Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - บทที่ 13 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11691462/W11691462.html

บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11703633/W11703633.html

บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11718987/W11718987.html

บทที่ 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11728001/W11728001.html

บทที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11751888/W11751888.html

บทที่ 6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11770861/W11770861.html

บทที่ 7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11795300/W11795300.html

บทที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11817498/W11817498.html

บทที่ 9 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11842423/W11842423.html

บทที่ 10 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11862773/W11862773.html

บทที่ 11 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11882295/W11882295.html

บทที่ 12 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11912513/W11912513.html


---------------------------------

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ Psycho man - นั่นสิครับ คนเขาจะตีกัน สองสาวมาเกะกะทำไม๊ บทนี่ยิ่งหนักเลยครับ เกะกะซะถึงกับเลือดสาด

ขอบคุณกิฟท์จากคุณรุริกะ - ครับพี่รุริกะ บทบู๊นี่ทางผมเลย เอิ๊กๆ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณใยไหมกะใบม่อน - ขอบคุณสำหรับคำชมครับ เขิลล์

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ zoi - ผมอยากให้ตื่นเต้นกันบ่อยๆ ครับ! อิอิ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณสามปอยหลวง- ขอบคุณสำหรับกิฟท์ครับผม

ขอบคุณกิฟท์จากคุณน้ำพรมหนำ - ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีมาให้ตลอดครับ ผมพยายามจะทำออกมาให้ดีที่สุดครับ!

ขอบคุณกิฟท์จากคุณกาปอมซ่า - กระทู้นี้ก่อนนอนขอโกโก้ร้อนหนึ่งถ้วยนะครับ  อิอิ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณเพชรรุ้งพราย - ขอบคุณที่ติดตามมากๆ ครับ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณสะเก็ดดาวเสาร์ - ออกมาทักทายกันได้เน้อครับ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณห้าสิบป่าย - ซาดิสต์กันต่อในบทนี้เลยครับ แฮ่ๆ

ขอบคุณกำลังใจจากคุณปันฝัน - ถ้ามอเตอร์ไซค์น้ำมันหมดในบทที่แล้ว เรื่องจะไปอีกทางเลยล่ะครับ อิอิ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณชมภัค - ขอบคุณสำหรับกำลังใจคร้าบ รออ่านการโพสต์เรื่องต่อไปของพี่ชมภัคอยู่นะครับ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณเงาดินสอ - แอ๊ มีแขกหลงเข้ามาอีกหนึ่งคน ขอบคุณสำหรับกิฟท์และการอ่านครับ หวังว่าจะอยู่ติดตามด้วยกันไปเรื่อยๆ น้า

ขอบคุณกิฟท์จากคุณให้เพียงเธอหมดใจ - บทนี้ล่ะครับ พลิกชีวิตพระเอกของพวกเราไปเลย อ๊ายยย

ขอบคุณกำลังใจจากคุณ Sniper-1500watt - ขอบคุณสำหรับการสละเวลาในการติดตามครับ ขอบคุณมากๆ เลย ขอบคุณจากใจ

บทที่สิบสามมาแล้ว บทนี้มาช้าหน่อย แหะๆ (คนเขียนเพิ่งหายป่วย) ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคนที่ติดตามครับ ^^

---------------------------------


บทที่ 13


เมืองลำปาง,ห้างฉัตร
เส้นทางกลับสู่รีสอร์ทกลิ่นเกสร


รถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามากลางวงล้อมลูกน้องของกบิล เหล่าวายร้ายกระโดดหลบหนีไปคนละทิศละทาง สายฟ้าแลบวูบ เสียงล้อรถครูดพื้นถนนดังแสบหูเมื่อสไลด์ผ่านกลุ่มคนที่ยืนขวางทางไปจอดสนิทอยู่เบื้องหน้าต้นไม้ที่หักโค่น น้ำที่เจิ่งนองบนถนนกระจายเป็นทางอย่างสวยงาม

สายฝนโปรยปรายเบาลง ฟ้าสว่างวูบวาบ ร่างกำยำเหวี่ยงตัวลงจากอานมอเตอรไซค์ กวาดตามองโดยรอบเหมือนกำลังหาใครบางคนที่หายไป

ทุกคนในที่นั้นชะงักงันอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่เว้นแม้กระทั่งชายฉกรรจ์ผู้กระชากตัวทิวากรให้ลุกขึ้นยืน น้ำฝนที่เจิ่งนองบนพื้นกำลังสะท้อนภาพใบหน้าอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจของกบิลที่คำรามเมื่อได้สติทันทีว่า

“ลื้อเป็นใครวะ มาเถือกอะไรที่นี่!”

หนุ่มสำอางยกท่อนเหล็กในมือซ้ายชี้หน้าที่อยู่ภายใต้หมวกกันน็อคของแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งกำลังเดินย่างสามขุมเข้ามา เมื่ออีกฝ่ายไม่แสดงอาการตอบสนอง กบิลจึงหันมาพยักหน้าสั่งลูกน้องสี่คนให้ไปจัดการ และเหลือไว้สำหรับยืนคุมตัวทิวากรเพียงคนเดียว

ทิวากรเห็นชายฉกรรจ์สี่คนนั้นเงื้อเหล็กโจนเข้าใส่บุรุษลึกลับก็คิดว่าเขาจะอยู่เฉยไม่ได้ หนุ่มตี๋สูดหายใจลึก  สมาธิของกบิลยืนจับจ้องการตะลุมบอนบุรุษลึกลับที่เกิดขึ้นจนไม่สนใจข้างกาย ทิวากรหลับตาลง เขาแสร้งทำเป็นก้มศีรษะลงอย่างท้อแท้ ไอ้คนที่คุมตัวเขาอยู่น่าจะสูงระดับเดียวกับเขาและตอนนี้มันก็ล็อคเขาไม่แน่นสักเท่าไหร่

ไม่น่ามีปัญหา

ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงในวินาทีถัดมา

หนุ่มตี๋เกร็งคอและโขกศีรษะกลับหลังสุดแรงเกิด เสียงพลั่กดังสะท้าน มือที่ถูกพันธนาการไขว้หลังของเขาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ พร้อมกับที่ร่างของผู้คุมตัวร่วงผล็อยลงไปนอนแผ่หลาบนพื้นจากการน็อคกลางอากาศเพราะสันจมูกถูกกระแทกอย่างแรงแบบไม่ทันตั้งตัว

เสียงพลั่กที่ดังขึ้นดึงสายตาของกบิลให้หันมองมา ทิวากรไม่รอช้า เขายิงหมัดตรงเข้าลิ้นปี่ของคู่อริเต็มแรง ร่างของกบิลผงะไปด้านหลังก่อนล้มลงหงายท้องบนพื้นไม่เป็นท่า ท่อนเหล็กในมือหลุดกระเด็น หนุ่มตี๋ยกมือปาดเลือดบนริมฝีปาก ก้มลงหยิบท่อนเหล็กที่กลิ้งมาหยุดอยู่ปลายเท้า แล้วตวัดตามองไปยังบุรุษหนุ่มลึกลับที่ต้องเผชิญการต่อสู้แบบสี่รุมหนึ่ง

คิดจะกระโจนเข้าไปช่วย แต่สิ่งที่พบก็ทำเอาทิวากรได้แต่ยืนนิ่งตะลึงตาค้างทีเดียว

บุรุษลึกลับผู้สวมหมวกกันน็อคและแจ็คเก็ตสีดำใช้เพียงสองมือเปล่าจัดการคู่ต่อสู้สามคนแรกได้อย่างไรไม่ทราบ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นถึงลงไปนอนสลบเหมือดสิ้นสติแน่นิ่งอยู่บนพื้น และตอนนี้คู่ต่อสู้คนสุดท้ายก็กำลังถูกจัดการทั้งที่เป็นฝ่ายรุก

ท่อนเหล็กที่หวดวาบลงไปถูกมือแกร่งนั้นปัดออกอย่างง่ายดาย ก่อนที่เท้าของบุรุษลึกลับจะตวัดวาดขึ้นกระทบก้านคอของผู้ถือเหล็กเสียงดังสนั่น ร่างของชายฉกรรจ์ผู้ถือเหล็กปลิวหวือตามแรงเตะเหมือนตุ๊กตาอัดนุ่น สิ้นสติสมประดีไปเป็นรายสุดท้าย

บนถนนในขณะนี้จึงเกลื่อนกลาดไปด้วยร่างของชายฉกรรจ์เกือบสิบคน กบิลข่มความจุกเจ็บ พลิกกายคว่ำหน้าหลับนานิ่งแกล้งสลบ เพราะตระหนักดีว่าตัวเองเพียงคนเดียวไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้แน่

แน่นอน การต้องทำอย่างนี้ มันทำให้ยิ่งเกลียดและแค้นคู่อริมากขึ้นอีกหลายเท่านัก

ทิวากรหันกลับมามองร่างที่นอนแน่นิ่งของกบิล เขากำลังแปลกใจเพราะหมัดที่ซัดไปเมื่อครู่นั้นเข้าบริเวณลิ้นปี่ซึ่งไม่ทำให้สลบแต่จะทำให้จุกจนสู้ไม่ได้...หรืออาจเป็นไปได้ที่ตอนที่ล้มลงไป ศีรษะของกบิลจะกระแทกพื้นอย่างแรงจนสลบ?

“ผู้หญิงที่มากับคุณหายไปไหน?”

ความคิดของทิวากรหยุดชะงัก เขาหันมองเจ้าของคำถามพลางกำท่อนเหล็กในมือแน่น

บุรุษลึกลับก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า กระบังหมวกกันน็อคมีสายฝนไหลผ่านลงมาตลอดเวลา

“คุณเป็นใคร?” ทิวากรพยายามจะจ้องมองอย่างค้นหาใบหน้าเบื้องหลังหมวกกันน็อค แต่เขาก็ไม่เห็นอะไรเลย

“ถ้าคุณใช้เวลาที่ถามว่าผมเป็นใคร ตอบว่าผู้หญิงที่มากับคุณหายไปไหนจะเป็นประโยชน์มากกว่า” บุรุษลึกลับกล่าวเสียงเข้ม สายฝนโปรยลงมาเบาลงจนเกือบจะหยุดเม็ด เช่นเดียวกับสายลมและสายฟ้าที่เว้นระยะนานๆ ถึงจะแลบแปลบปลาบสักที

ทิวากรบดกรามกรอด เมื่อนึกถึงริสากับรัมภาที่วิ่งหนีไปและมีพรรคพวกของกบิลอีกหกคนวิ่งตามหลัง ก็ให้รู้สึกใจไม่ดีอย่างไรชอบกล ป่านนี้พวกเธอจะไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ทิวากรเดินผ่านบุรุษลึกลับมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกลายเป็นวิ่งเหยาะๆ เมื่อเดินผ่านรถมอเตอร์ไซค์ของบุรุษลึกลับและกระโดดข้ามพ้นต้นไม้ที่ล้มขวางทาง

“นั่นคุณจะไปไหน?” เสียงของบุรุษลึกลับดังขึ้นในระยะใกล้กว่าที่คิด  ฝีเท้าของเขาเบาและเร็วมากจนทิวากรแทบจะไม่ได้ยิน

ทิวากรผ่อนฝีเท้าลง เมื่อหมุนตัวกลับไปก็พบร่างของบุรุษลึกลับก้าวตามเข้ามา

“ไปตามหาคนที่คุณถามถึง” หนุ่มตี๋ตอบก่อนจะหันหน้ากลับอีกครั้งและออกวิ่งไปตามเส้นทางอันเปียกแฉะที่ริสากับรัมภาวิ่งหนีไป เขาไม่เอ่ยคำขอบคุณใดต่อบุรุษลึกลับเลยเพราะคิดว่าไม่จำเป็น

เขาพอจะเดาออกแล้วว่าบุรุษลึกลับคนนี้คือใคร

แต่ที่ยังมืดตึบก็คือคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า บุรุษลึกลับคนนี้ต้องการอะไรถึงมาช่วยเขาไว้และถามหาริสากับรัมภา?

++++++++

เมื่อร่างของสองหนุ่มหายลับไปจากสายตาด้วยอาการวิ่งเหยาะๆ เคียงคู่กันไปบนถนน  กบิลก็หมุนกายและยันตัวลุกขึ้นนั่ง ปาดคราบน้ำฝนพร้อมทั้งความสกปรกออกจากใบหน้า ก่อนกวาดตามองลูกน้องจำนวนเกือบสิบคนที่นอนระเกะระกะไร้ค่าไม่ต่างจากขยะ

หนุ่มสำอางลุกขึ้นยืน อยากจะเปล่งเสียงคำรามปลดปล่อยความคับคั่งแค้นใจที่อัดแน่นเต็มอกออกมา แต่เขาก็สะกดใจ เดินโซเซกลับไปยังรถกระบะ  กระชากประตูเปิดออกขณะยังรู้สึกจุกเจ็บที่หน้าอกไม่หาย

กบิลสอดตัวเข้าไปเอื้อมหยิบปืนออโตเมติกสีเงินวับที่วางอยู่ใต้เบาะ มันบรรจุกระสุนเต็มอัตตราศึกพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่ก่อนแล้ว เขาเป็นคนบรรจุกระสุนลงในแมกกาซีนทีละนัดๆ ด้วยตัวเองด้วยมือเพียงข้างเดียว แต่กบิลไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องใช้งานมันในคืนนี้

ฝนหยุดตกแล้ว กบิลใช้ข้อศอกกระแทกประตูรถปิด ในมือซ้ายของเขามีปืนสีเงินสะท้อนแวววาวบนเงาน้ำที่พื้นถนน เขาเดินผ่านร่างไร้สติของลูกน้อง ตรงมายังรถมอเตอร์ไซค์สีดำที่จอดอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่นักเลงรถ แต่กบิลก็ดูออกว่ารถมอเตอร์ไซค์แบบนี้คงไม่ใช่ราคาถูกๆ

เขาหยุดฝีเท้าขณะเดินผ่านเพื่อยกขาถีบตัวถังรถมอเตอร์ไซค์ให้ล้มลงเป็นการระบายอารมณ์ขั้นแรก หนุ่มสำอางยกมือที่เข้าเฝือกปัดเส้นผมที่ปรกตาก่อนปีนข้ามต้นไม้ที่ลูกน้องชุดแรกซึ่งเขาส่งมาดักหน้าทิวากรโค่นลงมาขวางทาง

นัยน์ตาของกบิลเต็มไปด้วยความแค้นซึ่งเป็นพลังผลักดันให้เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่ต่างจากหมาบ้า เขาไม่คำนึงถึงอะไรอีกแล้ว ปืนในมือของเขามีลูกกระสุนอยู่สิบสองนัด มันหมายความว่าเขามีโอกาสจัดการไอ้ทิวากรได้ถึงสิบสองครั้ง

ถึงมันจะเอาชนะเขาได้สองครั้งสองคราติดๆ กัน แต่คราวนี้ กบิลมั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนที่ได้หัวเราะในท้ายที่สุด

++++++++

พีภัทรไม่ชอบการเดินไปโดยไร้จุดหมาย เขาไม่มีทางรู้เลยว่าทิวากรกำลังจะเดินไปไหน และบุตรสาวทั้งสองคนของตระกูลบุษบายุธอยู่ที่ใด แต่นักฆ่าหนุ่มก็ไร้ทางเลือก เขาจำต้องเดินตามทิวากรซึ่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่มีแม้คำขอบคุณหลุดออกจากปากสักคำ

มันถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้ที่เพิ่งได้รับความช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตายอย่างยิ่ง

อะไรบางอย่างในความรู้สึกบอกพีภัทรว่า ทิวากรมีสมองปราดเปรื่องพอที่จะประติดประต่อเรื่องราวและอาจจะคาดเดาว่าเขาเป็นใครบางคน...  

“บ้าชิบ ทำไมป่านนี้ยังไม่มากันอีก”

พีภัทรทราบดีว่าทิวากรสบถกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับเขา จึงเดินตามต่อไปไม่สนใจ

แต่พลัน ทิวากรก็หยุดเท้า หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าเขาและพูดเสียงแข็งอย่างคนที่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

“คุณมีมือถือหรือเปล่า ของผมลืมไว้ที่รถ  ขอยืมของคุณหน่อย ผมจะโทรหาคนที่รีสอร์ท”

ระยะทางที่พวกเขายืนอยู่ตรงนี้ห่างจากจุดที่รถของพวกเขาจอดอยู่มาก ถ้าเดินกลับไปเอาคงเสียเวลาอันมีค่าไปอีกมากโข แต่การที่นักฆ่าจะให้โทรศัพท์ของตัวเองอยู่ในมือผู้อื่นมันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พีภัทรส่ายศีรษะที่อยู่ภายใต้หมวกกันน็อคอย่างไม่ต้องคิด

ทิวากรถอนหายใจ เบือนหน้ามองไปทางอื่นอย่างรู้ดีว่าคำตอบต้องออกมาแบบนี้

“สรุปว่าคุณไม่รู้ใช่มั้ยว่าลูกสาวของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์อยู่ที่ไหน?” พีภัทรถามออกมาเสียงเรียบ สองตาจ้องมองคราบเลือดบนเสื้อเชิ้ตที่เปรอะเปื้อนและรุ่ยร่ายของฝ่ายตรงข้าม ทิวากรคงโดนสกรัมไปไม่น้อยกว่าที่เขาจะมาถึง

“มันคงไม่เกี่ยวกับคุณ” ทิวากรตวัดสายตากลับมามอง

พีภัทรไม่ตอบ หนุ่มตี๋เดินเข้ามาใกล้เพื่อเพ่งพินิจเข้ามาในดวงตาหลังกระบังหมวก นักฆ่าหนุ่มก็ไม่ได้ขยับหนี เขาแน่ใจว่าทิวากรจะไม่เห็นอะไรที่อยากจะเห็น

“คุณมาช่วยผมทำไม?” ทิวากรถามเครียดขรึม ยกแขนเสื้อปาดหยดน้ำบนใบหน้าของตัวเอง

พีภัทรตอบ “ผมว่าถ้าคุณไม่รู้ว่าลูกสาวของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์อยู่ที่ไหน เรารีบแยกย้ายกันไปหาดีกว่ามั้ย? บอกผมหน่อยว่าแถวนี้พอจะมีที่ไหนบ้างให้พวกเธอซ่อนตัว – ”  

ทิวากรขัดทันควัน “ – คุณต้องการอะไรกันแน่? คุณถามหาริสากับคุณมินทำไม?”

“ผมก็แค่อยากให้พวกเธอปลอดภัย ก็เท่านั้น” นักฆ่าหนุ่มกล่าวตามความจริง

แต่มันเป็นคำตอบที่น่าเหลือเชื่อสำหรับทิวากร หนุ่มตี๋แค่นยิ้มส่ายศีรษะ “คงไม่ได้มีแค่นั้นหรอก ผมคิดงั้นนะ”

พีภัทรรู้สึกอึดอัด เขาหันหน้ากวาดตาสำรวจพื้นถนนโดยรอบที่เกลื่อนไปด้วยเศษหินก้อนเล็กๆ  เศษใบไม้ เศษกิ่งไม้ที่เป็นอนุสรณ์ของพายุฝนเมื่อครู่ แล้วสายตาของเขาก็สะดุดกับคราบอะไรบางอย่างบนพื้นห่างจากเท้าของเขาไปประมาณหนึ่งเมตร

มันเป็นคราบคล้ายหยดเลือด

เมฆดำบนฟ้าจางหายไปรวดเร็ว ดวงจันทร์ปรากฏโฉมอีกครั้ง ส่องแสงนวลจับหยดเลือดหย่อมเล็กนั้น เมื่อก้าวปราดๆ มายังบริเวณที่หยดเลือดปรากฏ พีภัทรก็ปลดเป้บนหลังออก รูดซิปเปิดและล้วงไฟฉายขนาดเท่าปากกาด้ามหนึ่งออกมากดสวิตช์

แสงไฟลำเล็กเล็งไปบนหินกรวดขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยก้อนหนึ่ง มันมีลักษณะเป็นเหลี่ยมแหลม เขาเอื้อมนิ้วที่อยู่ภายใต้ถุงมือไปแตะดู หยดเลือดก็ติดปลายนิ้วขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าเป็นรอยที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นี่เอง

และเมื่อลองกวาดแสงไฟฉายลำเล็กไปบนพื้น รอยเลือดหย่อมเล็กก็หยดเป็นจุดๆ เรื่อยไปจนจรดข้างทางที่เป็นป่าสน

พีภัทรเดินตามหยดเลือดมาจนถึงริมทาง เขาก็เหยียดตัวตรง รู้ว่าทิวากรยืนจับจ้องหยดเลือดและเดินมาพร้อมกับเขาตลอดเวลา ยังไม่ทันจะหันกลับไป เสียงของทิวากรก็ดังขึ้น น้ำเสียงเป็นกังวลเกินควบคุม

“ริสากับคุณมินไม่ได้ใส่รองเท้า คนใดคนหนึ่งคงเหยียบไอ้หินก้อนนั้นเข้าระหว่างวิ่งหนีมาแน่”

อากาศหลังฝนตกมักจะเย็นและชื้นแฉะ ชวนให้รู้สึกง่วงนอน แต่ขณะนี้สองหนุ่มผู้มีร่างกายเปียกฉ่ำกำลังตาสว่าง

พีภัทรรีบกระโดดตามรอยเลือดเข้ามาในป่าข้างทาง เขาอาศัยไฟฉายกระบอกนั้นส่องหารอยเลือดบนพื้น แต่จากพื้นดินที่เปียกแฉะ มันเลยทำให้นอกจากเขาจะค้นพบรอยเลือดที่หยดไปตามทางแล้ว ยังพบรอยเท้าและรอยรองเท้าของคนจำนวนหนึ่งอีกด้วย

ในความมืดที่ปกคลุม ทิวากรกำท่อนเหล็กในมือของเขาแน่น สายตาที่สามารถปรับความเคยชินกับความมืดได้อย่างรวดเร็วทำให้เขาเขยับเท้าก้าวตามผู้เดินนำอย่างไม่ยากเย็นนัก จะมียากเย็นก็คือการสะกดกลั้นความวิตกกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับริสาและรัมภาในตอนนี้
ใครกันที่เป็นเจ้าของหยดเลือดพวกนี้?

ทิวากรคิดว่าคงเป็นรัมภามากกว่าริสา เพราะเด็กสาวมีร่างกายที่บอบบาง เมื่อตอนเป็นเด็กเขาจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่คุณหนูน้อยรัมภาโดนกิ่งไม้ข่วนแขนเป็นรอยเลือดไหลซิบ เขาถูกบิดาเรียกเข้าไปอบรมเสียหูชาโทษฐานพาคุณหนูไปนั่งเล่นแถวดงหนาม

รอยเท้าพวกนั้นที่ปรากฏบนพื้นดินต้องเป็นของพวกเธอแน่ ส่วนรอยรองเท้าก็ต้องเป็นของพวกลูกสมุนไอ้กบิลที่วิ่งตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทิวากรได้ยินเสียงแกรกกรากชัดเจนในความเงียบ มันถึงกับทำให้เขาตระหนกเล็กน้อยก่อนจะตระหนักได้ว่ามันคือเสียงฝีเท้าของเขาเอง

“ตรงนี้รอยเลือดหายไปแล้ว”พีภัทรตัดสินใจพูดเมื่อสำรวจใต้ต้นสนสูงชะลูดต้นหนึ่งซึ่งมีรอยเลือดหยดอยู่เป็นแห่งสุดท้าย แต่บรรดาใบไม้ก็ถูกกวาดออกเป็นวงกว้าง พื้นดินที่เปียกชุ่มมีรอยเหมือนใครคู่หนึ่งใช้เป็นที่นั่งพัก

นอกจากนั้น นักฆ่าหนุ่มยังพบเศษผ้าชิ้นหนึ่งอีกด้วย

“จำได้มั้ยว่านี่ของใคร?” พีภัทรถามขณะหมุนตัวกลับมา ชูเศษผ้าขนาดเล็กเท่าฝ่ามือสีดำที่แหว่งวิ่นเหมือนธงที่ฉีกขาด เขาใช้ไฟฉายปากกาส่องจับให้ทิวากรเห็นสะดวกขึ้น

แต่ทิวากรจดจำมันได้ตั้งแต่ที่พีภัทรยังไม่หยิบมันขึ้นจากพื้นด้วยซ้ำ

“ของริสา มันเป็นชายกระโปรงของเธอ” หนุ่มตี๋ตอบเสียงเครียดพลางขบคิดว่ามีเหตุผลอันใดกันที่ชายกระโปรงของริสาจะหล่นอยู่ตรงนี้ได้ แล้วเขาก็นึกออก ริสาคงฉีกชายกระโปรงมาพันแผลให้รัมภานั่นเองเพราะหลังจากที่สำรวจรอบๆ ต้นสนนั้น รอยเลือดหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงรอยเท้าที่เดินย่ำต่อไปอย่างแปลกๆ จากการลงน้ำหนักเท้าได้ไม่เต็มที่

“พวกเธอจะหนีไปไหน คุณพอคิดออกบ้างมั้ย?” พีภัทรพูดผ่านหมวกกันน็อคขณะเริ่มต้นออกติดตามรอยเท้าของสองสาวอย่างเร่งรีบ ในใจภาวนาว่าพวกชายฉกรรจ์คงยังไปไม่ถึงตัวพวกเธอ นักฆ่าหนุ่มได้ยินเสียงทิวากรตอบกลับมาแผ่วเบา

“แถวนี้มีแต่ป่า ไม่มีบ้านคน ไม่มีที่ให้ซ่อนตัวนอกจากตามต้นไม้” การเป็นคนพื้นที่ทำให้เขาพอจะรู้จักป่าแถบนี้อยู่บ้าง หนุ่มตี๋เว้นวรรคเพื่อเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้างพีภัทร “คนหนึ่งในพวกเธอบาดเจ็บ หนีได้อีกไม่ไกลแน่ ทางข้างหน้าจะเป็นป่าทึบกว่านี้ ผมคิดว่าพวกเธอคงซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”

พีภัทรใช้ไฟฉายส่องแสงไปบนพื้นที่ยิ่งเดินก็ยิ่งยากลำบาก พอไกลจากริมถนนเข้ามาเรื่อยๆ ความสูงใหญ่และดกหนาของบรรดาต้นไม้ก็รกทึบขึ้นจริงๆ บนพื้นมีแต่เถาวัลย์และรากไม้ ทิวากรพูดถูก เส้นทางแบบนี้สำหรับคนเท้าเจ็บนับเป็นปราการจากนรกดีๆ นี่เอง

ห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสียงแมลงกลางคืนเริ่มกลับมากรีดปีกอีกครั้ง

แสงจันทร์บนท้องฟ้าส่องสอดผ่านซุ้มหลังคาใบไม้ด้านบนลงมาได้เป็นระยะเท่านั้น นักฆ่าหนุ่มมองเห็นอะไรไม่ค่อยถนัดนักจึงเลื่อนกระบังหมวกขึ้น และอากาศในป่าก็ทำให้เขารู้สึกหายใจไม่คล่อง เขาสูดลมหายใจลึก กลิ่นดินชื้นน้ำและใบไม้เน่าโชยมาแตะจมูก

รอยเท้าบนพื้นดินเริ่มขาดหายเป็นห้วงๆ จนในที่สุดก็แยกไม่ออกแล้วว่ารอยไหนเป็นรอยไหน แต่ที่น่าหนักใจก็คือในนั้นมีรอยรองเท้าของเหล่าชายฉกรรจ์อยู่ด้วย แม้รอบบริเวณจะรกครึ้มด้วยต้นไม้และพุ่มไม้ไร้สิ่งใดแจ้งเตือนว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่พีภัทรก็กวาดสายตาระวังระไวไว้ตลอดเวลา

ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามีใครบางคนซุ่มอยู่ในบริเวณนี้

“จะถอดหมวกออกก็ได้นะ มืดแบบนี้ผมมองเห็นหน้าคุณไม่ชัดหรอก” ทิวากรพูดขึ้น “และถึงคุณจะใส่หมวกกันน็อคนั่น แต่ผมก็รู้ว่าคุณคือใคร มันเสียเวลาเปล่าที่คุณจะปิดบัง”

นักฆ่าหนุ่มเงียบ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรถึงพูดขึ้นมาในตอนนี้

ทิวากรรุกต่อ “คุณคือคนที่บอกว่าตัวเองชื่อวานิช มิตรนิรันดร์ คุณเป็นคนบอกริสาว่ามีใครบางคนต้องการฆ่าเธอ และคุณอาจจะเป็นคนที่เข้าไปในบ้านพ่อผมเมื่อคืนนี้”

น้ำเสียงของทิวากรราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ใช่มั้ยล่ะ?” หนุ่มตี๋ยังไม่ยอมแพ้แม้อีกฝ่ายจะไม่แสดงอาการรับรู้ใดด้วยการกราดลำแสงไฟฉายไปตามต้นไม้ใหญ่อย่างสำรวจหาร่องรอย
แต่ฉับพลันนั้นเอง คำถามของทิวากรก็ชะงักงันอยู่แค่นั้นเมื่อบังเกิดเสียงสั่นพร่าอันคุ้นหูตะโกนขึ้นอย่างขวัญเสีย

“พี่หมิง นั่นพี่หมิงใช่ไหมคะ!”

ทิวากรตัวแข็งทื่อ ทั่วกายเย็นเฉียบ เขาจับทิศทางไม่ได้ว่าเสียงนั่นดังมาจากตรงไหน เขาหมุนกายรอบทิศสามร้อยหกสิบองศาขณะตะโกนสวนกลับไป

“คุณมิน! คุณมินอยู่ที่ไหน ผมมองไม่เห็นเลย!”

“หนูอยู่ตรงนี้ พี่โรสให้หนูซ่อนอยู่ตรงนี้ หนูลุกไม่ได้!”

ในขณะที่ทิวากรกำลังเงี่ยหูฟังทิศทางที่เสียงของรัมภาลอยมานั้นเอง พีภัทรก็ชี้แสงไฟฉายไปทางต้นไทรใหญ่ขนาดสามคนโอบที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปประมาณห้าเมตร

ทิวากรเหลือบมองพีภัทรซึ่งพยักพเยิดให้รีบไปดู หนุ่มตี๋จึงสาวเท้ากระโดดข้ามไม้ล้มลุกบนพื้นตรงไปยังไทรใหญ่ เมื่ออ้อมเข้ามาด้านหลัง ก็พบร่างของเด็กสาวในสภาพเนื้อตัวมอมแมมนั่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก

รัมภาโผผวาเข้ากอดหนุ่มรุ่นพี่ทันทีที่เขาทิ้งท่อนเหล็กและย่อกายลงหาเธอ ทิวากรโอบกอดร่างบางที่สั่นสะท้านในอ้อมแขนแนบแน่น ความรู้สึกบางอย่างวิ่งพล่านไปตามขั้วหัวใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของเธอซุกอยู่กับอกเสื้อเชิ้ตที่เปียกทั้งเลือด ชุ่มทั้งเหงื่อ ฉ่ำทั้งฝนของเขา

เธอคงต้องได้ยินเสียงหัวใจเขาที่เต้นอยู่ในตอนนี้แน่

“คุณมินเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ทิวากรถาม ยกมือลูบศีรษะของเธออย่างปลอบโยน

“พี่หมิงล่ะคะเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงอู้อี้ของเด็กสาวถามกลับมาจากอ้อมแขนของเขา

“ผมไม่เป็นไร” หนุ่มตี๋ตอบ “แต่ผมคิดว่าคุณมินบาดเจ็บ ผมเห็นเลือดบนถนน”

“เท้าหนู...มัน..” รัมภาผละออกจากอ้อมแขนของทิวากรและกุมข้อเท้าที่เขาก็กำลังหลุบตามองพอดี แต่รอบกายมืด ต่างฝ่ายต่างเห็นกันและกันเพียงรางๆ

ทิวากรคลำมือแผ่วเบาไล่ลงจากข้อเท้าของเธอไปจนถึงบริเวณฝ่าเท้าซึ่งมีเนื้อผ้าอันมาจากชายกระโปรงของพี่สาวต่างมารดาพันอยู่ แต่มันก็ยังไม่สามารถหยุดเลือดได้ มือของเขาแฉะด้วยเลือดในวินาทีต่อมา

“พี่สาวคุณหายไปไหน?” เสียงของบุคคลที่สาม ซึ่งแทบจะเป็นคนนอกไปโดยปริยายดังขึ้นข้างต้นไทร

มือของทิวากรยังคงประคองเท้าของรัมภาขณะเขาเงยหน้าพูดกับบุรุษที่ยังคงสวมใส่หมวกกันน็อคอำพรางใบหน้า “ขอไฟฉายคุณหน่อย เร็ว!”

รัมภาเหลียวมองบุรุษที่มากับทิวากรอย่างงุนงง

“พี่สาวคุณอยู่ที่ไหน?” เขาคนนั้นถามเธออีกครั้งเมื่อทิวากรรับไฟฉายปากกามาส่องเท้าของเธอหลังลอกผ้าเนื้อดีสีดำที่ริสาพันให้ออกไปแล้ว

“พี่โรสล่อพวกมันหนีไปทางอื่น” เด็กสาวตอบเสียงสั่น ขณะเดียวกันนั้นทิวากรก็มีสีหน้าเครียดมากขึ้นเมื่อแสงไฟฉายทำให้เขาเห็นบาดแผลที่บาดลึกไม่ต่างจากโดนคมมีดโกนเจาะบนฝ่าเท้าของเธอ ทิวากรวางเท้าเธอลงและก้มมองเสื้อเชิ้ตของตัวเองหามุมที่สะอาดที่สุด

“ทางไหน?”พีภัทรรีบถาม

“ทางนั้นค่ะ” รัมภาตอบด้วยเสียงที่รู้สึกผิด เธอยกมือชี้ไปยังทิศทางที่พีภัทรกับทิวากรเพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่ “พี่โรสบอกให้หนูนอนหมอบอยู่ที่นี่ แล้วพี่โรสก็วิ่งออกไปลบรอยเท้าของหนู พี่โรสรอจนผู้ชายพวกนั้นตามมาก็ออกวิ่ง หนูเห็นพวกมันวิ่งตามพี่โรสไปโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าหนูอยู่แถวนี้”

ได้รับฟังดังนั้น พีภัทรก็ไม่รีรอ เขากระโจนกลับมายืนที่เดิม ล้วงไฟแช็คออกมาจากกระเป๋าด้านข้างของเป้ และเริ่มสำรวจบนพื้นดินรอบๆ ตอนแรกก็ยังไม่พบอะไร จนกระทั่งเดินต่อมาอีกประมาณสามสิบก้าว รอยรองเท้าของเหล่าชายฉกรรจ์ก็ปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง พวกมันมุ่งตรงไปยังทิศเหนือ

คราวนี้ นักฆ่าหนุ่มถึงกับปลดเป้ลงจากแผ่นหลัง รูดซิปเปิดและคว้าปืนออกมากลางความมืด

++++++++

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 12 เม.ย. 55 21:34:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com