Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 12 : เรียกร้องความสนใจ ใช่หรือ? ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11911579/W11911579.html

บทที่ 12


“แก้ว แก้ว อยู่ไหนน่ะ ขอน้ำกินเร็วๆ หน่อย หายไปไหน ทำไมต้องให้เรียกหาทุกทีเลยเด็กคนนี้”

นิภาพรตะโกนเรียกเด็กรับใช้เสียงขุ่นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเอามือกุมหน้าผากด้วยท่าทางเคร่งเครียดและเหนื่อยอ่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงภาชนะกระทบโต๊ะจึงเงยหน้าขึ้นยื่นมือไปหยิบแก้วมาดื่มน้ำจนเกือบหมด แล้วจึงเอ่ยถามเด็กรับใช้ที่กำลังจะเดินเลี่ยงไปยังห้องของมารดาเธอด้วยเสียงเนือยๆ

“คุณแม่เป็นยังไงบ้างล่ะแก้ว”

“ดีขึ้นแล้วค่ะ ตอนนี้พักอยู่ในห้อง”

“หมอบอกว่าเป็นอะไรล่ะ” นิภาพรถามต่อ

“คุณผู้หญิงทำไมไม่เข้าไปถามท่านเองล่ะคะ” แก้วย้อนตอบประสาซื่อ ก็แค่เดินเข้าไปในห้องแล้วถามอาการท่าน ทำไมคุณผู้หญิงถึงไม่ทำนะ แก้วไม่เข้าใจจริงๆ แต่ที่ได้รับตอบกลับมาคือเสียงแหวแว๊ด

“ฉันถามแกแค่นี้ไม่ได้หรือไงหา มันจะอะไรกันนักกันหนา แค่แกเรียกแท็กซี่พาแม่ฉันไปหาหมอถึงกับต้องเป็นบุญเป็นคุณจนมีสิทธิ์จะโต้ฉันแบบไม่เกรงใจว่าตัวเองเป็นแค่คนใช้หรือไง หรือว่าจะต้องให้ฉันจ่ายเงินค่าบอกอาการคุณแม่อีก”

ซวย! ซวยอีกแล้วนังแก้วเอ๊ย คันปากจริงวุ้ย อยากสวนไปนักว่าเงินที่จ้างนังแก้วคนนี้เป็นเงินคุณท่านไม่ใช่หรือไงคุณผู้หญิง

“แก้วไม่ได้คิดเป็นบุญคุณหรอกนะคะคุณผู้หญิง เพียงแต่แก้วเห็นว่าท่านเป็นลูกท่าน ก็...”

“พอแล้ว” นิภาพรลุกพรวด หน้าตึงเครียด “เดี๋ยวฉันไปดูเอง แกจะไปไหนก็ไปให้พ้นหน้าเลยไม่อย่างนั้นฉันจะอดใจไม่ไหวไล่แกออกแล้วหาคนใหม่”

แก้วใจหายวาบ กลัวอยู่หรอกกับหน้าเคร่ง ตาดุ ปากร้าย ใจแคบ หาเรื่องแม้กระทั่งกับคนรับใช้เงินเดือนไม่กี่พัน ทำอย่างกับคนรับใช้หาง่ายนักนี่ นี่ถ้าแก้วไม่ชอบอยู่ในบ้านหลังใหญ่มีข้าวกินฟรีล่ะก็ ป่านนี้ไปเป็นสาวโรงงานและคงมีผัวไปตั้งนานและมีลูกสองสามคนไว้ให้พ่อกับแม่เลี้ยงที่บ้านนอกแล้ว ไม่มารองรับอารมณ์คนหน้าดุอย่างคุณผู้หญิงหรอก ดีนะที่ว่าคุณท่านดีหน่อย ถึงจะดุบ้างแต่ก็เหมือนจะดุแต่ปาก หรือบางทีอาจเป็นเพราะท่านไม่มีคนสนใจก็ไม่รู้ ในบ้านเหลือแก้วคนเดียวที่พอจะได้คุยกันบ่อย ดุบ้าง ด่าบ้างแต่ก็เรียกหาอยู่บ่อยๆ จนจะกลายเป็นเพื่อนต่างวัยกันไปแล้ว

“อ้อ... ถ้ากุ้งกลับมาก็บอกด้วยก็แล้วกันว่าคุณยายไม่สบาย” เสียงเฉียบขาดบอกไล่หลังทิ้งท้าย

“ค่าคุณผู้หญิง” แก้วตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน แหม...ก็กลัวเหมือนกันนิว่าจะถูกไล่ออก

เมื่อนิภาพรเข้าไปในห้องนั้น มารดาของเธอกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูจึงลืมตาตื่น แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็มีสีหน้าราบเรียบติดจะเฉยเมย

“หมอว่าเป็นอะไรเหรอคะคุณแม่”

เธอทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง เอ่ยถามเบาๆ นึกผิดขึ้นมาวูบหนึ่งที่ปล่อยให้ท่านไปหาหมอกับแก้ว แต่แล้วก็บอกตัวเองว่าเธอยุ่งหัวหมุนจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ไหนๆ แก้วก็มีหน้าที่ดูแลรับใช้คนในบ้านอยู่แล้วจะดูแลแม่เธออีกคนคงไม่เป็นไรหรอก แม่คงไม่คิดมาก

“สนใจด้วยเหรอว่าฉันจะเป็นอะไร”

น้ำเสียงค่อนขอดนั้นทำเอานิภาพรรู้ว่าคิดผิดก่อนจะหลบตามารดา “โธ่...แม่ก็รู้นี่คะว่าตั้งแต่คุณทศเสียนิยุ่งมากเลย”

ก็ตั้งแต่ทศนาถสามีเธอตายไปแล้วด้วยโรคตับ ธุรกิจน้ำดื่มบรรจุขวดที่เพิ่งเริ่มก็ซบเซาไปด้วย ลูกเขยเธอก็ดูเหมือนจะเป็นที่พึ่งพาหรือเป็นหัวหลักไม่ได้ ลูกสาวเธอก็ยิ่งแล้วใหญ่แทนที่จะมาช่วยดูแลกิจการของพ่อแม่บ้าง แต่กลับมุ่งไปที่กิจการบ้านจัดสรรของเตวิชผู้เป็นสามีโดยอ้างว่าธุรกิจก็เพิ่งเริ่มต้นต้องดูแลมากหน่อย ช่างไม่สนใจบ้างเลยว่ากิจการของแม่ตัวเองจะเป็นยังไง

“ยุ่งจนไม่สนใจว่าแม่ตัวเองจะเป็นจะตายขนาดไหนใช่ไหม นี่ถ้าแม่ตายเมื่อเช้าเธอคงไม่ได้มาดูใจแม่สินะ ดีไม่ดีอาจจะโล่งใจด้วยซ้ำที่คนแก่ช่วยงานอะไรคนหนุ่มสาวไม่ได้ตายไปเสียได้ไม่ต้องมีภาระอะไรอีก”

นิภาพรถอนใจ นึกระอาขึ้นมาวูบหนึ่ง คนแก่... ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มารดาเธอเรียกร้องความสนใจจากเธอ

เสียงเปิดประตูเข้ามาตามด้วยร่างในชุดทันสมัยตามแฟชั่นที่กำลังมาแรง ใบหน้าแต่งอย่างงดงามผิดกับสีหน้าเหนื่อยอ่อน

“คุณยายเป็นอะไรไปอีกแล้วเหรอคะ กุ้งได้ยินนังแก้วมันบอก” ถามแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงถัดจากมารดา

“เป็นโรคคนแก่ใกล้ลาโลก”

“คุณแม่!” “คุณยาย!”

ไม่เพียงแต่น้ำเสียงอุทานของทั้งสองคนจะไม่ต่างกัน แต่สีหน้าของทั้งสองคนที่ลอบสบตากันก็เหมือนกันด้วย มันเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทั้งสองคิดว่าหญิงชราไม่ได้เป็นอะไรมากแต่เรียกร้องความสนใจเกินเหตุด้วยคำพูด มุขนี้เล่นบ่อยจนชิน

“คุณยายทำไมชอบพูดเรื่องลาโลกจังเลยคะ รู้ไหมว่ากุ้งอยากให้คุณยายอยู่ไปอีกนานๆ นะคะ อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้นกกาอย่างกุ้งได้พึ่งพิง” ความช่างออดอ้อนของกชกรพอจะช่วยให้อารมณ์ของคนแก่ดีขึ้นแต่ไม่ใช่ในทันที

“นกกาที่คอยแต่จะจิกกินแต่ผลไทร พอหมดแล้วก็บินหนีใช่ไหมล่ะ” นิภาพรหันไปมองบุตรสาวหลังวาจาประชดประชันของมารดาจบลง

“โถ...คุณยาย ทำไมขี้ใจน้อยอย่างนี้ล่ะคะ” กชกรน่ารักตรงนี้ ยามที่ผู้เป็นยายงอนก็จะใช้วาจาเข้าประโลม

แรกๆ นพวรรณดีใจและชอบความอ่อนหวานฉอเลาะของหลานสาว แต่หลังๆ มาก็ชักจะรู้แกวว่าหลานสาวหวังประโยชน์จากการยืมเงินที่ไม่มีกำหนดคืนท่าน และเมื่อบ่อยครั้งเข้าจำนวนที่ยืมก็เยอะขึ้นโดยบอกว่าหลังธุรกิจอยู่ตัวจะคืนให้ คงเห็นว่าท่านไม่พูดไม่ทวงก็เลยย่ามใจ หารู้ไม่ท่านแอบน้อยใจลึกๆ ว่าคนแก่มีประโยชน์ยามต้องการเงินแต่ไม่เคยจะดูแลยามป่วยไข้ นี่หรือ? ลูกหลาน

“ก็น่าใจน้อยไหมล่ะ อยากไปไหนก็ไม่ได้ไปเพราะสังขารไม่อำนวย ทั้งที่อยากจะไปเที่ยวสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง”

เสียงมือถือของกชกรดังแทรกขึ้นก่อน หญิงสาวอ่อนวัยกว่าคนอื่นอื่นยิ้มเมื่อรู้ว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานได้สามปีกว่าโทรมา อย่างน้อยก็โทรมาถูกเวลาในยามที่เธออยากจะเลี่ยงสถานการณ์นี้

“ขอตัวก่อนนะคะคุณแม่...คุณยาย... ค่ะพี่เต้” บุตรสาวคนเดียวของนิภาพรถือโอกาสเดินออกจากห้องไป นิภาพรจับแขนมารดาลูบไปมา

“นิเข้าใจนะคะว่าแม่เบื่อกับการอยู่ในบ้านไม่ได้ไปไหนเลย แต่นิ...”

“กำลังยุ่ง เฮ้อ ไม่ต้องบอกฉันก็พอจะรู้คำตอบ” นพวรรณถอนใจเฮือก ขยับตัวเอนลงทำท่าจะนอน

“คุณแม่ยังไม่หิวเหรอคะ อยากทานอะไรไหมคะ” นิภาพรถามอย่างเอาใจ

นพวรรณตอบทั้งที่หลับตา “แม่ไม่ค่อยหิว”

“ทานเสียหน่อยนะคะ เดี๋ยวนิจะให้ป้าอ้วนทำให้” ป้าอ้วนคือแม่ครัวเก่าแก่ประจำบ้านตระกูลพร้อมบารมี

“ไม่ล่ะ มันหวิวๆ เพลียๆ ยังไงไม่รู้”

นิภาพรถอนใจอีกรอบ ไม่อยากเซ้าซี้ต่อและกำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำเตรียมกินอาหารเย็นแต่เสียงเปิดประตูทำให้ต้องหันไปและหยุดเท้าเพราะประโยคตื่นเต้นของบุตรสาว

“คุณแม่คะ คุณยายคะ คราวนี้คุณยายจะได้ไปเที่ยวได้สมใจและก็จะได้สูดอากาศสดชื่นค่ะ”

“อะไรนะ” หญิงชราลืมตาขึ้นทันที มองหลานสาวที่ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง

“อาทิตย์หน้าพี่เต้ชวนกุ้งไปเที่ยวบ้านของคุณพ่อเขาค่ะ คุณยายไปด้วยกันนะคะ เห็นคุณพ่อพี่เต้บอกว่าแถวนั้นมีที่สวยๆ และที่หมู่บ้านนั้นเขาจะมีทำบุญใหญ่ด้วยค่ะ”

“จริงเหรอ” นพวรรณขยับตัวขึ้นมานั่ง สีหน้าแช่มชื่นขึ้น

นิภาพรขมวดคิ้ว แล้วก็นึกได้ว่าหมู่บ้านที่ไตรภพไปซื้อที่ดินและทำธุรกิจรับซื้อสินค้าเกษตรเป็นหมู่บ้านที่วิธยาน้องชายของเธอไปมีเมียและตั้งรกรากอยู่ที่นั่นโดยไม่ยอมกลับมาแม้ว่ามารดาจะไม่ยอมรับลูกสะใภ้ก็ตาม เธอไม่แน่ใจว่าที่มารดามีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาเป็นเพราะจะมีโอกาสได้ไปต่างจังหวัดหรือเป็นเพราะอยากเจอกับใครที่สถานที่แห่งนั้นกันแน่

“จริงค่ะคุณยาย คุณพ่อโทรมาชวนไปทำบุญค่ะ แล้วคราวนี้พี่เต้บอกว่าอยากไปดูที่แถวนั้นเผื่อจะซื้อมาทำธุรกิจอะไรได้บ้าง”

นพวรรณมัวแต่จดจ่อกับบางสิ่งจึงไม่เอะใจกับเหตุผลของหลานเขยที่หลานสาวยกขึ้นมาเล่าให้ฟัง ผิดกับนิภาพรซึ่งรู้สึกหนักใจกับการที่บุตรสาวหนีห่างเธอไปเรื่อยๆ พร้อมกับการช่วยเหลือที่ห่างไปจนแทบมองไม่เห็นความหวัง

“อะไรกัน! ยังคิดจะซื้อที่ดินมาทำธุรกิจอีกเหรอ แค่ธุรกิจบ้านจัดสรรที่วางไว้สวยหรูก็ให้มันรอดก่อนเถอะ”

“โธ่ คุณแม่คะ คนเราก็ต้องมองหาลู่ทางไปเรื่อยๆ นะคะ จะอยู่กับที่ได้ยังไง อีกอย่างพี่เต้ก็อยากวางรากฐานไว้ให้กับลูกของเราที่จะเกิดมา”

“แม่กลัวว่าจะไปไม่รอดน่ะสิ” นิภาพรขึ้นเสียงดังกว่าเดิมนิดหนึ่ง

“ความจริงแม่น่าจะชอบคนขยันไม่อยู่เฉยนะคะ ถ้ามัวแต่ย่ำอยู่กับที่ล่ะก็ไม่มีทางรุ่งเรืองหรอกค่ะ” กชกรให้เหตุผล เริ่มไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาจะต้องมาขัดแย้งสิ่งที่เธอกับสามีพูดคุยกันแล้วเป็นอย่างดีด้วย

“เอาเท่าที่มีอยู่ให้มันดีก่อนดีกว่าไม่ดีหรือ โน่นก็จะทำนี่ก็จะทำ”

“ถ้ามัวแต่รอโดยไม่มองทางอื่นก็ไม่ทันกินน่ะสิคะ”

“เอาเถอะ” นพวรรณยกมือขึ้นห้ามทัพ สีหน้ารำคาญ “จะเถียงกันเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังได้ไหม ยายอยากรู้ว่าจะเดินทางวันไหนไปกี่วัน ยายจะไปด้วยจะได้เตรียมตัวถูก”

“คุณแม่อยากไปเจอใครที่นั่นเหรอคะถึงได้อยากไป” นิภาพรถามโพล่งขึ้น

นพวรรณหน้าถอดและอึ้งไปชั่วอึดใจ “ทำไม? ฉันอยากไปเที่ยวบ้างไม่ได้หรือไง หรือว่าแม่นิไม่อยากให้แม่ไปด้วย”

“นั่นสิคะ” หลานสาวได้ทีเลยจับผิดมารดาอีกคน

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เอาเหอะๆ แม่จะไปนิไม่ว่าหรอกค่ะ งั้นนิจะไปด้วยก็แล้วกันค่ะคุณแม่ยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วยนิจะได้คอยดูแล”

“ไม่ห่วงงานแล้วเหรอถึงจะไปกับแม่” เจอประโยคนี้ของมารดานิภาพรถึงกับพูดไม่ออก “แม่จะเอาแก้วไปด้วยจะได้พาไปโรงพยาบาลเวลาเป็นลมเป็นแล้งมา” เจอประโยคหลังยิ่งรู้สึกแย่ไปใหญ่ นี่แม่ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองทำหน้าที่ลูกได้แย่กว่าคนรับใช้บ้านนอกนั่นหรือไง

“คุณยายคะ อาทิตย์หน้านะคะเตรียมตัวไว้เลย”

หากเป็นเมื่อก่อนนพวรรณคงมองตามบุตรสาวกับหลานสาวที่ออกจากห้องอย่างน้อยใจและมีความหวังว่าลูกสาวหรือหลานสาวจะเข้ามาดูนอนเฝ้าหรือดูอาการอีกรอบก็ยังดี แต่วันนี้ท่านมีบางอย่างที่ให้นึกถึงมากกว่า จนกระทั่งแก้วหอบผ้าห่มกับหมอนเข้ามาปูลงข้างเตียงริมหน้าต่าง

“แก้วกลัวคุณท่านมีอาการตอนดึกค่ะ รู้ไหมคะว่าตอนแก้วอยู่บ้านนอกนะคะ แม่ไม่สบายแก้วต้องไปนอนเฝ้าค่ะเพราะแกจะชอบเป็นงงๆ เอ่อ...ที่คนบ้านนอกเรียกว่า ‘หลงป่า’ ค่ะ” แก้วบอก

หญิงชราขมวดคิ้ว “อยู่ในบ้านแล้วหลงป่าได้ยังไง”

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่อาการคือหลงทิศค่ะ บางทีอยู่ในห้องที่เคยอยู่มาตั้งนานพอเจ็บไข้ขึ้นมาก็หลงป่า เอ่อ หลงทิศไปไหนไม่เป็นทั้งๆ ที่ห้องก็เล็กๆ ค่ะคุณท่าน”

เออนะ...คนนอกครอบครัวอย่างแก้วมันยังมีน้ำใจ ท่านไม่ได้เรียกร้องให้มานอนเฝ้าด้วยซ้ำ แต่ดูลูกหลานท่านแต่ละคนสิกลับไม่ไยดี ป่านนี้คงจะหลับไปแล้ว คนบ้านนอกมีน้ำใจอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าหนอ?

ไปบ้านนอกคราวนี้ท่านจะได้เจอกับหลานสาวไหมนะ?

*****************

นริศจำทางเข้าไร่นับดาวและทางไปบ้านลุงจอมกับป้าทุมเป็นอย่างดี วันนี้เขาแต่งตัวในชุดเสื้อคอโปโลกับกางเกงยีนตัวเก่ง ใบหน้าเรียวยาวสะอาดเกลี้ยงเกลาเพราะผ่านการโกนหนวดมาเป็นอย่างดี เท่านั้นยังไม่พอน้ำหอมที่ผู้หญิงซึ่งเคยแอบชอบเขาซื้อมาฝากก็ถูกเปิดมาฉีดพรมตามเนื้อตัว เขาฝึกยิ้มเก๋ในแบบที่คิดว่าดูดีที่สุด วันนี้สาวมาดเท่ต้องประทับใจในตัวเขาไม่มากก็น้อย สัตวบาลหนุ่มคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

ชายหนุ่มขับรถกระบะไปตามถนนที่มีชาวบ้านชายสวมเสื้อเก่าๆ ไล่วัวไปตามถนน เขามองท้องทุ่งนาสองข้างทางซึ่งเป็นสีเหลืองอร่าม ที่บ้านของเขาข้าวยังไม่ได้เวลาเก็บเกี่ยวจึงรอไปก่อน แต่ถึงจะได้เวลาแต่เขาก็ไม่ได้ลำบากเพราะพ่อกำนันหารถเกี่ยวข้าวได้ไม่ยากเนื่องจากเป็นนายหน้าหากินกับรถเกี่ยวข้าวอยู่แล้วพอข้าวสุกก็เอารถลงนาได้ในเวลาที่ต้องการ

ผ่านทางเข้าไร่มาได้นิดหน่อยเขาก็ต้องจอดรถเมื่อเห็นลุงจอมต้อนวัวสี่ห้าตัวมาตามถนน

“สวัสดีครับลุงจอม จะต้อนวัวไปไหนครับเนี่ย” เขาร้องทักพลางยกมือไหว้

“อ้าว สวัสดีครับหมอ ผมกำลังจะต้อนไปผูกที่นาของหนูพู่ เพิ่งเกี่ยวข้าวเสร็จใหม่ๆ หญ้าเขียวเยอะเชียว หมอกินข้าวเช้ามายังเนี่ย” ลุงจอมตอบตามด้วยคำถาม

“เรียบร้อยแล้วครับ ว่าแต่ทำไมเอาวัวออกช้าจังครับนี่มันสิบโมงกว่าแล้วนะครับ”

“ก็อีขาวน้อยนี่แหละครับมันเดินเล่นไปทั่วกว่าผมจะเอาแม่อีขาวล่อออกมาได้ก็เสียเวลาทำงานในไร่ไปเยอะ ว่าจะไม่เอามันออกมาอีขาวก็ร้องหาอีแดงอยู่นั่นแหละ”

“ดูมันแข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูกเลย” นริศมองดู ‘อีขาวน้อย’ กับ ‘แม่อีขาว’ และ ‘อีแดง’ แต่ความจริงแล้วไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดที่ลุงพูดมากนักเพราะตอนนี้เป้าหมายไม่ได้อยู่ที่วัวเหมือนเมื่อวาน สายตาจึงมองกวาดไปทั่วผืนนาสีทองก่อนจะเอ่ยต่อ “แล้วนี่ลุงต้อนวัวไปผูกแล้วจะกลับบ้านเลยหรืออยู่ในนาช่วยหนูพู่ของลุงก่อนครับ”

“ปกติหนูพู่ให้ผมดูแลพืชผักสวนผลไม้ในไร่ครับแต่วันนี้จะลองถามดูว่าจะให้ช่วยงานในนาอีกไหม ลงไปด้วยกันก่อนไหมล่ะหมอ โน่นหนูพู่กำลังพาคนขนข้าวใส่รถอีแต๋นไปตากในไร่อยู่ เก่งทีเดียวล่ะลูกสาวบ้านนี้” ประโยคหลังเต็มไปด้วยความชื่นชมจนนริศยิ้มกว้างถูกใจขึ้นไปใหญ่

“ไปสิลุง ลุงนำไปก่อนเลยเดี๋ยวผมเอารถเข้าข้างทางก่อน”

หลังจากจอดรถใต้ต้นมะม่วงข้างทางที่เป็นเนินกว้างนริศก็เดินลิ่วตามหลังลุงจอมกับวัวไปตามคันนา เสียงรถเกี่ยวข้าวครางกระหึ่ม ลุงจอมจัดการล่ามวัวไว้กับกอหญ้าตามคันนาบริเวณที่เกี่ยวข้าวไปแล้วจนครบทุกตัวยกเว้นอีขาวน้อย จากนั้นก็ชี้ไม้ชี้มือชวนสัตวบาลให้เดินตามไปหาพู่ชมพูที่ถือเคียวเกี่ยวข้าวตรงมุมคันนาที่รถเข้าไม่ถึง

เกษตรกรเต็มขั้นจริงๆ ท่าเกี่ยวข้าวดูคล่องแคล่วยิ่งนัก

“หนูพู่ หนูพู่ วันนี้จะให้ลุงช่วยขนข้าวไหม” เสียงลุงจอมตะโกนถามเสียงดังแข่งกับเสียงรถเกี่ยวข้าว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองมา

“ไม่ต้องหรอกลุงจอม ลุงกลับไปดูแลสวนต่อเถอะ พู่จ้างคนมาขนแล้ว รถเกี่ยวข้าวใกล้เสร็จแล้วด้วยไม่เกินเที่ยงน่าจะเสร็จ”

“เหรอครับ งั้นลุงจะรีบกลับไปทำงานต่อ” ว่าแล้วลุงจอมก็ทำท่าจะหันหลังกลับ แต่คนที่เดินตามหลังทำหน้าตาตื่นรีบยกมือทำท่าปางห้ามญาติ

“เดี๋ยวสิลุงจะรีบไปไหนผมยังไม่ได้คุยกับพู่เลย”

“อ้าว ที่แท้ก็อยากคุยกับหนูพู่ แหม...แล้วก็ไม่บอกกันตรงๆ” คนสูงวัยกว่าหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อพอจะเดาทางของอีกฝ่ายออก “เอ๊า! เข้าไปคุยเลยสิหมอ แต่ผมคงต้องรีบไปกลับไปทำงานถ้าหมออยากคุยกับหนูพู่ก็ค่อยตามไปทีหลังนะครับ ตอนใกล้เที่ยงผมจะฆ่าให้เป็ดกิน เอ๊ย! ฆ่าเป็ดทำลาบให้กิน” ว่าแล้วก็หัวเราะร่าเตรียมจะเดินสวนกันตรงคันนาแต่นริศไม่ยอม เขารีบดึงมืออีกฝ่ายไว้

“อย่าเพิ่งสิลุงจอม ถ้าลุงกลับแล้วผมจะกล้าอยู่ได้ยังไง ให้ผมยืนอยู่เฉยๆ ผมเขินนา”

“เอ๊า! ถ้าไม่อยากอยู่เฉยๆ ก็ช่วยงานหนูพู่สิหมอ ลุงรู้นา...ว่าคิดอะไรอยู่ ชอบเขาก็ต้องแสดงให้เห็นซี้” ลุงจอมยักคิ้วยึกๆ แนะนำตามประสาคนมีประสบการณ์มาก่อน สมัยเป็นหนุ่มก็ไปไถนาดำนาเกี่ยวข้าวช่วยบ้านสาวจนได้เมียคือแม่ไอ้ไข่มาคนหนึ่งนี่ล่ะ

ยังไม่ทันที่นริศจะถามความเห็นต่อ เสียงของพู่ชมพูก็ร้องทักขึ้น “อ้าวคุณ เมื่อคืนเป็นหมอตำแยให้อีขาววันนี้จะเป็นหมอตำแยให้วัวใครอีกล่ะ”

ชายหนุ่มหันไปยิ้มกว้างด้วยความปลื้มปิติเมื่อถูกแซวขึ้นก่อน ลืมท่ายิ้มที่หัดไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าเสียสนิทเมื่อเจอดวงตาดำโตเป็นประกายสดใสแม้จะมีเหงื่อหยดพราวตามใบหน้า “ผมเปล่าเป็นหมอตำแย แต่พอดีมาเยี่ยมอีขาวกับลูกมันก็เลยแวะมาเที่ยวไร่นับดาวด้วย ว่าแต่มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”

พู่ชมพูเบิกตาโตนิดหนึ่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์ พอจะมองเห็นความคิดของอีกฝ่าย “แน่ใจนะที่พูดออกมาน่ะหมอ”

“แน่สิครับ ผมก็ลูกชาวนานะ” ตอบอย่างมั่นใจเต็มที่ ตาเล็งไปที่เคียวในมือของหญิงสาวเตรียมอ้าปากจะพูดขอเคียวมาช่วยเกี่ยวข้าว แต่...

“งั้นก็ดีเลย เพราะฉันกำลังต้องการคนแบกกระสอบข้าวอยู่พอดีเลย”

“หา! แบกกระสอบข้าว” นริศถามย้ำ และก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงแตรรถเกี่ยวข้าวดังลั่น

เสียงบูลย์ตะโกนโหวกเหวกอยู่กับรถเกี่ยวข้าว “ฮ่วย! กระสอบยังไม่หมดบีบแตรทำไมไอ้เดี่ยว หิวข้าวเหรอวะ”

“บีบแตรไล่มดน่ะสิพี่บูลย์”

“บ้านพ่อแกสิ บีบแตรไล่มด”

สัตวบาลหนุ่มไม่ได้รับรู้ว่าถูกค่อนแคะเพราะเขาตั้งใจจะช่วยงานพู่ชมพูจริงๆ อย่างปากว่า แต่ไม่คิดว่าจะเจองานหนักที่แค่ฟังยังแทบหมดแรง แต่เมื่อได้เอ่ยปากนำไปก่อนแล้วขืนมาปฏิเสธทีหลังมีหวังคะแนนตกฮวบหากเปรียบกับมวยก็ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ขึ้นชก เอาวะ! สู้ตาย

แต่แล้ว... นริศก็เกือบตายจริงๆ เพราะแค่กระสอบแรกที่คนยกขึ้นวางบนบ่าน้ำหนักเกือบสี่สิบกิโลก็ทำเอาเขาเซแซดๆ เกือบล้มให้ได้อาย เสียงหัวเราะจากคนหนุ่มกับชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่อยู่ก่อนแล้วสร้างแรงฮึดให้กับนริศ ถึงอย่างนั้นกว่าจะเดินจากนาไปถึงรถลิ้นก็ห้อยหายใจแทบไม่ทันพอทิ้งกระสอบข้าวลงบนรถอีแต๋นได้ก็หอบแฮ่กๆ เหลือบมองดูเวลา เมื่อไหร่มันจะเที่ยงวะเนี่ย?

พอเดินกลับมาตามคันนาเพื่อเอากระสอบใหม่ก็ต้องวางมาดเดินตรง ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยให้ใครเห็นโดยเฉพาะสาวเจ้าของนา และแถมเจ้าคนขับรถอีกคนที่แค่มองเห็นลูกกะตาเท่านั้นแต่ทำไมรู้สึกจะสัมผัสได้ถึงรัศมีเยาะหยันหรือขบขันที่แผ่ออกมาก็ไม่รู้ พอรถอีแต๋นที่มีสาวมาดเท่แล่นออกไปหลังจากที่เขาแบกได้เพียงสองกระสอบ สัตวบาลหนุ่มก็เดินเข้าไปทิ้งตัวลงนอนแผ่หลับตาอย่างหมดท่าและหมดมาดใกล้กับเต็นท์ซึ่งกางไว้ใต้ต้นจามจุรี ผ่านไปเกือบห้านาทีรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยแต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่ามีของเหลวไหลลงที่ท้อง เขาลืมตาขึ้นและเบิกตากว้าง

“เฮ้ย!” นริศลุกพรวดขึ้นในขณะที่ปกป้องผงะหน้าตาตื่น “ไอ้หนู ฉี่ลงมาได้ ไม่เห็นเหรอว่าคนนอนอยู่”

*****************

แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 55 13:23:25

แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 55 17:18:33

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 11 เม.ย. 55 17:08:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com