ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11915632/W11915632.html
ตอนที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11934699/W11934699.html
ตอนที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11941758/W11941758.html
๔. คดีเจ้าของร้านเช่ารถค้ายากลายเป็นประเด็นร้อนในย่านเทพประสิทธิ์ภายในชั่วข้ามคืน เช้านี้สายตาทุกคู่จึงพากันจับจ้องสาวน้อยตัวเล็กผมกระเซิงเป็นตาเดียว
ประตูกระจกหน้าลิฟท์ซ่อมเสร็จแล้ว ส่วนตามทางประตูเข้าออกอื่นๆ ช่างจากบริษัทขายอุปกรณ์กันขโมยกำลังติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม แม้แต่คุณเจมส์เจ้านายใหญ่เจ้าอารมณ์ก็กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จะใช้รักษาความปลอดภัยให้กับพนักงานของเขามากขึ้น
“น่ากลัวจังเลย !”
กลุ่มสาวๆแผนกบัญชี อุทานออกมาพร้อมกัน หลังบุษบาเล่าเรื่องระทึกขวัญเฉียดตายที่เพิ่งผ่านมาให้พวกเธอฟัง
“เอื้อย โชคดีมากเลยนะ ที่คุณ กร มาช่วยทัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ … ” ทิพย์ นักบัญชีซึ่งเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล บุษบา ในช่วงทดลองงาน พูดขึ้น “แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะ คนประหลาดๆแบบนั้นจะน้ำใจงาม”
“นั่นซี ตานั่น ดูน่ากลัวออก เวลากลับบ้านตอนกลางคืนเดินผ่านทีไรนึกว่าเห็นผีทุกที” นัน นักบัญชีอาวุโสกล่าวเสริม “คนบ้าอะไรไม่รู้แต่งแต่ชุดดำ”
“นี่ๆ ! อย่ามาว่าคุณ กร อย่างนั้นนะ” นุช สาวใหญ่หัวหน้าแผนกบัญชี โพล่งขึ้นขัดคอลูกน้อง “คุณกร น่ะ เป็นคนใจดีมากเลยต่างหาก”
บุษบา ยิ้มออก “พี่นุช ก็คิดเหมือนหนูใช่มั้ยคะ”
หัวแผนกพยักหน้า ส่วนคนอื่นทำหน้าแปลกใจ
“ทำไมพี่นุชคิดอย่างนั้นล่ะคะ” นัน เอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ” นุช ดูลังเลที่จะตอบครู่หนึ่ง และกล่าวตัดบท “ทำงานกันได้แล้วสาวๆ เดี๋ยวคุณเจมส์จะดุเอา”
เอื้อย เสียดายและต้องสะกดความอยากรู้เรื่องของพี่นุชไว้ เธอเองรู้ดีกว่าใครว่าชายชุดดำที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึกไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นพูดเลยสักนิด
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยพลั้งปากจะตอบแทนอะไรสักอย่างให้เขา เธอจึงเริ่มคิดว่าควรจะเป็นอะไรดี ถ้าจะเลี้ยงอาหารสักมื้อเธอก็เพิ่งเริ่มงานและเงินเดือนยังไม่ออก จะซื้ออะไรให้ก็ดูเหมือนจะยากเต็มทนที่จะทำให้คนรู้เรื่องศิลปะอย่างเขาดีใจ
เอื้อย ใช้นิ้วกดม่านมูลี่ติดกระจกห้องทำงานลงระหว่างรอข้าวกล่องมาส่งตอนกลางวัน ถนนเทพประสิทธิ์ดูครึกครื้นขึ้นบ้างเมื่อพนักงานบริษัทพากันออกมาหามื้อเที่ยง
ร้านโมเน่ต์ มองไม่เห็นจากตรงนี้และไม่ว่าจะพยายามมองจากมุมไหนก็ตาม
เมฆก้อนโตลอยมาบดบังแสงแดดพอดีกับเวลาพระอาทิตย์เปลี่ยนข้างไปอยู่ทางทิศตะวันตก พี่นุช จึงเดินมาเลื่อนมู่ลี่ให้กางออก
“กินข้าวกันเถอะ เอื้อย เดี๋ยวเย็นหมดนะ”
“คุณรัตติกรณ์เคยช่วย พี่นุช เหมือนกันเหรอคะ” เอื้อยหันไปหา หัวหน้าแผนก ถือโอกาสถามความในใจ
นุช อ่านสายตาของสาวน้อยออกได้ไม่ยาก มันเป็นสายตาเดียวกับเธอเมื่อแปดปีก่อน สมัยที่บริษัทเจมส์กรุ๊ปเพิ่งก่อตั้งพร้อมๆกับร้านโมเน่ต์ ถ้าไม่ติดว่าตอนนั้นเธอแต่งงานและมีลูกตัวเล็กที่สามีไม่เอาไหนทิ้งเอาไว้ให้เลี้ยงตามลำพังมาตลอด เธอก็อาจคิดถึงเรื่องที่หญิงสาวทั่วไปมีสิทธิ์จะฝันได้เช่นกัน
สำหรับผู้หญิงที่ผ่านอะไรมามากมายอย่างเธอไม่คิดต้องการชายหนุ่มรูปงามอีกต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะลูกๆโพรงในใจของเธอคงไม่มีทางถูกเติมเต็มได้
“พี่เคยนอนกับเขาด้วยนะ” สาวใหญ่วัยสามสิบแปดแกล้งพูด “เห็นเงียบๆแบบนั้น เขา เก่งมากเลยนะ”
เอื้อยหันขวับตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง
นุช พยายามกลั้นหัวเราะ เธอเดาถูกเผง เอื้อย ตกหลุมรัก รัตติกรณ์เข้าแล้ว
“ทำไมล่ะ หึงเหรอ”
“ปะ เปล่า ค่ะ … ” สาวน้อยตัวเล็ก ไม่เต็มใจปฏิเสธนัก “พี่นุช เคยเป็นแฟนคุณกร เหรอคะ”
สาวใหญ่เริ่มนึกสงสารลูกน้องของเธอ แต่ก็ยังไม่อยากเฉลยเร็วไปนัก
“นี่ๆ พี่นุช น้องเอื้อย ทานข้าวเถอะ” เพื่อนๆในแผนก เรียกเสียงดัง
“ไปกันเถอะ ใกล้หมดเวลาพักแล้ว” นุช แตะแขน เอื้อยเบาๆ ปล่อยให้คำถามค้างคาอยู่อย่างนั้น
หลังมื้อเที่ยงดูเหมือนเอื้อยจะต้องรับหน้าที่ลงมาตรวจรับพัสดุไปรษณีย์ไปโดยปริยาย แม้ว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะหน้าที่นี้ก็ตาม
เธอมองไปยังร้านโมเน่ต์อย่างช่วยไม่ได้ เขาคงกำลังซ่อมงานของใครอยู่ หรือไม่ก็ต้อนรับลูกค้าที่มาซื้ออุปกรณ์วาดภาพแปลกๆในร้าน
สาวน้อย คิดถูก ประตูกระจกร้านโม่เนต์เปิดออกพร้อมกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก อายุราวๆสักห้าขวบเดินจูงสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ออกมาด้วย
ทว่า เอื้อย กลับคิดไปไกลลิบลับว่า “รึนั่นจะเป็นลูกสาวของรัตติกรณ์ … ” เขาเองก็ดูไม่ใช่เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ผู้ชายจะอายุสามสิบ สี่สิบ หรือแม้แต่ห้าสิบ ก็ดูเหมือนๆกันไปหมด พี่นุชเองก็ยังสาวยังสวย ถ้าจับแต่งองค์ทรงเครื่องสักหน่อยและไม่บอกใครว่ามีลูกติด มีหวังมีแต่คนมารุมจีบแน่ๆ
คำว่า 'พี่เคยนอนกับเขา' ดังไม่หยุดในหัว เอื้อยเดินกระแทกส้นรองเท้าแรงๆระหว่างกลับบริษัท
คุณเจมส์สั่ง นุช เป็นการส่วนตัวไม่ให้ เอื้อย ต้องทำงานล่วงเวลาเย็นนี้เพื่อปลอบขวัญจากเหตุการณ์ร้ายเมื่อวันก่อน
หอพักของ เอื้อย อยู่ไกลจากบริษัทหลายกิโลเมตรใกล้กับชาติหาดพัทยาเหนือ เธอเลือกที่นั่นเพราะเงียบและอากาศดีกว่าในพัทยากลางมาก แต่เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้เธอเริ่มรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก แม้เหตุการณ์รอบตัวจะดูเรียบร้อยดีแต่เธอยังหวาดกลัวยามราตรีอยู่ลึกๆ
สาวน้อยมายืนรถเมลล์ที่ถนนหน้าบริษัท ระหว่างนั้นก็คอยมองไปที่ไฟแสงสีขาวนวลหน้าร้านโมเน่ต์เป็นพักๆ ไม่กี่นาทีถัดมาที่หน้าประตูกระจกเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเมื่อตอนกลางปรากฎตัวอีกครั้งพร้อมกับสุนัขสีน้ำตาลทองตัวโต
รัตติกรณ์เดินตามออกมาจากในร้าน ย่อตัวลงลูบหัวสุนัขแสนรู้ที่ดูเป็นมิตร เด็กผู้หญิงชุดสีบานเย็นถือตุ๊กตาไว้ในมือซ้ายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอื้อยได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อยแม้อยู่ค่อนข้างห่าง ก่อนเสียงเครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงจนดังสนั่นจะกลบเสียงแห่งความสุขนั้นหายไป
เสียงตะโกนหยาบคายของชายฉกรรจ์จำนวนหลายสิบคนด่าทอกันบนถนน เมื่อรวมกับเสียงรถมอเตอร์ไซด์ของพวกเขาแล้วราวกับว่าเธอกำลังอยู่ในเหตุจราจลยังไงยังงั้น
“ยกพวกตีกันอีกแล้ว” กลุ่มคนที่รอรถเมลล์บ่นด้วยเสียงเบื่อหน่ายออกมา และต่างพากันเดินหนี เผื่อโดนลูกหลง
ขณะ เอื้อย ถอยห่างออกมาหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เธอได้ยินเสียงจุดระเบิดที่ฟังดูคุ้นเคย แม้ว่าในครั้งนี้จะฟังดูไม่หนักแน่น เหมือนกับคราวของ ธวัช ก็ตาม
เสียงมาจากหน้าร้านโมเน่ต์ พวกแก๊งมอเตอร์ไซด์กำลังตะลุมบอนกันอุตหลุดและคนหนึ่งในนั้นมีปืน
เอื้อย เคยเห็นการยกพวกตีกันแบบนี้มาบ้างมันขี้ขลาด น่าสมเพชและครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อประกาศศักดาเสร็จฝูงอสูรกายก็เผ่นหนีภายในชั่วพริบตา สายตาหลุกหลิกของพวกมันยามแตกฮือดูอ่อนแอไม่เข้ากับท่าทีป่าเถื่อนเมื่อครู่สักนิด เมื่อเหตุการณ์สงบ เธอมองไม่เห็นทั้งรัตติกรณ์และหนูน้อยชุดสีบานเย็น ไม่มีเสียงกระจกแตก ไม่ได้ยินเสียงร้องของพวกเขา สาวน้อยรีบตรงดิ่งไปที่ร้านในใจภาวนาขอให้ไม่มีใครเป็นอะไร
กระจกหน้าร้านเป็นรอยร้าวแต่ไม่แตก เด็กหญิงชุดสีบานเย็นนั่งร้องไห้กอดสุนัขอยู่ลำพัง
“บ็อบบี้ ลุกขึ้นมาซิ” เด็กหญิงอ้อนวอน “ลุกขึ้นมา”
รถซีดานสีดำแล่นมาจอดที่หน้าร้าน รัตติกรณ์วิ่งลงมาจากรถช่วยอุ้มสุนัขใส่ในเบาะหลัง
“เอ่อ คุณ กร คะ” เอื้อย ลังเลที่จะพูดอะไรสักอย่างในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
“หมาตัวนี้ โดนลูกยิง” รัตติกรณ์รีบอธิบาย แล้วหันไปพูดกับเจ้าของสุนัข “น้องแพร รีบไปกันเถอะ”
“ฉันไปด้วยได้มั้ยคะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
รัตติกรณ์ไม่มีเวลาให้ลังเล “รีบขึ้นรถ”
ความเร็วที่รัตติกรณ์บังคับรถสีดำขลับสร้างความกังวลให้เอื้อยพอสมควร ในรถไม่มีใครพูดกัน เด็กหญิงน่าสงสารสะอื้นคอยคุยกับสุนัขอันเป็นที่รัก โดยไม่มีใครรู้ว่าเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของเธอหมดลมหายใจไปหรือยัง
รัตติกรณ์จอดรถที่หน้าโรงพยาบาลสัตว์ในตัวเมืองพัทยากลาง ผู้ช่วยสัตวแพทย์พากันเร่งรีบเคลื่อนย้ายสุนัขพันธ์ใหญ่ลงจากรถ บรรยากาศดูคล้ายกับห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลของมนุษย์กลายๆ
“น้องแพร จ๊ะ” เอื้อย จำชื่อของเด็กน้อยแก้มป่องคนนี้ได้ “ไม่ต้องกังวลนะ ถึงมือหมอแล้ว”
“บ็อบบี้จะเป็นอะไรมากมั้ยคะ” หนูน้อยสะอื้น
เอื้อย ไม่รู้เรื่องสัตว์มากนัก ในความคิดของเธอไม่ว่าจะมนุษย์หรือสุนัขถ้าโดนยิงโอกาสรอดก็น้อยเต็มที “เอ่อ … บ็อบบี้ไม่เป็นอะไรหรอกจ๊ะ อีกเดี๋ยวก็กลับมาวิ่งกับน้องแพรได้แล้ว”
เธอ บีบมือน้องแพรไว้แน่น
“เข้าไปรอข้างในกันเถอะ ถ้าบ็อบบี้หายแล้วจะได้ออกมาเล่นกับน้องแพรไงคะ
เอื้อย ประคองหนูน้อยชุดสีบานเย็นนั่งลงในโรงพยาบาล พลางหันซ้ายหันขวามองหารัตติกรณ์ ซึ่งระหว่างนั้นเขากำลังโทรศัพท์อยู่ข้างนอก
เธอจึงเดินออกมาตามหาเพื่อให้เขาเข้ามารอข้างในโรงพยาบาลด้วยกัน
“พวกนั้นส่วนมาก อายุยังไม่ถึงยี่สิบหรอก” เสียงผู้ชายวัยกลางคนจากปลายทางสนทนาบอก รัตติกรณ์ “เห็นว่ามีชื่อแก๊งด้วยนะ น่าจะชื่อ แก๊งบูรพา อะไรนี่แหละ”
“ตอนนี้มันคงรวมตัวกันอยู่แถวชายหาด ผมอยากให้คุณพ่อ ช่วยดูให้หน่อยครับ”
“คุณพ่อ … ” เอื้อย ทวนคำที่ได้ยินแว่วๆโดยบังเอิญ
“เด็กผู้หญิงคนนึงเกือบโดนลูกหลง อาจเป็นโชคดีบนโชคร้ายที่หมาต้องมารับเคราะห์แทนเจ้าของ” รัตติกรณ์พูด
“ถึงจับได้ ตามกฎหมายคุ้มครองเยาวชนก็ต้องปล่อยอยู่ดี”
“ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
“ตกลง พ่อจะลองดู แต่อย่าหวังอะไรมากมายล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
รัตติกรณ์วางสาย และหันมาเจอสาวน้อยตัวเล็ก
“คุณพ่อ ของคุณเหรอคะ” เอื้อย เอ่ยถาม “เอ่อ คือ … ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พอดีฉันจะออกมาตามให้คุณเข้าไปรอข้างในด้วยกัน”
รัตติกรณ์ไม่ได้ตอบ แล้วจึงถามกลับไปแทน “หมาตัวนั้นเป็นยังไงบ้าง คงโดนกระสุนไปหลายนัดทีเดียว”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น เอื้อย จึงเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจนักว่าที่ให้ความหวัง น้องแพร ไปจะดีจริงๆหรือเปล่า
“หลายนัดเลยเหรอ … ” สาวน้อยตาโตครวญในใจ
แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 55 00:10:23
แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 55 00:01:12