Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
รถระบะสีดำในกระจกส่องหลัง ติดต่อทีมงาน

รถกระบะสีดำในกระจกส่องหลัง

โดย

ทะเลเดือด

รถเก๋งสีน้ำเงินสัญชาติญี่ปุ่นของผมจอดติดไฟแดงอยู่กลางสี่แยกราษฎร์บูรณะมาได้เกือบสิบนาทีเต็มแล้ว นาฬิกาแจ้งเวลาว่าสามทุ่มสี่สิบห้า ผมกำลังเดินทางจากออฟฟิศที่ประชาอุทิศ 14 เพื่อกลับไปยังบ้านเช่าแถวเขตจอมทองซึ่งผมพักอยู่กับพี่สาว

และขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนคลื่นวิทยุเพื่อหาสิ่งบันเทิงฟังฆ่าเวลาอันน่าเบื่อหน่ายนั้นเอง เหตุการณ์ที่ทำให้ผมหงุดหงิดมาตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ ก็บังเกิดขึ้น

ในกระจกส่องหลัง ผมเห็นรถกระบะสีดำคันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามา มันแล่นมาด้วยความเร็วเหมือนคนขับเมายาบ้า ซึ่งหากคำนวณจากระยะและความเร็วแล้ว รถคันนั้นต้องพุ่งชนท้ายรถผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การชนจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

ผมถอนหายใจกึ่งรำคาญกึ่งเบื่อหน่าย ละสายตาจากกระจกส่องหลังแล้วเหลียวไปด้านหลังเพื่อมองหารถคันนั้น

แต่สิ่งที่ผมพบก็คือความว่างเปล่า

ไม่มีรถกระบะสีดำ มันหายวับไปแล้ว หายไปกลางอากาศ หายไปในวินาทีที่กันชนหน้ารถของมันควรจะอัดกระแทกท้ายรถของผม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมควรจะกลัวมากกว่านี้ ทว่าตั้งแต่ที่ผมซื้อรถยนต์มือสองเป็นของตัวเองจากเต็นท์รถย่านชานเมือง ผมก็พบเจอไอ้กระบะสีดำคันนั้นจนถือเป็นเรื่องปกติแล้ว มันจะปรากฏเข้ามาในกระจกส่องหลังของผมทุกครั้งที่ผมขับรถกลับบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าวันไหนรถผมมาจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกแห่งนี้ตอนประมาณสามทุ่มกว่าๆ มันจะปรากฏเข้ามาในกระจกส่องหลังในลักษณะที่พุ่งเข้ามาพร้อมชนรถของผมเต็มที่

แรกๆ ผมกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ไม่กล้าขับรถของตัวเองไปทำงานหลายวัน ต้องพึ่งพิงรถร่วมบริการขนส่งมวลชนกรุงเทพที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ สุดท้ายความสะดวกสบายก็เอาชนะความหวาดกลัว ผมกลับมาใช้รถคันนี้อีกครั้งในสัปดาห์นี้หลังจากที่ปล่อยให้มันนอนหมอบอยู่เฉยๆ เกือบครึ่งเดือน

คราวนี้ ผมพยายามเลิกงานให้เร็ว ขับรถกลับบ้านให้ตรงเวลาก่อนหกโมงเย็น แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในอาทิตย์นี้ที่ผมกลับบ้านช้าเพราะอยู่สะสางงานงานบัญชีที่คั่งค้างในบริษัทให้เสร็จสิ้น เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ผมไม่อยากให้มีงานตกค้างไปถึงวันจันทร์

ดังนั้น ตั้งแต่ขึ้นมานั่งกุมพวงมาลัยบนรถและขับรถออกมาจากบริษัท ผมจึงภาวนามาตลอดทางว่าอย่าให้เจออะไรที่ไม่อยากเจอเลย ผมไม่ได้กลัว เพียงแค่ไม่สบายใจที่ได้เจอเท่านั้นเอง

แล้วก็อย่างที่คุณเห็นครับ ในที่สุดไอ้รถกระบะผีสิงคันนั้นก็โผล่มาจนได้

ผมรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง คนก็อยู่ส่วนคน ผีก็อยู่ส่วนผี ผมเติบโตมาจนมีอายุได้ยี่สิบห้าปี ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีที่มาที่ไป ผมแน่ใจว่ารถเก๋งมือสองของผมมันต้องมีประวัติในอดีตเกี่ยวข้องกับรถกระบะคันนั้นแน่

บางทีผมอาจจะใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้สืบหาเรื่องราวของมันดูอย่างจริงๆ จังๆ เสียที

ใช่ ผมควรทำอย่างนั้นและควรทำมาตั้งนานแล้วด้วย

เมื่อสัญญาณไฟจาจรเป็นสีเขียว ผมกดปุ่มปิดวิทยุแล้วขยับเกียร์ กดเท้าบนคันเร่ง พยายามปัดความวุ่นวายออกจากสมองและตั้งสติอยู่กับการควบคุมรถให้ดีที่สุดขณะพารถเคลื่อนไปข้างหน้า

ตลอดทางกลับบ้าน ผมส่องกระจกมองหลังเป็นระยะ แต่ผมก็ไม่พบอะไรอีก

++++++++

ไม่มีสังหรณ์ใดแจ้งเตือนเลยว่า เมื่อผมเริ่มต้นการสืบค้นประวัติรถของตัวเองอย่างจริงจังในวันรุ่งขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างกลับง่ายดายกว่าที่คิด

“อ้าว ตื่นแล้วหรอ ทิน?”

เสียงพี่สาวของผมดังขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นผมนั่งซดกาแฟอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กภายในห้องนั่งเล่นของบ้านทาวน์เฮาส์ที่เราเช่าอยู่ด้วยกันตั้งแต่สมัยเข้ามากรุงเทพเพื่อเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย เราอยู่บ้านหลังนี้มาเกือบสิบปี ผมและพี่สาวจึงรู้สึกผูกพันกับบ้านเช่าหลังนี้ไม่ต่างจากบ้านของตัวเองที่จังหวัดกาญจนบุรีเท่าไหร่นัก

ผมวางแก้วกาแฟลง แล้วหันไปตอบพี่สาวที่เดินลงบันไดมาจากชั้นบนด้วยสภาพหัวหูยุ่งเหยิง ไม่เหลือคราบของครูสาวในโรงเรียนประถมเลยสักนิด “เห็นนั่งหัวโด่อยู่แบบนี้ คงยังไม่ตื่นหรอกมั้งเจ๊“

พี่สาวผมเธอชื่อลูกตาล แก่กว่าผมเพียงปีเดียว ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าในบางครั้ง ผมจะรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนเพื่อน มากกว่าพี่

“กวนประสาทแต่เช้าเชียวนะแก” พี่ตาลหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ผมพลางเอื้อมมือออกมาผลักศีรษะผมทีหนึ่งเป็นเชิงหยอกเย้าก็กล่าวว่า “วันนี้วันเสาร์ แกจะตื่นเช้าทำไม ปกติเห็นออกจากห้องเกือบเที่ยง เอ รึว่าน้องฉันจะแอบนัดใครเอาไว้เอ่ย?”  

“เพ้อเจ้อน่ะเจ๊” ผมตอบพร้อมกับหัวเราะ แล้วปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น “ผมไม่ได้นัดใครไว้ทั้งนั้น เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่แปดโมงเพื่อหาข้อมูล”

พี่สาวผมหรี่ตา “ข้อมูลอะไรของแก?”

“ข้อมูลเรื่องรถของผม” แล้วผมก็อธิบายถึงเหตุการณ์ที่รถกระบะคันนั้นมันขับตามผมมาเมื่อคืน พี่ตาลทราบมาตลอดว่าตั้งแต่ที่ผมเป็นเจ้าของรถเก๋งมือสองคันนี้ ผมต้องเผชิญรถกระบะสีดำที่ขับตามหลังมาหลายครั้งแล้ว

พี่ตาลฟังจบก็พยักหน้าครุ่นคิดและหันมากล่าว “แต่คราวก่อนที่แกโทรไปถามเต็นท์รถ เขาก็บอกว่าไม่รู้เรื่องไม่ใช่หรือ?”

เธอพูดถึงตอนที่ผมโทรไปโวยกับเสี่ยเจ้าของเต็นท์รถครั้งที่ประสบเหตุมีรถผีสิงขับตามหลังไล่ชนตูดในช่วงแรกๆ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกี่ยวกันอย่างไร แต่ในเมื่อผมนั่งรถคันอื่นไม่เคยพบเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน พอมาขับรถเก๋งคันนี้กลับเจอ  ผมเลยลงความเห็นว่ารถเก๋งมือสองที่ผมขอยืมเงินจากพี่สาวและผสมเงินเก็บของตัวเองซื้อมันมาด้วยเงินสดจำนวนสามแสนหกหมื่นห้าพันบาท ต้องมีอดีตไม่ชอบมาพากล อาจจะเคยประสบอุบัติเหตุชนกับรถกระบะสีดำนั้น แล้วคนขับรถกระบะอาจจะตาย เขาคงแค้นและไล่ตามหลอกหลอนทุกคนที่ขับรถเก๋งคันนี้ก็เป็นได้

แต่แน่นอนครับ ลองเป็นรถมือสอง คุณไปถามเจ้าของเต็นท์รถให้ตาย เขาก็ไม่บอกคุณหรอกว่ารถที่เขาขายให้คุณผ่านการย้อมแมวอะไรมาบ้าง

ผมดึงตัวเองออกจากห้วงคิด เหลียวไปยิ้มให้พี่สาวแล้วหันหน้าจอโน้ตบุ๊กให้เธอดู

ผมชี้ที่หน้าจอ “ผมไม่โง่โทรไปที่เต็นท์อีกแล้วเจ๊ ผมจะสืบด้วยตัวผมเองนี่ล่ะ และนี่ก็คือการสืบขั้นแรกของผม พอผมพิมพ์เลขทะเบียนรถผมลงไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เจ๊ลองดูสิว่าผมเจออะไร”

พี่ตาลโน้มตัวดูหน้าจอ เธอต้องหรี่ตาเล็กน้อยเพราะเป็นคนสายตาสั้นและยังไม่ได้หยิบแว่นบนห้องนอนมาสวมใส่

“หมอหนุ่มหึงโหด ไล่ยิงพยาบาลสาวกลางเมือง เจ็บสอง - ตายหนึ่ง” พี่สาวผมอ่านข้อความบนหน้าจอเสียงดัง “เมื่อคืนวันที่ 14 กุมภาพันธุ์ พ.ศ.2553 เวลา สามทุ่มห้าสิบนาที สิบตำรวจเอก สุเทพ หนองคำโดด ร้อยเวรสน.ราษฎร์บูรณะได้รับแจ้งเหตุมีการยิงกันกลางสี่แยกราฏร์บูรณะ โดยพยานผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งว่า ได้มีรถเก๋งสีขาว ยี่ห้อ...รุ่นเดียวกับของแกเลยนะ...ติดแผ่นป้ายทะเบียน สต.28...เฮ้ย นี่มันทะเบียนรถแกนี่หว่า เจ้าทิน!”

“ครับ ทะเบียนรถผม” ผมผงกศีรษะ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่ได้พบความจริงเกี่ยวกับรถของตัวเองอย่างนี้ “เจ๊อ่านต่อไปสิ แล้วจะงงหนักยิ่งกว่าผมอีก”

“เดี๋ยวนะ ฉันขอขึ้นไปเอาแว่นก่อน” พี่ตาลพูดแล้วลุกขึ้น เดินอ้อมโซฟาย่ำขึ้นบันไดไปห้องนอนชั้นบน ก่อนจะกลับลงมาพร้อมสวมแว่นตาไร้กรอบและนั่งลงอ่านข้อความบนหน้าจอซึ่งเป็นข้อมูลจากคลังหนังสือพิมพ์เก่าของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง

ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละนิดบนใบหน้าของพี่สาว จากตอนแรกที่อ่านเม้มปากอย่างจริงจังและตั้งใจ แต่เมื่ออ่านจบ ปากก็อ้ากว้างด้วยความคาดไม่ถึงว่ารถเก๋งสีน้ำเงินสภาพเรี่ยมกริบของผม เมื่อสองปีก่อน มันจะมีสีขาวและกระโปรงหน้ารถก็มีสภาพที่ดูไม่ต่างจากกระป๋องน้ำอัดลมบุบบี้

ในข่าวที่ผมค้นพบมันบอกไว้ว่า เจ้าของรถคนเก่าของผมเป็นพยาบาลสาวสวย มีหมอหนุ่มมาติดพัน หมอหนุ่มคนนั้นเป็นเจ้าของรถกระบะสีดำนำเข้าจากอเมริกา เขากำลังมีปัญหาความรักกับพยาบาลสาวสวยเพราะเข้าใจว่าเธอแอบคบหาหนุ่มคนอื่นนอกจากตัวเอง  จนเมื่อวันวาเลนไทน์สองปีก่อน หมอหนุ่มคนนั้นเห็นพยาบาลสาวสวยขับรถไปกับหนุ่มหล่อคนหนึ่งโดยบังเอิญ เขาขับรถปาดหน้าหวังจะให้จอดลงไปเคลียร์กันที่ข้างทาง แต่พยาบาลสาวสวยไม่ยอม ขับรถฉีกหนีไปอีกทาง หมอหนุ่มจึงเกิดอาการบันดาลโทสะประกอบกับอาการมึนเมา เขาควักปืนออกมาไล่ยิงรถเก๋งของพยาบาลสาวด้วยความเดือดดาล

กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้าล้อหลังของรถเก๋ง รถของพยาบาลสาวสวยเสียหลักพุ่งเข้าชนเกาะกลางถนน  หมอหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็ได้สติ ความเดือดดาลถูกแทนที่ด้วยความตกใจ เขาจอดรถกลางถนนและวิ่งลงไปดูว่าพยาบาลสาวเป็นอย่างไรบ้าง

แต่วิ่งไปไม่ทันถึง รถตู้คันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนร่างของหมอหนุ่มเข้าอย่างจัง

ท้ายข่าวเขียนไว้ว่า พยาบาลสาวถูกอัดกับเบาะที่นั่งและพวงมาลัย มีกระดูกแตกหักทั่วร่าง ทีมกู้ชีพนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัส ส่วนหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันนั้นเสียชีวิตระหว่างนำส่งโรงพยาบาล และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าหนุ่มสาวทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน

ด้านหมอหนุ่มเจ้าของรถกระบะสีดำ...เขาไม่ตาย ถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการสาหัสเช่นเดียวกับพยาบาลสาว มันเป็นเรื่องที่คาใจผมมาก ผมลองค้นดูประวัติเกี่ยวกับคดีนี้อีก แต่กลับไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรอีกเลย มันเป็นเพียงข่าวที่คนสนใจอยู่เพียงวันสองวัน ไม่มีความคืบหน้าว่าหมอหนุ่มและพยาบาลสาวมีอาการเป็นอย่างไรบ้างหลังเข้ารับการรักษา พวกเขาอาจจะตาย หรืออาจจะมีชีวิตอยู่ก็ได้

แต่ผมจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าหมอคนนั้นตอนนี้กลายเป็นผีที่ขับรถตามผมจริงๆ หรือเขายังมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมเลย?

ผมมองหน้าพี่สาว แล้วหันมองหน้าจอโน้ตบุ๊ก ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมา ผมลองพิมพ์ชื่อของหมอหนุ่มคนนั้นค้นหาในอินเตอร์เน็ต

และมันให้ผลลัพธ์มากกว่าที่คิด

ผมพบชื่อและที่อยู่ของเขาในเว็บไซต์สมุดหน้าเหลือง  ผมรีบจดข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้ ก่อนที่ผมจะทำอย่างเดียวกันนี้ด้วยการค้นหาข้อมูลของพยาบาลสาวผู้ที่รถของเธอ กลายมาเป็นรถของผมอยู่ในตอนนี้

ผมได้ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์บ้านของพวกเขามาอย่างง่ายดาย หนทางพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอหนุ่มและพยาบาลคู่นั้นสว่างไสวขึ้น
พี่ตาลมองผมอย่างแปลกใจว่าผมจะทำอะไรเมื่อควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ผมกดเบอร์โทรศัพท์ เลือกที่จะติดต่อฝ่ายของหมอหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถกระบะสีดำเป็นฝ่ายแรก

ผมกดปุ่มโทรออก ยกโทรศัพท์แนบหู นาฬิกาบอกเวลาเก้าโมงสี่สิบนาที เสียงสัญญาณดังขึ้นห้าครั้ง หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็รับสาย

“ฮัลโหล?”

“สวัสดีครับ ที่นั่นใช่บ้านของคุณหมอชาครหรือเปล่าครับ?” ผมพูด ควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นจนเกินไปเพราะความตื่นเต้น

“ใช่ค่ะ มีอะไรหรือคะ?” หญิงวัยกลางคนถามกลับด้วยเสียงประหลาดใจ

ผมตอบ “ผมมีเรื่องบางอย่างจะคุยกับคุณหมอชาคร ไม่ทราบว่าคุณหมออยู่หรือเปล่าครับ?”

หญิงวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวตอบเสียงเครือว่า “มีอะไรก็พูดกับฉันได้เลยค่ะ ฉันเป็นแม่ของเขา คุณคงยังไม่รู้ข่าวสินะคะ?”

นาทีนั้นหัวใจผมเต้นตึกตัก ผมจะได้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของรถกระบะสีดำคันนั้น ถ้าเขาตายไปแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิญญาณของเขาคงขับรถคอยตามรถของผมเพราะคิดว่าผมเป็นคนรักใหม่ของพยาบาลสาวหรืออะไรทำนองนั้นแน่ๆ

“ข่าวอะไรครับ?”

ปลายสายถอนหายใจก่อนตอบเสียงขมขื่น “คุณหมอประสบอุบัติเหตุถูกรถตู้ชน ตอนนี้นอนไม่ได้สติเป็นเจ้าชายนิทรามาสองปีแล้วค่ะ”

++++++++

บ่ายวันนั้น ผมใช้เวลาหมดไปกับการเยี่ยมคุณหมอชาครซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่บ้านในแถบแจ้งวัฒนะ ก่อนที่จะเดินเข้าบ้านและอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ผมพบรถกระบะสีดำคันนั้นจอดฝุ่นจับอยู่ที่โรงรถ มันเป็นรถที่คุณหมอชาครรักมาก คุณแม่ของหมอเลยไม่กล้าขายทิ้ง แม้จะไม่มีใครใช้ประโยชน์จากมันแล้วก็ตาม

ในขณะเดียวกับที่ผมมาบ้านคุณหมอชาครนั้น ผมก็ส่งพี่ตาลไปที่บ้านของพยาบาลสาวซึ่งตั้งอยู่แถวพระรามสอง(โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ พี่ตาลจึงไม่ต้องไปสอนนักเรียนและสามารถช่วยเหลือผมได้เต็มที่) เพราะจากการตรวจสอบเมื่อเช้า ผมพบว่าพยาบาลสาวคนนั้นก็ยังไม่ตายและยังมีสติครบถ้วนดีทุกประการ
 
เว้นเพียงแต่ทางร่างกายที่เป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงไปเท่านั้น

ผมจึงคิดว่าผู้หญิงที่มีท่าทีเรียบร้อยและอัธยาศัยดีอย่างพี่สาวผม คงสามารถพูดคุยกับเธอได้ดีกว่าผมเป็นแน่ พี่ตาลจะเป็นคนเล่าให้เธอฟังว่าผมพบเจอเหตุการณ์อะไรมาบ้างหลังซื้อรถของเธอมาใช้งาน ผมกับพี่สาวนัดแนะกันว่าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ความคืบหน้า ก็จะโทรบอกอีกฝ่ายทันที

แต่ผมมาถึงบ้านของหมอชาครได้พักใหญ่แล้ว ยังไม่มีโทรศัพท์จากพี่ตาลเลยสักกริ๊งเดียว

ผมใช้เวลาระหว่างนั้น นั่งอยู่ในห้องรับแขกกับคุณแม่ของหมอชาคร หล่อนเป็นหญิงวัยกลางคน ร่างกายผอมแห้งและมีใบหน้าที่แลดูอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา

หล่อนเล่าประวัติความเป็นมาของคุณหมอให้ผมฟัง ผมเลยได้รู้ว่า คุณหมอเป็นคนที่มีบุคลิกแบบสองขั้ว คือในเวลาปกติก็เงียบๆ นิ่งๆ ยิ้มแย้มเยือกเย็น แต่บทโมโหขึ้นมาจะกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนอย่างเหลือเชื่อถึงขนาดเคยมีเรื่องชกต่อยกับหมอฝึกหัดรุ่นน้องมาแล้ว

และหมอชาครเป็นคนที่รักใครรักจริง จะรักจนหมดใจ แต่มีข้อเสียคือชอบหึงหวงฝ่ายหญิงอย่างไม่มีเหตุผล มันจึงเป็นสาเหตุให้คุณหมอคบหากับสาวคนไหนไม่ได้นาน สุดท้ายต้องเลิกรากันไปอย่างรวดเร็ว มีที่คบได้นานที่สุดก็คือพยาบาลวรดา – ซึ่งก็คือเจ้าของรถคนเก่าของผมนั่นเอง

พวกเขาคบกันมาได้หนึ่งปีก่อนที่จะเกิดเหตุอันน่าเศร้านั้น คุณแม่ของหมอชาครเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ หมอชาครกับพยาบาลวรดาได้มีเรื่องหมางใจไม่พูดคุยกันมาประมาณสองอาทิตย์แล้ว ส่วนเรื่องที่ทะเลาะกันก็หนีไม่พ้นเป็นเหตุมาจากความหึงหวงของหมอชาครอีกนั่นล่ะครับ  แต่มันประจวบเหมาะพอดีที่วันเกิดเหตุเป็นวันวาเลนไทน์ หมอชาครพยายามโทรไปง้อขอคืนดี แต่ถูกพยาบาลวรดาปฏิเสธ เลยไปดื่มเหล้าย้อมใจกับเพื่อนในร้านอาหารแถวราษฎร์บูรณะตั้งแต่เย็น จนถึงสามทุ่มกว่าจึงเดินทางกลับ

ทว่า ระหว่างขับรถจะออกจากร้าน ก็บังเอิญเห็นรถของพยาบาลวรดาแล่นผ่านหน้าไป บนเบาะผู้โดยสารมีหนุ่มหล่อนั่งอยู่ หมอชาครไม่รู้ว่าหนุ่มคนนั้นเป็นพี่ชายที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศของพยาบาลวรดา เธอนำพี่ชายมาซื้อของขวัญไปให้พี่สะใภ้เพื่อเซอร์ไพร๊ซ์วันแห่งความรัก
หมอชาครขับรถไล่ตาม แต่พยาบาลวรดาทราบดีว่าหมอชาครเป็นคนโมโหร้าย เธอเลยไม่ยอมจอดรถ พยายามขับหนีไปให้ไกล แต่สุดท้าย ผลก็ออกมาไม่สวยงามนัก – ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของใครก็ตาม

ผมพูดคุยอยู่ในห้องรับแขกประมาณชั่วโมงกว่า คุณแม่ของหมอชาครก็ลุกขึ้นและพาผมเข้าไปหาร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงซึ่งล้อมรอบด้วยอุปกรณ์ที่เหมือนถูกยกมาจากโรงพยาบาลอย่างไรอย่างนั้น

ผมรู้สึกอธิบายไม่ถูกเหมือนกันนะครับที่ได้เข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เตียงของคนที่ผมคิดว่าเขากลายเป็นวิญญาณขับรถผีสิงไล่ตามผมตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมยืนนิ่งเป็นหิน ไม่รู้ว่าควรวางตัวอย่างไรกับร่างผอมซูบภายใต้ผ้าห่มที่คลุมขึ้นมาระดับหน้าอกบนเตียงนี้

หมอชาครที่ผมพบคือบุรุษหนุ่มหน้าหล่อเข้มอายุราวสามสิบกว่า เขานอนหลับตา มีสายออกซิเจนเสียบอยู่ที่จมูก ผมคิดไม่ออกแล้วว่าในเมื่อหมอชาครยังคงหายใจ – แม้จะด้วยเครื่องช่วยหายใจก็ตาม – แต่อย่างน้อยสิ่งที่ผมพบก็ยืนยันได้ว่าหมอชาครยังมีชีวิตอยู่ เขายังไม่ตาย
แล้วรถกระบะสีดำคันนั้นมาจากไหน?

จะมีทางเป็นไปได้ไหมที่วิญญาณของหมอชาครสามารถล่องลอยออกไปที่ไหนก็ได้ในสภาวะที่ร่างกายหลับใหลอย่างนี้ ผมเคยดูในภาพยนตร์ก็มีให้เห็นถมไป แต่นี่มันโลกแห่งความจริง มันจะเป็นได้หรือ?
และถ้าเป็นได้ หมอชาครจะทำอย่างนี้ทำไม เขาน่าจะรู้ว่าผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับพยาบาลสาวของเขา

แต่ขณะที่ผมยืนวางตัวไม่ถูกอยู่นั้นเอง คุณแม่ของหมอก็เอ่ยให้ผมฟังเสียงสั่นเครือว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ ทางครอบครัวหล่อนก็ไม่ได้ติดต่อครอบครัวของพยาบาลวรดาเลย ไม่มีการขอโทษ ไม่มีการแสดงความเสียใจ ไม่มีแม้การส่งข้อความหรือโทรศัพท์ คุณแม่ของหมอชาครบอกว่าหล่อนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี หล่อนทราบว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของลูกชายหล่อน แต่ทุกครั้งที่หล่อนยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรไปที่บ้านของพยาบาลวรดา ก็ให้มีความรู้สึกจุกอกพูดไม่ออกจนต้องวางหูโทรศัพท์กลับลงที่เดิมทุกครั้ง

เมื่อฟังจบ ความคิดบางอย่างก็วาบเข้ามาในหัวของผมทันที

ไม่แน่ สิ่งที่หมอชาครต้องการอาจจะไม่ใช่การหลอกหลอนผมก็ได้ แต่เขาอาจจะต้องการสื่อสารให้ผมมาหาเขาเพื่อทำอะไรบางอย่าง มันอาจเป็นสิ่งที่เขาไม่มีโอกาสได้ทำหรือทำได้อีกแล้วในชีวิตนี้...ยังไม่ทันที่ห้วงคิดของผมจะจบลง วินาทีนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น
ผมควักออกมาดูหน้าจอ พบว่าผู้โทรมาคือพี่ตาล

ผมรับโทรศัพท์อย่างตื่นเต้น แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่พี่ตาลพูดแล้ว ผมกลับตื่นเต้นกว่าเดิมหลายเท่า

พี่ตาลบอกว่าตอนนี้เธอคุยอยู่กับพยาบาลวรดามาได้สองชั่วโมงแล้ว และพยาบาลวรดาก็รู้ว่าผมกำลังอยู่ที่บ้านของคุณหมอชาคร เธออยากให้ผมนำโทรศัพท์ไปแนบที่ใบหูของคุณหมอเป็นเวลาสองสามนาที พี่ตาลบอกว่าพยาบาลวรดามีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกกับคุณหมอเป็นครั้งสุดท้าย

ผมทำตามความประสงค์ของเธอ ผมนำโทรศัพท์ไปแนบที่ใบหูของหมอชาครผู้นอนไม่ได้สติ ผมไม่รู้ว่าพยาบาลบอกอะไรกับหมอ แต่ขณะที่ผมยกโทรศัพท์ขึ้นหลังครบกำหนดสองนาที ผมก็เห็นน้ำตาใสๆ เม็ดหนึ่งกลิ้งออกมาจากหางตาที่ปิดสนิทของคุณหมอ

น้ำตาเม็ดนั้นหยดลงบนหมอนและซึมหายไปอย่างรวดเร็ว

++++++++

เมื่อกลับถึงบ้านในค่ำวันนั้น ผมถามพี่ตาลว่า พยาบาลวรดาพูดอะไรกับหมอชาคร พี่ตาลตอบว่าไม่มีอะไรมาก พยาบาลวรดาเพียงแค่บอกว่า สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอไม่ถือโทษโกรธหมอชาครที่ทำให้เธอเป็นอย่างนี้ เพราะตัวหมอเองก็ได้รับผลตอบแทนที่เลวร้ายกว่าเธอมาก เธอยกโทษให้หมอและขอให้ต่างฝ่ายต่างอโหสิกรรมให้แก่กันและกันเสียเถิด

พยาบาลวรดาพูดเพียงเท่านั้นเอง

ผมไม่รู้ว่าน้ำตาของหมอชาครไหลออกมาได้อย่างไร แต่ผมคิดว่ารู้แล้วว่าน้ำตาของเขาไหลออกมาเพราะอะไร บางที คำๆ นี้อาจเป็นสิ่งที่หมอชาครต้องการมาตลอดสองปีที่ผ่านมาก็ได้นะครับ คำว่าให้อภัย หมอคงอยากได้ยินคำนี้จากปากของผู้หญิงที่เขารัก แต่เขากลับทำให้เธอต้องเจ็บปวดไปตลอดชีวิต หมอจึงพยายามติดต่อใครสักคนที่พอจะช่วยเขาได้ หวยก็เลยมาออกที่ผมซึ่งครอบครองรถของพยาบาลวรดาอยู่

หนึ่งเดือนต่อมา ผมได้รับทราบข่าวการจากไปตลอดกาลของหมอชาคร เขาเสียชีวิตอย่างสงบในบ้านพักด้วยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด  หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมเคยลองของโดยการตั้งใจขับรถกลับบ้านตอนดึกหลายครั้ง แต่ไม่ว่าผมจะขับรถผ่านถนนเส้นไหน จอดติดไฟแดงที่สี่แยกอะไร เวลาเท่าไหร่  ก็ไม่เคยมีรถกระบะสีดำลึกลับแวบมาให้ผมเห็นอีกเลย

ผมมั่นใจว่าวิญญาณของหมอชาครคงได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาคงหมดห่วงแล้ว ผมดีใจที่มันเป็นอย่างนั้น มาถึงตอนนี้ผมสามารถใช้รถของผมได้อย่างสบายใจ มันเป็นรถคันแรกในชีวิตของผม และได้ให้ประสบการณ์บางอย่างที่ซื้อหาไม่ได้มาเป็นของแถมอีกต่างหาก

ของแบบนี้ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ นะครับ ผมคิดว่าผมจะจดจำประสบการณ์ครั้งนี้ไปจนวันตายเลยทีเดียว

-----------------------

แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 55 10:09:19

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 09:42:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com