Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 12 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน ช่วงนี้หยุดสงกรานต์ยาวครับ เลยหยุดยาวไปเลยเหมือนกันครับ จากนี้ อาจจะพบกับตอนที่ 13 ต้นเดือน พ.ค. เลยนะครับ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปสัมมนาที่เชียงใหม่-เชียงรายต่อจนถึงสิ้นเดือนค่อยกลับมาครับ

ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ คุณ เอริชา, wor_lek, แก้วกังไส, npuiy, mimny, ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, เพชรรุ้งพราย, Hermosa, Setakan, kdunagin, อินทรายุธ, นวลน้ำผึ้ง, เรียวรุ้ง ครับ

สำหรับล่องกัลปาลัย ตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11934214/W11934214.html

บทที่ 12


         แสงจากหลอดไฟฉายกราดกระทบมาทางเบื้องหลัง จนทำให้ถึงกับสะดุ้งโหยง หญิงสาวแทบเสียหลักพลัดตกลงมาจากบันได เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เรียกมาจากเบื้องหลัง ขณะที่สติของหล่อนกำลังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


            “คุณชล! ป่านนี้ คุณมาทำอะไรอยู่ที่นี่ครับ?”


             เป็นเสียงทุ้มกังวานด้วยความประหลาดใจขีดสุดของภูไท ทินบดี ทนายความหนุ่มรูปงามแห่งทับสนธยานั่นเอง...


              เพื่อนสาวของปีระการีบหันขวับกลับไปทันทีในจังหวะที่เขาปราดตรงเข้ามาหา เผลอขยี้นัยน์ตาที่รับภาพได้ในตอนแรก ภายใต้เงาสลัวมองเห็นใบหน้าขาวสะอาดของทนายความหนุ่มปรากฏเพียงสันจมูกโด่งคมสะท้อนแสงตะเกียงโดดเด่นขึ้นมา แต่ไม่อาจมองเห็นประกายดวงตาที่เกิดเงาหวำลึกลงไปเป็นโพรงในความมืดนั้น มือของเขาแตะลงที่ปลายแขนของหล่อนอย่างสุภาพ ท่าทีเป็นห่วงชัดเจน


             “คุณชลออกมาข้างนอกทำไมกลางดึกอย่างนี้ครับ ผมตกใจหมดเลย ตอนแรกคิดว่าเป็นใครบุกรุกเข้ามายามวิกาลนี่เสียอีก?”


            “ชลเอ้อ...”


           ความคิดกำลังถูกเรียบเรียงให้เข้าที่ หลังจากปรับอารมณ์ตื่นเต้นให้คลายลงเรียบร้อยแล้ว


            “แล้วคุณภูไทออกมาทำอะไรข้างนอก ดึกๆดื่นๆอย่างนี้คะ?”


            ถามย้อนออกไปก่อน เมื่อเกิดความรู้สึกหวั่นระแวงขึ้นมาเฉยๆ ห้องโถงกลางคฤหาสน์กว้างใหญ่ยามวิกาล ที่คนสองคนมาพบกันโดยบังเอิญ?


                  “ผมก็ตามคุณมาเหมือนกันครับ พอดีตื่นขึ้นมากลางดึกได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องก็เลยเปิดประตูออกมา แล้วก็ทันเห็นคุณชลกำลังเดินออกไปตามลานเฉลียงข้างนอก”


            น้ำเสียงชายหนุ่มราบเรียบระหว่างเล่าเหตุการณ์ของเขา


               “ก็เลยรีบกลับเข้าไปที่ห้องหยิบไฟฉาย แล้วก็ตามคุณมาถึงที่นี่ ตอนนั้นกำลังจะร้องเรียกอยู่พอดี ก็เห็นคุณชลกำลังจะไต่ขึ้นบันไดหอคอย ผมเกรงว่ามันจะอันตรายอยู่นะครับ ไม่รู้ว่าสภาพบันไดจะเก่าแก่ผุพังแค่ไหน ดีไม่ดีอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้”


             “แปลว่า คุณภูไท ตามชลมาหรือคะ?”


               ชลธรเลิกคิ้วด้วยความสงสัย หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ


              “แต่ชลรู้สึกเหมือนกับคุณเดินออกมาจากประตูบานนี้นี่คะ ไม่ได้ตามชลมาจากทางเข้าปีกตึกฝั่งโน้นเลย”


           คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ น่าเสียดายที่ชลธรไม่อาจมองเห็นใบหน้าในเหลื่อมเงานั้นได้ชัดเจนว่าเป็นเสียงหัวเราะด้วยอารมณ์ความรู้สึกใดกันแน่


               “อ๋อ แสดงว่าคุณชลคิดว่าผมมาดักรออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว ใช่ไหมครับ?”


             คราวนี้เป็นหล่อนที่เป็นฝ่ายอึกอักไปแทน จะตอบรับไปตามความคิดตรงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ หากยังไม่ทันจะทำอย่างไรต่อไป ทนายความหนุ่ม ก็เดินย้อนกลับไปผลักประตูบานเล็กเชิงบันไดให้เปิดกว้างออกจากกัน เขาหันกลับมาหาหล่อนแล้วผายมือออกกว้าง


              “คุณชลลองเข้ามาดูสิครับว่า ข้างในมันคืออะไร”


              เขาย้ำอีกครั้งแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเชิญชวน ชลธรจึงค่อยๆเดินตามเข้าไป แล้วก็ต้องอุทานด้วยความประหลาดใจ


              ด้านหลังประตูบานนั้นก็คือ ส่วนแคบๆของช่องบันไดทอดลงไปยังชั้นล่างของทับสนธยานั่นเอง และเยื้องออกไปโดยมีเสาขนาดใหญ่กั้นบังเอาไว้ ก็คือระเบียงอีกด้านหนึ่งที่เชื่อมต่อออกไปยังห้องด้านนอก คือบริเวณส่วนที่หล่อนเดินผ่านเข้ามานั่นเอง เพียงแต่มันอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กว่า โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาเดินอ้อมมุมปีกตึกประธาน เพื่อผ่านประตูใหญ่เข้ามาเหมือนกับเส้นทางที่หล่อนใช้เท่านั้นเอง


               “นี่เป็นประตูเล็กครับ มันเชื่อมต่อกับระเบียงโดยตรงสำหรับใช้เป็นทางลัดลงไปชั้นล่าง แต่ถูกสร้างเอาไว้ให้ลับมุม คุณชลคงไม่ทันสังเกต พอผมเห็นว่าคุณชลเดินตรงลิ่วอ้อมระเบียงตึกไปก็รู้ว่าต้องมาทะลุกับห้องโถงของหอคอยนี้เหมือนกัน เพราะบริเวณนี้ก็เป็นมุมสุดฝั่งทิศใต้ของคฤหาสน์ทับสนธยาแล้ว”


                เขาอธิบายได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นเจ้าของสถานที่เสียเอง


             “แสดงว่าคุณภูไทเอง เคยมาที่ห้องนี้ก่อนแล้วหรือคะ? ชลไม่ยักรู้”


           หล่อนก้าวออกไปถึงชานพักบันไดแล้วชะโงกหน้ามองออกไป เห็นส่วนขั้นบันไดขนาดเล็กกว่าบันไดโถงกลาง ที่ทำเป็นขั้นเล็กๆลดต่ำลงไปในความมืด เวิ้งหรือห้องเล็กส่วนนี้ถูกสร้างเอาไว้โดยที่คนด้านนอกอาจไม่ทันสังเกตเห็น เพราะใช้มุมเสาสองต้นกับฉากกั้นสีเดียวกันบังปิด เอาไว้ จนดูเหมือนผนังที่ใช้สีกลืนเข้ากับความมืด เสียจนนึกว่าส่วนด้านนี้คือผนังทึบตันนั่นเอง...


           ทนายความหนุ่มพยักหน้าช้าๆก่อนตอบ


             “ก่อนหน้านี้วันหนึ่งที่ผมมาถึง ก็เลยฆ่าเวลาเดินสำรวจเล่นรอบบริเวณอยู่เหมือนกันครับ ต้องยอมรับว่าทับสนธยาสร้างได้อย่างวกวน ลึกลับซับซ้อนไม่น้อย วันเดียวยังไม่สามารถสำรวจไม่ทั่วถึงเลย อย่างเช่น... ห้องใต้ดินด้านล่างนั่นก็ยังไม่ได้ลงไป”


                   “มีห้องใต้ดินด้วยหรือคะ? ชลนึกว่าแค่มีหอคอยสองหอนี่ก็สุดยอดแล้วนะคะนี่ สมกับเป็นปราสาทโบราณจริงๆเลย”


             ภูไทพยักหน้า แล้วชี้มือลงไปยังบันไดด้านล่าง



             “ส่วนเวิ้งบันไดนี้แหละครับที่เป็นบริเวณต่อลงไปยังชั้นล่างแล้วก็ยังเชื่อมต่อลึกลงไปถึงชั้นใต้ดินอีกด้วย เมื่อวานผมก็ลองเดินลงไป แต่เห็นว่ามีกุญแจล็อคปิดเอาไว้ คิดว่าคุณทวดของคุณปีระกา คงกลัวจะมีใครนึกพิเรนทร์เล่นซนแอบลงไปสำรวจ เหมือนกับเราสองคนแน่เลยครับ”


          คราวนี้ทั้งเขาและหล่อนก็เลยหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ชลธรเริ่มคลายบรรยากาศของความรู้สึกเคร่งเครียดลงได้มาก


         “ถ้ามีเวลา ผมจะได้พาคุณชลไปสำรวจ แต่ยังไงขอเป็นตอนกลางวันดีกว่านะครับ กลางคืนแล้วก็มืดตึ๊ดตื๋ออย่างนี้ ไม่ค่อยน่าโสภาซะเท่าไร”


            “ค่ะ ยินดีค่ะคุณภูไท ชลก็กะว่าจะอยู่ที่นี่สักสองสามวัน ถือว่าตามยายปีมาทำธุระแล้วก็พักผ่อนไปในตัว ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องมาสำรวจวังเอ๊ย ทับสนธยากลางดึกอย่างนี้หรอกค่ะ ถ้าไม่ติดว่าต้องมาตามหายายปีระกาซะก่อน”


          ตอนท้ายเผลอบ่นเบาๆกับตัวเอง


           “คุณปีระกา? ทำไมหรือครับ?”


            คราวนี้ภูไทมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาทันที


            “ก็ยายปีน่ะสิคะ เกิดพิเรนทร์เสียยิ่งกว่าเราสองคนอีก ดันออกมาสำรวจคนเดียวตั้งแต่ตอนไฟดับสี่ทุ่ม จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับเข้ามา ชลเลยต้องตัดสินใจออกมาตามหาตัวนี่แหละค่ะ”


          “ออกมาสำรวจกลางดึกอย่างนี้หรือครับ?”


            ชายหนุ่มทวนคำ ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที หากยังไม่ทันจะทำอะไรต่อไป เสียงกรีดร้องก็ดังกังวานขึ้นเสียก่อน ส่วนของอาคารอันกว้างและโค้งสอบขึ้นไปยิ่งทำให้เสียงนั้นสะท้อนจนน่าขนลุก หญิงสาวเผลอแตะข้อมือชายหนุ่มเอาไว้ด้วยความกลัวที่ผุดขึ้นมาทันที หล่อนไม่รู้ว่านั่นคือเสียงของปีระกาหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีประโยชน์เสียแล้ว เมื่อภูไทรีบคว้าต้นแขนแล้วดึงให้เร่งฝีเท้าตามไปยังทิศทางของต้นเสียงนั้นทันที...


           ***********************


                ด้วยมืออันสั่นเทา มะขิ่นทำพวงกุญแจหล่นจากมือ เด็กสาวรีบก้มลงไปหยิบขึ้นมา นี่ถ้าตาเฒ่าอาตม์นั่นมาเห็นเข้า หล่อนจะหาทางแก้ตัวได้อย่างไรที่ย้อนกลับมากลางดึก พร้อมกับมีพวงกุญแจไขเข้าไปด้านหลังทับสนธยาได้อีก?


             นึกถึงชายเฒ่าผู้ที่ทำงานด้วยความหวั่นใจ แม้จะต้องเผชิญหน้ากันในยามกลางวัน มะขิ่นก็รู้สึกว่าอีกฝ่าย มีอะไรบางอย่าง ที่น่าคร้ามเกรงจนไม่เคยรู้สึกสนิทสนมกับชายชราผู้นี้เลยแม้แต่น้อย


               “แสงไฟที่ยอดหอคอย เป็นสัญญาณว่าการปรากฏของมันเกิดขึ้นแล้ว การปรากฏขึ้นขององค์ ชตุกา!!”


            ยังจำคำเปรยของนายท่านได้เป็นอย่างดี


              “นายท่านหมายความว่าอะไร?”


              “ถ้าพวกแกยังต้องการทำงานนี้ต่อไป ก็จงกลับไปที่นั่น... บางที อาจจะคืนนี้... นางผู้หญิงคนนั้นจะพาเจ้าไปค้นพบค้างคาวทอง”


            “แต่...”


             จำได้ว่าหล่อนตอบกลับไป หันมามองมินอ่อง ก็เห็นพี่ชายส่ายศีรษะอย่างจำนน


            “เลือกเอามะขิ่น ว่าจะยอมยุติหรือจะแก้ไข?”


              หล่อนรู้อยู่เต็มอก รู้ถึงน้ำเสียงที่อ่อนลงไม่ต่างกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยผู้เสียขวัญ แต่ซ่อนความอำมหิตเอาไว้ แท้จริงแล้ว มันไม่มีทางเลือกใดๆทั้งสิ้น นอกจากการบังคับ!


           “จะกลับไปหมู่บ้านของพวกเจ้าตามเดิม หรือ กลับไปทับสนธยา?”


              “ข้ายินดีไปตามคำบัญชาของท่าน ข้าจะไป”


            “มะขิ่น!”


            คราวนี้เป็นเสียงร้องอุทานของมินอ่องเสียเอง เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างเด็ดเดี่ยว


              “พี่ต้องกลับไปส่งข้าก่อน ตอนนี้ข้าจะตามคุณปีระกาด้วยตัวเอง บางทีคืนนี้ ทุกอย่างอาจจะเสร็จสิ้น แล้ว... แล้วเราก็ได้กลับบ้านของตัวเองเสียที”


              มินอ่องเพ่งมองใบหน้าน้องสาวในเงามืด ใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยคราบเหงื่อไคล เศษใบไม้ฝุ่นละออง และท้ายที่สุดคือหยาดน้ำตาที่สะท้อนอยู่ปลายหางตา!


              มะขิ่นรีบขับไล่ความว้าวุ่นใจ จากระยะไกลของลานกุหลาบขาว เด็กสาวมองเห็นแสงไฟเรืองๆส่องลอดออกมาจากชั้นบนสุดของหอคอยด้านนี้พอดี หล่อนนัดแนะให้ผู้เป็นพี่ชายกลับไปยังหมู่บ้านก่อน สองพี่น้องอำลากันจากปลายเขตแดนทับสนธยา แม้จะรู้ว่าช่วงเวลาวิกาลเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดมารู้เห็น แต่ก็ไม่ต้องการความประมาท


               “ระวังตัวด้วยล่ะ ข้าสังหรณ์พิกล ว่ามันต้องมีเรื่องไม่ดีอยู่ที่นั่น”


                มินอ่อง ไม่เคยเข้าไปภายในทับสนธยามาก่อน รีบสำทับอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะบังคับม้าให้ตีวงย้อนกลับไป


          จากนั้นหล่อนก็ดุ่มเดินผ่านเข้ามาสู่อาณาเขตสวนดอกไม้ด้านหลังเพียงลำพัง


              ทุกอย่างตรงกับคำพูดของนายท่านไม่มีผิด... นายท่านผู้มีญาณพิเศษ... ผู้มีนัยน์ตาทิพย์และความเป็นอมตะ ยกเว้นเพียงอย่างเดียว ก็คือการตามหากัลปาลัยเท่านั้น ที่อยู่นอกเหนือจากพลังอำนาจ!


           และหล่อนก็ต้องรีบตามรอยปริศนานั้นขึ้นไป แม้จะรู้ว่าบนยอดหอคอยจะมีประตูปิดกั้นเอาไว้ แต่การที่เกิดแสงไฟขึ้นเพียงน้อยนิดอย่างนั้น แสดงว่าต้องมีใครกำลังขึ้นไปข้างบนด้วยเช่นกัน และนำหน้าหล่อนอยู่เพียงไม่กี่ก้าว


            ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด มะขิ่นได้รับคำสั่งนั้นมาแล้ว หล่อนต้องไป!


        กริ๊ก!


            เสียงกุญแจถูกไขเข้าล็อคในจังหวะนั้นพอดี และเมื่อเด็กสาวบิดลูกกุญแจก็สามารถปลดล็อคด้านในได้สำเร็จ สาวน้อยบ้านป่าเผลอยิ้มให้กับตัวเอง นึกถึงตำแหน่งของทับสนธยาที่เพียงก้าวเข้าไปไม่ไกลก็จะถึงบันไดเล็กหล่อนรู้ว่าเชื่อมต่อขึ้นไปยังชั้นสอง สำหรับขึ้นไปสู่บันไดเวียนของหอคอยเป้าหมาย


              คิดได้ดังนั้นแล้ว มะขิ่นจึงค่อยๆผลักประตูบานเล็กเข้าไป...


                เสียงแอ๊ดดดด ของคมประตูที่ขึ้นสนิมฝืด ครูดกับานพับและขอบประตูดังลากยาวจนหล่อนแทบจะกลั้นหายใจ และเพียงแค่เกิดช่องว่างขนาดเล็ก มะขิ่นก็หยุด มันเพียงพอแล้วที่จะให้ลอดตัวผ่านเข้าไปในความมืดของทับสนธยา โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น


             เด็กสาวเบี่ยงกายช้าๆขยับร่างเลื่อนผ่านเข้าไปอย่างนุ่มนวล เผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเลื่อนมือดึงสลักประตูด้านในเพื่อให้มันปิดกลับเข้าหากันดังเดิม


            แต่ยังไม่ทันสัมผัสกับสลักโลหะนั่นเลย เมื่อมีมือของใครอีกคนเอื้อมมาแตะเอาไว้ก่อน


             หัวใจมะขิ่นหล่นวูบลงไปในพริบตา มือที่เย็นเฉียบลากผ่านมือสั่นสะท้านของเด็กสาว แล้วหับประตูล็อคกลับเข้าไปดังเดิม เสียงกริ๊กครั้งนี้ ทำให้หล่อนหนาวยะเยือกยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต


           แล้วเงาตะคุ่มของใครคนนั้นก็ก้าวเข้ามายืนขนาบข้าง หล่อนรับรู้ในทันทีว่าเป็นผู้ใด!


            มะขิ่นอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องได้เพียงครั้งเดียว แล้วอุ้งมือหนาหนักก็กดปิดลงมาที่ครึ่งปากครึ่งจมูก จนเสียงกรีดร้องครั้งที่สองชะงักงันกลายเป็นเสียงอึกอัก หล่อนดิ้นและดิ้นเพื่อจะเอาชีวิตรอด แต่ก็ไม่อาจขยับใบหน้าให้พ้นจากอุ้งมือมหากาฬที่แข็งปานคีมเหล็กนั้นได้ เมื่อมันกด และกดลงไปจนสติสัมปชัญญะของเด็กสาวหลุดลอย


                ร่างผอมบางทรุดลงในวงแขนของบุคคลปริศนาที่รอคอยอยู่แล้ว มืออีกข้างหนึ่งรองรับใต้วงแขนหญิงสาวแล้วออกแรงลากร่างทั้งร่างให้เคลื่อนตามลงไป


             สู่ชั้นล่างอันมืดทมิฬของห้องใต้ดินแห่งทับสนธยา!!

       ***********************


             เกือบเที่ยงคืนแล้วที่คมจักรยังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ภายในห้องพักส่วนตัว แสงจากโคมไฟสะท้อนให้เห็นนิตยสารหลายเล่มของยอดเยาวมาลย์ ซึ่งบัดนี้ ในหน้านวนิยาย “กุหลาบอาเพศ”ก็ถูกนำมาตัดเป็นชิ้นส่วนสำหรับเทียบเคียงกับข้อมูลในแฟ้มคดีของนายตำรวจ


             เขากำลังพยายามร่างรายละเอียดเปรียบเทียบกับตัวละครแต่ละตัว และผู้เสียชีวิตแต่ละคน รวมถึง “ผู้ต้องสงสัย” ที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นบุรุษเพศทั้งหมด


               คดีฆาตกรรมที่ไล่ลำดับการสังหารจากน้องสาวคนเล็กสุดของตระกูลนี้ก็คือ นางลัดดาวัลย์ อาชาวีรชัย ไล่ขึ้นมาจนถึงการเสียชีวิตลำดับที่สี่ ลำดับสุดท้าย ซึ่งเหยื่อรายนี้ก็คือพี่สาวต่างมารดาคนสำคัญที่ตำรวจกำลังจับตาดู... คุณกรรณิการ์ อาชาวีรชัยนั่นเอง


             ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเกี่ยวพันกับมรดกของตระกูลอาถรรพ์ตระกูลนี้จึงมีเพียงเขยหนุ่มทั้งสามนั่นเอง


           เริ่มต้นด้วยวันชนก เขยใหญ่ของตระกูล และเป็นสามีของเบญจมาศ อาชาวีรชัย หญิงสาวผู้เสียชีวิตเป็นลำดับที่สาม...


                  แม้ว่าทั้งสามสาวจะแต่งงานมีครอบครัวกับชายหนุ่มต่างวงศ์ตระกูลแต่ก็ยังไม่ยินยอมเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี คงยึดตามคำสั่งของหลงจู๊เสียง ประมุขคนสำคัญแห่งตระกูลอาชาวีรชัยก่อนเสียชีวิต ที่ต้องการสืบทอดนามสกุลของตัวเองต่อไป


              นายวันชนก ชูพงษา?


                เขาคีย์ข้อมูลลงไปในเครื่อง แล้วจากนั้นไม่นานภาพของชายวัยสี่สิบเศษ ใบหน้าหมองคล้ำก็ปรากฏขึ้นหน้าจอมอนิเตอร์ นักธุรกิจหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเศษสามีของเบญจมาศนั่นเอง ฝ่ายนั้นเป็นคนใหญ่คนโตพอสมควรในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การแต่งงานของวันชนกและเบญจมาศ เกิดขึ้นด้วยการเจรจาของบิดาฝ่ายหญิงที่ต้องการจะให้ธุรกิจของสองตระกูลได้รวมกันเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งการส่งออกที่ตัวเองทำอยู่และอสังหาริมทรัพย์ของชูพงษา ในทำนอง “เชื่อมทองให้เป็นแผ่นเดียวกัน” หรือ “เอาเงินมาต่อเงิน” นั่นเอง เนื่องจากวันชนก ชูพงษา เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวและสืบทอดธุรกิจนั้นมาทางครอบครัวโดยตรง


                  ข้อมูลในแฟ้มคดี ไม่มีรายละเอียดของอีกฝ่ายในเชิงลึกมากนัก ฐานะทางเศรษฐกิจของวันชนกไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เนื่องจากตระกูล “ชูพงษา” ก็อยู่ในระนาบเดียวกับ “อาชาวีรชัย”ของฝ่ายหญิง ซ้ำในปัจจุบันกิจการของทางชูพงษาก็แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่า ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องการชิงมรดก ก็น่าจะตัดไปได้ส่วนหนึ่ง


                  คมจักรอ่านรายละเอียดและข้อมูลจากแฟ้มคดี ที่ไม่อาจเก็บปากคำของนายวันชนกโดยตรงเนื่องจากอีกฝ่ายยังติดพันกับการทำธุรกิจอยู่ในยุโรป และกำลังจะเดินทางกลับในสัปดาห์หน้า เขาเช็คข้อมูลการเดินทางของอีกฝ่าย และพบว่าทั้งไฟล์บินที่ระบุรายละเอียดการเดินทางชัดเจน แสดงว่า ณ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุฆาตกรรมคุณกรรณิการ์ วันชนกไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นแน่นอน รวมถึงข้อมูลลับที่เขาล่วงรู้มาก่อนหน้านี้


                     วันชนก มีครอบครัวอันอบอุ่นอยู่ที่นั่น กับภรรยาลับๆ ที่เขาปกปิดกับเบญจมาศมาโดยตลอด ภาพถ่ายจากนักข่าวสมัครเล่นคนหนึ่ง ที่ส่งมาให้ทำให้เห็นครอบครัวของวันชนกกำลังหยอกล้อกับทารกน้อยที่เพิ่งคลอดไปไม่นานอย่างมีความสุข แตกต่างจากรูปถ่ายที่ถ่ายคู่กับเบญจมาศ ก่อนการเดินทางไปต่างประเทศ ด้วยข้ออ้างทางธุรกิจ ราวกับเป็นคนละคน



             เขามองไม่เห็นแรงจูงใจใดๆในการเป็นฆาตกรของหนุ่มใหญ่รายนี้เลยด้วยซ้ำ นอกจากความต้องการเป็นอิสระ เพื่อการสร้างครอบครัวใหม่


            และถ้าเขามีเหตุผลในการสังหารภรรยาตีทะเบียนอย่างเบญจมาศ ก็ยิ่งไม่สมควรจะมีเหตุผลในการฆ่า น้องภรรยาที่เหลืออีกสองคน รวมทั้ง คุณกรรณิการ์เป็นรายต่อมา


        ไม่มีเหตุผลใดๆมารองรับเลยสักข้อเดียว!


          สายตาของนายตำรวจหนุ่มเลื่อนไปยังแฟ้มที่สองและสาม นั่นก็คือเขยรองและเขยเล็กในตระกูลอาชาวีรชัย


           สมภพ แสนภูมิ และ นายแพทย์ พารณ รัตนกีรติ


           คมจักร เพ่งมองรูปถ่ายในแฟ้มกับภาพถ่ายที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เปรียบเทียบกัน ภาพแรกคือภาพของชายหนุ่มผู้นั้นก่อนจะเข้ามาเป็น “เขยรอง” ของตระกูลอาชาวีรชัยที่ถ่ายร่วมกับผู้เป็นภรรยา  ส่วนภาพในไฟล์คอมพิวเตอร์ คือภาพในช่วงการสัมภาษณ์ให้ปากคำ ภายหลังจากที่สมภพได้หย่าขาดจากนางมัลลิกา อาชาวีรชัย และก่อนหน้าที่ทายาทสาวของหลงจู๊เสียงจะเสียชีวิตเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี


            มันเป็นความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด


                   ชายหนุ่มในรูปแรกนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย ทั้งด้วยรูปร่างหน้าตาและความอ่อนเยาว์ของอายุ แม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในเครื่องแต่งกายซอมซ่อแสดงถึงฐานะที่ต่างกันกับอีกฝ่ายอย่างลิบลับ แน่นอนว่าน่าจะอายุอานามน้อยกว่ามัลลิกา อย่างเห็นได้ชัด เพราะใบหน้าของฝ่ายหญิงที่ฉีกยิ้มจนเห็นรอยตีนกาขึ้นเป็นแฉกอย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่ชายหนุ่มรูปงามในรูปมีใบหน้าอ่อนใส และ เพียงแต่ยิ้มให้อย่างแกนๆเสียมากกว่า


            รอยยิ้มที่ไม่ต่างกับการสวมหน้ากาก...


             เขามองไม่เห็นกระแสของความรักที่ในสายตาของบุรุษผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย นี่อาจจะเป็นการทำ “ธุรกิจ” อีกแบบหนึ่ง ที่อิงอาศัยประโยชน์ซึ่งกันและกัน เหมือนกับคู่ของเบญจมาศ เพียงแต่สิ่งที่มัลลิกานำไปแลก อาจจะไม่คุ้มเท่ากับที่คุณเบญจมาศนำไปแลก


            เพราะหล่อนต้องการหัวใจรักของหนุ่มน้อยคนนี้ ไม่ใช่เงิน และนั่นก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ความรักของทั้งคู่ต้องพังครืนลงไม่เป็นท่าในเวลาเพียงไม่กี่ปี โชคยังดีที่มัลลิกาไม่มีบุตรเป็นตัวเหนี่ยวรั้งการตัดสินใจ


               นายตำรวจหนุ่มหันไปอ่านคำให้การของสมภพ ในวันเกิดเหตุฆาตกรรมอดีตภรรยาของตัวเอง ชายหนุ่มให้ปากคำว่าออกไปสังสรรค์กับเพื่อน โดยมีสหายของเขาคอยให้คำรับรองร่วมกับเจ้าของผับที่กลุ่มสหายของเขาไปสังสรรค์กันอยู่ตลอดทั้งคืน


                 เขามองภาพถ่ายที่ผ่านการอัพโหลดเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้า สมภพในวันนั้นอยู่ในสภาพภูมิฐาน สง่างาม ทั้งด้วยวัน วัย และประสบการณ์ชีวิต ที่มัลลิกา ช่วยหล่อหลอมให้เขาปรากฏกายในสังคมชั้นสูงในเวลาต่อมา จนไม่เหลือภาพเด็กหนุ่มซื่อๆใสๆ เหมือนกับในรูปใบแรกอีกเลย


         แทบจะปักใจเชื่อว่า ในบรรดาเขยทั้งสาม ชายหนุ่มผู้นี้น่าจะมีแรงจูงใจในการก่อการสังหารมากที่สุด แม้จะไม่ใช่เรื่องมรดก แต่อาจจะหมายถึงความแค้นส่วนตัว...


                   ชายหนุ่มเปิดคลิปสัมภาษณ์ที่เพื่อนนายตำรวจแผนกสืบสวนส่งไฟล์มาให้ ท่าทางของอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าถูกจับตามองผ่านกล้อง แฝงไปด้วยความเกลียดชัง คู่ชีวิตในอดีตอยู่ไม่น้อย รวมถึงสภาพความกดดันที่ต้องอยู่ภายในคฤหาสน์อันยิ่งใหญ่อย่างเจียมตัวเจียมใจ ไม่ต่างกับฐานะของผู้อาศัย แน่นอนทั้ง เบญจมาศ ลัดดาวัลย์ หรือแม้แต่คุณกรรณิการ์ต่างก็มีความรังเกียจเดียดฉันท์เด็กหนุ่มรูปงามผู้มาแต่ตัวคนนี้กันถ้วนหน้า เห็นจะมีแต่มัลลิกาผู้เป็นภรรยาแต่เพียงคนเดียวที่ลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำ ไม่ฟังความเห็นจากพี่น้อง


                  ในเมื่อหล่อนทั้งรักทั้งลุ่มหลง ก่อนจะแปรความรู้สึกเป็นหึงหวง ในห้วงเวลาของความผิดหวัง เสียใจ จากเรื่องราวต่างๆ มัลลิกาก็จะมาลงที่เด็กหนุ่มผู้เป็นสามีอ่อนวัยกว่าคนนี้โดยไม่เคยคิดว่าเขาเป็นมนุษย์ นอกจากวัตถุสวยงามที่หล่อนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่เพียงผู้เดียว


             ประเด็นเรื่องแบบนี้ เคยก่อให้เกิดคดีฆาตกรรมต่างๆมามากมายไม่แพ้กัน


                นายตำรวจหนุ่มถอนลมหายใจหนักหน่วง เขายกถ้วยกาแฟดำขึ้นจิบ ความขมปร่าของมันช่วยขับไล่ความง่วงงุนออกไปได้บ้าง แม้ว่าจะไม่สามารถไขความกระจ่างในเรื่องราวฆาตกรรม “กุหลาบอาเพศ” อย่างที่แม่นักเขียนสาวหน้าแบ๊วนั่น ทำนายเอาไว้ก็ตาม


             เอาล่ะ เหลืออีกเพียงรายเดียวเท่านั้น คมจักร วางถ้วยเซรามิกส์ลงบนโต๊ะ แล้วเปิดไฟล์บุรุษคนที่สามออกมา


               นายแพทย์พารณ รัตนกีรติ สามีของนางลัดดาวัลย์ เหยื่อสังหารรายแรกของคดีสยองขวัญรายนี้...


          **********************

สำหรับ บทที่ 13 จะเริ่มเข้าสู่ "โหมดคุณหลวง" แล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ

หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 22 เม.ย. 55 19:45:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com