40
ครูผึ้งหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง สารวัตรนิกรลงจากลงพรวดพราดไปดูเหตุการณ์แล้วรีบวิทยุประสานงานกับสถานีตำรวจขอรถดับเพลิงของท้องที่ ขณะที่ชาวบ้านก็ช่วยกันลำเลียงน้ำเท่าที่มี แสงไฟโชติช่วงจนทำให้ราตรีสว่างจ้าแต่ร้อนแรงด้วยอุณหภูมิเพลิงที่โหมกระหน่ำ กระจกแตกเปรี้ยะจากแรงอัดภายในเป็นระยะ
ไม่ถึงห้านาทีที่สองสามีภรรยามาถึงก็ได้ยินเสียงครึ่ก ๆ นายตำรวจเข้าใจรีบตะโกน
“ถอยออกมา!! ถอยเดี๋ยวนี้!! อาคารจะถล่ม!!”
ชาวบ้านกระโดดผลุงกันจ้าละหวั่น และแล้วตัวอาคารสองชั้นซึ่งเสาคานโดนเปลวไฟผลาญก็รับน้ำหนักไม่ไหวพังพลายลงมา
“อะไรกันเนี่ย!!”
คเชนทร์กับปุริมามาถึงและเห็นในจังหวะนั้นพอดี สารวัตรนิกรส่งสายตาเห็นใจ ผู้อำนวยการโรงเรียนกับลูกสาวหน้าซีดเผือด เช่นเดียวกับครูผึ้งที่กอดลูกชายไว้แนบอกด้วยอาการตื่นตระหนกเช่นกัน
ข่าวยังไปไม่ถึงบ้านนาวามาส โขงจึงยังนั่งอยู่หน้าทีวี เกาสายกีตาร์ดังกรุ๊งกริ๊ง จวบจนเมื่อเงยหน้าเห็นนาฬิกาที่ผนังบอกเวลาสี่ทุ่มกว่า จึงมองลอดหน้าต่างออกไปที่หน้าบ้าน พอไม่เห็นรถสีดำคนนั้น เขาก็วางกีตาร์ เดินไปหาผู้เป็นย่าที่นั่งทำงานอยู่ในครัว
“ย่า พ่อยังไม่กลับเหรอ”
คุณหงส์เงยหน้าจากเอกสาร แปลกใจเช่นกันที่หลานชายยังไม่นอน
“ยัง คืนนี้คงไม่กลับหรอก เห็นคนงานบอกว่าพ่อแกออกไปหากินอีกแล้ว โขงมีอะไรกับพ่อเหรอ”
โขงส่ายหน้า “เปล่า แค่คิดว่าคืนนี้พ่อจะกลับมานอนที่บ้าน”
“โขงไปนอนเถอะ มีอะไรก็คุยกับพรุ่งนี้แล้วกัน ยังไงพ่อก็ต้องมารับไปส่งที่โรงเรียนอยู่แล้ว”
คนเป็นหลานพยักหน้า เดินหงอย ๆ ขึ้นห้องนอน ความรู้สึกนี้แปลกประหลาด เขาชอบตอนที่อยู่กับพ่อ ไปเที่ยวกับเจ๊ปูนิ่ม รู้สึกอยากให้พ่อกลับมาอยู่บ้านมากกว่าไปตระเวนราตรีแบบนี้
ตอนพ่อคบกับเจ๊ พ่อกลับมาบ้านทุกวัน แทบไม่ได้ไปค้างคืนที่ไหน กลับมาก็นั่งดูสารคดี ต่อปากต่อคำกับย่า หรือไม่ก็เล่นกีตาร์ด้วยกันกับเขา
การย้อนกลับไปยัง ณ จุดที่ยังไม่มีเจ๊ปูนิ่ม ไม่มีแม่ คือใช้ชีวิตแบบเดิม พ่อกำลังทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ไม่เริ่มต้นใหม่กับแม่ ก็จะไม่เริ่มกับใคร ขณะที่เขายังได้เจอแม่ มีความสุขที่ได้ไปกับแม่ ส่วนพ่อล่ะ
ได้ยินเสียงไซเรนรถดับเพลิงดังแว่ว ๆ โขงชะงักทั้งฝีเท้าและความคิด เขาเดินลงบันไดมา เจ๊หงส์ก็ผุดลุกเช่นกัน
“เสียงหวอ อย่างกับมีไฟไหม้แถวนี้เลยนะย่า”
“นั่นสิ” ผู้เป็นย่ามีสีหน้าวิตกแล้วเดินออกไปนอกบ้าน เพื่อนบ้านก็เปิดประตูมาเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น ไฟไหม้ที่ไหนเหรอเนี่ย”
เพื่อนบ้านวัยสี่สิบได้ยินเสียงถามลอย ๆ จึงหันมา “อ้าวเจ๊หงส์ยังไม่รู้เหรอ ไฟไหม้โรงเรียน พ่อเจ้าเป็ดไปช่วยดับไฟอยู่เนี่ย”
“ตายแล้ว!” เจ๊หงส์บอก โขงวิ่งพรวดพราดออกมา
“ไฟไหม้โรงเรียนเหรอครับป้า!”
“อื้ม ยังไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน แต่น่าจะเป็นอาคารที่เพิ่งสร้างน่ะ”
แล้วทั้งสามก็จมอยู่ในความตกตะลึง
กว่าไฟจะดับก็เลยเวลาเที่ยงคืน แม้ชาวบ้านจะสลายตัวไปด้วยเห็นว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว คเชนทร์กับปุริมายังยืนมองอาคารที่เหลือเพียงกองซากด้วยหัวใจที่แตกสลาย สารวัตรนิกรเดินมาหาสองพ่อลูก ครูผึ้งกับลูกกลับไปก่อนแล้ว
“ผมว่าผอ.กับครูกลับเถอะครับ ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว”
“มัน...เกิดจากอะไรคะ” ปุริมาถามเสียงสั่น อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ยังสรุปไม่ได้ตอนนี้ครับ เดี๋ยวผมจะจัดทีมมาสืบสวน ตอนนี้ครูพาผอ.กลับบ้านเถอะครับ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
หญิงสาวพยักหน้า หันไปพยุงร่างบิดาที่อยู่ในอาการกึ่งเหม่อกึ่งเครียดให้ขึ้นรถ
ปุริมาต้องเป็นคนขับกลับบ้านเอง ร่างกายตื่นตัวเกินกว่าจะหลับ คำถามมากมายลั่นอยู่ในสมองอ่อนเปลี้ย ลูกสาวเห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้าไปในครัว คงอยากจะหาน้ำดื่ม เธอหมุนคอขณะเปิดประตูห้องนอน
“เพล๊ง!!”
หญิงสาวสะดุ้งโหยง หันขวับ มองเห็นพ่อล้มลงกับพื้น รีบผวาเข้าไปหา
“พ่อ!!”
ปุริมาประคองศีรษะผู้เป็นพ่อ พร่ำเรียก “พ่อคะ! พ่อ!”
“ไม่...ปูนิ่ม”
“พ่อคะ” ใบหน้าที่เห็นปราศจากสีเลือด คนเป็นลูกใจหาย มือไม้สั่น สะท้านไปทั้งตัว “พ่อเป็นอะไรคะ ใจเย็น ๆ นะคะ เดี๋ยวหนู...” ความตื่นตระหนกบวกกับเห็นพ่อล้มต่อหน้าต่อตาทำปุริมาน้ำตาคลอ คว้ากระเป๋าสะพายหยิบโทรศัพท์ โทร...โทรหาใคร
เธอต้องใช้สองมือประคองระงับอาการสั่นของตนเอง กดเลขหมายที่คิดได้เวลานั้น
เขมรัฐสะดุ้งทั้งที่เพิ่งเคลิ้มหลับไปไม่กี่นาที เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียง ขมวดคิ้วตั้งท่าจะด่าใส่ว่าใครมันโทรมาหาเอาเวลาป่านนี้ หรือเป็นเพราะเขาเองกันแน่ที่ลืมปิดเครื่อง หากพอเห็นชื่อที่ขึ้นหน้าจอ หูตาพลันสว่าง
“ปูนิ่ม”
“นะ นายเข้! คือ คุณ! คือ พ่อไม่สบาย พ่อล้ม ทำยังไงดี ฉัน...”
ชายหนุ่มลุกพรวดพราด น้ำเสียงปนสะอื้นแต่จับใจความได้ทันทีว่าหญิงสาวปลายสายกำลังเดือดร้อน
“ปูนิ่ม ใจเย็น ๆ เดี๋ยวผมไปหานะ”
เขาสะบัดผ้าห่มออกกับคว้าเสื้อมาใส่แทบจะพร้อม ๆ กัน ปุริมากลั้นน้ำตาไม่ไหว พยักหน้ารับรู้ประหนึ่งว่าชายหนุ่มอยู่ตรงหน้า
“อ้าว พี่จะไปไหนคะ”
ได้ยินเสียงผู้หญิงลอดเข้ามาในโทรศัพท์ ปุริมาอึ้ง สติกลับมาหาตัว เวลานี้ และเขาคนนี้ เธอลืมไปว่าเขาไม่ได้เป็นของเธอแล้ว...หากครั้นจะต่อบทสนทนาก็ไม่ทัน อีกฝ่ายวางสายไปแล้ว รีบสลัดความคิดพร่ำเพ้อทิ้ง ค่อย ๆ ประคองบิดามานั่งที่โซฟา พัดโบก จ่อยาดมที่จมูกบรรเทาอาการ
“ปูนิ่ม พ่อไม่เป็นอะไร” คเชนทร์พูดพลางขยับ
“อย่าเพิ่งลุกค่ะ”
ไม่ถึงสิบนาที ปุริมาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เธอมองออกไป เจ้าของก็ก้าวยาว ๆ ลงมาแล้ว
“ผอ.เป็นอะไร”
“ล้มค่ะ”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก ปูนิ่ม...” คเชนทร์ทำน้ำเสียงตำหนิปุริมาอยู่ในที เธอสบตาเขาเชิงขอความช่วยเหลือ
“ไปโรงพยาบาลเถอะครับผอ. เดี๋ยวผมพาไปเอง จะได้ตรวจให้แน่ใจ ปูนิ่มเขาเป็นห่วง”
คนป่วยเงียบแทนคำตอบ ปล่อยให้สองหนุ่มสาวพยุงขึ้นไปนั่งในรถ
โรงพยาบาลเดิมที่ผอ.โรงเรียนชลพิทักษ์พิทยาคมมารักษาเมื่อครั้งประสบอุบัติรถชน ดังนั้นพอบุรุษพยาบาลเห็นก็บริการอย่างดี ให้นั่งรถเข็นพาเข้าห้องตรวจ สักพักหมอก็ออกมารายการผล
“ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่อ่อนเพลีย แล้วก็ตกใจ หมอฉีดยาให้แล้ว พักสักคืนพรุ่งนี้ถ้าไม่มีอาการอะไรก็กลับบ้านได้ครับ” หญิงสาวทำท่าโล่งอก “มีอะไรถามเพิ่มไหมครับ”
“พ่อหลับอยู่เหรอคะ”
“ครับ คุณเองก็ไปพักบ้างนะครับ ดึกแล้ว”
ด้วยความคุ้นเคยกัน หมอจึงฝากความเป็นห่วง ปุริมายิ้มแหย ๆ แล้วกล่าวขอบคุณ เธอเดินเข้าไปหาบิดาในห้อง ร่างนั้นเหมือนจะแก่ลงไปอีกสิบปี เธอจับมือดุจจะให้ความอบอุ่นแทรกซึมผ่านและบรรเทาอาการเจ็บป่วยด้วยรัก ครั้นแล้วก็เคลื่อนกายมานั่งที่เก้าอี้ เขมรัฐเดินตามมานั่ง ต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง
“ขอโทษด้วยนะ ตอนที่โทร ไปรบกวนคุณน่ะ ไม่คิดว่าคุณจะ...เอ่อ มันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก” ปุริมาไม่ต่อประโยคกลางให้จบ แต่เขมรัฐก็รู้ ถอนใจ
“ถึงเรื่องของเราจะไม่ได้ลงเอยอย่างที่เคยหวังไว้ แต่คุณก็ยังคงเป็นคนที่สำคัญนะปูนิ่ม ไม่ว่าคุณจะมีเรื่องหรือมีปัญหาอะไร ผมพร้อมที่จะช่วยเสมอ ทุกเรื่อง ขอแค่คุณบอกมา” ชายหนุ่มมองดวงหน้าที่ยังมีรอยวิตกกังวล
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ผมเป็น 7-11 ไง”
ปุริมาจุดยิ้ม เขมรัฐหัวเราะเบา ๆ “อะไรคะ”
“ผมคิดถึงเรื่องพ่อกับแม่น่ะ ตอนเด็กๆ ผมไม่สบาย รู้สึกจะเป็นไข้เลือดออกนี่แหล่ะ ตัวร้อนมาก อารามตกใจแม่โทรหาพ่อตอนตีสาม พ่อขับรถมาจากกรุงเทพ มาถึงตอนแปดโมง หัวยุ่ง ตาแดงก่ำ แม่เลยเพิ่งคิดได้ว่าแยกกันอยู่แล้ว พ่อเองก็ลืมตัว ขับรถมาไม่ได้คิดเลยว่ากว่าจะมาถึงแม่ก็พาผมส่งโรงพยาบาลแล้ว”
หญิงสาวพยักหน้าทึ่ง “คงเพราะเป็นเรื่องลูก”
“ใช่” เขมรัฐผ่อนลมหายใจ “รูปแบบของความรักมันไม่ได้อยู่ในตำราหรือทฤษฎี มันอยู่ที่คนสองคน”
เขาสบตาเธอ หญิงสาวรู้สึกถึงความร้อนพวยพุ่งจากในอก ซึ่งไม่ใช่เพราะไฟที่เผาอาคาร เธอหลบตา
“คุณนี่บ้าจริง”
“หา”
“รู้ไหมว่ากำลังจีบคนที่ตัวเองหักอก”
คนจีบทำหน้าตาเหรอหรา แล้วปิดด้วยยิ้ม “ก็รู้ว่าเขาไม่ได้เกลียดผมนี่ รู้ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์แล้ว”
ดวงตาสองคู่สบกัน อีกครั้งที่ปุริมาเป็นฝ่ายหลบ มันเป็นความรู้สึกเหมือนช็อคโกแลต หวานแต่เคลือบขม อยากจะดูดกลืนความอ่อนหวานนี้แล้วเดินหน้าต่อ แต่ความจริงฟ้องอยู่ว่าทำไม่ได้ จะกลายเป็นการเทน้ำเป็นกองทราย มันไม่ก่อประโยชน์อะไร รังจะจะสูญเปล่าทางความรู้สึก
เธอลูบหน้า เรื่องรักถูกพักชั่วคราว เรื่องงานมาก่อน อีกฝ่ายเข้าใจ
“แล้วเรื่องเพลิงไหม้ว่ายังไงบ้าง”
“ก็คงต้องรอสืบสวนก่อน” หญิงสาวตอบ “สงสารพ่อ...”
“อย่าคิดมาก ใจเย็น ๆ ทุกอย่างมีทางแก้ไข ตอนนี้คุณต้องดูแลตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องเป็นกำลังใจให้ผอ.” เขมรัฐพูดเป็นทางการ ปุริมาพยักหน้า
“ตกลงคุณจะเฝ้าผอ.ไหม ผมจะได้อยู่เป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้”
“ที่นี่ผีดุนะ”
“คุณนี่!”
ในที่สุดปุริมาก็หัวเราะออกมา แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ผ่อนคลายปัญหา ซึ่งเกิดจากการที่ชายหนุ่มพูดจายั่วแหย่เหมือนเคย เธอถอนใจยาวเป็นการปลอบโยนตัวเอง
....
จากคุณ |
:
BabyRed
|
เขียนเมื่อ |
:
22 เม.ย. 55 13:42:34
|
|
|
|