Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มองท้องฟ้า กอดผืนทราย ใจอยู่ที่เธอ (6) ตอนจบ ติดต่อทีมงาน

เมื่อวานซืนขี่มอไซไฟฟ้าล้ม แผลและรอยบวมเต็มขา

วันนี้ลื่นล้มหน้าห้องน้ำ

นิยายก็คิดตอนจบไม่ออก

เฮ้อ

ซวยกว่านี้ มีอีกมั้ย T^T










มองท้องฟ้า กอดผืนทราย ใจอยู่ที่เธอ



ผมเดินเล่นอยู่บนชายหาดของหาดไวกิกิด้วยความรู้สึกโล่งใจและเสียใจ พรุ่งนี้แล้วผมก็จะต้องกลับเมืองไทย สี่ปีที่นี่ทำให้ผมมีความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเรื่องที่ดีและช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต


ผมเดินมาเรื่อยๆจนสุดฝั่งชายหาด ก่อนจะล้มตัวนอนลงบนผืนทราย มองไปยังท้องนภาอันกว้างใหญ่ ผมไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตของผมจะเป็นยังไง กลับไปเมืองไทยคราวนี้ผมไม่ใช่เด็กนักเรียนนักศึกษาอีกแล้ว แต่ผมกำลังจะทำงาน แตกต่างจากการเรียนมาก ถึงผมจะเป็นคนเรียนเก่ง แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้


ผมรู้เสมอว่า บางทีแค่ความเก่งก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ


แต่ต้องมีทั้งทักษะ ไหวพริบ และองค์ประกอบอื่นๆด้วยในการทำงาน


ผมหลับตาลง ฟังเสียงคลื่นทะเลที่ซัดกระทบกับผืนทราย เสียงนกที่บินร้องบนอยู่บนนภา ผมอยากจะเก็บบรรยากาศความสงบสุขนี้ไปจนตราบนานเท่านาน





เที่ยงคืนแล้ว ผมต้องรีบเข้าไปนอน เพราะพรุ่งนี้ตอนแปดโมงเช้า ผมต้องรีบแบกกระเป๋าเดินทางกลับประเทศไทย โดยนั่งเครื่องจากฮาวายไปลงญี่ปุ่น ก่อนจะนั่งเครื่องต่อจากญี่ปุ่นกลับไทย อาจจะดูสบายๆเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่ว่าการนั่งเครื่องบินรวมทั้งสิ้นสิบสองชั่วโมงเนี่ยทั้งเมื่อยทั้งเหนื่อยเอาการเลย การนั่งเครื่องบินไม่เหมือนการนั่งรถยนต์ตรงที่อยากจะพักที่ไหนก็พัก แต่ต้องนั่งทีเดียวรวด ไม่มีแวะเกาะที่ไหน


ผมนั่งชะเง้อคอมองหาเธออยู่ตรงระเบียงมาตั้งแต่ห้าทุ่ม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเลย คืนนี้ก็ครบหนึ่งอาทิตย์พอดีหลังจากที่เธอหายตัวไป หรือเธอจะกลับประเทศของตัวเองไปแล้ว


ผมถอนหายใจเมื่อคิดว่าคงจะไม่ได้เจอเธออีกแล้ว หญิงสาวที่ทำให้หัวใจผมเป็นบ้า และสมองผมเพ้อเจ้อ


ผมแหงนหน้ามองฟ้า ไม่ว่าจะผ่านมากี่สิบปีดวงดาวยังคงเปล่งประกายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่หัวใจของผมมันเหมือนจะหมดแสงสว่างไปตั้งแต่เธอไม่อยู่ ทั้งๆที่เมื่อไม่นานมานี้มันเพิ่งจะได้เปล่งประกาย แต่ว่าก็ต้องดับไปด้วยเวลาเพียงไม่นาน


เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ เธอจะยังร้องไห้อยู่ไหม และใครคนนั้นที่ทำให้เธอร้องไห้ จนหนีมาที่นี่ จะยังทำให้เธอต้องร้องไห้เสียน้ำตาอยู่หรือเปล่า


ผม...คิดถึงคุณ






“อ้าว ไอ้ตี้ ทำไมโต๊ะเลขาฯหน้าห้องแกยังว่างอยู่วะ ยังไม่มีเลขาฯเหรอ”
ผมถามไอ้ตี้ด้วยความสงสัย ก่อนที่มันจะเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารขึ้นมองผม ตอนนี้เราสองคนกลับเมืองไทยได้เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว และเพิ่งจะเริ่มทำงานได้ไม่กี่วัน โดยดำรงตำแหน่งเป็นประธานและรองประธานบริษัทกันอยู่ที่บริษัท xxx ซึ่งเป็นบริษัทของพ่อไอ้ตี้


พอผมกลับมาถึงประเทศไทยปุ๊บ ในวันเดียวกันนั้นคุณป้าหรือคุณแม่ของไอ้ตี้ก็โทรมาให้ผมมาช่วยทำงานที่บริษัทของท่าน เนื่องจากความสามารถและประวัติของผมดีกว่าพนักงานคนอื่นทั่วไป คงจะทำให้ลูกค้าและผู้ถือหุ้นรายอื่นๆรู้สึกเชื่อถือได้ เพราะตอนนี้คุณพ่อของไอ้ตี้ได้เกษียณออกไปพอดีพร้อมกับรองประธานคู่หูที่เกษรียณออกไปพร้อมกัน ผมกับไอ้ตี้ก็เลยแจ๊คพ็อค เริ่มทำงานปุ๊บก็ได้ตำแหน่งประธานและรองประธานปั๊บ


เรียกได้ว่าทั้งโชคดีและโชคร้ายในคราวเดียวกัน เพราะถ้าบริษัทล่มพวกผมโดนเอาตายแน่


“อ้อ มีแล้ว วันนี้เพิ่งเข้ามาทำงานเอง ตอนนี้คุณหยินอยู่ในช่วงดูงานกับเลขาฯคนเก่านะ เห็นว่าไปดูเอกสารในห้องเอกสารของปีก่อนๆ สมัยบรมโลกโน้น เผื่อในอนาคตต้องใช้ทำงาน”


“เลขาฯแกชื่อหยินเหรอวะ คนอะไรชื่อหยิน ชื่ออย่างแปลก ยังกับเหยินแหนะ ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะร่วน พลางเลื่อนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของไอ้ตี้มานั่ง ช่วงนี้งานของรองประธานยังไม่มีอะไรมาก ยังไม่เท่างานของประธานบริษัทอย่างไอ้ตี้ เพราะนอกจากจะงานหนักกว่าผมแล้ว เลขาฯคนก่อนที่เคยทำงานกับพ่อมันจู่ๆก็ขอลาออกไปแต่งงาน เลยได้ฤกษ์เปลี่ยนเลขาฯคนใหม่พอดี


บูรณาการใหม่หมดตั้งแต่ประธานยันเลขาฯ


“ไอ้นี่ไปล้อเค้า ชื่อหยินเว้ย ไม่ใช่...”


“ท่านประธานเรียกดิฉันหรือคะ” ยังไม่ทันที่ไอ้ตี้จะพูดจบ จู่ๆก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังผม แค่ผมได้ฟังเสียง ผมก็รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ น้ำเสียงที่อ่อนหวาน จู่ๆหัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ


ผมรีบหันกลับไปดูหน้าตาเลขาฯของไอ้ตี้ทันที แล้วผมก็ต้องตะลึง หญิงสาวตรงหน้าของผม...เหมือนกับหญิงสาวคนนั้นที่ผมเคยเจอที่ฮาวาย ทั้งทรงผม หน้าตา ท่าทาง


เธอส่งยิ้มมาให้ผม ไม่ใช่ซิ คงจะยิ้มให้ไอ้ตี้มากกว่า ผมยังคงจ้องมองเธออย่างไม่ลดละ ใช่หรือเปล่า ใช่เธอหรือเปล่า ถ้าใช่...ผม...ผม


“อ้อ เปล่าครับคุณหยิน พอดีผมแค่กำลังแนะนำคุณกับไอ้พัตฟังอยู่ นี่ไอ้พัตลูกพี่ลูกน้องผมเอง เป็นรองประธานบริษัท คุณน่าจะรู้จักอยู่แล้ว”


“สวัสดีคะท่านรองประธาน ดิฉันชื่อญิณรา เป็นเลขาฯคนใหม่ของท่านประธานคะ” เธอยกมือไหว้ก่อนเอ่ยทักทายผม ผมที่ยังอึ้งและตะลึงสะดุ้งรู้สึกตัวเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ตอบ


“ครับ...”


สวรรค์เล่นตลกอยู่ใช่ไหม บอกผมที เป็นเธอจริงๆใช่ไหม


แต่เธอ...ไม่รู้จักผม...จำผมไม่ได้...ดวงตาของเธอที่จ้องมองมาที่ผม...มันดูว่างเปล่า...ไม่มีความหมาย


ปวดหัวใจเหลือเกิน


“คุณหยินไปดูงานกับคุณเก๋เป็นยังไงบ้าง แล้วนี่คุณเก๋กลับแล้วเหรอ”


“คุณเก๋เก่งมากเลยค่ะ ดิฉันปลื้มเธอมาก ถึงแม้แต่จะสอนฉันแค่ไม่กี่อย่างเพราะเธอมีเวลาไม่มาก ต้องรีบกลับไปทำธุระ แต่ทุกอย่างมีความสำคัญในการทำงานหมด ดิฉันจะพยายามทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ ผมอ่านเอกสารอันนี้เสร็จแล้ว คุณช่วยเอาไปเก็บในห้องเอกสารทีนะ ผมแค่เอาออกมาอ่านดูยอดรายจ่ายของปีก่อนเฉยๆ จะได้เอามาเทียบกับปีนี้ได้”


“ทราบแล้วค่ะท่านประธาน ดิฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”


เธอหันมาสบตาผมเป็นมารยาท ก่อนจะหลังเดินออกไปจากห้องทำงาน ผมมองแผ่นหลังของเธอเดินออกไปจนลับตา ใช่ ใช่เธอจริงๆด้วย ผมรู้ได้ว่าใช่แน่ เธอกับหญิงสาวคนนั้นคือคนเดียวกัน ความรู้สึกผมมันบอกว่าใช่


“ไงไอ้พัต เป็นไรวะ มองตาค้างเชียวนะ ระวังท้องนะเว้ย” ไอ้ตี้ยืนกอดอกยักคิ้วหลิ่วตามองผม ท่าทางแบบนี้ทำให้ผมอยากจะเอาบาทายัดปากมาก ผมรู้ว่ามันกำลังหมายความว่ายังไง รู้จักกันมาตั้งแต่ตีนเท้าฝาหอย จนโตขึ้นฝาหอยจะเท่าหัวนิ้วโป้งฝ่าตีนอยู่แล้ว เรื่องนี้แค่ไม่ต้องบอก แค่ท่าทางก็รู้ได้


“ไอ้บ้า คนนะเว้ยไม่ใช่ปลากัด แค่มองจ้องตาจะได้ท้องเนี่ย”


“แหม ปิ๊งคุณหยินเค้าก็บอกมาเถอะ เดี๋ยวพี่ช่วยเองไอ้น้องชาย” ไอ้ตี้เดินมาตบไหล่ผมเบาๆ ผมหันหน้าไปมองมันตาขวาง กลบเกลื่อนความเขินอายและความดีใจ ผมไม่อยากจะบอกไอ้ตี้มันเลยว่าผมเคยเจอเธอมาก่อน เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไอ้ตี้เนี่ยจอมแผนการซะด้วย


“ปิ๊งเปิ๊งอะไรกัน ก็แค่มองหน้า เฉิ่มๆอย่างนั้น ทรงผมแว่นตา แถมชื่อก็ยังประหลาดอีก เลขาฯแก่นี่ช่างแห้งเหี่ยวจริงๆวะ” ผมพูด ไอ้ตี้หัวเราะร่วน ไม่รู้ว่ามันชอบใจที่ผมไปว่าเลขาฯมัน หรือหัวเราะชอบใจที่รู้ว่าผมแก้ตัวไปข้างๆคูๆ


“เออ พูดไป แล้วอย่ามาบอกให้ช่วยหล่ะกัน เพราะ...”


“เพราะอะไร” ผมรีบถาม หรือว่าไอ้ตี้จะปิ๊งเลขาฯตัวเอง แต่ผมจำได้ว่ามันเคยบอกเมื่อสองปีก่อนว่ามีนางในดวงใจอยู่แล้วนี่ ไม่น่าจะใช่เลขาฯคนนี้ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน


“เพราะประวัติบอกว่าโสดสนิทยังไม่ได้แต่งงาน แถมยังไม่มีแฟนด้วย”


“เฮ้ยจริงดิ”


“เออดิ ถ้าอยากจีบก็รีบจีบ ก่อนที่สุนัขจะงาบไปรับประทานนะน้องรัก เดี๋ยวฉันไปก่อนหล่ะมีธุระ” พูดเสร็จ ไอ้ตี้ก็หยิบโทรศัพท์มือถือและกุญแจรถยัดใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองทันที รีบเดินลิ่วๆไปยังประตู


“เฮ้ยไปไหนวะ” ผมถาม ตั้งแต่กลับไทยมา ไอ้ตี้ก็ทำตัวลับๆล่อๆน่าสงสัย แถมยังรีบไปถอยมินิคูเปอร์สีชมพู ทั้งๆที่ตัวมันเองชอบสีดำ แต่ไปถอยรถสีชมพู ผมหล่ะงงกับมันจริงๆ


“ธุระ...หัวใจ ไปหล่ะ” มันตอบก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องทำงานทันที


“อะไรวะ ธุระหัวใจ ธุระแบบนี้มีด้วยเหรอเนี่ย มันเป็นโรคหัวใจเหรอไง เหอะๆ” ผมพูดพลางส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นกลับไปทำงานต่อ


“ว้าย” เสียงร้องตกใจดังขึ้น พร้อมกับน้ำส้มที่หกรดบนเสื้อผ้าของผม แก้วเปล่าตกลงบนพื้นเสียงดังเคร้ง แต่ยังไม่แตกกระจาย


เสื้อสูทของผม ให้ตายซิ เพิ่งซื้อเมื่อสองวันที่แล้วเองนะ






“ขอโทษคะท่านรอง ดิฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ” ญิณรารีบขอโพยขอโพยชายหนุ่มก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่บนโต๊ะขึ้นมาซับน้ำส้มที่หกเปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าของชายหนุ่ม พัฒนามองหน้าหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้หน้าของเธอและเขาอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนติเมตร ก่อนจะทำท่าทีหงุดหงิดกลบเกลื่อน


“ไม่ต้องๆ ไม่ต้องมาซับเสื้อของผมแล้ว คุณซับด้วยกระดาษทิชชู่แบบนั้นยิ่งทำให้เสื้อของผมเสียเข้าไปใหญ่ มีเศษกระดาษทิชชู่ติดอยู่เนี่ย เห็นมั้ย”


“ขอโทษคะ ดิฉันขอโทษจริงๆคะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจ” ญิณราก้มหัวลง เอ่ยขอโทษด้วยความสำนึกผิด เธอเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาฯวันแรก ก็ทำเรื่องกับท่านรองประธานเอาไว้เสียแล้ว ซวยแน่ๆ


“คุณไม่ได้ตั้งใจจริงๆเหรอ ไม่อยากให้ผมเอาเรื่องคุณเหรอ” พัฒนาเอ่ยถามพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์ เขาคิดอะไรดีๆออกแล้ว การจะได้อยู่ใกล้หญิงสาวที่ตัวเองแอบชอบคงจะมีแค่หนึ่งในไม่กี่พันคนเท่านั้น โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีกันง่ายๆ


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือพรหมลิขิต แต่เขาจะขอใช้มันให้คุ้มค่า


“ค่ะ”


“ถ้างั้นถอดเสื้อผม แล้วช่วยเช็ดตัวให้ผมทีซิ น้ำส้มมันหกเข้าไปในเสื้อ ตอนนี้ผมเหนียวตัวไปหมดล่ะ” พัฒนาพูดพลางดึงคอเสื้อเป็นเชิงรู้สึกไม่สบายตัว ญิณราทำตาโตด้วยความตกใจ เมื่อกี้ชายหนุ่มพูดว่าให้เธอถอดเสื้อและเช็ดตัวให้ เขาเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย จู่ๆจะให้เธอไปถอดเสื้อผู้ชายที่เพิ่งจะรู้จักได้ไม่นาน เช็ดตัวถูกเนื้อต้องตัว ถึงจะเป็นเจ้านาย แต่เธอก็ไม่สามารถไว้วางใจใครได้ถ้าเกิดคนนั้นเป็นผู้ชาย


“ท่านรองคะ...เอ่อ..ทำอย่างนั้นคงไม่ดีหรอกมั้งคะ”


“ทำไมหล่ะ หรือคุณจะไม่รับผิดชอบที่ทำน้ำส้มหกรดเสื้อผม ผมจะได้โทรไปบอกไอ้ตี้เดี๋ยวนี้เลยว่าให้เปลี่ยนเลขาฯคนใหม่ไปซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”


“..........”


“ดี งั้นผมโทรหล่ะ โทรศัพท์มือถือผมยังใช้การได้ดีอยู่ซะด้วย ไม่ได้โดนน้ำส้มทำให้พัง” พัฒนาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ทำท่าทางเตรียมจะกดเบอร์โทรศัพท์ พลางลอบมองใบหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้ทำหน้าตาคิดหนัก ปกติเห็นแต่ทำหน้าเศร้า ทำหน้าตาคิดหนักแบบนี้ก็ยังดูสวยไม่เปลี่ยน


“..........”


“ผมจะโทรล่ะนะ”


“ค่ะๆ เดี๋ยวดิฉันจะเช็ดให้เดี๋ยวนี้คะ” ญิณราตกลง ให้ตายซิเมื่อกี้ตอนเจอครั้งแรกเธอก็เห็นเขาเงียบๆเหมือนจะไม่ชอบหรือไม่พอใจเธออยู่หรือเปล่า เธอเลยตั้งใจจะยกน้ำส้มมาให้ดื่ม แต่นี่กลายเป็นว่าเกิดเรื่องขึ้น และเขาเรียกว่าทั้งดุและกวนประสาทเลยก็ว่าได้ เขารู้อยู่แล้วว่าเธอจะตอบตกลง เธอเป็นแค่ลูกน้อง ไม่ว่าจะผิดจะถูก จะเห็นถูกต้องหรือเห็นไม่สมควร ยังไงเธอก็ไม่สามารถต่อกรกับเจ้านายได้


ในขณะที่ญิณรากำลังจะเอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อ พัฒนายิ้มกว้างเมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ดูหวาดกลัวนั่น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดความกังวล มือที่สั่นอยู่หน่อยๆ ทั้งหมดนั่นทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก


“โห สั่นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้ ชาติหน้ามั้งเนี่ยถึงจะปลดกระดุมผมหมด ฮะฮะ” พัฒนาเอ่ยล้อ ก่อนจะหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ ญิณราทำหน้าบึ้งตึง เธอเป็นลูกสาวคนเดียว การถูกเนื้อต้องตัวชายหนุ่มเธอก็ไม่เคย จะให้เธอเคยชินกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร


“เอาเป็นว่าไม่ต้องทำล่ะ กว่าผมจะสะอาดคงชาติหน้าพอดี”


“..........”


“เอาเป็นว่า...ผม...ทำเองก็แล้วกัน” ประโยคหลังพัฒนาก้มหน้าลงไปเอ่ยกระซิบเบาๆที่ข้างหูของหญิงสาว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มจริงใจให้ และได้ทันสังเกตเห็นว่าเธอหน้าแดงเล็กน้อย เพราะประโยคนั้นสองแง่สองง่าม ชวนให้คิดลึกถึงแม้อาจจะไม่มีอะไรก็ตาม


“ท่าน....!”


“ผมไปหล่ะ จะรีบกลับบ้าน...ไปทำความสะอาด...มันเหนียว....ตัว” พูดเสร็จ พัฒนาเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้ญิณราโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงคนเดียวอยู่ในห้องทำงาน นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเจ้านายและยังเป็นถึงรองประธานบริษัท เธออาจจะคงมีมวยไปแล้วก็ได้ เธอไม่ชอบผู้ชายแบบนี้เลย ทั้งดูเจ้าเล่ห์ และกวนประสาท ผู้ชายประเภทนี้เธอไม่มีวันสนใจแน่ๆ คอยดูซิ


แต่หญิงสาวคงจะลืมไปว่า โบราณเคยว่าไว้ ให้จำให้ขึ้นใจ ...เกลียดอย่างไหน ได้อย่างนั้น...







“ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีหลังจากเดินออกมาจากห้องทำงานของไอ้ตี้ โดยที่เธอคนนั้นทำหน้าตาท่าทางแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังโมโหไม่ชอบใจผมอยู่ ผมไม่ได้เป็นบ้าที่ทำไปอย่างนั้น แต่เหมือนมีบางอย่างมาดลใจให้ผมทำไป


จากเหตุการณ์เมื่อกี้ผมรู้แล้วแหละว่าเธอคงจะไม่ได้รักชอบพออะไรผมแน่ การที่ผมทำแบบนั้นเธอคงจะเกลียดผมเลยก็ได้ แต่ผมก็แค่อยากมีความประทับใจอะไรสักอย่าง ให้เธอจดจำผม ไม่อยากให้เธอลืมผม


เพียงแค่เธอทำท่าทางไม่รู้จักผม เหมือนเจอผมเป็นครั้งแรก แค่นั้นผมก็รู้สึกเจ็บ...ทั้งๆที่เราเคยพบกันมาก่อน


ผมอยากให้เธอรู้สึกถึงความมีตัวตนของผม









ผมมองออกไปยังนอกหน้าต่างของห้องทำงาน กรุงเทพฯนั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในแค่ระยะเวลาไม่กี่สิบปี มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมากมายให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่น่าจดจำอยู่ในความทรงจำของพวกเขา เพราะถึงแม้จะมีตึกสูงเสียดฟ้าผุดขึ้นมากมายยังกับดอกเห็ด แต่บ้านทรงไทยและวัฒนธรรมไทยยังคงอยู่ไม่เคยถูกทำลายไป คนไทยกับรอยยิ้มสยาม น้ำใจไมตรีที่มีให้คนทุกชนชาติ ทำให้ทุกคนที่มาเที่ยวรักและจดจำไว้ไม่เคยเสื่อมคลาย


ที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้น ผมไม่ได้จะบอกอะไรหรอก ผมแทบไม่เคยสนใจอะไรตรงนั้นด้วยซ้ำไป


แต่ผมกำลังจะพูดถึงความรู้สึกของผู้หญิง


ผมรู้ว่าผู้หญิงมีความรู้สึกสองอย่างที่จะจดจำคนๆหนึ่งในชีวิตของเธอ


ความรู้สึกรัก...ไม่ก็ความรู้สึกเกลียด


ความรู้สึกสองอย่างนี้ จะทำให้ผู้หญิงไม่สามารถลืมคนที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ได้ไปตลอดชีวิต


ผมแหงนหน้ามองไปยังบนท้องนภา เธอจะจดจำผมหรือยังนะ เธอจะคิดถึงผมหรือเปล่า เธออาจจะไม่ได้คิดถึงผมในเชิงที่ผมคิดถึงเธอ เธอคงจะคิดถึงผมในเชิงที่ไม่ชอบผม แต่แค่นั้นผมก็รู้สึกดีแล้วที่เธอยังคิดถึงผม


หัวใจที่เหมือนจะหยุดเปล่งประกายไปแล้วของผม ได้กลับมาเปล่งประกายใหม่อีกครั้ง


ความรู้สึกคิดถึงเธอของผม มันทวีคูณขึ้น ถึงแม้ตอนนี้เราจะอยู่ใกล้กันมากกว่าเดิม


คุณจดจำผมได้แล้วใช่ไหม คุณรู้สึกถึงตัวตนของผมแล้วใช่ไหม


ผมรู้ว่าวันนี้มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น


สักวันหนึ่ง ผมจะทำให้คุณรู้ว่า


นอกจากผมจะมีตัวตนแล้ว...และหัวใจของผม...ยังไปอยู่ที่คุณ



การจดจำใครสักคนหนึ่งเอาไว้ในหัวใจ...เป็นเส้นทางต่อไปของความรัก...






จบ




อาจจะจบแบบงงๆนะคะ ฮ่าๆๆ เพราะคนแต่งก็งงๆ

คือที่มาแต่งเรื่องนี้ก็เพราะว่านิยายเรื่อง defeated by your love ปราชัยรัก ไม่อยากให้มองพัฒนาเป็นพวกเจ้าชู้ประตูดิน

ทุกอย่างที่พัฒนาทำคือมีเหตุผล

แต่ไม่รู้ว่าในสักวันหนึ่งญิณราจะได้รับรู้มั้ย (ฮา)

จากคุณ : mollaly
เขียนเมื่อ : 21 เม.ย. 55 23:36:15




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com