อนพลังสีขาวบริสุทธิ์หอบก้อนพลังสีแดงเลือดขึ้นไปท้องฟ้าแล้วระเบิดตัวเองอย่างรุนแรง เกิดเป็นแสงสว่างวาบจนการ์คิดว่าตาบอดเสียแล้ว เสียงระเบิดคำรามก้องดังกว่าเสียงพายุสายฟ้าของริเรีย ป่าไม้รอบด้านไหววูบด้วยแรงสั่นสะเทือน พอดวงตาปรับแสงได้เขาก็เห็นชายปริศนาเท้าสะเอวอย่างไม่สบอารมณ์ ผมสีทองมัดรวบส่ายไปมาไม่หยุดนิ่ง

“อย่าเปลี่ยนภูมิประเทศตามใจตนเองสิขอรับ กว่าข้าจะสร้างและตกแต่งให้เป็นแบบนี้ได้เสียเวลาอยู่นานโข” การ์ได้ยินคำว่าสร้างและตกแต่งก็คิดถึงการ์ลูส มันบอกว่านายของมันคือสหายของเทพรีอา หรือชายผู้นี้คือเจ้านายของการ์ลูส

“ผู้สร้างโลกที่ชื่อเรมิสต์นี้คือเทพมังกรองค์ที่ยี่สิบแปดต่างหาก ห่างจากยุคของเทพมังกรองค์สุดท้ายอยู่ร่วมสี่พันปี ข้าอ่านจากบันทึกของเจ้า” หญิงปริศนาพูดหน้าตายหลังจากปล่อยพลังมหาศาลเหมือนปีศาจออกมา

“บันทึกนั่นต่างหากที่เป็นสิทธิ์ของท่านเทพมังกรโดยตรง” ชายหนุ่มแหว “ข้าคือผู้ที่กอบกู้โลกนี้ เป็นผู้ที่จับความมืดมิดทั้งหมดบรรจุลงสู่ใจกลางดวงดาวแล้วผนึกเอาไว้ จากนั้นจึงหลอมรวมพลังของข้าและพลังเก่าแก่ในโลกใบนี้ไว้ด้วยกันเพื่อเป็นเอกเทพแห่งโลกนี้ เมื่อผู้คนเคารพศรัทธาเอกเทวะในดินแดนนี้ก็เท่ากับเคารพบูชาข้าด้วย ข้าจึงมีพลังอำนาจเต็มในขณะที่พลังของท่านลดลงเหลือแค่หนึ่งในสิบส่วน”

“ก็ได้ข้ายอมแพ้” หญิงจอมโหดยกมุมปากขึ้น การ์ไม่อยากเชื่อว่านางจะยอมแพ้ง่ายขนาดนี้ “ข้ายอมตามข้อตกลง ปลุกชีพนักสู้ของข้าขึ้นมาเลยสิ” นางเสมองกองไฟเผาศพที่กำลังเผาไหม้ร่างสตรีทั้งสอง

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องขอรับท่านพี่ เมื่อพวกเราสร้างชีวิตให้นักรบของท่านก็เท่ากับท่านมีผู้เคารพนับถืออยู่ในดินแดนนี้ พลังของท่านจะคืนมาดังเดิม” การ์พยายามคิดตามให้ทัน คนพวกนี้คือเทพเจ้าแน่นอน หญิงผมยาวมีพลังลดลงเพราะอยู่ในดินแดนที่เทพองค์อื่นปกครอง หากนางมีคนเคารพบูชาพลังทั้งมวลจะกลับมาอีกครั้ง “ระหว่างรอไฟมอดเรามาคุยกันดีกว่า ข้ารู้ว่าท่านพี่กับไวน์ก็สร้างโลกในต่างมิติด้วยเหมือนกัน ของท่านพี่เชื่อมต่อกับภูเขาไฟชำระบาปของเทพมังกร ส่วนของไวน์เชื่อมต่อกับมิติของสัตว์ปีศาจ”

“สร้างเผื่อไว้อย่างไรละ หากวันตัดสินเกิดเจ้าแพ้ข้าจะได้กระจายผู้คนจากอิเดนไปยังโลกต่างๆ ไม่ต้องมาแออัดอยู่ที่เดียว” หญิงผมยาววางอำนาจ แววตาคมกริบของพระนางไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่นิด แม้มีเงามืดสามร่างปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือซากกองทัพมังกรก็ยังไม่แสดงทีท่าตกใจ “เกลียดจริงเชียว พวกชอบสอดเวลาคนคุยกันแบบนี้”

“สาวกของจอมอสูรใช่ไหม เข้ามาคุยกันใกล้ๆสิ” ชายหนุ่มปริศนาตะโกนเรียกอย่างไม่มีท่าทีหวาดกลัว

เงาร่างหนึ่งในสามต้องการตอบรับคำขอของชายหนุ่มหรือไม่พวกการ์ไม่มีวันรู้ ร่างในผ้าคลุมขาดวิ่นขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงอึดใจเดียวร่างที่เหมือนมนุษย์กลายเป็นมังกรเกล็ดเงินขนาดยักษ์ ลำตัวอ้วนป้อมบดบังภูเขาด้านหลังได้ทั้งหมด หัวยาวยั้วเยี้ยจนคล้ายไฮดร้าเสียมากกว่า หัวหนึ่งในจำนวนหัวทั้งหมดยื่นมาคุยกับเงาแห่งอดีตทั้งสี่ การ์กลัวร่างของปีศาจตนนี้จับใจ ไม่ว่าขนาดที่ใหญ่โตจนกลืนภูผาได้ทั้งลูก หัวแต่ละหัวที่ดูทรงพลัง ลำคออ้วนป้อมยาวยืดได้ไกลมากกว่าที่มองเห็น

“พวกเราคือสาวกของจอมอสูร พวกท่านคือผู้มีพลังแบบเดียวกับจอมเทพรีอาแห่งดินแดนนี้ หากพวกท่านยอมกลับไปดินแดนของท่านข้ารับรองว่าจะไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น” มังกรยักษ์พูดด้วยน้ำเสียงต่ำทรงพลัง

การ์คิดว่าเหล่าเทพผู้เป็นเงาในอดีตจะเกรงกลัว กลายเป็นว่าเทพทั้งสามหัวเราะร่วนจนมิอาจหยุดยั้งราวกับคำขู่ของปีศาจยักษ์ตนนี้เป็นแค่เรื่องตลก แม้หญิงสาวสายตาคมกริบยังหัวเราะตามไปด้วย

“เป็นแค่ความมืดมิดชั่วร้ายมารวมตัวกันทำเป็นปากดี” เทพีผมยาวผู้ทรงอำนาจกลั้นหัวเราะ “แล้วเผยร่างจริงออกมาแบบนี้แสดงว่าต้องการสู้ไม่ใช่หรือ”

การ์จ้องมองสิ่งเรียวยาวพุ่งออกมาจากเสื้อคลุมเข้าสู่มือข้างซ้ายของนางแล้วกลายเป็นธนูสีดำสนิทเหมือนเหล็กกล้า สิ่งเรียวยาวอีกอันลอยผ่านชายเสื้อคลุมกลายเป็นลูกธนูในมือข้างขวา เทพีนางนี้คือผู้ที่ไล่เวเบอร์ในตอนนั้นจริงๆ ลูกศรสามดอกในตอนนั้นเหมือนกับลูกศรในมือของพระนางไม่มีผิด ดำขลับเรียวยาว ส่วนปลายเป็นสีแดงสดเหมือนเหล็กเผาไฟส่วนหางเป็นซี่เหล็กเล็กๆแปลกตา

รอบด้านเงียบกริบเมื่อพระนางง้างคันศรปล่อยลูกธนูออกจากแล่ง ทางที่ลูกดอกวิ่งผ่านกลายเป็นความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นหัวจำนวนกว่าครึ่งและลำตัวซีกซ้ายของมังกรยักษ์ ร่างใหญ่โตล้มลงกับพื้นเสียงดังราวพสุธาคลั่ง ศรลูกที่สองของพระนางทำให้ร่างที่คงเหลือหายไปพร้อมทุ่งหญ้าและซากศพของกองทัพมังกร การ์เปลี่ยนใจมากลัวเทพที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า ขนาดปีศาจร้ายยังถูกสังหารได้ด้วยศรแค่สองดอกแถมพระนางยังอยู่ในสภาพที่มีพลังแค่หนึ่งในสิบเสียด้วย

สาวกของจอมอสูรตนที่หนึ่งเพิ่งหายวับไปตนที่สองก็แสดงฤทธิ์เดชทันที ร่างในผ้าคลุมขยายตัวกลายเป็นความมืดมิดปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้ รอบข้างมีแต่ความมืดเหมือนกลางคืนเหลือแค่กองไฟเผาศพที่ให้แสงสว่าง การ์ได้ยินไบรอันอธิบายกับไลล่าว่าเป็นเวทมนตร์สร้างร่างจากความมืดแล้วขยายตัวปิดล้อมที่นี่เอาไว้ ระหว่างนั้นชายหนุ่มผมสีทองยกมุมปากขึ้นแล้วยื่นมือมาข้างหน้า ลมหมุนขนาดย่อมๆพัดพาความมืดมิดเข้ามาสู่มือของเขาราวกับมันมีตัวตน ความมืดค่อยๆหายไปปล่อยให้แสงแดดส่องแสงลงมายังพื้นที่นี้อีกครั้ง

“จริงๆเลยเชียว คนหนึ่งใช้อาวุธ อีกคนใช้มนตราดูดเวทมนตร์ เป็นพี่น้องกันจริงหรือเปล่า” หญิงผมสั้นร้องเบาๆเลิกคิ้วมองอีกเงาร่างที่เหลือ ตอนนี้มันเปลี่ยนร่างเป็นผีเสื้อยักษ์ปีกสีเหลืองสด ขนาดปีกทั้งสองข้างไม่ได้ด้อยไปกว่ามังกรยักษ์ตัวแรก “จะให้ข้าจัดการไหม ทีเดียวราบคาบ ไม่ต้องเปลืองแรง”

“ไม่ต้องไวน์” ชายหนุ่มยกมือห้าม การ์คิดว่าเทพทั้งสององค์นี้มีพลังครอบฟ้าคลุมดินทำไมพวกเขาไม่ไปจัดการจอมอสูรเสียเองให้สิ้นเรื่อง “กลับไปบอกนายหัวของเจ้าด้วย หากพวกเจ้าไม่มายุ่งเราก็จะไม่ออกหน้า เรื่องของดินแดนนี้เราจะปล่อยให้มนุษย์ที่เราเลือกเป็นคนจัดการเอง ขอรับรองด้วยเกียรติของเอริส จอมเทพสูงสุดแห่งอิเดน ทางนี้จะไม่เคลื่อนไหวเกินความจำเป็นเด็ดขาด”

ไม่ทันสิ้นเสียงผีเสื้อยักษ์ก็บินหายไปด้วยความเกรงกลัวต่อบารมีของเทพทั้งสาม ชายปริศนาที่เรียกตนว่าเอริสโคลงหัวอย่างเอือมระอา พลางบ่นว่าปีศาจดินแดนนี้ทำตัวล้าสมัยเหมือนที่โลกของเขาเมื่อแปดร้อยปีก่อน สมัยนี้น่าจะปรากฏตัวในร่างมนุษย์และสิ้นชีพในร่างมนุษย์เสียมากกว่า

“ตกลงจะทำสัญญาใช่ไหมขอรับท่านพี่” ชายผมทองผู้เป็นจอมเทพเอริสยิ้มให้สตรีผมยาว พระนางยินยอมตามคำขอพลางปล่อยให้ธนูและลูกดอกลอยกลับเข้าไปในชายเสื้อคลุม “มีอะไรจะถามไหมเวเบอร์ผู้เสมือนบุตรแห่งข้า เวลาใกล้มาถึงแล้วจะได้เริ่มสักที การ์เพิ่งสังเกตว่าเวเบอร์นิ่งเงียบทำตัวลีบตั้งแต่เทพทั้งสามปรากฏตัว

“ในหมู่สาวกของราชาปีศาจรีอัสมีปีศาจที่หลุดมาจากอิเดนขอรับ” เวเบอร์นอบน้อมเสียจนการ์อยากแคะขี้หูออกมาแล้วฟังซ้ำ “มีเสียงเล่าลือว่าคณะเดินทางของผู้กล้าคือร่างที่จอมเทพทั้งสามแห่งอิเดนจุติลงมา ท่านดีคลาทรี่ลงมาเกิดเป็นนักรบจันทรา องค์เอรีสลงมาเกิดเป็นผู้กล้าแสงตะวัน ส่วนท่านเทพีเฟรเซียนั้นลงมาเกิดเป็นสหายของพวกเขาทั้งสอง”

“น่าสนใจ บอกพัวร์รีนด้วยว่าให้รีบมาเก็บงานค้างที่ดินแดนนี้” ชายผมทองบอกอย่างเมตตา “หลังจากนี้เจ้าอยู่ในปกครองของข้าเพียงผู้เดียว คำสั่งของข้าคือทำหน้าที่สาวกของจอมปีศาจรีอัสให้ดีที่สุด เรื่องการดวลระหว่างเจ้ากับนักรบของท่านพี่เฟรเซียให้ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้ข้าจะฝากนางไว้กับคณะเดินทางของนักรบจันทราก็ตามที” การ์ ไบรอัน และริเรียหันไปมองไลล่าทันควัน นางเป็นผู้ที่เวเบอร์นำมาฝากเอาไว้พร้อมกับคำพูดแปลกๆ บางทีมารีน่าอาจต้องการให้พวกเขาเห็นการเกิดของนางก็ได้

“ท่านโรซาเลียที่สิบเจ็ด ผู้หยั่งรู้จากอิเดน” ชายผมทองหันมาทางมารีน่า การ์กับไบรอันหันมองตากันเลิกลั่กเพราะนางเป็นคนบอกเองว่านี่เป็นภาพในอดีต พวกเขาจะไม่ถูกพบโดยเงาในอดีตโดยเด็ดขาด “ยามกลางคืนของทางนั้นข้าจะไปพบที่วิหารแก้วผลึก กรุณาเตรียมตัวด้วย” มารีน่าก้มหัวให้อย่างอ่อนน้อม พลางย้ำอีกครั้งว่าที่เห็นตอนนี้คือภาพฝันในอดีตเท่านั้น

“เป็นถึงจอมเทพสูงสุดน่าจะมองเห็นทุกเหตุการณ์นี่” หญิงผมสั้นเคาะพัดกับบ่าเบาๆ นางเดินไปใกล้ๆแท่นเผาศพที่ตอนนี้ไฟกำลังลดความร้อนแรงลง เมื่อพระนางพ่นลมหายใจรดไฟก็ดับมอดเหลือเพียงซากเถ้าถ่านสีดำกองใหญ่เป็นรูปร่างของมนุษย์

“ข้าไม่ได้มีตารอบตัวอย่างเจ้าดีคลาทรี่สักหน่อยจะได้เห็นหลายๆอย่างพร้อมกัน ต้องการตรวจสอบบางสิ่งต่างหาก” ชายผมทองและหญิงผมยาวเดินมารวมกันข้างกองเถ้าถ่าน รวมถึงพวกเขาและเวเบอร์ด้วย “ดูให้ดีนักรบจันทราและผู้กล้าแสงตะวันลูกแห่งข้า นี่คือการให้กำเนิดนักรบหนึ่งเดียวที่สามารถต่อกรกับเวเบอร์ผู้ไร้พ่ายได้”

“อันดับแรกเลือดของสตรีเทพ ผู้ให้กำเนิดสู่ผู้ให้กำเนิด รวบรวมแก่นวิญญาณของหญิงสาวอีกครั้ง...สี่หยดนะไวน์” ชายผมทองเดินมาหยุดที่บริเวณหัวของซากศพ เทพีผมสั้นคลี่พัดออกมาตวัดใส่แขนส่วนที่ไม่ถูกเกราะบัง เลือดสีเขียวขุ่นเหมือนเลือดมังกรหยดลงบนส่วนที่เป็นมือซ้ายของซาก ทว่านางใช้มือป้องไม่ทันทำให้มีเลือดหยดลงบนซากศพมากกว่าสี่หยด ชายผมทองมุ่ยหน้าถอนหายใจเฮือก “ดีที่เป็นเลือดของเจ้า ความงามและเสน่ห์ของนางจะมากกว่ามนุษย์ปกติเพราะความพิเศษของเลือดเจ้านั่นละ อย่าแกล้งเผลอหยดเกินสี่หยดล่ะขอรับท่านพี่ มันไม่ไปหักลบกลบหนี้กันหรอกนะขอรับ”

“อันดับที่สองเลือดของเทพเจ้าของชีวิต ผู้ลิขิตชีวิตสู่ผู้ครอบครองชีวิต สร้างร่างใหม่แก่หญิงสาวผู้วายชนม์ รวมร่างทั้งสองเพื่อเป็นหนึ่งเดียว” หญิงสาวผมยาวยื่นมือเหนือตำแหน่งหัวใจแล้วกำมืออย่างรุนแรง เลือดสีแดงข้นเหมือนเลือดปีศาจหยดลงบนหน้าอกของซากเป็นจำนวนสี่หยด เมื่อพระนางแบมือการ์กลับไม่เห็นแผลเลยสักนิด

“อันดับที่สามเลือดของศัตรูคู่อาฆาต เป้าหมายแห่งชีวิตสู่ผู้เดินตามเป้าหมายแห่งชีวิต” เวเบอร์ใช้ดาบของตนกรีดท้องแขนทันที ให้เลือดของมนุษย์หยดลงมือข้างขวาของซากเป็นจำนวนสี่หยด

“สุดท้ายคือเลือดของข้า เลือดของผู้เป็นอมตะเหนือเทพและปีศาจทั้งมวล ชีวิตสู่ชีวิต ร่างกายสู่ร่างกาย เพื่อการกำเนิดใหม่อีกครั้ง” คราวนี้ชายผมทองสร้างกริชน้ำแข็งขึ้นในมือขวาแล้วบรรจงกดลากส่วนคมของกริชลงบนแขนซ้าย เลือดสีทองอร่ามไหลตามใบมีดสู่ส่วนหน้าผากของซากศพเป็นจำนวนเจ็ดหยด

เมื่อการมอบเลือดเสร็จสิ้นซากศพก็ลุกติดไฟอีกครั้งแล้วมอดดับ จากสองซากศพกลายเป็นก้อนถ่านหินสีดำสนิท การ์เหลือบมองไบรอันและไลล่าจับมือกันขณะที่เปลือกนอกหลุดร่วงเหมือนเปลือกไข่ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามดุจเทพธิดาและเรือนผมสีเขียวเหยียดตรง เวเบอร์ถอดเสื้อคลุมมาคลุมส่วนลำตัวให้ก่อนเปลือกส่วนนั้นจะหลุดร่วง พวกเขาจ้องมองร่างบนแท่นหินเป็นตาเดียว สตรีผู้กำเนิดขึ้นใหม่คือไลล่าที่เวเบอร์นำมาฝากเอาไว้ นางไม่ใช่สายจริงๆ แถมยังถือกำเนิดจากร่างของเพื่อนสองคนของพวกเขาอีก

เงาในอดีตของไลล่า แลนเซลท์ค่อยๆยันตัวลุกนั่งด้วยความง่วงงุน มือทั้งสองข้างจับอาภรณ์ชิ้นเดียวให้ปกปิดทรวงอก สายตาสอดส่ายไปรอบด้าน ริมฝีปากที่งดงามเผยอแต่ไม่มีเสียงออกมา นางดูเหมือนเด็กแรกเกิดเสียมากกว่าหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับพวกเขา ชายผมทองผู้เป็นจอมเทพสูงสุดบอกให้เทพีผมสั้นช่วยพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยชุดที่เวเบอร์เตรียมมาให้

“หากหยดที่เกินมาเป็นเลือดของท่านพี่นางคงโหดร้ายและแข็งแกร่งเยี่ยงชายชาตรี แย่กว่าใช้เลือดของเจ้าดีคลาทรี่สักนิดหนึ่งกระมัง” ชายผมทองยื่นมือออกไปในอากาศ แสงสว่างวูบวาบรวมตัวกันขึ้นเป็นดาบธรรมดาๆ ใบดาบสีเงินคมกริบส่วนด้ามและที่กันมือถูกหล่อแบบออกมาให้เป็นรูปปีกนก การ์ได้ยินไบรอันอุทานดังลั่นเมื่อเห็นดาบเล่มนั้น “นี่คือดาบเทพวิหคอาวุธเทพชิ้นใหม่ล่าสุด ตีด้วยหินจากถ้ำในตำนานทั้งห้าและผมของข้าจึงใช้พลังได้เจ็ดขั้นเจ็ดรูปแบบ ข้าวานเจ้าทดสอบให้ได้หรือไม่เวเบอร์”

“บังเอิญเสียจริง” เทพีผมยาวหัวเราะในลำคอ การ์รู้สึกถึงความน่ากลัวของนางมากกว่าชายผมทองอีก มีบางสิ่งปกคลุมด้วยขนยาวสลวยลอดผ่านชายเสื้อคลุมออกมาอีก คราวนี้มันเปลี่ยนรูปเป็นดาบธรรมดาเช่นกัน “ข้าก็คิดจะให้ยืมซีซาร์และดาบพญาจิ้งจอกของข้าเหมือนกัน กี่พันปีมาแล้วที่ดาบเล่มนี้ทำให้เจ้ากลัวจนตัวสั่น ผ้าแพรเหล็กกล้า ขวานผ่าวารี ขลุ่ยเทพวายุ พิณเทพพิรุณ เคียวแห่งเอริส ดาบแห่งเฟรเซีย ดาบคู่แห่งดีแครล์ พัดแห่งวินไดร์ กระบองพสุธา ดาบจอมกษัตริย์ ดาบจันทรา รวมถึงดาบเทพวิหคนั่นก็ถูกสร้างขึ้นเพราะความเกรงกลัวต่อดาบเล่มนี้ หากเจ้าเทพปีศาจรู้ว่าเจ้ากลัวดาบเล่มเล็กๆนี่จนสร้างอาวุธเทพขึ้นมานับชิ้นไม่ถ้วนคงหัวร่องอหาย”

“ใช่แล้วเวเบอร์ดาบในตำนานเล่มนั่นละ ดาบเล่มเดียวที่สามารถสยบตัวตนอีกด้านของข้าได้ เป็นอาวุธชิ้นเดียวที่ข้ากริ่งเกรงนับตั้งแต่รัชสมัยของเทพมังกรองค์สุดท้าย จนกระทั่งบัดนี้ข้าขึ้นครองตำแหน่งจอมเทพสูงสุดแทนราชวงศ์เทพมังกรก็ยังอดหวั่นเกรงไม่ได้ อย่าประมาทจนซ้ำรอยข้าก็ใช้ได้” ชายผมทองพูดอย่างไม่ปิดบัง การ์ได้ยินชื่อดาบจันทราด้วย ดาบจันทราของเขาเป็นหนึ่งในอาวุธที่จอมเทพผู้นี้สร้างเหมือนกันหรือ

“ตอนนี้ผ้าแพรเหล็กกล้าอยู่กับจอมอสูรแห่งดินแดนนี้ ขวานผ่าวารีและพิณเทพพิรุณมนุษย์ธรรมดาใช้ไม่ได้ กระบองพสุธาถูกเจ้าดีคลาที่หนึ่งในสี่จอมเทพยึดไปแล้ว ขลุ่ยเทพวายุอยู่กับผู้กล้าแสงตะวัน ดาบจันทราข้าให้นักรบจันทราเป็นคนทดลองใช้ เคียว ดาบ ดาบคู่แล้วก็พัดอยู่ที่ดินแดนของไวน์ เหลือแค่ดาบจอมกษัตริย์ที่วนเวียนอยู่ในดินแดนแห่งนี้ หากมีโอกาสจงหามาใช้คู่กับดาบเทพวิหค ดาบทั้งคู่เป็นดาบต้นแบบของกันและกัน ให้พลังทำลายล้างเกือบเท่าเทียมกันในการทดลองใช้”

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 55 21:02:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com