39
ริมทะเล สถานที่เดิมที่เขมรัฐเคยขอความรัก พอเธอให้ เขาก็มอบจุมพิตที่แสนหวานนั้นตอบ วันนี้ไม่เหมือนเก่าแน่นอน เธอแน่ใจเพราะเขาไม่มีรอยยิ้ม มือที่กุมก็เย็นกว่าเคย พระจันทร์ก็ไม่สว่าง ฟ้ามืดมิดเหมือนใจที่เริ่มปกคลุมความเงียบงัน
“นายเข้...”
เขมรัฐหันมาเพราะปุริมากระตุกมือเขาให้หยุด “จะเดินไปถึงไหนล่ะ มีเรื่องอะไรจะคุย”
ใบหน้าผู้ชายตรงหน้าคือคนที่เธอไม่เคยเห็น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังเจือความเครียด สีน้ำตาลเข้มจางและไม่มีประกายแพรวพราวดั่งเคย
เขายืนนิ่ง ลมทะเลพัดเข้าแทรกที่ว่างตรงกลาง
“ถ้าผมจะบอกว่า อยากยุติเรื่องของเราแค่นี้ คุณจะโกรธจะเกลียดผมไหม”
ปุริมาอึ้ง เตรียมใจไว้บ้างแต่มันหล่นร่วงลงเรื่อย ๆ ประหนึ่งหุ้นตก
“ทำไมเหรอ” เขานิ่ง “เพราะภรรยาคุณเหรอ” ปุริมาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เสียงสั่น
“เปล่า เพราะโขง” เขาสั่นศีรษะ “โขงอยากให้ผมกลับไปคืนดีกับไหม เพื่อที่เราจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์”
วูบเล็ก ๆ ที่ปุริมาอุตส่าห์ดีใจ เป็นความต้องการของเด็กชายที่อยากได้แม่ต่างหาก
“แล้วคุณตัดสินใจยังไง”
เขมรัฐเงียบ ปุริมามองแล้วฝืนยิ้มเจื่อน กรอกตาลบความตีบตันที่พลุ่งพล่าน การเงียบคือคำตอบ คือศัตรูของความสมหวัง คือความปราณีแล้วที่ไม่ต้องได้ยินคำตัดรอน
“ผมกับคุณ เราต้องเหลือแค่เพื่อน”
เธอจะดึงมือตัวเองออก แต่เขมรัฐยื้อไว้
“ปูนิ่มฟังผมก่อนนะ” ชายหนุ่มบอก “ผมยังยืนยันคำเดิมว่าเรื่องของไหมกับผมมันจบลงไปแล้ว ผมไม่ไม่ได้เริ่มอะไรกับเขา แค่ให้ไหมเข้ามาในฐานะแม่ของโขง เพื่อโขงเท่านั้นเอง”
หญิงสาวส่ายหน้า ได้แต่มองพื้น “ไม่เป็นไร...นายเข้...ฉัน”
“ผมเลือกทางนี้เพราะเป็นความต้องการของโขง เพราะถ้าผมไม่อาจเริ่มต้นใหม่กับไหมได้ ผมก็เริ่มต้นใหม่กับใครไม่ได้ ไม่อาจรับผู้หญิงคนไหนมาแทนที่ได้ เพราะมันไม่ยุติธรรมกับลูก”
ยิ่งได้ฟัง ยิ่งรู้ว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง น้ำเสียงของเขาไม่สั่นไหวหากแต่นิ่งสงบจนน่ากลัว ไม่มีฟอร์มนายฟาร์มคนกะล่อนอารมณ์ดีแม้แต่นิดเดียว ขอบตาปุริมาร้อนผ่าว ตัวเธอชาแม้ว่าจะถูกดึงเข้าไปกอดก็ไม่รู้สึกความอบอุ่น ต้นรักที่กำลังงอกเงยถูกตัดการเจริญเติบโตทั้งที่เพิ่งแตกหน่อไม่นาน
“ผมรักคุณนะปูนิ่ม ผมไม่ได้บอกว่าจะยุติชีวิตไว้เพียงแค่นี้ แต่คุณจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก จะเป็นคนเดียวที่ผมอยากร่วมชีวิตด้วย แต่โอกาสมันไม่อำนวย ผมขอโทษนะ”
ขณะที่ชายหนุ่มลูบเรือนผมยาว ปุริมาก็น้ำตารินไหลโดยไม่มีเสียงสะอื้น คำบอกถึงความเสียใจสุดซึ้ง แต่สิ่งที่สัมผัสได้มีแต่ความเยือกเย็น ประหนึ่งหัวใจถูกมีดน้ำแข็งกรีด
“ขอโทษจริง ๆ”
ปุริมาลงจากรถ ใช้สายตาแทนคำลาก่อนจะเดินเข้าบ้านโดยไร้คำพูดใด ๆ ความเจ็บปวดแทนที่ทุกความรู้สึก เช่นเดียวกับเขมรัฐที่พายานพาหนะออกไปท่ามกลางความเงียบงัน หญิงสาวเดินลิ่ว ๆ ตรงเข้าห้องนอน คเชนทร์ซึ่งนั่งรอกินข้าวอยู่ที่ครัว พอเห็นกิริยาลูกสาวก็ลุกพรวดด้วยความเป็นห่วง แต่ช้ากว่าบานประตูที่ปิดพอดี
“ปูนิ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าของห้องสูดลมหายใจลึกเพื่อกลบเกลื่อนอาการสะอื้น “ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากอยู่คนเดียว ขอโทษที่หนูไม่ได้กินข้าวด้วย”
คนฟังเข้าใจสถานการณ์ทันที “เกิดอะไรขึ้น”
ปุริมาน้ำตาปริ่ม ภาพที่ความรักจบสิ้นหวนกลับมาฉายซ้ำ “ถ้าหนูพร้อมหนูจะเล่าให้ฟังค่ะ ตอนนี้อยากอยู่คนเดียว” ปลายเสียงแทบจะกลั้นไม่ไหว แล้วก็ไม่มีการตอบรับใด ๆ อีกไม่ว่าคนเป็นพ่อจะเรียกอีกหลายครั้ง
จิตใจคเชนทร์ร้อนรุ่ม หากเมื่อเป็นความต้องการของลูกสาวก็จำต้องยอม เสียดายที่เมื่อครู่ไม่ทันเฉลียวใจ จะได้ถึงตัวนายเข้ไว้ซักเอาความจริง แทบไม่ต้องเดา นายฟาร์มนั่นล่ะคือสาเหตุ
รุ่งเช้าคเชนทร์รีบไปเคาะประตูห้องลูกสาว ไม่รอนานเพราะเจ้าของเดินมาเปิดพร้อมดวงตาแดงก่ำ
“ไหวไหม พักก่อนไหม ปวดหัวไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าลูก”
คนเป็นลูกฝืนยิ้ม “หนูขอหยุดได้ไหมคะ”
เห็นอาการแล้ว คเชนทร์อนุญาตอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งในฐานะพ่อและเจ้านาย “ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น นายเข้ทำอะไรหนู พ่อไม่สบายใจเลย”
ปุริมาส่ายหน้า เธอสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว “เดี๋ยวหนูเล่าให้ฟังตอนเย็นค่ะ”
“เล่าเลยไม่ได้เหรอ”
หญิงสาวขบริมฝีปาก เป็นสัญญาณว่าทุกข์ยังสดใหม่ บิดาดึงมากอด “ก็ได้ ๆ เดี๋ยวพ่อจะรีบทำงานแล้วรีบกลับ หนูอยู่คนเดียวได้นะ”
“พ่อไม่ต้องไปถามอะไรนายเข้นะคะ เขาไม่ได้ทำอะไร”
คเชนทร์อยากจะพูดตำหนิว่าทำไมลูกสาวยังปกป้องชายหนุ่ม หลักฐานมัดตัวแต่เธอเลือกปากแข็ง แต่ลึก ๆ ก็ยังเชื่อว่าต้องมีอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายตัดสินใจบอกแบบนั้น ในฐานะพ่อเขาจะไม่ด่วนตัดสินใจ เขาต้องเป็นหลัก เป็นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเธอได้พักพิงอย่างดีที่สุด “สัญญานะคะ” เธอย้ำ
“ก็ได้ แต่หนูต้องเล่านะ แล้วพ่อจะรีบกลับมา”
ปุริมาพยักหน้ายืนยัน
“ผอ.จะทำพิธีเปิดอาคารหลังใหม่วันที่หนึ่งมิถุนา ฝากแม่เชิญสิน ว่างไหม”
สินธพมองปฏิทินเมื่อสกุณีโทรมาแจ้งข่าว “น่าจะว่างอยู่ครับ เอาเป็นว่าผมไปได้ก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรด่วน”
“เสร็จงานสินก็กลับเลยนะ”
คนเป็นลูกทำหน้าแหยอยูปลายสาย ดีแล้วที่เทคโนโลยีโทรศัพท์ในปัจจุบันยังไม่พัฒนาถึงขั้นเห็นสีหน้า มิฉะนั้นเขาคงไม่อาจซ่อนความในใจอะไรได้ หากกระนั้น อีกฝ่ายคือแม่ สินธพก็ตัดรอนเลยไม่ได้เช่นกัน
“ถ้างั้น...เดี๋ยววันอาทิตย์ผมแวะไปหา”
สกุณีทำเสียงยินดี “เอ้อ แม่เกือบลืม จะเล่าให้ฟังว่าลูกสาวของผอ.เลิกกับนายฟาร์มซะแล้ว เห็นว่าเมียเก่าเขากลับมา เลยกลับไปหาคนเก่า”
สินธพยกคิ้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจเรื่องคนอื่นขนาดนี้ หรือเพราะเป็นเรื่องคนที่ชื่อปุริมา ผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้เขาเจ็บตัว นิสัยของแม่ อะไรที่เกี่ยวกับลูกชายจะเจ็บแค้นชิงชิงไปเนิ่นนาน
“เหรอครับ”
“คบกันไม่เท่าไหร่เลย สมัยนี้คงเรียกว่าไม่ผ่านโปรใช่ไหม"
ชายหนุ่มไม่รู้จะออกความเห็นยังไง แทบไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ในสังคมนี้ วัยนี้ การคบกันเลิกร้างกันเป็นเรื่องปกติ ปุริมาหลุดจากสมองของเขาไปนานแล้ว “เท่านี้ใช่ไหมครับ เดี๋ยวผมทำงานก่อน”
สกุณีวางสาย สินธพขยับจะตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะต่อ แต่ใจดันลอยไปที่อื่น
‘เมียเก่า...’
ก็หมายถึงแม่ของเจ้าเด็กแสบนั่นน่ะสิ คาดไม่ถึงเหมือนกัน คนพ่ออุตส่าห์ตามจีบตั้งแต่เข้าใจว่าเป็นเมีย จนเป็นลูกก็อุตส่าห์ฝ่าด่านผอ.คเชนทร์ได้ทั้งที ท้ายสุดกลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าเสียอย่างงั้น
สินธพเริ่มอยากรู้ อยากเห็นหน้าเมียเก่านายฟาร์มที่ทำปุริมากระเด็นตกกระป๋อง ใจกระหวัดไปถึงคนในความคิดอีกคน สาวสวยคนนั้นล่ะ จะหลุดจากวงโคจรนี้ด้วยหรือป่าว เจ้าโขงนั่นคงเลือกแม่ตัวเอง
เขายิ้ม มีเบอร์โทรศัพท์แล้วนี่นา ไม่ยากหรอก
ตั้งแต่วันที่ปุริมาไม่ได้มาสอน เมื่อปรากฏกายต่อหน้าคนช่างสังเกตอย่างครูปลากับครูผึ้งก็ไม่ยากที่จะปะติดปะต่อเรื่องราว รวมกับภาพที่เห็นในวันเปิดภาคเรียนจึงเกิดการตั้งข้อสังเกต ครั้นเมื่อผ่านไปอีกสัปดาห์ วันศุกร์บ่ายมีรถเก๋งมารับเด็กชายโขง ข่าวยิ่งแพร่สะพัด
“เขาเลิกกันแล้วจริง ๆ เหรอคะพี่ผึ้ง”
ครูผึ้งมองซ้ายขวา ในห้องพักครูเหลือเพียงรุ่นน้องคนสนิทจึงเล่าได้ออกรส “เอ๊า ปลาก็เห็นเหมือนพี่ว่า แม่เจ้าโขงมารับมาส่งลูกชายเอง ที่ตรงนี้มันคือจะเป็นของปูนิ่มคนสวยไม่ใช่เหรอ”
คนฟังคล้อยตาม แต่ยังแคลงใจ คนเล่าย้ำ “บ้านน้ำทองเล็กแค่นี้ ใครเขาก็เห็นว่า สองแม่ลูกตระเวนเที่ยวกันจนทั่ว บางทีพ่อก็ไปด้วย แบบนี้ไม่ต้องกรองแล้วล่ะ อีกอย่างนะ ถ้าคนมันคบกันอยู่ จะพักเที่ยง เช้าสายบ่ายเย็น ยุ่งยังไงก็ยังต้องแวะมาหาทักทายกันบ้าง ดูสิตอนจีบเทียวมาจนพื้นอาคารโรงเรียนสึก ตอนนี้นะ ทักกันทีเหมือนพิกุลจะร่วง”
ยิ่งฟังยิ่งเห็นด้วย ยิ่งวิพากษ์เข้มข้น และไม่ต้องให้ลอยไปถึงคนเป็นข่าว เจ้าตัวก็สะบักสะบอม ปุริมาพยายามใช้งานดามใจกับความหวังที่พังทลาย ปกปิดความเจ็บช้ำที่ได้ยอมให้ตัวเองปลดปล่อยเพียงแค่หนเดียว เมื่อบัณฑิตาตั้งข้อสังเกตและเธอจำต้องตอบ เพื่อนครูคนสวยก็แทบจะกรีดร้อง
“ละ...เลิก...ปูนิ่ม!! อะไรกัน”
ดวงตาที่โตอยู่ก่อนแล้วอาจจะถลนออกมานอกเบ้าก็เป็นได้ถ้าปุริมาไม่ยิ้มแห้งและรีบจับมือคนฟังให้หยุด
“เพราะยัยเมียเก่า!”
“บุ้ง” ปุริมาทำเสียงเข้ม บัณฑิตายกมือแตะปาก ตั้งตาจะรอคอยเหตุผล “ไม่มีอะไรหรอก แค่กลับไปเป็นเพื่อนกัน เท่านี้นะบุ้ง อย่าถามอะไรเลย”
แล้วเจ้าของเรื่องก็ตั้งหน้ากินข้าวกลางวันเป็นการตัดบท บัณฑิตาทำหน้าเหมือนถูกขัดใจ อยากรู้เรื่องมากกว่านี้ แต่เกรงใจ เท่าที่ได้ยินก็ถือว่ามากแล้วสำหรับการยอมรับให้เป็นคนสนิท จะไปถามเอาความจากต้นตอข่าวอีกฝ่ายก็ไม่ได้ ท้ายที่สุดก็เก็บความสงสัย และความอึดอัดไว้ยามที่เห็นเขมรัฐทักทายปุริมาหน้ายิ้ม ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เจ้าโขงก็เช่นกัน
“เจ๊ เอ้ย ครูปูนิ่มสวัสดีครับ”
โขงยกมือไหว้ ปุริมายิ้มจาง “การบ้านเสร็จแล้วใช่ไหม”
“ยังไม่เสร็จครับ กำลังจะไปลอกไอ้หมู”
“งั้นก็รีบไปสิ เดี๋ยวไม่ทัน”
เด็กชายทำหน้าทะเล้นค้าง คิดว่าจะได้รับคำตอบแนวงัดข้อกลับมา แต่กลายเป็นคำจำยอมกับน้ำเสียงไม่ยีหระ เขารู้สถานการณ์ดีจึงไม่ถาม แต่ครั้นเมื่อหันไปทางชายที่มาส่ง คนเป็นพ่อยังทักทายเจ๊เหมือนเดิม
“ตกลงทำพิธีวันที่ 1 ใช่ไหม เริ่มงานกี่โมง”
“ทำบุญใส่บาตรหกโมงครึ่งค่ะ”
เขมรัฐพยักหน้า “เช้าจัง แต่ไม่เป็นไร พอตื่นได้”
“เข้านอนแต่หัวค่ำสิ” หญิงสาวบอก
“เข้านอนได้ แต่จะไม่หลับน่ะสิ” เขมรัฐตอบยิ้ม ๆ เธอทำหน้าหมั่นไส้แล้วเดินผละออกไป ท่ามกลางสายตาของบัณฑิตากับโขงที่มองพฤติกรรมของคนสองคน แล้วหันกลับมามองหน้ากัน
“งั้นพ่อกลับแล้วนะโขง”
เด็กชายมองตามร่างคนเป็นพ่อที่เดินออกไป แน่นอนว่าภาพที่เห็นไม่เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ใช่ภาพที่เขาคิดเอาไว้เช่นกัน ถ้าความหมายของการถอยหลังของพ่อคือแบบเดียวกับการไม่เดินหน้าต่อเรื่องเจ๊ปูนิ่ม มันก็ไม่น่าจะใช่ความเป็นมิตรที่มีให้กันเช่นนี้ หรือว่าเขาติดภาพจากละครมากเกินไป
“โขง”
บัณฑิตาเรียกชื่อ เขาหันไป ส่ายหน้า กุมหน้าผาก
“อย่าเพิ่งถามครับครูบุ้ง คนหล่องง ไปล่ะ”
ว่าแล้วก็เดินออกไปดื้อ ๆ คราวนี้ทิ้งครูสาวอยู่คนเดียว พึมพำหมั่นไส้ในลีลาท่ามากของเด็กแสบ ประกอบกันเป็นความหงุดหงิดเล็ก ๆ เพราะเธอก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน เฮ้อ...
.....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
18 เม.ย. 55 18:45:44
|
|
|
|