Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โนอาห์ 63 (3/3) จบ ติดต่อทีมงาน

การตั้งและถกเถียงเกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆยังดำเนินต่อไปพร้อมกับฝีมือในการคั้นน้ำผลไม้ของโรส อย่างน้อยสองพี่น้องก็มีอะไรดื่มแก้คอแห้งเวลาคุยกันเพื่อหาข้อสรุปที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด เครื่องยนต์และสมองกลยังทำงานได้ดีจนกระทั่งเดินทางมาถึงชายทะเล พวกเขาจะต้องข้ามทะเลไปเมืองโซราห์ที่อยู่บนทวีปเล็กๆคั่นกลางสองทวีปใหญ่ โรสเล่าให้ฟังว่าเมืองนี้มีเรื่องเล่ามากที่สุดและเป็นเมืองที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดเช่นกัน

“พลังงานจะพอไหม” พี่ชายนิ่วหน้าเพราะเข็มบอกปริมาณเชื้อเพลิงเหลือแค่ไม่ถึงครึ่ง หากไม่มีก้อนแร่อัลคาไรซ์ที่ให้ความร้อนสูงปริมาณมากก็อาจจมทะเลก่อนถึงฝั่ง “ถ้าไม่ใช้ระบบลอยตัวก็คงถึงแบบเฉียดฉิว ถ้าระยะทางพอดีกับมาตราส่วนนะ”

“ไปบอกชาวเลแถบนี้แล้ว แต่คงปันมาได้ไม่มากนักหรอก” หญิงสาวทำให้นพรัตน์ใจชื้นขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็ความหวังว่าจะออกเดินทางต่อได้ภายในวันนี้

“จะลองเสี่ยงดูไหมพี่นพ ตอนนี้เลย” ณัฐกานต์เพิ่งตรวจระบบเสร็จก็เดินยิ้มแฉ่งมาหาพี่ชาย พร้อมกับเรียกให้ดูทะเลเบื้องหลัง

เหตุการณ์ที่น้องชายเรียกให้ดูทำให้ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ ทะเลยามบ่ายดูสงบผิดสังเกตไม่มีลมหรือนกน้ำตัวใดปรากฏขึ้น แม้แต่เสียงคลื่นกระทบฝั่งก็ถูกกลืนเข้ากับความเงียบไปด้วย ผิวน้ำทะเลที่ราบเรียบถูกแหวกขึ้นอย่างช้าๆเหมือนมีรถไถคันโตวิ่งผ่าน ผืนน้ำกว้างใหญ่ค่อยๆยุบตัวเป็นทางจนมองเห็นพื้นดินใต้ผิวน้ำได้ นพรัตน์เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับชายที่สามารถแยกน้ำทะเลได้ แต่เพิ่งมาเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าทะเลแยกมันเป็นเช่นไร ช่องที่ถูกแหวกออกค่อยๆทอดยาวไกลออกไปสุดสายตา กำแพงน้ำสองฝั่งค่อยๆสูงขึ้นตามความลาดชันของพื้นใต้ทะเล แม้แต่พื้นก็ยังมีแค่ทราย มองไม่เห็นหินหรือปะการังใต้ทะเล พี่ชายตบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อทดสอบว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า

“ไม่เคยเลย มันไม่เคยเกิดอะไรอย่างนี้ขึ้น ท่านเทพคงต้องการให้พวกท่านไปให้เร็วที่สุดกระมัง” หญิงสาวรีบไปเรียกชาวบ้านที่อ้าปากค้างเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าให้ขนหินแร่ต่อเร็วๆ เมื่อสองพี่น้องได้สติก็รีบไปช่วยขนจะได้ออกเดินทางให้เร็วที่สุดก่อนกระโดดขึ้นรถ

รถบรรทุกที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นแทบไม่ต้องใช้ระบบลอยตัวเพราะพื้นทรายจับตัวกันแน่นเหมือนพื้นดินแข็งๆ ณัฐกานต์อาสาขับรถให้แทนเพื่อการตัดสินใจอันรวดเร็ว ฝ่ายพี่ชายเห็นว่าถนนกลางทะเลส่วนมากเป็นทางตรงจึงยอมให้ขับได้ โรสอยากกลับไปลองทำน้ำแครอทแต่ถูกบังคับให้ไปนั่งบนเบาะรถดีๆเพื่อใส่เข็มขัดนิรภัย

“ถ้าไม่รีบอย่าหวังว่าแกจะได้ขับเลย” นพรัตน์ขู่ในลำคอ

“กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้ซิ่งแบบนี้” น้องชายถอนใจรอพี่ชายและเพื่อนสาวเตรียมตัวอย่างไม่รีบเร่ง เมื่อเห็นทั้งคู่ใส่แผ่นนวมอ่อนที่เป็นอุปกรณ์ป้องกันเสร็จก็เหยียบคันเร่ง รถสมองกลขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วราวติดปีก

“ข้าเพิ่งรู้ สิ่งที่เรียกว่ารถนี่มันบินได้” โรสเป็นอีกคนที่สนุกสุดเหวี่ยงกับความเร็วราวเครื่องบินรบ หญิงสาวและน้องชายโห่ร้องอย่างเมามันในความเร็ว ส่วนนพรัตน์หูชาอื้อตั้งแต่ตอนออกตัว แม้ไม่มีลมปะทะแต่การเลี้ยวแต่ละครั้งรู้สึกเหมือนกับเนื้อหนังจะหลุดออกมาจากร่าง เขาไม่รู้ว่าอาของพวกเขาทำได้อย่างไร แต่รถคันนี้สามารถแล่นได้ด้วยความเร็วสูงเหมือนติดจรวดจนดูขัดกับรูปทรงที่ใหญ่โต



รถบรรทุกจากโลกอื่นวิ่งผ่ากลางทะเลเหมือนม้าที่ห้อทะยานไปตามทางด่าน เพียงแต่ม้าตัวนี้ตัวใหญ่ ส่งเสียงคำรามกึกก้อง และมีความเร็วไม่ต่างกับรถแข่งในสนาม นพรัตน์ท่องนะโมครบรอบที่ห้าสิบเมื่อรถแหกโค้งพุ่งเข้าไปในกำแพงน้ำทะเลแล้วทะลุออกไปยังถนนเส้นเดียวที่พวกเขามีได้ในพริบตา โรสตบมือกู่ร้องลั่น แต่พี่ชายเปลี่ยนไปท่องบทสวดอื่นแทน อย่างน้อยเขาจะได้ตายทั้งที่สวดมนตร์อยู่ เขาคิดถึงการไปวัดครั้งล่าสุดเมื่อหลายเดือนก่อน นั่นอาจเป็นการไปวัดครั้งสุดท้ายก็ได้

“นัท ถ้าพี่ตายไปอย่าลืมเครื่องเซ่นนะ พี่ชอบแกงหมูฟักทอง ถั่วงอกทรงเครื่อง บัวลอยไข่หวาน แล้วก็ทุเรียนด้วย อย่าลืมนะ” พี่ชายร้องด้วยความกลัว รถสั่นเขย่าเหมือนเป็นบ้า ด้วยความเร็วระดับนี้เขาแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงเครื่องยนต์

“ไม่ได้ยิน!” น้องชายตะโกนตอบอย่างหน้าชื่นตาบานมองแผนที่นำร่องสลับกับทางข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เท้าเหยียบคันเร่งมิด มือหนึ่งจับพวงมาลัย ส่วนอีกมือวางไว้ที่แผงสั่งการเครื่องยนต์ “ผมกินความเร็วเป็นอาหารขับช้าไม่เป็นหรอก” คนขับหัวเราะลั่นกดปุ่มให้เครื่องยนต์ตัวอื่นทำงานแทนตัวที่ร้อนจัดเพื่อความเร็วจะได้ไม่ตก

“เร็วอีกๆ” โรสร้องด้วยความสนุก ในขณะที่นพรัตน์รู้สึกเหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่างเต็มทีแล้ว

นพรัตน์อยู่ในนรกความเร็วสูงกว่าสองชั่วโมง แขนขาแทบไม่มีแรงเหลือด้วยความล้าจากแรงสั่นสะเทือน หัวใจที่เกือบหยุดเต้นเริ่มลิงโลดเมื่อเห็นเงาสีเขียวอยู่ลิบๆที่ผิวน้ำไกลออกไป ถึงไม่ใช่จุดหมายแต่คงให้น้องชายหยุดรถเปลี่ยนคนขับได้ อย่างน้อยเขาก็อยากกุมความตายของตัวเองด้วยมือของตัวเองมากกว่า

“เอาไว้เปลี่ยนตอนถึงฝั่ง!!” น้องชายตอบอย่างเร่งร้อน

มาถึงตอนนี้นพรัตน์จึงเพิ่งสังเกตว่าถนนทรายเบื้องหน้ามีน้ำนองอยู่และค่อยๆสูงขึ้นทีละน้อยๆ ราวกับสิ่งที่พยุงกำแพงน้ำค่อยๆหมดแรงลงปล่อยให้ถนนถูกปิดโดยน้ำทะเลจำนวนมหาศาลอีกครั้ง แค่ความชื้นและน้ำนิดหน่อยไม่ส่งผลกับเครื่องยนต์มากนัก แต่หากท่วมมิดทั้งคันคงแล่นต่อไม่ได้ง่ายๆแน่

“ใช้ระบบลอยตัว!” พี่ชายร้องอย่างบ้าคลั่ง ถ้าจะตายอย่างน้อยเขาก็อยากตายในที่ๆอุ่นและแห้งกว่านี้

“ไม่ทำงาน น้ำทะเลคงทำให้ระบบลอยตัวรวน” ณัฐกานต์ขบฟันกรอด “ลืมตรวจระบบป้องกันน้ำไปเลย” น้องชายพูดด้วยเสียงกระซิบแล้วกลับไปจดจ่อกับคันเร่งและแผงควบคุมต่อ ปล่อยให้พี่ชายหน้าซีดด้วยความตระหนก

รถคันโตแล่นช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะน้ำทะเลท่วมขึ้นมาเกือบถึงครึ่งล้อ นพรัตน์ภาวนาให้ถึงฝั่งก่อนระดับน้ำขึ้นจนท่วมห้องเครื่องด้านหลัง เขาและโรสใจหายวาบที่อยู่ๆระดับน้ำก็สูงขึ้นจนถึงกระจกข้าง น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามาในตัวรถแล้วอีกไม่กี่วินาทีน้ำก็จะเข้าไปยังห้องเครื่องที่แทบไม่มีสิ่งป้องกันเลย

“เปิดประตูนัท เดี๋ยวพี่จะเข้าไปหาอะไรอุดห้องเครื่องไว้เอง” นพรัตน์ที่เกือบรวบรวมความเยือกเย็นไม่ได้พูดขึ้น แต่น้องชายกลับดับเครื่องทันที “แค่กดปลดล๊อคตรงนี้ก็พอแล้ว” เขาโวยวายชี้ไปยังส่วนกลางของเบาะหลัง ตรงจุดนั้นสามารถเปิดเข้าไปยังส่วนหลังได้

“ไม่ทันหรอก” ณัฐกานต์ยิ้มอย่างมั่นใจ “อย่าพูดนะเดี๋ยวจะกัดลิ้น”

ในชั่วพริบตาที่นพรัตน์จะท้วงขึ้นเครื่องยนต์ด้านหลังก็ดังกระหึ่มขึ้นมาเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้าย รถขนาดใหญ่พุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงมหาศาลราวกับไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว มันพุ่งผ่าทะเลไปยังเกาะเบื้องหน้าเป็นเส้นตรงเหมือนกับกระสุนปืน เพียงพรวดเดียวก็ไปจอดหมดแรงอยู่หน้าหาดทรายขาวสะอาด ส่วนท้ายรถเปิดช่องระบายอากาศให้ควันพวยพุ่งออกมาจากเครื่องยนต์ที่ถูกใช้งานเยี่ยงทาส น้ำทะเลค่อยๆไหลออกจากช่องว่างต่างๆเหมือนกับความกดดันของทั้งสามจนอดถอนหายใจไม่ได้

“อย่างเพิ่งหมดแรง” ณัฐกานต์ลงจากรถน้ำทะเลอยู่สูงเลยเข่าเล็กน้อยแต่ไม่สูงพอจะไหลไปถึงห้องเครื่อง โชคดีที่เครื่องทั้งหกชุดหมดแรงตรงน้ำตื้น “มาช่วยกันเข็นก่อน”

“ใช้เครื่องยนต์สำรองลาเวนเดอร์ แค่สามคนไม่มีทางเข็นรถคันนี้ได้หรอก” นพรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ไอ้การเร่งเครื่องครั้งเดียวเพื่ออาศัยแรงเฉื่อยออกจากเขตน้ำลึกยังพอว่า แต่เล่นให้เข็นรถบรรทุกหนักเป็นตันแบบนี้เขาไม่ยอมเล่นด้วยเด็ดขาด

รถสมองกลที่น่าจะสิ้นแรงแล้วค่อยๆเขยื้อนด้วยเครื่องกลสำรองอันท้ายที่สุด เป็นชุดเครื่องยนต์ที่พี่ชายไม่ยอมบอกน้องว่ามันถูกนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ณัฐกานต์ยืนเท้าสะเอวมองพี่ชายที่แอบซ่อนของเล่นไว้อย่างมิดชิด หากเขารู้ว่ายังมีเครื่องยนต์สำรองอยู่คงเอามาใช้พร้อมกันแล้ว

“จะมีอะไหล่สำรองไหมนะ คงไม่ต้องซ่อมยกชุดถ้าไม่ให้เครื่องทั้งหมดทำงานพร้อมกันแบบนี้” นพรัตน์มองผลงานของน้องชาย ท้ายรถมีควันพวยพุ่งขึ้นมาเหมือนมีใครเผาขยะสดอยู่อย่างนั้น

“เอาน่า อย่างน้อยก็ถึงโซราห์แล้ว ดีไหมโรส” ณัฐกานต์ทำตาเหมือนเด็กหันไปคุยกับโรสอย่างทองไม่รู้ร้อน



ด้วยการซ่อมรถแบบงูๆปลาๆของสองพี่น้อง รถสมองกลก็กลับมาแล่นได้ด้วยเครื่องยนต์หลักอีกครั้ง คราวนี้นพรัตน์มั่นใจเต็มร้อยว่าน้องชายจะขับเร็วอีกไม่ได้เพราะเครื่องยนต์รองเสียหายกว่าครึ่ง จำเป็นต้องกลับไปซ่อมที่โลกของพวกเขาเพื่อให้ใช้การได้ดังเดิม ทั้งสามใช้เวลาตลอดเย็นเพื่อเก็บของในส่วนหลัง หนังสือและอุปกรณ์ส่วนหนึ่งเปียกน้ำและชื้นแฉะ โชคดีที่เครื่องมือราคาแพงหฤโหดไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำหรือการเร่งความเร็วแบบฉับพลันของณัฐกานต์

“เดินทางต่อเรื่องเล็ก แต่ตอนนี้เรื่องสำคัญคือระบบ ต้องขอเวลาตรวจระบบก่อนว่ามีส่วนขัดข้องหรือเปล่า น้ำทะเลไม่ได้เป็นมิตรกับเครื่องไฟฟ้ามากนักหรอก” นพรัตน์ง่วนอยู่กับการตรวจระบบผ่านสมองกลจนน้ำมะนาวปั่นละลายเกือบหมดแก้ว

“เอาไว้ไปตรวจที่นัดกับมูเลอร์ได้ไหม ผู้ที่ออกค้นหาข้อมูลคู่กับข้าอย่างไรละ” โรสปรายหางตาไปยังแก้วน้ำมะนาวปั่นที่ทำมาให้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ในแก้วยังมีน้ำมะนาวอยู่เต็มแต่ส่วนที่เป็นน้ำแข็งเหลือแค่ตรงส่วนผิวน้ำบางๆ แสดงว่ายังไม่ถูกดื่มแม้แต่น้อย “เรานัดกันไว้ที่ต้นสนใหญ่ชายฝั่งตะวันออกของทวีป ที่นั่น” โรสเอี้ยวคอมองต้นสนใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวทวีป ยอดสีเขียวโผล่พ้นดงไม้ลึกจนเป็นจุดสังเกตเห็นได้ในระยะไกล

“ไปขอยืมวิทยุคลื่นสั้นกับเจ้านัท คงไม่มีสัตว์ร้ายหรือปิศาจอสุรกายออกมาหรอก” นพรัตน์พูดลอยๆแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

เมื่อหญิงสาวเรียนรู้การใช้งานวิทยุสื่อสารแล้วก็ปลีกตัวไปยังจุดนัดพบโดยทันที ความจริงณัฐกานต์อยากตามไปด้วยความเป็นห่วงแต่งานตรวจเครื่องใช้ส่วนหลังเป็นงานด่วนกว่าจึงทิ้งไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ให้โรสยืมวิทยุไปแล้วหากมีเรื่องด่วนคงติดต่อมาตามวิธีที่สอนให้

“พี่นพคิดยังไงกับโรสหรือ” ณัฐกานต์ถามขึ้น

“ร่าเริง เป็นกันเองดี” นพรัตน์ตอบโดยไม่เงยหน้าจากงานซ่อมแซม อยู่ไม่อยู่เจ้าน้องชายถามขึ้นแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ และแล้วเขาก็คิดถึงตอนเจนจิรา “อย่าบอกนะว่าแกชอบโรสน่ะ” คำถามธรรมดาของพี่ชายเสียบโดนใจดำของน้องชายเต็มเหนี่ยว

“ก็ไม่เห็นเสียหายนี่ครับพี่ ขยัน ร่าเริง ต่อให้ว่างงานก็หาอะไรทำได้เรื่อยๆไม่มีหยุด” ณัฐกานต์หน้าแดงขึ้นทันควัน พลางขยับแว่นตาให้เข้าที่เข้าทาง “แต่ผมยังไม่ลืมเจนจิราหรอกครับพี่นพ” น้องชายทอดถอนหายใจยาวเหยียด

“เรื่องอะไรลืมได้ก็ลืมเสียเถิด” พี่ชายเตือน “เขาไปดีแล้วก็ปล่อยเขาไป แต่ละคนย่อมมีเส้นทางเดินไม่เหมือนกัน”

“บางทีสิ่งที่คิดอาจไม่ใช่ความจริงก็ได้นะพี่นพ” ณัฐกานต์แทรก

“ไม่ต้องแก้ตัวให้ยัยนั่นเลยนะ เขาทิ้งเราสองคนไปหาคนอื่นนั่นคือความจริง พี่สาบานกับรูปของพ่อแล้ว คราวนี้พี่จะไม่แต่งงานจนกว่าเราจะเป็นฝั่งเป็นฝาและเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ เรียนปริญญาโทแล้วยังอ่านการ์ตูนเป็นเด็กๆไปได้”

“ไม่เกี่ยวกันเลยนะพี่” น้องชายหัวเราะร่วน บ่นว่าการ์ตูนไม่ได้ฆ่าใครตายสักหน่อย แล้วทั้งคู่ก็ถกกันถึงเรื่องที่เป็นปัญหาคาใจจนถึงบัดนี้ ใครกันที่พยายามชี้นำพวกเขามาสู่โซราห์

“พี่ยังไม่ยอมทิ้งทฤษฎีพลังงานของพี่หรอก แต่มีบางอย่างกำลังเรียกพวกเรา ไม่รู้เหตุผลแต่รู้สึกอย่างกับมีคนกำลังพยายามควบคุมพวกเราอยู่ ตั้งแต่แรกจนถึงที่นี่ แม้แต่ทะเลยังแยกให้รถวิ่งผ่านได้”

“ได้ยินหรือเปล่า นี่โรสกำลังพูดอยู่” เสียงหญิงสาวดังจากวิทยุคลื่นสั่น ณัฐกานต์รีบหยิบขึ้นมาจ่อปากทันที

“นี่นัทกำลังพูดอยู่ มีปัญหาอะไรหรือ”

“ทางนี้เจอถ้ำในตำนานที่ว่าผู้สร้างนอนทอดกายอยู่ ใกล้ต้นสนใหญ่นิดเดียวเดินมาก็ได้”

“ตกลงเราจะไปที่นั่น อย่าเพิ่งรีบเข้าไปก่อนเราไปถึง” ณัฐกานต์พยักหน้ากับพี่ชาย

คนน้องรีบวิ่งขึ้นไปค้นไฟฉายจากห้องเก็บของมาสองอัน ทั้งคู่ฝากรถให้อยู่ในการดูแลของสมองกลก่อนค่อยเดินเคียงไปหาโรสที่รออยู่หน้าถ้ำในตำนาน นพรัตน์พยายามเดาว่ามีอะไรอยู่ในถ้ำนั้น และเหตุใดมันจึงสำคัญขนาดต้องเรียกพวกเขาให้ดู

“ไม่เจอเพื่อนแต่เจอถ้ำนี่แทน” ทั้งสามมารวมตัวอยู่หน้าหน้าผาตัดสูงลิ่ว มองอย่างไรก็ไม่เห็นว่ามีถ้ำซ่อนอยู่เลยสักแห่ง

“รู้ได้อย่างไรว่าเป็นถ้ำ ดีที่พกดินระเบิดมาด้วย” ณัฐกานต์ชูห่อดินปืนให้ดู เป็นของติดตัวของพนรัตน์เวลาต้องการระเบิดเพื่อตรวจสอบภูเขาหรือชั้นดินต่างๆ

นพรัตน์ส่ายหน้าแล้วเดินไปปัดฝุ่นออกจากหน้าผาตอนหนึ่ง ปิดท้ายด้วยการเคาะมือกับผนังหน้าผา เสียงที่ออกมาเหมือนกับกำลังเคาะโลหะอยู่ฉะนั้น โรสก็รีบพูดแก้ตัวว่าเห็นอยู่แล้วว่าเป็นทางเข้าถ้ำจึงชวนมาดูด้วย โดยไม่รอฟังหญิงสาวอธิบายให้มากความก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ราวกับพื้นดินถูกมือยักษ์จับเขย่าอย่างรุนแรงจนดินบนแผ่นเหล็กหลุดร่อนให้เห็นกำแพงเหล็กอย่างชัดเจน แน่นอนว่าทั้งสามพบกับที่กรอกรหัสผ่านอีกครั้ง

“ขอลองก่อนนะพี่” ณัฐกานต์เดินไปยังแป้นตัวอักษร คราวนี้อยู่ดีๆผนังก็ยกตัวขึ้นราวเชื้อเชิญพวกเขาทั้งสามให้เข้าไปข้างใน “ทฤษฎีไกอา” น้องชายพูดลอยๆอย่างไม่มีความหมาย

ท่ามกลางความงุนงงณัฐกานต์รีบเดินเข้าไปด้านในก่อน ไฟฉายใช้การได้ดีในความมืดของถ้ำ เส้นทางเดินยาวเหยียดพาทุกคนออกสู่ห้องโถงกว้าง กลางห้องมีเครื่องอะไรสักอย่างตั้งอยู่ เครื่องจักรสีเงินมัวและสายระโยงระยางทำให้น้องชายนิ่งเพื่อใช้ความคิด ในขณะที่พี่ชายกับเพื่อนหญิงเดินไปตรวจสอบด้วยตัวเอง

“มันไม่เคยเปิดเลย ข้าก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่ามันจะเป็นถ้ำเดียวกับที่ตำนานพูดถึง” โรสกล่าว

“ในตำนานว่าอย่างไรหรือ”

“เทพแห่งดวงตะวันพลีกายสังเวยแผ่นดิน เพื่อให้ทุกชีวิตดำรงอยู่ได้”

“ถ้าคนที่อยู่ในแคปซูลนั่นคือพ่อ แสดงว่ามันเป็นไปตามทฤษฎีไกอาจริง” น้องชายเดินมาเคาะแคปซูลบรรจุอะไรสักอย่างซึ่งเป็นกึ่งกลางของเครื่องจักร กระจกแคปซูลฝ้ามัวจนมองไม่เห็นข้างใน

“หมายความว่าอย่างไรนัท พ่อเรามาเกี่ยวอะไรด้วย แล้วทฤษฎีไกอาอีก”

“ไกอาคือทฤษฎีว่าด้วยโลกทั้งใบคือสิ่งมีชีวิต ถ้าดาวดวงนี้มีชีวิตและพยายามสื่อสารกับเราเรื่องทั้งหมดก็ลงตัว” ณัฐกานต์ตั้งหน้าหาปุ่มเปิดแคปซูล พี่ชายจ้องน้องชายจนตาค้าง พยายามคิดให้ทันน้องชายคนนี้ให้ได้ “จะด้วยอะไรไม่รู้ แต่นัทเชื่อว่าพ่อคือผู้ครอบครองดาวดวงนี้ และกำลังรอพวกเรามาสานต่อเจตนารมณ์แต่ดั้งเดิม”

“อธิบายหน่อยนัท แกเข้าใจอยู่คนเดียวนะแบบนี้ แถมเวลาตั้งห้าร้อยปี”

“โลกนี้เอื้อความสะดวกให้กับพวกเราจนผิดปกติ แม้แต่ทะเลยังแยกให้รถวิ่งผ่านได้ เมื่อเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดจะหมายความว่า โลกนี้ต้องการให้พวกเรามาที่นี่ และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อของเรา เพราะเป็นหนึ่งเดียวกับโลกจึงสามารถทำได้ทุกอย่าง ถ่ายความคิดสู่อากาศเพื่อทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปอย่างการพลิกหนังสือหรือเขียนประโยคสั้นๆ แล้วคนที่สามารถแทรกแซงระบบสมองกลของรถได้มีเพียงคุณอาที่สร้างกับพ่อของเราเท่านั้น ที่พี่นพเห็นไม่ใช่วิญญาณแต่เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่รวมตัวเป็นรูปร่างขึ้น”

“แล้วแกจะอธิบายเรื่องวิกลวิกาลในโลกใบนี้ว่าอย่างไรล่ะ”

“ไม่รู้” ในที่สุดน้องชายผู้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก็หาปุ่มเปิดเจอ

ฝาแคปซูลเผยอเปิดขึ้นปล่อยกลิ่นอับตลบอบอวลทั่วห้องโถง ภายในมีมัมมี่แห้งกรังถูกต่อสายตรึงแขนขาเข้ากับเครื่องจักรขนาดใหญ่ ณัฐกานต์ปัดฝุ่นบนเสื้อกาวน์ของมัมมี่เพื่อหาอะไรสักอย่าง พนรัตน์ก็พลอยฟ้าพลอยฝนลงไปช่วยน้องชายค้นหาภายในแคปซูลเช่นกัน

“ดูนี่สิพี่นพ ชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อ” ตัวอักษรภาษาอังกฤษเก่าคร่าเพราะปักไว้นานกว่าห้าร้อยปี แต่สามารถอ่านได้ว่า วัลลพ วงศ์แสวงโชค เสื้อกาวน์เก่าโทรมนั่นคือเสื้อของพ่อเขา หากแต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามัมมี่นั่นคือพ่อของเขาจริงหรือไม่ “เจอเครื่องบันทึกภาพและเสียงด้วย ไม่รู้ว่าจะยังเปิดได้ไหม”

“เมื่อห้าร้อยปีก่อนจะมีของแบบนั้นได้หรือไงนัท เราเอาไปวางเองก็บอก”

“เมื่อห้าร้อยปีก่อนก็ไม่มีเสื้อกาวน์ปักชื่อของพ่อเราเหมือนกันล่ะน่าพี่นพ” ณัฐกานต์ปัดฝุ่นเครื่องใช้แล้วทดลองเปิด “แบตเตอรี่พังไปแล้ว จะลองใช้แบตเตอรี่ของไฟฉายเสียบแทนไปก่อน” น้องชายปิดฝาด้านหลังแล้วยิ้มร่า ระบบของเครื่องกลับมาทำงานบางส่วน เสียดายที่ส่วนภาพที่บันทึกเอาไว้กู้คืนไม่ได้ผิดกับส่วนเสียงที่ยังพอฟังได้อยู่

“วันนี้วันที่สิบ วัลลพกับรูเน่สร้างเครื่องปรับสภาพดวงดาวเสร็จ” เสียงจากบันทึกแตกไปบ้างเนื่องจากผ่านกาลเวลามาถึงห้าร้อยปี นพรัตน์อุทานในลำคอ ในใจยังคิดว่าเป็นแค่คนชื่อเหมือนเท่านั้น “คราวนี้พวกเราสามารถควบคุมความแปรปรวนของดาวดวงนี้ได้แล้ว” มีเสียงคนโห่ร้องจากด้านหลังพอเป็นพิธี

“ควบคุม ความแปรปรวน ของดวงดาว” นพรัตน์พูดซ้ำไปมา ในหัวขาวโล่งไปหมด หากสามารถสร้างเครื่องมือวิเศษแบบนี้ได้คงมีวิวัฒนาการขนาดสร้างวงแหวนเปิดมิติได้

“หมายความว่าอย่างไรหรือ” โรสแทรกแต่ไม่มีใครตอบได้

“เพราะวงแหวนเปิดมิติของวัลลพใช้ไม่ได้ พวกเราจึงตกลงใจอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ กระสวยอวกาศถูกใช้ในการส่งแร่บนดาวนี้ไปยังอวกาศ ขอพระเจ้าโปรดช่วยนำมันไปสู่ดาวโลกของพวกเราด้วย

“วันนี้พวกเราตกลงเลือกกันว่าใครจะเป็นผู้เสียสละยอมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้เพื่อควบคุมความเลวร้ายของสภาพอากาศ ฮาร์นผู้เชี่ยวชาญเรื่องชีววิทยาที่สุดอาสาเป็นพระเจ้าเองแต่วัลลพยืนยันว่าตัวเขาต้องการมากกว่า พวกเราเชื่อว่าเขาบ้าไปแล้วเพราะภรรยาเป็นโรคอย่างหนึ่งจึงต้องแช่น้ำแข็งเพื่อรักษาชีวิต แถมเขายังมีลูกชายน่ารักอีกสองคนที่ไม่มีวันได้พบกันอีก อย่างไรพวกเราตกลงกันแล้วว่าฮาร์นจะเป็นคนควบคุมเครื่องด้วยตัวเอง”

“เสามนุษย์ เพื่อควบคุมความบ้าคลั่งของธรรมชาติ” ณัฐกานต์พูดเบาๆ น้ำตาไหลเอ่อออกมาโดยไม่ตั้งใจ

“นี่วัลลพ วงศ์แสวงโชคพูด กำแพงเหล็กถูกปิดเรียบร้อย ภายในเป็นห้องมีผมอยู่แค่คนเดียว สักวันหนึ่งหากมีคนได้อ่านบันทึกนี้ขอโปรดให้รู้ไว้ ว่าผมยอมถูกจับเชื่อมต่อกับดวงดาวโดยความสมัครใจ เพราะผมไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ภรรยาสุดที่รักถูกแช่น้ำแข็งอยู่ใต้โบสถ์ ลูกชายนพกับนัทก็อยู่ห่างกับหลายพันปีแสงไม่คิดว่าจะได้พบหน้ากันอีกแล้ว หากมีโอกาสฝากผู้พบบันทึกข้อความนี้ส่งข่าวบอกดาวโลกด้วยว่าดวงดาวนี้เหมาะที่จะเป็นโลกดวงที่สอง เรือโนอาห์หมายเลข 63 พบดาวที่ต้องการแล้ว เสียแค่ต้องการสมองกลหรือผู้พลีชีพเพื่อควบคุมทุกสิ่งบนดาวดวงนี้ให้เสถียรตลอดเวลา และเราถูกย้อนกาลเวลาก่อนวงแหวนเปิดมิติจะถูกสร้างขึ้น ดังนั้นเราจึงนำเมล็ดพันธุ์พืช สัตว์ และมนุษย์มาเพาะบนดาวดวงนี้จนเป็นสังคมใหญ่แล้ว สุดท้ายนี้ฝากบอกลูกชายทั้งสองด้วยว่าผมรักเขา” บันทึกข้อความในเครื่องจบแค่ตรงจุดนี้เท่านั้น สองพี่น้องกอดกันกลมแล้วร้องไห้เพราะในที่สุดก็พบพ่อแล้ว พ่อของเขาหลวมตัวเข้ากับดาวดวงนี้เพื่อทุกคน

“หมายความว่าอย่างไรหรือ” โรสเลิกคิ้ว “คนที่อยู่ในโลงแก้วนี่คือใคร”

“พ่อของพวกเราเอง” นพรัตน์ปาดน้ำตา เขาเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีก “พ่อของเราพลีชีพเพื่อควบคุมดาวดวงนี้ สาเหตุคงอยู่ในไฟล์แรกๆของบันทึกนี้ กลับไปฟังที่รถดีกว่า”

“ทฤษฎีของผมถูกจริงๆด้วยพี่นพ” ณัฐกานต์เช็ดหน้ากับแขนเสื้อระหว่างเดินกลับรถ “ความจริงสภาพอากาศบนดวงดาวนี้อาจเลวร้ายอยู่แล้วก็ได้ พวกพ่อจึงสร้างเครื่องควบคุมสภาพอากาศขึ้นมาเพื่อควบคุมสมดุลให้คงที่จนสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้”

“เหมือนที่ตำนานบอกเอาไว้ ว่าเทพแห่งดวงอาทิตย์นอนทอดกายเพื่อให้ชีวิตทั้งหลายคงอยู่ นี่คงหมดเวลาหมดช่วงที่พลังงานของพ่อจะควบคุมได้แล้ว สภาพอากาศจึงกลับมาเลวร้ายอย่างเมื่อห้าร้อยปีก่อนตามบันทึก” นพรัตน์เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อนกันแน่ พ่อของนพคือผู้สร้างหรือ”

“ใช่แล้วโรส” ณัฐกานต์ไม่วายน้ำตาไหลอีกรอบ “พ่อของเรากับพรรคพวกคือเหล่าผู้สร้างบนดาวดวงนี้ พ่อของพวกเราคือเทพแห่งดวงตะวัน เป็นดังดวงตะวันที่ให้ความอบอุ่นอ่อนโยนต่อทุกคน คงเพราะเขาเป็นเสามนุษย์จึงอุปโลกน์เป็นหัวหน้าโดยมีพรรคพวกอยู่เคียงข้าง”

“พ่อของเรายิ่งใหญ่อย่างที่พี่เคยบอกไหมนัท สละชีพเพื่อให้ทุกชีวิตดำรงอยู่ได้ คงต้องกลับบ้านเพื่อเอาเครื่องสมองกลมาติดตั้งพร้อมกับแหล่งพลังงานนิวเคลียร์ ทีนี้ก็ช่วยดาวดวงนี้ได้แล้ว”

“ยิ่งใหญ่สิครับพี่นพ เดี๋ยวผมชงกาแฟให้กิน” ณัฐกานต์นิ่งจนน่าหวั่นใจ พี่ชายเดินไปตบบ่าเบาๆเพื่อปลอบโยนแล้วปล่อยน้องชายให้ไปชงกาแฟตามต้องการ ส่วนตัวนพรัตน์กับโรสเปิดบันทึกดูข้อมูลเกี่ยวกับดาวดวงนี้ โชคร้ายที่กาลเวลาห้าร้อยปีทำให้เครื่องขัดข้องจนใช้ได้แค่บางระบบเท่านั้น

“วันนี้พวกเราสร้างวงแหวนเปิดมิติสำเร็จ คราวนี้จะได้กลับดาวโลกเสียที” เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากเครื่องใช้ชิ้นนั้น “วัลลพกำลังทดลองเปิดเครื่องโดยใช้แร่สองอย่างบนดาวดวงนี้ เราหวังว่าเขาคงทำสำเร็จ สภาพอากาศพื้นผิวของดาวดวงนี้ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต จากการทดลองนั่งกระสวยพบว่าไม่สามารถกลับโลกได้ด้วยยานอวกาศ เหลือแค่เจ้าเครื่องจักรที่เราตั้งชื่อว่าวัลลพที่รัก(Dear Wallop) เป็นความหวังสุดท้ายเพื่อกลับโลก”

“วงแหวนเปิดมิติทำงานไม่สำเร็จ คาดว่าพายุคลื่นแม่เหล็กจะพาพวกเราย้อนอดีตไปก่อนที่โลกจะสร้างวงแหวนเปิดมิติได้ พวกเราจำต้องปรึกษาหารือว่าจะใช้ชีวิตบนดาวดวงนี้อย่างไร”

“เพราะพายุแม่เหล็กอย่างนั้นหรือ จึงย้อนอดีตไปตั้งห้าร้อยปี” นพรัตน์พึมพำรับแก้วกาแฟจากน้องชาย

“ผมว่าเจ้าเครื่องนั้นจะทำงานได้ต่อเมื่อมีมนุษย์เข้าไปประสานวงจรกับแกนแม่เหล็กบนดาวดวงนี้ แค่สมองกลไม่พอหรอกครับพี่นพ”

“ไม่ลองไม่รู้ เดี๋ยวจับเจนจิรามาใส่เครื่องแทนพ่อก็ได้” นพรัตน์พูดติดตลกไม่รู้ด้วยเหตุใดเขาจึงรู้สึกชาที่ลิ้นเล็กน้อย

“ถ้าผมพูดความจริงเรื่องเจนจิราพี่จะโกรธไหม” ณัฐกานต์กล่าวเบาๆ

“มีอะไรที่ฉันไม่รู้อีก” นพรัตน์หน้าย่น

“ลูกในท้องของเจนจิรา ความจริงเป็นลูกของผมเอง” น้องชายสุดที่รักทำให้ผู้พี่พ่นกาแฟออกมาทางปาก “ตอนที่รู้ว่าหล่อนไม่ซื่อตรงต่อพี่ผมโกรธมาก โกรธจนไปกระทืบไอ้คนที่แย่งหล่อนไปจากเราสองคนให้สาบานว่าจะไม่ยุ่งกับเจนจิราอีก แถมยังพาลไปข่มขืนเจนจิราด้วยความแค้นอีกต่างหาก”

“น้ำเน่าไปหน่อยนะนัท แกไม่มีหัวด้านแต่งนิยายหรอก”

“เป็นเรื่องจริงครับพี่นพ แถมในระยะเวลาสามเดือนผมยังคอยเที่ยวตามนางนั่นว่าจะไปหาใครอีกจนไม่เป็นอันทำวิทยานิพนธ์ ที่ผมแน่ใจว่าเป็นลูกของผมเพราะระหว่างนั้นเธอไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นเลย”

“โดนตำรวจจับได้ล่ะตายเลยนะนัท” พี่ชายคอแข็งเมื่อได้ยินน้องชายสารภาพความผิดด้วยตัวเอง “แล้วมาพูดตอนนี้ทำไม”

“ก็กลายเป็นว่าผมแย่งเจนจิราไปจากพี่น่ะสิ” ณัฐกานต์หัวเราะแห้งๆ “เลยอยากไถ่โทษทั้งหมดด้วยการยกโรสให้พี่แทน ผมรู้ว่าพี่ก็ชอบโรสเหมือนกัน”

ถึงตอนนี้นพรัตน์เพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนวางยา ลิ้นชาแข็งแทบพูดไม่ได้ มือและขาหนักอึ้งเหมือนไม่ใช่ร่างกายตัวเอง เหลือเพียงณัฐกานต์กับโรสที่ยังเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ไม่รู้น้องชายคนนี้คิดอะไรอยู่กันแน่

“ผมแอบใส่ยาชาให้พี่นพเอง” น้องชายเอ่ย “ผมรบกวนพี่ตลอดเวลา คิดว่าเจนจิราจะช่วยให้พี่ร่าเริงขึ้นได้แต่ผลกลับกับโดยสิ้นเชิง”

“คิดจะทำอะไรน่ะนัท” โรสเอะอะเมื่อสังเกตว่านพรัตน์โดนวางยา

“โลกนี้ต้องการเสามนุษย์เพื่อควบคุมสภาพอากาศ” ณัฐกานต์ลุกบิดขี้เกียจ “โรส ผมขอฝากพี่ชายคนนี้ด้วย ยาจะหมดฤทธิ์ในอีกครึ่งชั่วโมง ถึงเวลาที่ผมจะทำประโยชน์ให้พี่แล้ว” น้องเล็กยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับไปทางถ้ำก่อนหน้านี้

“เดี๋ยวก่อน จะไปไหนน่ะนัท” โรสตะโกนเรียกให้หันกลับแต่สายเสียแล้ว ณัฐกานต์เดินลับเหลี่ยมมุมป่าหายไปจากคลองสายตา

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงนพรัตน์เริ่มขยับได้อีกครั้ง เขากับโรสคิดจะวิ่งไปหาน้องชายแต่เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกอึดใจเหมือนโลกนี้จะแตกสลาย ก้อนแร่พลังงานจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้นดินเป็นสัญญาณว่าณัฐกานต์ได้เป็นส่วนหนึ่งของมิลค์เวย์ใบนี้แล้ว ทั้งคู่ไม่สนใจสินแร่สองชนิดที่ผุดขึ้นมา รีบวิ่งไปที่ถ้ำทันที แต่พบว่าทางเข้าถูกปิดด้วยแผ่นเหล็กหนายากแก่การทำลายเพื่อเข้าไปข้างใน

“นัทจะมีชีวิตต่อไปควบคู่กับดาวดวงนี้” โรสตบบ่านพรัตน์เบาๆ...


จบ

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 55 21:07:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com