Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
+ - - + - - Deerada....นางฟ้าของฉัน - - + - - + ติดต่อทีมงาน

“เราชื่อ ไอเดียร์ …ตัวเองชื่ออะไรอ่ะ”

“ชื่อ นะโม “

“นะโม…นะโม ตัสสะ  คนอะไรชื่อนะโม” คนตัวขาวสูง ล้อเลียน หัวเราะจนเห็นฟันซี่เล็กๆ

“บ้า! ไอ้เดียร์”คนตัวเล็กผิวคล้ำกว่ามีสีหน้าไม่พอใจ

“นะโม…นะโม ตัสสะ” อีกฝ่ายยังคงหัวเราะชอบใจ

“บ้า…บ้า”


*************************************************************

วันนี้…เป็นวันศุกร์ที่รถติดวินาศสันตะโรตั้งแต่ช่วงบ่าย  ถึงแม้ว่าฉันจะเคยชินกับรถติดขนาดไหน บอกตามตรงว่าวันนี้เปลี้ยมาก…ยิ่งมาเจอรถติดแถวถนนเพชรบุรี –อโศก ยิ่งไปกันใหญ่…ฉันมองดูเวลาทุกห้าวินาทีก็ว่าได้  ใกล้จะห้าโมงเย็นเข้าไปทุกขณะ…โรงเรียนเลิกตั้งแต่สี่โมง นี่มันก็เกือบๆจะชั่วโมงแล้ว  ป่านนี้เธอคงชะเง้อชะแง้  ไม่ต่างจากฉันที่กระวนกระวายใจเป็นที่สุด…


“ฮัลโหล…รถติดมากเลย  หนูหาอะไรรองท้องไปก่อนนะลูกนะ  ม่ามี๊ว่าน่าจะเกือบๆครึ่งชั่วโมงแหล่ะ…จ้า”


ฉันตัดสินใจโทรบอกเธอ เพราะไม่อยากให้กังวลกันทั้งสองฝ่าย คือทั้งฉันและเธอ…

…ดีดี้ หรือ ด.ญ.ดีรดา เมื่อสิบสี่ปีที่แล้ว  มาบัดนี้เธอโตเป็นสายน้อยวัยแรกแย้ม  เพราะเพิ่งผ่านการทำบัตรประชาชนมาเมื่อสองเดือนที่แล้ว…สาวน้อยกระโปรงแดงโบกมือลาเพื่อนๆทันทีที่เธอเห็นรถของฉันวิ่งเข้าประตูมา…


“ม่ามี๊…เหนื่อยมั๊ย” นี่คือประโยคแรกที่เธอเอ่ยถามเป็นประจำ  เมื่อฉันกลับจากทำงาน…. ก่อนจะบรรจงหอมแก้มซ้ายขวา

“ไม่เหนื่อยหรอกลูก” ฉันจะตอบประโยคนี้ทุกครั้งเช่นกัน…. ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากเธออย่างทะนุถนอม

“วันนี้คุณยายจะทำกับข้าวอะไรรอเราน้อ…ถ้าให้ทาย ที่ขาดไม่ได้ก็คือไข่เจียวกุ้ง” เธอบอกพร้อมกับหันหน้ามาที่ฉัน ยิ้มจนตาหยี หลังจากที่ขึ้นรถปิดประตูเรียบร้อย

“ว้า! แล้วแบบนี้เขาจะเรียกว่าทายมั๊ยล่ะ ก็รู้ๆกันอยู่ว่า ม่ามี๊กับหนูชอบทานไข่เจียวกุ้ง…ท่าทางจะหิวละสิ  ม่ามี๊บอกให้หาอะไรทานรองท้องไปก่อน  ยังไม่ได้ทานใช่มั๊ยล่ะ  ขนมปังไส้กรอกกะน้ำส้มอยู่เบาะหลังไง   ทานซะ ป่านนี้น้ำส้มไม่เย็นแล้วมั้ง” ฉันพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ฉันจะอ่อนล้าเต็มทน

“เตรียมท้องไว้รอหนมปังไส้กรอกกะน้ำส้มของม่ามี๊ไงคะ”เธอบอกอย่างเอาใจก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าถุงที่เบาะหลัง หยิบขวดน้ำส้มออกมาเปิด ใส่หลอดแล้วยื่นมาจ่อที่ปากของฉัน

“ขอบใจจ้ะลูก” ฉันไม่วายขอบคุณในความน่ารักของเธอ

“จ้า” เธอตอบรับ ก่อนที่จะหันไปสาละวนกับน้ำส้มและขนมปังที่เหลือ

“วันนี้เราคงทานข้าวกันสามคนเหมือนอย่างเคยแล้วล่ะ…ม่ามี๊ของหนูติดประชุมน่ะลูกคงดึก”

“ว้า…แบบนี้ทุกทีเลย ม่ามี๊นะม่ามี๊” เธอไม่วายที่จะบ่น

“รึว่าหนูจะหิ้วท้องรอ” ฉันแกล้งพูดชำเลืองไปที่เธอยิ้มนิดๆที่มุมปาก

“ม่ายเด็ดขาด! ขืนรอไส้ขาดกันพอดี วันนี้วันศุกร์ม่ามี๊ไม่มีทางกลับก่อนเที่ยงคืนแน่นอน”

“แน่ะ! ทำเป็นรู้ทันนะเรา”

“แน่นอน….ก็ลูกปูนี่คะ” เธอหัวเราะร่าแววตาเป็นประกาย


*********************************************
เมื่อสิบปีที่แล้ว…ในขณะที่ดีดี้มีอายุ ห้าขวบ เดียร์แม่ของเธอได้พบกับรักครั้งใหม่…ปีเตอร์ ชาง เป็นลูกครึ่งจีน –ไต้หวัน  เธอและเขาคบหาดูใจกันเกือบๆสามปี ก่อนที่ทั้งคู่จะตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน  โดยไม่มีงานแต่งงาน….เดียร์ให้เหตุผลว่า ไม่อยากจัดงานเป็นครั้งที่สอง ทั้งคู่จึงหมั้นกันเงียบๆและจดทะเบียนสมรสกัน

ในตอนนั้นดีดี้แปดขวบ…เธอดูเหงาและเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด   ผิดไปจากดีดี้คนเดิม

“โม…ชั้นทำร้ายลูกเกินไปรึป่าว “เธอเอ่ยด้วยเสียงอันสั่นเทา

“อย่าคิดมากน่า เราค่อยๆแก้ไขกันไป ชั้นคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก  ตอนนี้เด็กมันเคว้ง  พี่เลี้ยงก็เพิ่งลาออกไป เพราะตั้งแต่เกิดดีดี้มันก็มีพี่เลี้ยงอยู่ด้วยตลอดเวลา…และเค้าสองคนก็เหมือนเงาตามตัวไม่ว่าจะไปไหน” ฉันพยายามให้กำลังใจเธอ แต่ภายในใจฉันก็กังวลไม่น้อย…

“ไหนๆดีดี้ก็ไม่มีพี่เลี้ยงแล้ว…ชั้นตกลงกับพ่อเค้าแล้ว ว่าจะส่งดีดี้อยู่ประจำอ่ะ”

“พ่อเค้าว่าไงล่ะ” ฉันก็แค่พลั้งปากถามออกไป เพราะคำตอบฉันพอจะรู้อยู่แล้ว

“นอกจากเงินที่เขาส่งเสียเป็นรายเดือน แล้ว  แกคิดว่าเขาจะสนใจอะไรอีกมั๊ย…นอกจากพาผู้หญิงเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้า”

“แกคิดดีแล้วหรอ  ถามลูกยัง  ว่าเค้าอยากไปไหม”

“ชั้นคิดมานานแล้วละแก มันคงไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่านี้แล้ว…ชั้นก็ต้องทำงาน  ถ้าจะให้จ้างพี่เลี้ยงใหม่คงไม่ล่ะ  เพราะดีดี้ก็โตและช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ชั้นคิดดีแล้ว อย่างน้อยที่นั่นก็ยังมีครูที่คอยดูแล มีเพื่อนๆไว้พูดคุยยามเหงา  ดีกว่าอยู่ที่บ้านที่ไม่มีใครเลย…ส่วนทางพ่อเค้าตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเด็กมันไม่เอาอยู่แล้ว”

“และแล้วดีดี้ก็หนีไม้พ้นวงจรอุบาทว์  แกลืมไปแล้วหรอว่าตอนนั้นเรารู้สึกยังไง”

“แต่ที่นั่นมันก็สอนอะไรๆเราหลายๆอย่างไม่ใช่หรอ ถึงแม้ว่ามันจะเหงาไปสักนิด แต่มันก็เป็นความสุขอีกแบบนึง”

“ชั้นไม่อยากจะเชื่อว่าดีดี้จะเจริญรอยตามเรานะแก  มันหดหู่ ขมขื่น ยิ่งเวลาฝนตก ฟ้าร้อง มันยิ่งเพิ่มความหนาวเย็นเข้าไปถึงหัวใจ” ฉันหวนนึกถึงอดีตเมื่อวัยเยาว์อย่างหนาวเหน็บในหัวใจ

“ลูกปูย่อมเยื้องย่างอย่างแม่ปู…แกลืมประโยคนี้ไปแล้วเหรอ ถึงแม้ว่าเราจะพบเจออะไรๆต่างๆเยอะแยะมากมาย แต่ที่นั่นมันก็ทำให้เราเจอกับ”รักแท้”รึแกว่าไม่จริง” เดียร์สบตาฉันอย่างค้นหาคำตอบ

“ชั้นภาวนาขอให้ดีดี้เจอ “รักแท้” จากที่นั่นเหมือนอย่างที่เราเจอ”
“ชั้นก็ภาวนาเช่นนั้นเหมือนกัน”

“แต่อย่างน้อยก็ยังมีชั้นอยู่นะ  แกลืมไปแล้วหรอ” ฉันบอกถึงเจตนา

“ไม่ได้หรอกโม…ที่ผ่านๆมาชั้นก็เกรงใจแกแทบแย่  ชั้นคิดนะ ไม่ใช่ไม่คิด…และอีกอย่าง ชั้นก็เกรงใจพี่ธีร์ด้วย” พี่ธีร์ที่เดียร์พูดถึง คือคนที่ฉันจะแต่งงานด้วยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

“พี่ธีร์เค้าไม่คิดอะไรหรอกน่า  เค้าเอ็นดูดีดี้จะตาย  แกอย่าคิดมาก  ดีดี้ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก  เพราะชั้นก็เคยเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก…แกไม่คิดว่าชั้นจะรัก จะผูกพันกับลูกแกบ้างรึยังไง” ฉันสบตาเธออย่างหาคำตอบ

“โม… ชั้นรู้ว่าแกรักและหวังดีกับชั้นและลูกมากๆ มันเป็นบุญของเราสองคนแม่ลูกที่ได้คนดีๆอย่างแกเข้ามาในชีวิต แกไม่ได้เป็นแค่เพื่อน  แต่แกเป็นทุกๆอย่างของเรา  จริงๆนะโม…เราคบกันมาตั้งกี่สิบปีแล้วล่ะ มันมากกว่ารัก  เกินกว่าผูกพัน….ไม่มีวันเวลาไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงไม่เป็นห่วงแก และชั้นก็รู้ว่าแกก็คงคิดเหมือนกับที่ชั้นคิด…การที่จะรับใครสักคนเข้ามาในชีวิตมันคือ…ภาระ…ถึงแกจะบอกว่าแกเต็มใจก็เถอะ  และต่อไปแกก็ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เมื่อพี่ธีร์เข้ามา  แกก็ต้องดูแลเทคแคร์เค้า…”

“เดียร์…”

“ถึงแกจะบอกว่าพี่ธีร์เค้าเอ็นดูดีดี้มากก็เถอะ ชั้นก็ยังเกรงใจเค้าอยู่ดี และมันก็ไม่ใช่หน้าที่” แววตาของเธอมีความมุ่งมั่นที่จะทำอย่างที่เธอตั้งใจ ฉันฝืนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพราะฉันรู้ดีว่าเวลาที่เธอตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครหรืออะไรมาเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเธอได้

“ถ้ามันไม่ไหวก็บอก ชั้นเต็มใจเสมอ…สำหรับแกและลูก” ประโยคสั้นๆของฉันมันทำเอาเราทั้งคู่สวมกอดกันแนบแน่น

“ชั้นรู้…ชั้นเหนื่อย! และชั้นก็รู้…ว่าแกเหนื่อยกว่าชั้นหลายเท่า…ขอบคุณสำหรับคำว่า “เรา” นะโม”

“จ้ะ…ขอบคุณเช่นกัน” เราสองคนกอดกันร่ำไห้…มันคือความตื้นตัน ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆได้…


************************************************


ดีดี้ก้าวเข้าสู่ชีวิตในโรงเรียนที่เรียกว่า เด็กกินนอน ด้วยวัยเพียงแปดปีเศษ  วันแรกที่เดียร์กับฉันไปส่งมอบเธอกับทางโรงเรียน เธอดูเศร้าและหงอยเหงามาก…

“ทุกเย็นวันศุกร์…ม่ามี๊จะเป็นคนมารับหนูออกจากที่นี่ และเช้าวันจันทร์ ม่ามี๊ก็จะเป็นคนมาส่งหนูที่นี่เหมือนเดิม” ฉันสวมกอดเธอไว้แนบอก กระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ ถึงแม้ว่าสายตาเธอจะว่างเปล่า  แต่อย่างน้อยฉันก็ยังใจชื้นที่เธอพยักหน้าตอบรับ

ดีดี้เริ่มปรับตัวได้ภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน  เธอกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง  ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันกับเดียร์จะคอยผลัดกันไปรับเธอออกมาจากโรงเรียน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะว่างในเวลานั้น

หลังจากฉันแต่งงานได้สองปี…ฉันได้ซื้อบ้านที่อยู่ชานเมืองและรับน้าที่เป็นน้องสาวของแม่มาอยู่ด้วย เพราะว่าแม่ได้เสียไป ร่วมๆครึ่งปี …ฉันกับเดียร์ก็ยังคงใช้ชีวิตปกติ ส่วนดีดี้เธอมีความสุขกับโรงเรียนกินนอนจนไม่อยากกลับมาใช้ชีวิตอย่างเด็กไป-กลับทั่วๆไป  โดยเธอให้เหตุผลว่าขี้เกียจตื่นเช้า และต้องฝ่าฟันกับรถติด

หลังจากที่ฉันส่งดีดี้เข้านอน  มันเป็นเวลาเกือบจะตีสองแล้วเดียร์ก็ยังไม่กลับมา  เพราะปกติเวลาที่ดีดี้กลับมาเดียร์จะมาค้างกับลูกสาวเป็นประจำ…อากาศเริ่มเย็น ฉันออกมายืนรอเดียร์ที่สนามหน้าบ้าน

“แกยังไม่นอนอีกหรอโม…ดีดี้หลับไปยัง” เดียร์เอ่ยถามหลังจากที่ปิดประตูรถเรียบร้อย

“นอนไปได้พักใหญ่แล้ว นี่แกดื่มมาหรอ กลิ่นเหล้าหึ่งเลย”

“นิดหน่อยเอง” เธอบอกไม่เต็มเสียงนัก

“คุยกันหน่อยมั๊ยเดียร์ ชั้นรู้ว่าแกมีบางอย่างที่อยากเล่า” ฉันแตะที่ศอกเธอเบาๆก่อนจะเดินนำหน้าไปที่ห้องนั่งเล่น

“โม…ตอนนี้แกมีความสุขมั๊ย” เธอเอ่ยปากถามเมื่อเราทั้งคู่นั่งเผชิญหน้ากัน

“อืม”ฉันพยายามหลบตาอีกฝ่าย

“แก…ไม่ได้อยู่กับพี่ธีร์แล้วใช่มั๊ย”

“อืม”

“เพราะ?”

“________”

“เพราะชั้นกับลูกใช่มั๊ย? ใช่มั๊ยโม!” เธอตะคอกถามด้วยเสียงสั่นเทา

“ป่าว…ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นล่ะ เราไปกันไม่ได้ เราเข้ากันไม่ได้” ฉันจ้องตาเธอไม่ยอมหลบ

“แกกับพี่ธีร์รักกันมากี่ปีแล้ว…และที่แกบอกเข้ากันไม่ได้ ถ้าชั้นเชื่อก็โง่เต็มทน”

“แกอย่าบังคับ  ให้ชั้นต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ได้มั๊ยเดียร์ …ชั้นขอร้อง!!”

“แล้วความจริงของแกมันคืออะไรล่ะ? แกบอกชั้นมาดิ! ไอ้เหตุผลชุ่ยๆที่แกบอกมาชั้นไม่เชื่อ…ชั้นกับลูกเป็นคนทำลายความรักของแกกับพี่ธีร์ใช่มั๊ย? ใช่มั๊ย?” เธอร้องไห้โฮออกมาเขย่าตัวฉันอย่างค้นหาคำตอบ

“ไมใช่!  ไม่ใช่!! แกอย่าบังคับให้ฉันจนตรอก  ได้มั๊ย!  ได้มั๊ย!!” ฉันพยายามเบี่ยงตัวหนี

“แกก็พูดมันออกมาสิ!!  แกจะเก็บมันไว้ทำไม  แกนึกหรอว่าชั้นไม่รู้ว่าแกเจ็บปวด…พูดมันออกมา!! พูดออกมาเดี๋ยวนี้!! ก่อนที่แกจะอัดอั้นใจตาย…ชั้นไม่อยากเห็นแกตายทั้งเป็นแกรู้มั๊ย!! แกบอกว่าแกสบายดี มีความสุขแต่ชั้นไม่เชื่อ แกโกหกคนทั้งโลกได้  แต่แกโกหกชั้นไม่ได้!!”

“ไม่!! ชั้นไม่อยากทำร้ายคนที่ชั้นรัก…แกเข้าใจมั๊ย!!”

“แต่แกยอมทำร้ายตัวเอง…ชั้นทนเห็นแกเป็นแบบนี้ไม่ได้  แกเข้าใจมั๊ย?
ชั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่าชีวิตคู่ของเราสองคนจะมาถึงทางตัน ชั้นกับชางก็สั่นคลอนเต็มทน …พยายามฉุดรั้งจนมาถึงตอนนี้ ชั้นคิดว่ามันคงไม่ไหวแล้วล่ะ…มันเหนื่อย…ทั้งๆที่รู้ว่าเหนื่อยแต่ชั้นก็ยังพยายามดิ้นรน  ก็เพราะชั้นอยากเอาชนะ  แต่มันไม่ใช่…ชั้นแพ้  กลับกลายเป็นว่าชั้นเหนื่อยอยู่คนเดียว  อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้อะไรเลย…แต่คู่ของแกกับพี่ธีร์มันไม่ใช่ คนสองคนรักกันมาก  จนหลายๆคนอิจฉา  แต่มาวันนี้แกบอกว่าเข้ากันไม่ได้ มันคืออะไร?”

“คนที่แกอยากเอาชนะก็คือพ่อของดีดี้…ใช่มั๊ย”

“อืม  ชั้นโง่มั๊ยล่ะ เพียงแค่ว่าอยากเอาชนะใครบางคน  โดยไม่แคร์หัวใจตัวเอง  ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน และที่ชั้นต้องเจ็บปวดมากกว่านั้นก็คือครอบครัวของชางที่ไม่ยอมรับในสถานะของชั้นตั้งแต่แรก…และนี่แหล่ะคือสาเหตุหลักที่ชั้นกับชางไปด้วยกันไม่ได้…”

“พอเถอะเดียร์…แกอย่าพูดให้ตัวเองต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้เลยนะ”

“คงไม่มีใครอยากแต่งงานเป็นครั้งที่สาม  ชั้นถึงพยายามและอดทน  ไม่อยากให้อดีตสามีรู้ว่าชีวิตคู่ของชั้นล้มเหลว”  

“ชีวิตคู่ใช่ว่ามันจะสมบูรณ์แบบทุกคู่ไป ขึ้นอยู่กับว่าใครจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ยอมรับกับความพอดี ก็เท่านั้นเอง…รักไม่มีกฎที่ตายตัว และไม่มีคำว่าแพ้หรือชนะ  หากแต่ว่าเราจะยอมรับซึ่งกันและกันได้มากน้อยแค่ไหน ยอมพอ…กับใครสักคน  โดยที่ไม่ดิ้นรนหาเป้าหมายใหม่…ชั้นกับพี่ธีร์ เรายังเป็นพี่น้องกัน เราคุยกันทุกวัน เข้าใจกัน เพียงแต่สถานะมันเปลี่ยนไป…สิ่งที่แกพยายามที่จะรู้ก็คือ…พี่ธีร์เค้าไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงได้!...แกอย่ามัวแต่โทษตัวเองกับลูกเลย เรื่องบางเรื่องมันซับซ้อนเกินกว่าที่เราคิด”

“แกหมายความว่า?”

“อืม…เค้าน่าสงสารมากกว่าที่ชั้นจะโกรธเกลียด  ยอมรับว่ามันเจ็บปวดมาก”
“แล้วทำไมเค้าไม่บอกแกตั้งแต่แรก”

“สถานภาพทางสังคม การงาน….และที่สำคัญครอบครัว  เค้า คุกเข่าต่อหน้าชั้น….สารภาพผิด  ก็เพราะคำว่ารักไง ชั้นถึงยอม…ยอมให้อภัยและยอมทุกอย่าง”

“ถึงขนาดยอมทำร้ายคนๆนึงอย่างงั้นหรอ…คนที่รักเค้ามากถึงขนาดกับว่ายอมทุกอย่าง”

“ถือซะว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมที่ชั้นเคยทำ  ก็เท่านั้น….ตอนนี้ชั้นก็มีความสุขดี  มีน้าที่ต้องดูแล มีแกกับดีดี้ที่คอยเป็นกำลังใจ มีงาน มีเพื่อนร่วมงานที่ดีแล้วชั้นจะยังต้องการอะไรอีกล่ะ…ส่วนพี่ธีร์เค้าก็อยู่ในส่วนของเค้าไป มีอะไรก็ยังพูดคุยให้คำปรึกษากันได้ ยังดูแลซึ่งกันและกันอยู่…ถ้าแกจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่แก  คิดให้ดี  หรือถ้าเหงาก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่ “

“อืม…ขอบใจแกมากเพื่อน แล้วชั้นจะทำใจได้เหมือนอย่างแกมั๊ยล่ะ”

“ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่เราจะทำ  ไม่ใช่หรอ?...ตอนนี้ชั้นขอแค่เวลาที่จะเยียวยาตัวเอง  อย่างน้อยชั้นก็ยังมีแกที่อยู่เคียงข้าง”

“ฉันรู้…นะโม…นะโม ตัสสะ”

“ไอ้!!  เดียร์บ้า!!!”


****************************************************

จากคุณ : ใยไหมกะใบม่อน
เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 55 13:08:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com