Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
'สวิง' รัก ... 'พัตต์' หัวใจ (บทที่ ๓) ติดต่อทีมงาน

ขอเกริ่นสักนิด

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ ชยพล ชายหนุ่มผู้ซึ่งโดนบิดาปรามาสว่าชาตินี้ไม่มีวันทำอะไรสำเร็จ เขาจึงตั้งใจจะเป็น 'โปรกอล์ฟ' เพื่อลบคำสบประมาทให้ได้ และการจะเป็น 'โปรกอล์ฟ' ให้สำเร็จโดยเร็วก็ต้องอาศัย ชาลิดา 'แคดดี้มือหนึ่ง' เป็นสำคัญ

ความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกล... ถ้าทั้งคู่ไม่ตีกันตายเสียก่อน

นิยายเรื่องนี้จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นกอล์ฟครบทั้งบรรยากาศและเทคนิค หวังว่าผู้อ่านจะได้รับความบันเทิง และความรู้ในกีฬาชนิดนี้บ้างตามสมควร

ปกติผมจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับธรรมะและประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างจริงจังพอสมควร เรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่พยายามจะกุ๊กกิ๊กกับเขาบ้าง หากไม่หวานหรือกุ๊กกิ๊กเท่าไหร่ ก็ให้ถือว่าเป็นเพราะวัยที่ล่วงเลยวันหวานมานานเกินไปแล้วกันนะครับ ^_^

นิยายเรื่องนี้เขียนเกือบจบแล้ว (เหลือประมาณสองบทสุดท้าย) ตั้งใจจะลงเดือนละสองครั้งครับ คือ วันที่ ๑ กับ ๑๖

คาดว่ากว่าจะลงครบก็คงเขียนจบพอดี ดังนั้นเป็นอันรับประกันว่า ต้องลงให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันจนจบอย่างแน่นอน


บทที่ ๒
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11911576/W11911576.html


.........



บทที่ ๓


บิดาของชาลิดาเป็นตำรวจชั้นประทวน แม้จะอยู่หน่วยงานจราจร แต่เมื่อผ่านไปพบเหตุการณ์ลอบสังหารนักธุรกิจบ้านจัดสรรชื่อดัง เขาก็ไม่ลังเลที่จะเข้าปกป้อง จนตัวเองต้องจบชีวิตลง

ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานต่างชื่นชมในความกล้าหาญเสียสละ หลังเกิดเหตุหลายฝ่ายจึงให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ถูกลืมเลือน ผู้ที่ต้องรับบทหนักจึงเป็นครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะชาลิดาซึ่งเป็นพี่สาวคนโต

หลังจากบิดาเสียชีวิต มารดาของเธอก็ป่วยกระเสาะกระแสะ มีอาการหน้ามืด เป็นลมล้มพับอยู่บ่อยๆ เจ้าตัวจึงไม่อยากให้มารดาเข็นผลไม้ขายอย่างเคย เพราะถ้าขายต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่เพื่อไปซื้อผลไม้ที่ตลาด แล้วนำมาจัดเรียงใส่รถ จากนั้นต้องเข็นรถตากแดดตากลม ร้องขายไปเรื่อยๆ เธอจึงเกรงว่า ในระหว่างนั้น หากอาการกำเริบจะเกิดอันตราย

ตอนแรกมารดาไม่ยอม แต่เมื่อเธอหาเหตุผลมาอธิบายให้ฟังบ่อยเข้า ท่านเลยยอมตามใจ ชาลิดาจึงกลายเป็นผู้นำครอบครัวไปโดยปริยาย ทั้งที่เพิ่งจบมัธยมปลายมาหมาดๆ

ในการเตรียมตัวเพื่อเป็นผู้นำครอบครัว ขั้นแรก เธอเจียดเงินไปลงทะเบียนเรียนต่อระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเปิด เทอมละ ๒ – ๓ วิชา เธอคิดว่าแม้จะจบช้าสักหน่อยก็ยังดีกว่าทิ้งไปเลย ขั้นต่อมา ออกหางานทำ ในขั้นนี้ถือว่าโชคดีพอสมควรเพราะได้ชาญชัย บิดาของชยพลคอยให้การช่วยเหลือ

ชาลิดาถือว่าชาญชัยเป็นผู้มีอุปการคุณกับเธอและครอบครัวอย่างมาก

การอุปการคุณที่ได้รับจากชาญชัยเริ่มจาก มารดาของเธอเข็นรถผลไม้ไปขายริมถนนหน้าสนามกอล์ฟ แล้วถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยออกมาไล่ บอกว่าเกะกะทางเข้า แต่มารดาของเธอเห็นว่าตรงนั้นขายดีมาก นักกอล์ฟจะแวะมาซื้อติดรถก่อนเข้าไปในสนามเกือบทุกคัน

เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน จึงเอาล่อเอาเถิดกันอยู่อย่างนั้น

จนวันหนึ่ง บิดาของชยพลผ่านมาเห็นเหตุการณ์ขณะที่ชาลิดา ซึ่งตอนนั้นยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น แบกเข่งผลไม้วิ่งลิ่วนำหน้ามารดา ที่กำลังเข็นรถหนีพนักงานรักษาความปลอดภัยเช่นกัน

ชาลิดาเห็นชาญชัยจอดรถคุยกับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่กำลังไล่เธอกับมารดาครู่หนึ่ง จากนั้นเขาลงจากรถยนต์คันใหญ่ เดินฝ่าแดดเวลาเที่ยงวันตรงเข้ามาหาเธอกับมารดา ตอนนั้นเธอรู้สึกกลัวมาก ไม่รู้ว่าจะโดนตำหนิอะไร แต่คำพูดและน้ำเสียงที่ได้ยิน ทำให้เธอคลายความกลัวลง

“เข็นไปขายใต้ต้นไม้นั่นดีไหม” ชาญชัยถามมารดาของเธอพลางชี้มือไปยังต้นไม้ใหญ่ริมฟุตบาท ซึ่งอยู่ห่างทางเข้าสนามประมาณ ๓๐ เมตร “ขายตรงนั้นไม่ร้อน เวลาลูกค้าจอดรถซื้อก็ไม่ขวางทางเข้าออก”

ท่านยิ้มละไมก่อนเอ่ยต่อ “ไม่ต้องกลัวจะไม่มีคนเห็นนะ ขยับเข้าไปนิดเดียวเอง แค่กวาดตามองลูกค้าก็เห็นแล้วล่ะ”

“ขอบพระคุณมากค่ะ” มารดาของเธอเอ่ยพลางพนมมือไหว้นบนอบ “ไหว้ขอบพระคุณท่านสิลูก”

มารดาหันมาบอก ตอนนั้นเธอยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก แต่ก็พนมมือไหว้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเช่นกัน

ชาญชัยรับไหว้ แล้วลูบศีรษะเธอแผ่วเบา “เดี๋ยวจะให้เขามาทำทางขึ้นให้ จะได้เข็นสะดวก” เขาบอกแล้วเดินกลับขึ้นรถไป

รถยนต์เคลื่อนตัวและไปหยุดตรงทางเข้า พนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก้าวแข็งขันเข้าไปหา ครู่หนึ่งรถยนต์คันใหญ่จึงเคลื่อนตัวผ่านประตูเข้าไป

จากนั้นไม่นานก็มีคนนำปูนซีเมนต์มาเททำทางขึ้นให้ และจากนั้นมารดาไม่เคยโดนไล่อีกเลย

ชาลิดารู้สึกยำเกรงชาญชัยทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร พอต่อมาได้รู้จากหน่วยรักษาความปลอดภัยว่า ชายใจดีผู้นั้นเป็นประธานบริหารสนามกอล์ฟแห่งนี้จึงยิ่งเคารพ เพราะนอกจากท่านจะไม่ถือตัวแล้ว ยังให้ความเมตตากับครอบครัวของเธออีกด้วย

นั่นเป็นการเจอกันเพียงครั้งเดียว เรียกว่ารู้จักกันเพียงผิวเผินก็ว่าได้ แต่เมื่อรู้ข่าวความเดือดร้อนของครอบครัวเธอ คุณชาญชัยกลับให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นอกจากนั้น ยังให้คนตามเธอและมารดาไปพบที่ห้องทำงาน แนะนำให้เธอมาทำงานเป็นแคดดี้

ท่านให้เหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธว่า อาชีพแคดดี้ไม่ได้ทำงานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากจะมีเวลาดูแลมารดาแล้ว ยังสามารถอ่านตำราเรียนระหว่างรอทำงานได้อีกด้วย ถึงเวลาสอบก็สามารถลาไปสอบได้อย่างสะดวก ซึ่งเธอถือว่านั่นเป็นการให้งาน และให้โอกาสอย่างแท้จริง  


ชาลิดาเริ่มต้นการทำงานทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแคดดี้คืออะไร และต้องทำอะไรบ้าง แต่เมื่อเข้าไปคลุกคลี เธอก็รู้ได้ทันทีว่า นี่คือหนทางที่จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น จึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง
หลังจากทุ่มเทอยู่ร่วมปี เธอก็สามารถผลักดันตัวเองให้กลายเป็นแคดดี้มือหนึ่งของสนามจนได้ นอกจากนั้นเธอยังหาโอกาสฝึกฝนการตีกอล์ฟอีกด้วย

เริ่มจากการลักจำเวลาที่โปรกอล์ฟสอนลูกศิษย์ที่สนามไดร์ฟ แล้วนำมาฝึกฝนด้วยตัวเอง จนเห็นว่าท่าทางเริ่มใช้ได้ จึงหยิบไม้กอล์ฟเก่าๆ ที่วางทิ้งไว้ในห้องเก็บลูกกอล์ฟมาลองตี

เจ้าตัวทำอย่างนั้นทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ไม่ค่อยก้าวหน้าแต่ไม่ย่อท้อ กระทั่งโปรกอล์ฟประจำสนามเห็นในความตั้งใจ จึงสอนให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และด้วยความใส่ใจในการปฏิบัติหน้าที่แคดดี้ นายผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเรียกใช้เธอทุกครั้งเมื่อมาออกรอบที่สนามแห่งนี้เป็นเวลากว่าสามปีรู้ข่าว จึงมอบชุดกอล์ฟเก่าให้เป็นรางวัล

ยิ่งมีชุดกอล์ฟของตัวเอง เธอยิ่งเพียรฝึกหนัก ฝีมือรุดหน้าไปไกล จนชาญชัยเห็นแวว จึงช่วยหนุนอีกแรง อนุญาตให้มาใช้สนามไดร์ฟโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เธอซาบซึ้งใจมาก จึงตอบแทนความเมตตานี้ด้วยการตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ รวมทั้งช่วยงานในส่วนอื่นๆ ที่พอจะช่วยได้โดยไม่เกี่ยงงอน


ด้วยความที่ตั้งปณิธานไว้ว่า จะดูแลมารดาและน้องสาวให้ดีที่สุด นอกจากตรากตรำเดินลากรถเข็นถุงกอล์ฟกลางแดดทั้งวันแล้ว เมื่อกลับถึงบ้าน เจ้าตัวยังซักผ้า ล้างจาน ปัดกวาดเช็ดถู รวมทั้งช่วยมารดาซึ่งรับดอกไม้ประดิษฐ์มาทำที่บ้านอีกด้วย

ชาลิดาพยายามทำงานบ้านให้เยอะที่สุด เพราะหากไม่ทำ ผู้เป็นมารดาจะแย่งทำหมด ซึ่งเธอไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น เพราะรู้ดีว่าร่างกายของท่านไม่แข็งแรงเหมือนก่อนแล้ว

เธอเคยถามแพทย์ว่ามารดาป่วยเป็นโรคอะไร คำตอบที่ได้รับคือ โรคซึมเศร้า สาเหตุนั้นไม่แน่ชัด อาจเกิดจากหลายอย่างประกอบกัน เช่น ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือไม่ก็อาจป่วยทางใจเพราะคิดถึงบิดา

และเนื่องจากอาการของมารดาเอาแน่นอนไม่ได้ ระหว่างเดินทางกลับบ้านในทุกๆ วัน เธอจึงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ เกรงจะพบมารดาล้มฟุบอยู่มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน ความรู้สึกนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อได้เห็นท่านนั่งประดิษฐ์ดอกไม้อยู่กลางบ้าน


ชาลิดาค่อยๆ ย่องเข้าไปด้านหลังของหญิงสูงวัยผมสีดอกเลาที่กำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับงานในมือ เมื่อได้ระยะก็โถมเข้ากอดร่างผอมเกร็งไว้แน่น ผู้ถูกกอดไม่เพียงไม่ตกใจ ยังยิ้มละไมพลางลูบมือเหี่ยวย่นไปตามหลังมือและท่อนแขนของเธออีกด้วย

“วันนี้แม่กินข้าวเยอะหรือเปล่า” แคดดี้มือหนึ่งถามพลางชะโงกหน้าอ้อมไปหอมแก้มตอบ แล้วก้าวฉับๆ ไปที่ตู้กับข้าวไม้สีตุ่น เมื่อเห็นว่าอาหารที่เตรียมไว้ให้ตั้งแต่ก่อนออกไปทำงานพร่องเพียงเล็กน้อยก็หน้ามุ่ย “ทำไมแม่กินข้าวน้อยนักล่ะจ๊ะ แบบนี้จะเอาแรงที่ไหนกัน”

“แม่ไม่ค่อยหิว ทำโน่นทำนี่แล้วมันก็เพลิน” มารดาแก้ตัวพลางขะมักเขม้นประดิษฐ์ดอกไม้ไม่วางตา “ด้วงกินเสียสิ”

ชาลิดาทำหูทวนลม เดินกระเง้ากระงอดไปนั่งลงข้างมารดา แล้วหยิบดอกไม้พลาสติกสีขาวขึ้นมาเสียบไปตามกิ่งก้านสีเขียวสด ไม่พูดไม่จา

ผู้ให้กำเนิดเหลือบมอง “แม่ไม่ได้ทำงานเหนื่อยอะไร เลยไม่หิว แต่ด้วงตรากตรำมาทั้งวัน ต้องกินเยอะๆ นะลูก” ว่าพลางลูบหน้าลูบตาลูกสาวด้วยความเอ็นดู

“ก็ทีแม่ยังไม่กิน ด้วงจะกินทำไมล่ะ อดให้หัวมันโตไปเลย” ชาลิดาเอ่ยอย่างงอนๆ “ไม่รู้ล่ะ ถ้าแม่ไม่กินด้วงก็ไม่กิน”

ว่าพลางทำทีไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาประดิษฐ์ดอกไม้ต่อ หญิงสูงวัยมองแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ก็ได้ๆ ต่อไปแม่จะกินให้เยอะกว่า...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกลูกสาวปล้ำกอดปล้ำหอม เธอจึงหัวเราะร่า “แต่ตอนนี้ด้วงต้องกินข้าวก่อนนะลูก”

“ได้จ้ะ”

ชาลิดาว่าพลางลุกไปคดข้าวใส่จาน ตักแกงเขียวหวานหมูในหม้ออะลูมิเนียมบุบเบี้ยวจากการพลัดหล่นกระแทกพื้นในบางครั้งของการใช้งานราดลงไป แล้วเดินมานั่งกินยั่วด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ผู้เป็นมารดาส่ายหน้ากับกิริยาของลูกสาว


หลังกินเสร็จ ชาลิดารีบล้างจาน หุงข้าวเพิ่ม แล้วอุ่นแกงเตรียมพร้อมไว้สำหรับมารดากับน้องสาวที่ใกล้จะได้เวลากลับ ตัวเธอไม่ใส่ใจว่าอาหารที่กินจะเย็นชืดเพียงใด แต่กับคนที่รัก เธออยากให้ได้กินของอุ่นๆ เสมอ

ครั้นเตรียมอาหารเสร็จ เจ้าตัวกุลีกุจอมาช่วยมารดาประดิษฐ์ดอกไม้อีกรอบ

“ทำไมไม่อาบน้ำเสียก่อนละลูก จะได้สบายตัว” มารดาถามขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวตั้งท่าจะช่วยอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ค่อยอาบก็ได้ อาบบ่อยเดี๋ยวน้ำหนักลด”

หญิงสูงวัยร่างผอมเกร็งขมวดคิ้ว “อาบน้ำเกี่ยวอะไรกับน้ำหนัก”

“อาบบ่อยขี้ไคลออกเยอะ น้ำหนักก็เลยลดไงแม่” ชาลิดาลอยหน้าลอยตาตอบ

มารดาส่ายหน้ายิ้มๆ นึกขำในความช่างเจรจาของลูกสาว


การที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด ประกอบกับเดินตากแดดตากลมมาทั้งวัน แคดดี้มือหนึ่งจึงรู้สึกเพลีย แม้เจ้าตัวพยายามฝืน แต่ไม่อาจเอาชนะความง่วงได้ จึงผล็อยหลับทั้งที่ดอกไม้ยังคาอยู่ในมือ

ผู้เป็นมารดาเห็นลูกสาวลำบากถึงเพียงนี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้

เจ็ดปีแล้วที่ลูกสาวคนนี้แบกรับภาระอันหนักอึ้งไว้บนบ่าเล็กๆ แม้กระทั่งอนาคตของน้องสาว ที่ตอนนั้นยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เจ้าตัวก็ยังรับปากว่าจะส่งเสียให้ได้เรียนสูงๆ ตัวเธอในฐานะผู้เป็นมารดา เมื่อเห็นลูกต้องเสียสละถึงเพียงนี้ จึงอยากช่วยอะไรบ้าง แต่ก็ถูกค้านหัวชนฝา

“เรายังมีเงินบำนาญของพ่ออยู่นะแม่ แล้วเดี๋ยวด้วงออกมาทำงานก็มีรายได้เพิ่มอีก แม่ไม่ต้องทำอะไรหรอกนะจ๊ะ ด้วงจะเลี้ยงแม่กับน้องเอง ลำบากแค่ไหนด้วงก็ทนได้ แต่ถ้าต้องเสียแม่ไปอีกคนด้วงคงทนไม่ได้”

เงินบำนาญที่ว่า ใช่จะมากมาย อีกทั้งความรู้แค่เพียงมัธยมปลายจะหาเงินได้เท่าไรกันเชียว เหตุผลที่ลูกสาวยกมาจึงฟังไม่ขึ้น ทำไมเธอจะไม่รู้ แต่ที่ยอมทำตามก็เพราะคำวิงวอนที่ว่า ‘ถ้าต้องเสียแม่ไปอีกคนด้วงคงทนไม่ได้’ ต่างหาก

“ด้วง... นอนพักเสียหน่อยเถอะลูก” ว่าพลางลูบศีรษะแผ่วเบา

ผู้กำลังผล็อยหลับสะดุ้งเล็กน้อย “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คิดโน่นคิดนี่เพลินเลยเคลิ้มไป เดี๋ยวด้วงไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”

ว่าแล้วเธอลุกพรวดพราดไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้า ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป ทำให้ไม่มีโอกาสได้เห็นน้ำตาที่เอ่อของผู้เป็นมารดา


เด็กสาวในชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังโผกอดผู้เป็นมารดาแน่น ก่อนบรรจงหอมแก้มตอบทั้งซ้ายขวา “คิดถึงจังเลย”

หญิงผมสีดอกเลายิ้มร่า “โตเป็นสาวแล้วยังทำตัวเหมือนเด็กอีก”

“โตแค่ไหนดาวก็ยังเป็นลูกของแม่นี่ และเป็นลูกที่ต้องการความอบอุ่นมากด้วย” ว่าพลางทิ้งตัวนอนหนุนตัก หลับตาพริ้ม

“มัวอ้อนอะไรอยู่ ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวจะได้มากินข้าวกับแม่” ชาลิดาบอกน้องสาวขณะเดินออกจากห้องน้ำ

“อิจฉาล่ะสิที่แม่รักดาวมากกว่า” น้องสาวว่าพลางโอบกอดผู้เป็นมารดาทั้งที่ยังนอนหนุนตักอยู่อย่างนั้น

“ไร้สาระ” ชาลิดาไม่สนใจคำพูดกับท่าทางที่ยั่วเย้า เดินเข้าไปฉุดมือน้องสาวให้ลุกขึ้น “เร็วเข้า แม่หิวแล้ว”

“ยังไม่อาบ” น้องสาวว่าพลางดึงตัวขึ้นนั่ง หน้ามุ่ย “ขี้เกียจ”

“ตามใจ หมักหมมเอาไว้เถอะ ตัวจะได้เหม็นๆ” ชาลิดายิ้มพราย “อีกหน่อยได้เป็นดารา พอแฟนคลับมาขอลายเซ็น เขาคงนึกว่านี่คนหรือปลาเค็ม”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” น้องสาวอดรนทนไม่ไหว หันไปกอดมารดาอีกรอบ “แม่ดูพี่ด้วงสิ มาว่าดาวเหม็นเหมือนปลาเค็ม”

ผู้เป็นมารดาทำจมูกฟุดฟิด “ที่พี่เขาว่าก็มีมูลนะลูก”

พี่สาวหัวเราะร่วน ในขณะที่น้องสาวผละจากอกมารดา ทำกระเง้ากระงอด “จำไว้เลย ดาวมันหมาหัวเน่า”

“อย่าคิดมากเลย” ชาลิดาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดาวไม่ใช่หมาหัวเน่าหรอก แค่ตัวเน่าเฉยๆ”

สิ้นเสียงยั่วเย้า ผู้เป็นน้องสุดทน โถมกายเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยง ปล้ำหอมพี่สาวหลายฟอด “นี่แน่ะๆ มาว่าเขาเหม็นเหรอ ตัวเองหอมนักนี่”

“หยุดนะ ยายปลาเค็ม” ชาลิดาเบือนหน้าหลบ พยายามพลิกตัวหนีน้องสาว ทั้งคู่หัวเราะร่วน

ผู้เป็นมารดามองลูกสาวหยอกเย้ากันด้วยความสุขใจ


ระหว่างที่น้องสาวกำลังชำระล้างร่างกาย ชาลิดาตักแกงเขียวหวานที่เพิ่งอุ่นจนควันฉุยใส่ถ้วยกระเบื้องสีเขียวมาวางรอท่าไว้กลางบ้าน กลิ่นของเครื่องแกงหอมตลบอบอวลไปทั่วบ้านไม้หลังเล็ก จากนั้นไปคดข้าวใส่จานพลาสติกสีขาวสองจานมาวางไว้เคียงกัน แล้วเดินกลับไปตรงมุมที่จัดไว้เป็นครัวอีกรอบ หยิบกระติกน้ำแข็งที่เติมน้ำไว้จนเต็มติดมือมา

เมื่อน้องสาวออกจากห้องน้ำ จึงลุกไปประคองมารดาให้มานั่งล้อมวง

“แกงเขียวหวานอีกและ สองวันแล้วนะเนี่ย” น้องสาวโอดครวญขณะทรุดกายลงนั่ง

“ก็มันยังไม่หมด ไว้พรุ่งนี้พี่จะทำอย่างอื่นให้” ชาลิดาพยายามปั้นหน้าแช่มชื่น พลางถามเอาใจ “อยากกินอะไรล่ะ”

“อะไรก็ได้แหละ แต่กินซ้ำๆ หลายวันแล้วมันเบื่อ” น้องสาวบ่นกระปอดกระแปด พลางตักแกงในถ้วยใส่จานข้าวตน “แล้วพี่ด้วงไม่กินเหรอ”

“พี่กินแล้ว” ชาลิดาตอบพลางก้มดูดน้ำเย็นผ่านหลอดยาวสีใส แล้วเดินไปกดล็อกพัดลมตั้งโต๊ะสภาพคร่ำคร่าให้หันไปทางมารดาและน้อง ส่วนตัวเธอเดินเลยไปนั่งทำดอกไม้ประดิษฐ์ต่อ

“ทำไมไม่ให้ส่ายล่ะลูก อากาศมันร้อนนะ” ผู้เป็นมารดาทักท้วง

ชาลิดาส่ายหน้ายิ้มร่า “ไม่เป็นไรจ้ะ ด้วงไม่ร้อน”

“เออ... พี่ด้วง อาจารย์เขาทวงค่าเทอมแล้วนะ” น้องสาวเอ่ยแทรกขึ้น “ใกล้สอบแล้วด้วย”

“ค้างเขาอยู่เท่าไหร่นะ”

“เจ็ดพันห้า” น้องสาวตอบโดยไม่ต้องคิด

ชาลิดาเดินไปที่กระเป๋าเป้ของตน ล้วงหยิบธนบัตรออกมานับ ขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด แล้วแยกเงินออกเป็นสองส่วน เก็บไว้ที่เดิมส่วนหนึ่ง อีกส่วนเดินมายื่นให้น้องสาว “ให้เขาสี่พันห้าก่อน ติดไว้สามพัน”

น้องสาวพยักพเยิดหน้าพลางรับเงินไป

“เห็นอย่างนี้แล้วนึกถึงเอก เป็นยังไงบ้างไม่รู้ หลวงตาท่านจะมีเงินพอจ่ายค่าเทอมให้หรือเปล่า” ผู้เป็นมารดาเอ่ยสีหน้าครุ่นคิด

ลูกสาวคนเล็กส่ายหน้าดิก “รายนั้นไม่ต้องห่วงหรอกแม่ เขาได้สิทธิ์นักกีฬา เรียนฟรีอยู่แล้ว”

“เออใช่ แม่ก็ลืม สงสัยอีกหน่อยความจำคงเลอะเลือน” ผู้เป็นมารดาเอ่ยแช่งตัวเองพลางยิ้มเขินๆ “แล้วได้เจอกันบ้างหรือเปล่า เขาขัดสนอะไรบ้างไหม ถามไถ่กันหน่อยก็ดีนะลูก เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย เผื่อจะช่วยเหลืออะไรกันได้บ้าง”

ลูกสาวคนเล็กกลืนข้าวลงคออย่างฝืดๆ ก้มลงดูดน้ำในกระติกก่อนเอ่ยขึ้น “แม่ไม่ต้องไปห่วงหรอก เขาออกจะดัง เดินไปไหนสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง”

“ขนาดนั้นเชียว?” ผู้เป็นพี่สาวแทรกขึ้น

“ยิ่งในโรงอาหารยิ่งน่าหมั่นไส้ แค่เดินเข้าไปสาวก็กุลีกุจอสั่งข้าวสั่งน้ำมาให้” น้องสาวเหยียดปาก “ทำอย่างกับคนพิการ”

ผู้เป็นมารดานิ่วหน้า ส่วนชาลิดาหัวเราะร่วน

“แขวะเขาอย่างโน้นอย่างนี้ หึงเหรอ”

“อย่างดาวนี่นะหึง” น้องสาวถามพลางชี้อกตัวเอง “ต่อให้เอกเก่งแค่ไหน หล่อแค่ไหน ดีแค่ไหน ดาวก็ไม่คิดจะเอามาทำแฟนหรอก”

“ทำไมล่ะ” พี่สาวถาม

“ดาวทั้งสาวทั้งสวย ถ้าจะมีแฟนก็ต้องหล่อและรวยเท่านั้น ยิ่งถ้าได้เป็นดารา ใครรู้เข้าว่ามีแฟนเป็นเด็กวัด อายเขาตาย”

“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะลูก” ผู้เป็นมารดาเอ่ย สีหน้ากังวล “เงินทองน่ะของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่คนดีๆ ใช่จะหาได้ง่ายนะลูก”

“ดาวไม่คิดอย่างนั้นหรอกแม่ คนดีที่รวยมีถมเถไป บ้านเราลำบากพออยู่แล้ว ถ้าได้แฟนจนก็ยิ่งไปกันใหญ่ มีแฟนรวยเขาจะได้ช่วยเราไงแม่”

คำพูดของลูกสาวคนเล็กทำผู้เป็นมารดาหวั่นใจ เมื่อมองไปทางลูกสาวคนโตก็เห็นความกังวลแฝงอยู่ในแววตาเช่นกัน





.........



(โปรดติดตามตอนต่อไป ๑ พ.ค.)

แก้ไขเมื่อ 16 เม.ย. 55 20:56:14

จากคุณ : วรบรรณ
เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 55 20:50:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com