Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
รักฉันให้มาก..กว่านี้สักนิดได้ไหม.....1/2.(สองตอนจบ) ติดต่อทีมงาน

======
บอกเล่า
======



เรื่องสั้นเรื่องนี้ เป็นแนว ดราม่า รัก ซาบซึ้ง ประทับใจ

ครับ
ผมรู้ว่าไม่มีใครเชื่อ
แค่อ่านบทแรกก็จะอ้วกแล้ว
จะมารัก ดราม่า หวาน ประทับใจ ได้อย่างไร

แต่บางอย่าง
หมายถึงหลายอย่าง.. ไม่ใช่อย่างทีเราเห็น..เราคิด.....เราสรุป
ผมยังยืนยันว่า
เรื่องสั้นเรื่องนี้
เป็นดราม่า รัก โรแมนติก ครับ
เพียงท่านติดตามตอนจบ

ท่านจะรู้ว่าผมพูดจริง หรือพูดเล่น
ที่จริง
ผมชอบพูดเล่นนะครับ
ใจเย็น.....รออ่านตอนจบก็ได้ครับ
^__^.....



*********************




บทนำ

ที่รัก..รู้ไหม..ผมอยากจะจูบคุณสักครั้ง

เธอส่ายหน้า.....บอกว่า
รู้ไหมที่รัก....มันเป็นไปไม่ได้..

ให่ตายสิ....แค่ผมจะจูบคนที่ผมรัก
ผมยังทำไม่ได้

ผมร้องไห้

แค่สุดท้าย.

ผมยิ้มอย่างคนยอมแพ้..แต่ไม่แพ้ที่จะรักเธอต่อไป


ที่รัก

ผมรักคุณ



***************

เมื่อรู้สึกตัวผมก็พบว่าพวกเรา..หมายถึงผม กับสาวคนรักที่กำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้..กำลังงัวเงียอยู่บนถนนสายหนึ่ง ด้วยอาการของคนกำลังเพิ่งตื่นนอนและฟื้นจากอาการสร่างไข้ ในหัวยังรู้สึกปวดเหมือนถูกของหนักๆทุบ เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่  ความจำชาค้างลางเลือน แต่เมื่อเห็นเธอแขนขาร่างกายยังอยู่ครบก็ค่อยโล่งใจลงบ้าง แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราก็ตาม

ถึงจะมึนงงอย่างไร ผมก็แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ความรู้สึกบอกกับตัวเองเช่นนั้น  เพียงแต่ยังหาความชัดเจนให้กับตัวเองไม่ได้เท่านั้น


ผมดึงแขนเธอให้ลุกขึ้น จ้องหน้าสังเกตแววตา เห็นว่าเธอก็อยู่ในอาการงุนงงเช่นกัน

“เรามาที่นี่ได้ยังไง”

เธอถามอย่างสงสัยเช่นกัน ขณะปัดเศษไม้ใบหญ้าออกจากเสื้อผ้า ก่อนหันไปมองโดยรอบ ผมสั่นศีรษะ พยายามยิ้มปลอบใจก่อนตอบว่า

“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

ตอนนี้พวกเราอยู่บนถนนสายหนึ่ง เป็นถนนสายที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เพราะมันปราศจากสีแสงเพริดแพร้วตระการตาอย่างที่พวกเราชาชิน ตรงกันข้ามบรรยากาศของถนนดู ขมุกขมัว เหมือนเป็นเวลาพลบค่ำ สองฟากถนนเป็นอาคารบ้านเรือนสภาพเก่าแก่สีเทาเข้มทึบทึมอย่างที่ไม่เคยเห็นมา

ก่อน ในตัวอาคารบ้านเรือนปราศจากแสงไฟและไร้ร่องรอยผู้คน แต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่าจะต้องมีผู้คนอาศัยอยู่เพราะบางครั้งได้ยินเสียงเหมือนคนพูดกันแต่ฟังไม่ถนัดชัดเจนนัก หน้าต่างบางบานคล้ายมีเงาของคนเคลื่อนไหววูบวาบ พอสังเกตเห็นได้ ถนนสายนี้เหยียดยาวตรงไปเบื้องหน้าราวไม่มีที่สิ้นสุด  ไม่มียานพาหนะใดวิ่งไปมาตามถนน ช่างเหมือนกับเป็นเมืองซึ่งถูกพระเจ้าจงใจทอดทิ้งหรือลืมเลือนไปแล้ว

ท้องฟ้าก็ดูหม่นมัว เมฆเป็นก้อนมองดูเหมือนกำลังถูกเผาบนเตาถ่านร้อนๆ มันบิดเป็นเกลียวเหมือนทรมานเหมือนมีชีวิต ฝูงนกบินอยู่ไกลๆ สุดขอบฟ้าอย่างเป็นระเบียบแบบแผนตัดเงามืดน่ากลัวของกลุ่มเมฆและฟ้าไกล


เราจูงมือกัน มองตากัน และช่วยกันตัดสินใจ แต่ทางเลือกให้เลือกไม่มีมากนัก ถนนด้านหลังของเราก็สภาพคล้ายถนนด้านหน้าเหมือนกัน แบบนี้จะไปข้างหน้าหรือไปข้างหลังก็คงไม่ต่างกันมากนัก


สำคัญคือพวกเราเริ่มรู้สึกหิว เหมือนไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน แต่อย่างน้อยความหิวก็ทำให้เรารู้ว่าควรทำอะไร นั่นคือหาอาหารใส่ท้อง พวกเราเริ่มออกเดินและมองหาร้านอาหารข้างทาง
ถึงบรรยากาศจะออกน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้วังเวงจนเกินไป บางครั้งได้ยินเสียงหมาเห่ากระโชกมาจากไกลๆ เสียงปิดเปิดหน้าต่างประตูซึ่งทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้างว่าพวกเราไม่ได้เดินอยู่กลางเมืองร้างซึ่งปราศจากผู้คน แต่ผมรู้สึกว่ามือของคนรักเย็นเฉียบ

“คุณกลัวเหรอ มือเย็นเฉียบเลย”

“ผมหันไปถามด้วยความเป็นห่วง เธอหันมายิ้มฝืนๆ ตอบว่า

“คงตื่นเต้นมากกว่าค่ะ ว่าพวกเรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”

“ไม่เป็นไร ผมอยู่ข้างคุณนี่เอง”

ผมพยายามปลอบใจทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆเหมือนกัน ผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ฮีโร่หลุดออกมาจากจอภาพยนตร์ ไม่ใช่ผู้เก่งกล้าสามารถซึ่งมีพลังพิเศษมหาศาลและมาพร้อมกับภาระความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ หากเป็นคนธรรมดา..คนธรรมดาที่ตั้งใจว่าจะปกป้องดูแลคนรักสุดชีวิตจิตใจสุดกำลังและความสามารถเท่าที่มี จวบจนวาระสุดท้าย ผมคิดเช่นนั้นจริงๆ

“คุณอยู่ข้างๆ ยิ่งทำให้ฉันหนักใจนะคะ”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลง นั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นอีกหลายส่วน

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็เพราะฉันวิ่งเร็วกว่าคุณ”

พวกเราหัวเราะออกมาเมื่อเธอพูดจบ เธอเป็นนักกรีฑาตั้งแต่สมัยเรียน และปัจจุบันฝีเท้าของเธอก็ไม่ตกลงมากนัก ด้วยรูปร่างปราดเปรียวสมส่วนราวเพิ่งเรียบจบมาหมาดๆ


เดินมาไม่นานนัก ก็เริ่มสังเกตเห็นผู้คนบ้างแล้ว พวกเขาเคลื่อนไหวไปมาอยู่ภายในเขตบ้าน เหมือนกำลังทำงานบางอย่าง แต่ดูไม่ถนัดตามากนักเพราะมีไม้พุ่มหรือรั้วบ้านมาบดบัง บางคนก็เหมือนกำลังตกแต่งพุ่มไม้ดอก บางคนก็เดินไปมาโดยดูไม่ออกว่ากำลังทำอะไร แต่ท่าทางของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้สนใจพวกเราเลยสักนิด หญิงชราคนหนึ่งเปิดหน้าตาจ้องมองออกมา แต่เหมือนจะมองไปยังถนนฝั่งตรงกันข้ามมากกว่า ชายชรารูปร่างอ้วนคนหนึ่งทำท่าเหมือนจะขุดอะไรบางอย่างอยู่สนามหน้าบ้าน แต่ดูไม่ออกว่ากำลังทำอะไรกันแน่


ผมดึงมือคนรักให้หยุดเดินโดยไม่ตั้งใจ ขณะเฝ้ามองพวกผู้คนด้วยความแปลกใจ

“อะไรคะ”

“ลองตั้งใจสังเกตให้ดี คุณสังเกตไหมว่าคนพวกนั้น ดูผิดปกติ ท่าทางแปลกๆ การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูก็แข็งทื่อยังไงชอบกล”

เธอหยุด ยกมือป้องหน้ามองอย่างตั้งใจพักหนึ่ง จึงบอกว่า

“ก็..ดูไม่ถนัดนักหรอกค่ะ..คงไม่ใช่พวกซอมบี้นะคะ”

“ถ้าใช่ป่านนี้คงออกมาไล่งับคอเราแล้ว”

ผมบอกอย่างมั่นใจ หนังซอมบี้เป็นหนังสยองขวัญมีมาตั้งแต่สมัยเก่าแก่และมีการพัฒนาขึ้นตามลำดับ เริ่มจากการเดินช้าๆแข็งทื่อตามแบบฉบับของGeorge A. Romero ผู้กำกับ โนเนมสมัยนั้นคนหนึ่งได้สร้างตำนานซอมบี้ขึ้นมา จนเปลี่ยนมาเป็นซอมบี้วิ่งเร็วมากแบบเหลือเชื่อและทรงพลังในตอนหลังๆ แต่ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใดหน้าที่พื้นฐานของซอมบี้คือกินเนื้อมนุษย์ แต่ผู้คนที่เราเห็นไม่ใช่แบบนั้น พวกเขาแทบไม่สนใจว่าใครผ่านหน้าบ้านมาเสียด้วยซ้ำทำให้รู้สึกว่าพวกเรากำลังหลงอยู่ในดินแดนสนธยา

ไกลออกไปผมเริ่มต้นมองเห็นแสงไฟซึ่งดูมีสีสันขึ้นบ้าง นั่นทำให้ใจชื้นขึ้นมาอีก แสงไฟแบบนั้นน่าจะเป็นร้านอาหาร และผมก็คาดไม่ผิด เป็นร้านอาหารจริงๆ อยู่ริมถนน  เป็นร้านชั้นเดียวจัดโต๊ะนั่งทั้งในตัวตึกและบริเวณพื้นที่ว่างด้านหน้า  พอเข้าไปใกล้ก็เริ่มได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงดนตรีแว่วให้ได้ยิน มีคนมานั่งรับประทานอาหารอยู่ประปราย คงยังไม่ถึงเวลาอาหาร..ผมคิดในใจ แต่พวกเราหิวแล้ว

พนักงานต้อนรับเป็นชายร่างสูงใหญ่หน้าบอกบุญไม่รับผิดปกติวิสัยร้านอาหารทั่วไปซึ่งจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย พอเห็นหน้าพวกเราก็ปราดเข้ามาถามเสียงห้วนๆว่า

“จะกินอะไร”

น้ำเสียงดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ผมยังไม่รีบตอบหรือรับปากอะไร หากพยายามมองสำรวจสภาพภายในร้านด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจ อะไรบางอย่างบอกว่ามีสิ่งผิดผิดปกติ

ในที่สุดผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ล่ะครับ ผมแค่เดินผ่านมาเท่านั้น”

ว่าพลางดึงแขนของคนรักให้เลี่ยงออกไป ชายผู้นั้นมองตามด้วยสายตาขุ่นขวาง

“ทำไมหรือคะ”

เพื่อนร่วมชะตากรรมคนงามถามด้วยความแปลกใจ พลางมองหน้ามองหลัง

“ผมว่าเรารีบหนีออกจากแถวนี้ดีกว่า”

“มีอะไรหรือคะ”

“คุณคงไม่ทันได้เห็นเหมือนที่ผมเห็น..”

ขณะตอบ ผมพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“ผมอาจจะตาฝาดไปก็ได้ แต่ผมเห็นในตู้กระจกข้างหม้อต้มมันดูเหมือนมนุษย์ที่ถูกแขวนห้อยหัวลงและมีร่องรอยถูกเฉือนเนื้อออกจนขาดวิ่น ผมเห็นคล้ายๆว่าชายสองคนซึ่งนั่งอยู่โต๊ะด้านข้างกำลังกินไรบางอย่างซึ่งดูเหมือนมือคน  ผมคงตาฝาดและคิดมากไปเอง เรื่องแบบนี้จะมีได้ยังไง แต่ทำเอาผมเลิกหิวเลย”

“เอ..ฉันก็เห็นเป็นปกตินี่คะ..”

ท่าทางของเธอลังเลกับคำพูดของตัวเอง ผมภาวนาให้สิ่งที่เธอคิดเป็นเรื่องถูก เพราะถ้าเธอเห็นอย่างที่ผมเห็นคงเป็นลมไปแล้ว

แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ภาวนาจะไม่เป็นจริง มีเสียงตะโกนโหวกเหวกมาจากด้านหลัง พอหันไปมองเลือดในกายก็แทบจับตัวเป็นก้อนแข็งกับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้พบได้เห็น

ชายร่างสูงใหญ่ประจำร้านอาหารกำลังถือมีดปังตอมาด้วยท่าทางกระหายเลือดพร้อมกับส่งเสียงร้องฟังไม่ได้ศัพท์ แบบนั้นไม่มีทางคิดไปในทางดีได้อย่างแน่นนอน

“วิ่ง.....”

ผมตะโกนสุดเสียงกระชากแขนของคนรักให้ออกวิ่งสุดชีวิต ไปให้ไกลให้พ้นจากสิ่งวิปริตผิดธรรมชาติด้านหลัง นี่พวกเราตกมาอยู่ในเมืองนรกหรืออย่างไรกัน

ไม่ต้องให้บอกซ้ำสอง อย่างที่บอกแล้วว่าคนรักของผมเป็นอดีตนักวิ่ง เธอมีสติและออกวิ่งโดยไม่ยอมเสียเวลา พวกเราวิ่งไปข้างหน้าสุดชีวิตโดยไม่หันไปมอง ถึงผมจะวิ่งช้ากว่าแต่ดูเหมือนจะมีสติมากกว่า ในขณะที่เธอหกล้มหลายครั้ง กลับกลายเป็นว่าผมต้องเป็นฝ่ายรอเพื่อจะดึงแขนเธอให้ลุกขึ้นมาวิ่งต่อไป


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

วูบหนึ่งที่ผมหันไปมอง...มันยิ่งกว่าฝันร้าย....ชายคนนั้นวิ่งตรงมาพร้อมกับแกว่งปังตอในมือเหมือนคนบ้าคลั่ง...ตัดกับฉากด้านหลังอันมืดดำ เหมือนเขากำลังทะลุออกมาจากอีกโลกหนึ่ง ถึงจะไม่มองเห็นลึกลงไปสายตาคู่นั้น แต่ผมรู้สึกได้ถึงความบ้าคลั่งไร้ขีดจำกัด

ถ้านี่เป็นฝันร้าย...ผมคงยินดีที่สุด...ต่อให้ฝันร้ายอย่างไรสุดท้ายก็ต้องมีวันตื่น...ใช่...นี่เป็นเพียงฝันร้าย...ตอนนี้เราตื่นขึ้นมาแล้ว ทิ้งฝันร้ายไว้ในความทรงจำ...ลุกขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว ไปทำงาน

มันควรจะเป็นแบบนี้ แต่มันไม่ใช่

ถนนเบื้องหน้าเริ่มคดเคี้ยว เหมือนลำตัวของงูอสูรกาย ผมกำมือของเอแน่น..ผมจะไม่มีวันทิ้งเธอ  เพราะผมรู้ว่าชีวิตนี้ผมขาดเธอไม่ได้

บ้านหลังหนึ่งเหมือนเปิดประตูทิ้งเอาไว้ ผมกระชากแขนของเธอเข้าไปในประตูบ้านนั้นทันที  โดยไม่ลืมล็อคประตูอย่างรีบร้อน

เธอตัวสั่น

ผมกอดเธอแน่น


ใช่....ผมต้องทำแบบนี้ กับผู้หญิงและเป็นคนรักของคุณ คุณก็ต้องทำแบบนี้

ประตูปิด..ผมมองเห็นภาพคนประจำร้านอาหารวิ่งมาหยุดหน้าบ้าน.....เขาไม่รู้ว่าพวกหลบอยู่ในบ้านหลังนี้....ทั้งที่จริงเขาน่าจะรู้..แต่เพราะอะไรไม่รู้เหมือนกัน

เขายืนกลางถนน กวัดแกว่งปังตอไปมาคล้ายกับ LEATHER FACE   แห่งหนังสยองขวัญตลอดกาล Texas Chainsaw Massacre

เธอร้องกรีดสุดเสียง ผมเอามืดปิดปากเธอไว้ กระซิบร้อนรน

“ไม่ต้องกลัวที่รัก.มันไม่เห็นเราหรอก”

ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เราอยู่ในบ้านผิดประตูเรียบร้อย เจ้าคนบ้านั่นไม่มีทางรู้ว่าเราอยู่ในบ้านหลังนี้

ท่าทางมันคงแค้นมาก...ทั้งที่ไม่มีเหตุผลจะแค้น..เราเพียงหิว..แวะไปร้าน...ก็แค่นี้...มันผิดมากหรือ

ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทาผสมขาว เหมือนทฤษฏีการผสมสีแสง อาคารบ้านเรือนด้านหลังหม่นมัว ผมรีบเอามืออุดปากเธอเอาไว้ ก่อนที่เธอจะกรีดร้อง....กับภาพที่เห็น


ผมว่าไม่มีใครหรอกครับ จะมีโอกาสเห็นภาพแบบนี้...ชายคนนั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนเกินเหตุ...แค่เราปฏิเสธไม่ยอมเข้าร้าน...เรื่องราวมันปานปลายอย่างนี้หรือไร

ผมหมายถึงภาพที่มองเห็น...เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้หรือ....คือการใช้ปังตอในมือเฉือนเนื้อตามบริเวณบ่าทั้งสองข้าง ..ต้นแขน...เฉือนออกมาแบบไม่น่าเป็นไปได้.....เพราะเนื้อที่ถูกเฉือนยังสั่นไหวด้วยความมีชีวิตระริก...เขายิ้มแสยะและเอามืออีกข้างคว้าเนื้อพวกนั้นเข้าปาก

ผมได้ยินเธอกรีดร้อง






โปรดติดตาม ตอนจบ อาทิตย์หน้า

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 55 21:18:45




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com