หัวใจก้นครัว ๔๑-๔๒-๔๓ (แก้ไขใหม่)
|
 |
บทที่ ๔๑ ภัทร วางพวงมาลัยดอกมะลิกลิ่นหอม ที่ทับทิมชอบไว้บนโถอัฐิของนาง ซึ่งวางเรียงกันอยู่ใกล้กับของพลอย หม่อมราชวงศ์เภาสวัสดิ์และเคี้ยงที่ด้านล่างของชั้นโต๊ะหมู่บูชา ภายในห้องพระ เขาจุดธูป แล้วตั้งอธิษฐานจิต ถึงทับทิมและทุกคนที่อยู่ในห้องพระแห่งนั้น ภายในจิตใจของเขารู้สึกสงบนิ่ง ชายหนุ่มค่อยๆเรียบเรียงความคิด แล้วสื่อสารออกไป ป้าทับทิม คุณพ่อเภา คุณแม่พลอย โกเคี้ยง ครับ ได้โปรดให้อภัยในความโง่เขลาของผม ต่อจากนี้ไป ผมสัญญาว่า ผมจะไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตอีกต่อไปแล้ว ขอให้ทุกท่านอย่าเป็นห่วงผมเลยครับ และขอให้ทุกท่าน พาป้าทับทิมไปอยู่ร่วมกันในภพ ในภูมิที่ดี ด้วยเถิดครับ ความรู้สึกโล่งใจ ราวกับมีใครสักคน ยกเอาสิ่งของที่แสนหนักหน่วง ออกไปจากจิตใจของเขาไป ภัทรรู้สึกได้ว่า สายตาจากทุกคนในรูปที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าโถอัฐิของแต่ละคน มองมาที่เขามาด้วยรอยยิ้มอย่างให้กำลังใจ จนชายหนุ่มยิ้มออกมาจากภายในใจ ที่บัดนี้มีแต่พลังของความเข้มแข็ง จนพร้อมจะก้าวออกไปเผชิญปัญหา ตามปกติที่เคยเป็นแล้ว อย่าโกรธหนูสิตาเลยนะจ๊ะหลาน หากจะโกรธ จงโกรธป้าเถิด เพราะการตัดสินใจในเรื่องนี้ ล้วนแต่เกิดขึ้นโดยป้าเพียงคนเดียว ภัทร ยังคงจำบทสนทนา ระหว่างเขากับหม่อมราชวงศ์หญิงรัดเกล้า ขณะที่เขาถูกพามาพักฟื้นที่โรงพยาบาล เมื่อหลายวันก่อน ได้อย่างขึ้นใจ เรื่องของทับทิม มันเกิดอย่างรวดเร็วเสียจนพวกเราทุกคนทางนี้ ตั้งตัวรับมือกันแทบไม่ทันการณ์ ป้าพยามยามทำตามความปรารถนาสุดท้ายของทับทิม ให้สัมฤทธิ์ผลมากที่สุด นั่นก็คือ.... คุณหญิงรัดเกล้าหยุดเล่าเรื่องราวไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบที่ศีรษะของภัทรอย่างอ่อนโยน สตรีผู้สูงศักดิ์ รู้สึกว่าความโทมนัสเกี่ยวกับหลานชายผู้แสนอาภัพ ที่หล่อนเก็บงำไว้ในจิตใจมาแสนนาน ได้คลี่คลายตัวของมันออกมาแล้ว หล่อนรู้สึกจุกแน่นในอก ลำคอตีบตัน ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรง ในการควบคุมให้ตนเองเปล่งเสียงออกมาได้ตามใจปรารถนา หล่อนกลั้นใจกล้ำกลืนความสงสารนั้น ให้จมดิ่งไปสู่จุดเดิมของมันอย่างที่เคยเป็น แต่น้ำเสียงก็ยังไม่วายสั่นเครือ ขอบตารื้นไปด้วยน้ำใสจากความเห็นใจ เมื่อเพ่งพิจารณา ชายหนุ่มตรงหน้า อย่างเต็มตาแล้ว ใบหน้าคมคายที่เคยผ่องใส กลับดูซูบซีดและอิดโรยลงไปมาก จนน่าตกใจ ดวงตาแห้งแล้งราวกับคนไร้วิญญาณ รอยยิ้มที่เคยประดับไว้เสมอบนใบหน้านั้น จางหายไปเสียแล้ว ในเวลานี้ ...นั่นก็คือ การที่ได้เห็นหลาน เข้มแข็ง พร้อมที่จะเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ที่มันมีทั้งความทุกข์ และความสุข แต่ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ป้าก็ขอให้หลานรู้ไว้ว่า หลานยังมีป้าอยู่ทั้งคน และป้าจะไม่ปล่อยให้หลานต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น โดยลำพัง...แน่นอน รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของคุณหญิงรัดเกล้าที่มีให้กับเขานั้น ทำให้จิตใจที่แสนมืดมิดของเขาในขณะนี้ มีแสงทองส่องสว่างจน รู้สึกอบอุ่นภายในใจ แล้วแสงเจิดจ้านั้น กลับยิ่งสว่างไสว จับใจของเขามากขึ้น เมื่อได้รับรู้ถึงความคิดของคุณหญิงรัดเกล้า ที่เปิดเผยออกมา ป้ารู้สึกเสียใจ ที่ปล่อยชีวิตของหลานวุ่นวายเลยเถิด มาจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งที่ตัวเองสามารถจะลงมือแก้ไขในเรื่องที่ผ่านมาได้ แต่ก็กลับละเลยเพิกเฉยไป... ป้ามันช่างขลาดเขลาเสียนี่กระไร... น้ำตาของคุณหญิงรัดเกล้า พร่างพรูลงมามากมายจน จนภัทรรู้สึกประหลาดใจ เพราะที่ผ่านมา คุณหญิงรัดเกล้า ไม่เคยแสดงออกว่าหล่อนคิดอย่างไรกับเขา จนบางครั้งที่เขาเคยรู้สึก คล้ายกับว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสายโลหิต ร่วมกันกับหล่อนเลย ...แต่ต่อจากนี้ไป ทับทิมได้มอบหมายสิ่งสำคัญล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเธอ ให้ป้าดูแลแทนเธอต่อไป ซึ่งนั่นก็คือ หลานไงจ๊ะ หม่อมราชวงศ์หญิงรัดเกล้า ยิ้มจากใจจริงออกมาอีกครั้ง น้ำตาแห่งความเห็นใจเหือดหายไป คำพูดต่อไปถูกเปล่งออกมา อย่างมั่นคง กลับมาเป็นภัทร คนเดิมเสียเถิดนะจ๊ะ อย่าปล่อยให้อดีตมันคอยมาทำร้ายหลาน อยู่อย่างนี้อีกต่อไปเลย ยิ่งหลานปล่อยให้มันมาทำร้ายหลาน ครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่เจ็บช้ำที่สุดคงไม่พ้นตัวหลานเอง ชีวิตข้างหน้ายังมีความสวยงามมากมาย รอคอยหลานอยู่ เชื่อป้าเถิดนะ ภัทร ไม่ตอบอะไร นอกจากยิ้มรับออกมา จากใจจริง เพียงเท่านั้น... ชีสเค้กสีเหลืองทองที่อยู่ในเตาอบ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว ดีใจที่ยืนดูอยู่อย่างเก้ๆกังๆที่หน้าเตาอบ เอ่ยถามเสียงดัง เอ...รัก ชีสเค้กในเตาอบ สุกหรือยังวะ ? สุกแล้ว แต่มันยังไม่ได้ที่ ถ้ามันได้ตามเวลาที่กำหนด นาฬิกาที่ตั้งไว้มันก็ดังเตือนเองละน่า ทำเป็นตื่นเต้นไปได้ ดีใจก้อ... รักษภูมิ พูดตอบ ทั้งที่ในมือยังคงสาละวน กับการคีบคุ้กกี้อุ่นๆที่เพิ่งอบเสร็จ บรรจุลงในกล่องไปด้วย โหย...ก็เราไม่เคยทำมาก่อนนี่นา โคตรปลื้มเลยว่ะ แบบว่าตัวเองรู้สึกเท่ห์มาก ไม่อยากจะเชื่อว่า คนอย่างนายดีใจ จะทำเค้กกะเขาเป็นด้วย ดีใจ ยิ้มกว้างบอกอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่จะมาลงที่เก้าอี้ข้างรักษภูมิ รักษภูมิ ส่งกล่องคุ้กกี้ที่บรรจุเสร็จให้ดีใจ ที่รับมาช่วยปิดผนึก อย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มบอกด้วยเสียงเศร้าไม่ได้ว่า ทำคุ้กกี้ ข้าวโอ๊ตใส่ลูกเกดแบบนี้ แล้วนึกถึงป้าทับทิมจัง เวลาเราทำทีไรนะ เอาไปฝากแกทุกทีเลย งั้น พรุ่งนี้ แบ่งไปใส่บาตรไปให้แกบ้างดีกว่าเนอะ
ดีใจ พยักหน้าอย่างสนับสนุน แต่ยังไม่ทันที่จะตอบอะไร เด็กรับใช้ในบ้านก็เดินเข้ามารายงาน พี่แดง มีคนมาหาจ้ะ เขาบอกว่าเป็นอาจารย์ของพี่แดงจ้ะ รักษภูมิ มองหน้าดีใจ ที่อ้าปากค้างอย่างตกใจ เพราะทั้งคู่ต่างก็คิดตรงกัน แต่ดีใจ อาศัยความไวกว่า ถอดผ้ากันเปื้อนที่คาดไว้ ออกวางลงบนโต๊ะ อย่างอารมณ์ขึ้น กำลังจะลุกออกไปที่หน้าบ้าน แต่เสียงนาฬิกาที่ตั้งเตือนไว้ ดังขึ้นมาช่วยขัดจังหวะพอดี รักษภูมิจึงรีบบอกเด็กรับใช้ไปว่า ไปเชิญเขาเข้ามาในนี้ก็แล้วกัน แล้วเอาน้ำมาเพิ่มอีกแก้วหนึ่งด้วยนะ ภัทรเดินตามเด็กรับใช้ ผ่านสวนด้านข้างมายังครัวด้านหลังบ้าน ขณะนั้น ทั้งดีใจและรักษภูมิ กำลังนั่งรอเขาอยู่เช่นกัน ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร รักษภูมิ ยังคงจัดวางคุ้กกี้ลงกล่องไปเรื่อย ราวกับภัทรไม่มีตัวตนอยู่ตรงหน้า ต่างจากดีใจ ที่กำลังหายใจฟึดฟัด มองเมินไปยังบ่อดอกบัวที่อยู่ไม่ไกล อย่างไม่สบอารมณ์นัก สวัสดีครับ คุณรัก นายดีใจ สบายดีไหม ? ภัทร ที่ยืนมองดูปฏิกิริยา ของทั้งสองคนตรงหน้า อยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยทักออกมาก่อน อย่างกระดากใจ ก้อ...เรื่อยๆครับ รักษภูมิ ตอบไปอย่างเรียบๆ เมื่อกี๊ ก็ดี แต่ตอนไม่ค่อยดีฮะ ดีใจ ตอบเสียงกระด้าง โดยไม่ยอมหันหน้ามองหน้าภัทร ผมอยากขอโทษ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ผมเสียใจ และขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวครับ ภัทรเอ่ยเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงหน้า เขารู้สึกอึดอัดกับท่าที ของทั้งสองคนตรงหน้า มากทีเดียว อาจเป็นเพราะความรู้สึกสำนึกผิดที่ก่อตัวมาตั้งแต่เกิดเรื่อง พวกเราไม่เคยถือโทษโกรธอะไรเชฟ หรอกครับ เพราะไม่แน่ใจว่า พวกเรามีความสำคัญอะไรกับเชฟกันแน่ รักษภูมิ อดที่จะเหน็บแนมภัทรไม่ได้ ทั้งๆที่ในใจเริ่มอ่อนลง ตั้งแต่ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยคำขอโทษแล้ว ภัทร ถือโอกาส ลงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ ก่อนจะบอกต่อไปอีก พวกคุณสำคัญกับผมมากครับ ผมกล้าบอกได้เต็มปากเลยว่า พวกคุณคือเพื่อน ที่ผมมีอยู่ไม่กี่คน ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ คุณรัก ดีใจ รักษภูมิ หันไปสบตากับดีใจ ก่อนจะยิ้มให้กัน ทั้งคู่หันมายิ้มให้ภัทร ที่กำลังทำหน้าเจื่อน รอฟังคำตอบอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผม แก้ตัว ผมรับรองว่าต่อไปนี้ ผมจะไม่ทำตัวเหลวไหล แบบนี้อีกแล้ว ภัทร บอกออกมาใจจริง เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก รักษภูมิ ยื่นมือออกมาให้ภัทรจับ ก่อนที่ภัทรจะหันไปตบที่บ่าของดีใจที่นั่งอยู่ด้านข้าง อย่างอารมณ์ดี แล้วทั้งหมดก็หัวเราะให้กันอย่างเสียงดัง ผมโทรไปถามเรื่องพวกคุณกับเปียโน ถึงได้รู้ว่า วันนี้พวกคุณนัดกันมาซ้อมทำอาหาร เพื่อเตรียมสอบในวิชาของผม ใจจริงไม่อยากจะมารบกวน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันคาใจกันอยู่อย่างนี้ ภัทร เล่าทุกคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะ เพื่อเตรียมประชุมกันในเรื่องของการสอบปฏิบัติที่จะมาถึงในเร็ววันนี้ ขณะนั้น สมาชิกในกลุ่มมากันพร้อมหน้าพร้อมตา อันได้แก่ หนูนา เปียโน พายุ ดีใจ และรักษภูมิ ไม่มีใครอยากที่จะซักไซ้ในเรื่องของภัทร ที่เกิดขึ้น จึงนั่งกินของว่างที่ต่างคนต่างนำมาไปพลาง ดีใจ มองดูภัทร ที่ชะเง้อมองไปที่หน้าบ้านอยู่บ่อยครั้ง ก็เข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังมองหาใครอยู่ จึงบอกอย่างเห็นใจว่า เดี๋ยว สิตา ก็คงมา เห็นไปอัดรายการอะไรสักอย่าง เมื่อกี๊ โทรมาบอกแล้วว่าใกล้จะมาถึงแล้วฮะ ภัทร ยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน เมื่อเห็นทุกคนในที่นั้น จ้องมองตนอย่างรู้แกว ไม่นานนัก ก็มีเสียงรถตู้ วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพักของรักษภูมิ เสียงใสแจ๋วของหญิงสาวที่ภัทรกำลังใจจดจ่อถึงนั้น ดังทักทายทุกคนตามนิสัยช่างพูด เข้ามาใกล้ครัวด้านหลังที่เขานั่งมากขึ้นทุกที หนาย...ไหน...หนาย....กินชีสเค้ก ฝีมือดีใจ กันหมดหรือยังเนี่ย อร่อยรึเปล่าน้า...ยู้ฮู ! ภัทร รู้สึกว่า ใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เขาไม่อาจวางสีหน้าได้ถูกนัก เมื่อเห็นสิตายืนตกตะลึง ทันทีที่เห็นเขาอยู่ตรงหน้า หนูนา โพล่งขึ้นมาอย่างรู้งานว่า เราว่า... ไปเอาชีสเค้กที่แช่เย็นไว้ มาตัดแบ่งกันดีกว่า ไป พายุ ไปกับเรานะ งั้น... เดี๋ยวหนูไปเอาชาเขียวมาเติมให้ เชฟกับพี่สิตาเพิ่มดีไหม ? เปียโน รีบบอก ก่อนที่ทั้งรักษภูมิและดีใจ จะรีบเดินตามไปในทันที อย่างแนบเนียน ด้วยความรวดเร็ว สิตา ที่มัวแต่ตกตะลึง ที่ได้พบภัทร ในบ้านหลังนี้ จึงไม่ทันเอ่ยทัก ร้องห้าม เพื่อนที่พากันหายตัวไป อย่างรู้หน้าที่ พอรู้สึกตัวได้ หล่อนก็สูดลมหายใจแรง ก่อนจะสะบัดหน้า หันหลังกลับ เตรียมจะเดินหนีไป ภัทร รีบ วิ่งมากางแขนเป็นเชิงห้าม ก่อนจะมองหน้าสิตา ด้วยแววตาอ้อนวอน แล้วรีบชิงพูดออกมาว่า ขอเวลาผม สักครู่ได้ไหม ? ไม่ ! เวลาของสำหรับคุณ มันหมดลงไปแล้วค่ะ สิตา พยายามควบคุมอารมณ์ตอบเสียงต่ำ อย่างใจเย็น ทั้งๆที่หล่อนกำลังจะปรี๊ดอย่างอารมณ์ขึ้น คุณจะลงโทษผมยังไงก็ได้ แต่อย่าทำกับผมแบบนี้ ผมขอร้อง...นะครับ... ภัทร ทำหน้าจ๋อย ไม่มีใครคิดจะลงโทษคุณหรอกค่ะ นอกจากตัวคุณเอง สิตา บอกด้วยเสียงเย็นชา ทั้งๆที่ภายในใจหล่อนพยายามนับหนึ่งถึงร้อยอยู่ เพื่อไม่ให้หล่อนใจอ่อนยวบลงไป อย่างง่ายดายนัก ภัทร ฉวยมือทั้งสองข้างของสิตา ขณะที่หล่อนเผลอ มากุมไว้อย่างนุ่มนวล แล้วรีบอธิบายต่อไป ผมผิดเองที่อ่อนแอเกินไป ใช้อารมณ์ของตัวเอง มาครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง มองข้ามในน้ำใจและความหวังดีของทุกคน ลืมไปว่า ทุกคนมีเจตนาดีต่อผมมากแค่ไหน... ภัทรกระชับสองมืออันแสนนุ่มนวลของสิตาให้แน่นขึ้น เขารีบบอกต่อไปอีกว่า ผมได้คุยกับหมอมาลิพ และคุณหญิงป้าแล้วครับ มันยิ่งทำให้ผมละอายใจ ที่ทำตัวเลวร้ายใส่คุณ ทำให้คุณต้องได้รับบาดเจ็บ ผมมันผิดเสียจน ไม่น่าจะได้รับการอภัยจากคุณเลย สิตา สิตา จ้องมองลงไปในดวงตาของภัทร ภายในแววตาคู่นั้น สะท้อนบางอย่างออกมาให้หล่อนรู้สึกได้ หล่อนนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับภัทร ในอดีต ที่เกี่ยวกับ ทับทิม หรือครอบครัวของโกเคี้ยง ที่หม่อมราชวงศ์หญิงรัดเกล้า ถ่ายทอดให้หล่อนฟัง ขณะที่ภัทรรักษาตัวอยู่ ที่โรงพยาบาล ภายในใจของหล่อนในตอนนี้ ดูช่างสับสนเสียเหลือเกิน หล่อนแน่ใจว่า ความเสียใจในการกระทำของภัทร ที่ทำกับหล่อนในวันนั้น มันได้จางหายไป นับตั้งแต่ได้ทราบเรื่องราวในอดีตของเขาแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ ความไม่แน่ใจในตัวของภัทรต่างหาก ! ...หล่อนไม่แน่ใจว่า หล่อนจะสามารถฝากชีวิตของหล่อนไว้กับผู้ชายที่มีปมในชีวิตมากมายอย่างภัทรได้หรือไม่ หากวันใดวันหนึ่งในอนาคต เขาเกิดรู้สึกสติแตกอย่างเช่นครั้งที่ผ่านอีก หล่อนจะทำอย่างไรดี ? ภัทร มองดูสิตาที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆโต้ตอบกลับมา เขาคลายมือของหญิงสาว ก่อนจะถอยหลัง ออกมา แล้วพูดอย่างจริงใจออกมา ผมแค่อยากจะบอกให้รับรู้ไว้ ผมเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จะไม่มีภัทร คนขี้แพ้ คนอ่อนแอ คนนั้นให้คุณได้เห็นอีก เพียงแค่คุณคนเดียวที่ผมอยากบอก ผมขอโทษ... ภัทรเดินหันหลังให้สิตาอย่างช้าๆ เขาเดินคอตกออกไปทางสวนหลังบ้าน ย้อนรอยตามทางเดิมที่เดินมา โลกทั้งใบดูช่างหม่นหมองเหลือเกิน ในเวลานี้ ชั้นเชื่อคุณค่ะ ! สิตา ส่งเสียง ตามหลังมา แม้ว่ามันจะไม่ดังนัก แต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน โลกกลับกลายมาเป็นสว่างไสวอีกครั้ง ภัทรหันหลังกลับในทันที เขาวิ่งเข้าไปสวมกอดสิตาอย่างลืมตัว ขอบคุณ... ขอบคุณ ที่คุณเข้าใจผม สิตา ชายหนุ่มพร่ำร่ำพันอย่างดีใจ แต่พอรู้สึกตัวก็คลายกอดนั้นออกมาอย่างเก้อเขิน เขามองเห็นสิตายืนตัวแข็ง ทำหน้าตาแดงก่ำด้วยความเขินอาย ก่อนจะมีเสียงปรบมือเป่าปากแสดงความดีใจ ดังออกมาจากกลุ่มเพื่อน ที่แอบลุ้นอยู่ไม่ไกลนัก เสียงโห่ร้องของกองเชียร์ที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ เมื่อมีคนออกมาจากห้องสอบ ซึ่งก็มีทั้ง เสียงแสดงความดีใจที่กลุ่มของตนสอบผ่าน หรือเสียงแสดงความเสียใจให้กลุ่มที่สอบไม่ผ่าน สิตา ยืนจับมือกับหนูนา ที่อดรู้สึกตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ บรรยากาศของการสอบวันสุดท้าย ในรายวิชาสุดท้าย ที่สอนโดยภัทรนั่นเอง หัวข้อข้อการสอบครั้งนี้ คือ การประกอบอาหารไทยประยุกต์ ภัทร กำหนดให้นักเรียนจับคู่กัน และดัดแปลงอาหารจากตำรับที่เรียนมา ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ดีใจกับพายุ เป็นคู่แรกของคนในกลุ่ม ที่เข้าสอบ พวกเขามีแรงบันดาลใจจากการ์ตูนญี่ปุ่น ที่พายุ คลั่งไคล้มาก อาหารที่ใช้ในการสอบ จึงถูกจัดเป็นแบบอาหารชุด ประกอบด้วย ซูชิหน้าเนื้อโคขุนย่าง ไก่บ้านย่าง ปลาไหลนาย่าง และคอหมูพันธุ์ไหหลำย่าง จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วผสมวาซาบิ มีส้มตำไทยที่ใช้เส้นสาหร่ายญี่ปุ่น แทนเส้นมะละกอ รสจัดแต่ไม่เผ็ด ลาบปลาแซลม่อนสดใส่สาหร่ายพันเป็นกรวย และ มิโซะซุปแต่เพิ่มสมุนไพรไทยสดเช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดซอยฝอย โรยข้าวคั่วเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม ในสไตล์อาหารชุดแบบญี่ปุ่นประยุกต์แบบอีสาน เมื่อภัทรและกรรมการได้ชิม ก็มีคำแนะนำว่า ควรใส่วาซาบิ ไว้ที่ข้าวปั้น จะได้รสชาติที่เข้มข้นกว่าผสมลงไปในน้ำจิ้มแจ่วเลย เพราะจะทำให้น้ำจิ้มแจ่วมีรสชาติประหลาดไปสักหน่อย ซึ่งผลออกมา กรรมการทุกคน ก็ให้ทั้งสองคนสอบผ่าน ต่อมา ได้แก่ คู่ของสิตาและหนูนา หนูนาใช้ความถนัดทางอาหารฝรั่ง มาประยุกต์ใช้กับการสอบครั้งนี้ โดยมีสิตาเป็นลูกมืออย่างแข็งขัน อาหารเรียกน้ำย่อยของอาหารชุดนี้ เริ่มด้วย เจลลี่ซุปต้มยำกุ้งสีชมพูเนื้อเนียนสวยรสจัดในแก้วใสใบกะทัดรัด สลัดผักรวมกับเนื้อแกะย่างพอสุกคลุกเครื่องสมุนไพรไทยและพริกไทยดำพร้อมน้ำสลัดใสรสจัดจ้านแบบยำไทย และขนมปังแบบกลมที่คว้านด้านใน แล้วผสมแกงเขียวหวานไก่ รสอ่อน แต่ครบเครื่อง โรยหน้าด้วยมอสเซลล่าชีส นำไปอบจนมีสีเหลืองทอง ภัทรและกรรมการ แนะนำว่า น้ำยำแบบไทยเข้ากับเนื้อแกะได้ดีจนไม่มีกลิ่นสาบ แต่สามารถเพิ่มเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยการเหยาะน้ำปลาลงไปด้วยได้ เพียงแต่ต้องนำไปผ่านความร้อน เพื่อให้กลิ่นที่แรงลดลงไป ส่วนแกงในขนมปัง ควรมีส่วนผสมของน้ำมะพร้าว เพื่อลดความเข้มข้นของหัวกะทิ แทนที่จะใช้วิปปิ้งครีม เพื่อคงความเป็นต้นตำรับของแกงเขียวหวาน ซึ่งการสอบของทั้งคู่ก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเช่นกัน จนมาถึงคู่สุดท้ายของการสอบ ซึ่งก็คือ รักษภูมิและเปียโน ทั้งคู่ตัดสินใจไม่ประยุกต์ตำรับอาหาร แต่เลือกใช้ การจัดแต่งจานจากสิ่งที่ทั้งคู่ถนัด รักษภูมิ ถนัดในการแกะสลักผักและผลไม้ลายวิจิตร ทั้งที่ใช้ในการจัดวางและใช้การประกอบอาหาร ส่วนเปียโน เลือกใช้ความถนัดในการทำของหวานเข้าช่วย โดยหล่อนเลือกใช้ การเล่นน้ำตาลที่นำมาตั้งให้เดือด ในอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วสะบัดเป็นเส้นสายอ่อนช้อยงดงาม ก่อนที่จะนำมาจัดแต่งเป็นรูปทรงต่างๆตามต้องการ อาหารจานหลักของทั้งคู่คือ ข้าวอบสับปะรด ในโถสับปะรดที่แกะสลักอย่างสวยงาม คลุมทับมาด้วยโครงตาข่ายครอบสีรุ้ง ที่ทำจากน้ำตาลผสมสีต่างๆ จนดูงดงามมากเกินกว่าที่จะรับประทาน ส่วนของหวานคือ ทับทิมกรอบ เม็ดเล็กสีชมพูระเรื่อปนขาว ในน้ำตาลที่หลอม เป็นรูปถ้วยสีขาวราวกับแก้วเจียระไน กรรมการทุกคนลงความเห็นว่ารสชาติของอาหาร ที่ทั้งคู่ส่งมานั้น เข้ากันได้ดี อย่างไม่มีที่ติ จนต้องลงคะแนนให้กลุ่มของรักษภูมิและเปียโน เป็นกลุ่มที่ดีที่สุด มีเพียงแต่ภัทรที่แอบสะกิดใจ ในรสชาติของข้าวอบสับปะรด ที่มีเขาคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่ามันมีความแตกต่าง ไปจากตำรับที่เขาใช้อยู่ในปัจจุบัน ขณะทุกคนในชั้นเรียนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ผลงานการสอบของแต่ละกลุ่ม อย่างเซ็งแซ่ภายในห้องเรียนนั้น ภัทรคอยจับตามองรักษภูมิ ที่กำลังคุยเล่นกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นอยู่ ซึ่งภัทรเองไม่รู้ตัวว่า ตนเองกำลังถูกเฝ้าจับตาจากบุคคลอีกคนหนึ่งอยู่เช่นเดียวกัน รักษภูมิ นำข้าวของภาชนะที่เพิ่งใช้ในการสอบเสร็จ มาวางไว้ยังบริเวณฝ่ายจัดล้างเพียงลำพัง ระหว่างที่กำลังจะเดินกลับไปสมทบกับเพื่อนคนอื่น ที่ตั้งใจอยู่กันจนเย็นเป็นพิเศษ เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียนที่ไทยทัศน์แล้ว เขาได้ถูกบุคคลที่แอบดักรออยู่ในห้องเก็บของ ดึงตัวเขาเข้าไปในนั้น โดยไม่ทันตั้งตัว เชฟ ! อะไรกันครับ ! ... รักษภูมิ อุทานออกมาด้วยความตกใจได้เพียงแค่นั้น เมื่อเขาถูกภัทร ใช้มือปิดปากเขาเป็นเชิงห้ามส่งเสียง ภัทร ลากรักษภูมิ ที่ยังคงไม่ทันได้ดิ้นรนขัดขืน เพราะยังคงตกใจเข้าไปยังด้านในมุมสุดของห้อง ด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มอก คุณรัก คุณอีกแล้วนะ ครั้งนี้คุณจะบอกไม่รู้เรื่องอะไรอีกใช่ไหม ? ภัทรตั้งคำถามด้วยเสียงเครียดผิดปกติ นัยน์ตาของเขาแวววาวไปด้วยความข้องใจจนดูเคร่งเครียดไปมาก จนรักษภูมิรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้ เชฟ พูดเรื่องอะไรกันครับ ผมไม่ยักทราบ ? รักษภูมิ สวนกลับไปทั้งๆที่ยังงุนงง กับท่าทีลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายที่แสดงอยู่ขณะนี้ คราวที่แล้วก็เรื่องน้ำแกง คราวนี้ข้าวผัดสับปะรดอีก คุณต้องการอะไรจากผมมิทราบ ? ภัทรคำรามอย่างไม่พอใจที่เห็นรักษภูมิ ยังคงมีสีหน้างุนงงอยู่ เขาจึงรีบคาดคั้นต่อไปอีกว่า ข้าวผัดสับปะรด ที่คุณทำตอนสอบยังไงละครับ ตำรับที่ผมใช้สอน ไม่ใช่ตำรับเดียวกับที่คุณทำให้ผมชิมหรอกนะ ! รักษภูมิ ทำได้แค่เพียงอ้าปากค้าง เขายังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั่นเอง อย่ามาทำไขสือนะ คุณรัก ตำรับที่คุณทำ มีเพียงแต่คนของไทยทัศน์รุ่นเก่าเท่านั้นที่จะรู้จัก ตำรับเดิม จะมีการผัดข้าวกับเนยสด แล้วโรยผงกระหรี่ไปอีกสักนิดหน่อย จึงนำไปอบ เพื่อให้มีกลิ่นหอม ซึ่งผมไม่ได้ใส่ลงไป ในตำรับที่ใช้สอนในหลักสูตรนี้ แม้แต่คนของไทยทัศน์ในปัจจุบัน ก็ไม่มีใครรู้เคล็ดลับอันนี้ ! ภัทร รู้สึกทั้งฉุน ทั้งโมโหที่รักษภูมิ ตั้งใจมายั่วประสาทเขา จนเผลอ ขยำคอเสื้อกุ๊กของอีกฝ่าย ที่ผอมบางและสูงน้อยกว่าเขา จนติดชิดกำแพงห้อง แล้วดึงเข้ามาถามใกล้ๆด้วยเสียงกระซิบต่ำรอดไรฟันอย่างเคืองขุ่นว่า บอกผมมาดีกว่า ว่าใครเป็นคนส่งคุณมาปั่นหัวผมเล่นอย่างนี้ มันชักจะมากเกินไปแล้ว ผมไม่ตลกไปด้วยนะ คุณมีเจตนาอะไรกันแน่ ? รักษภูมิ รู้สึกตกใจกับท่าทีฉุนเฉียว อย่างไม่มีสาเหตุของภัทร เขาพยายามดิ้นรน สะบัดตัวให้พ้นจากพันธนาการของชายหนุ่ม แต่อีกอีกฝ่ายกลับยิ่งยึดคอเสื้อเขาไว้แน่นมากขึ้น จนเขาเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก เขานึกย้อนไป ตอนที่เตรียมตัว ทำอาหารในการสอบ เปียโน เข้ามาขอร้องเขา ให้ช่วยทำทับทิมกรอบแทนหล่อน เนื่องจากหล่อนไม่ถนัดการทำขนมไทย โดยหล่อนอาสาเป็นผู้ลงมือทำข้าวผัดสับปะรดเอง ซึ่งเขาก็มัวแต่วุ่นวายกับการทำขนมเสียจนไม่ได้เข้าไปช่วย เมื่อทำทับทิมกรอบเสร็จ เปียโนก็ทำข้าวผัดสับปะรดเสร็จพอดีเช่นกัน ผม ปละ...เปล่า ผมไม่รู้เรื่อง เปียโนเป็นคนทำครับ ผมทำทับทิมกรอบ... รักษภูมิ ละล่ำละลักตอบ เมื่อนึกขึ้นได้ เขาเริ่มหายใจไม่ออก สายตาพร่าเลือน อากาศในห้องเก็บของที่แต่เดิมมีน้อย ยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด อย่ามาตีหน้าซื่อกับผม ! ผมถามเปียโนแล้ว เปียโนบอกผม ว่าคุณเป็นคนทำข้าวผัดเองกับมือ ภัทร ยังคงกดคอเสื้ออีกฝ่ายกับกำแพงอย่างสุดแรงด้วยแรงโทสะ เขาจึงไม่สนว่า รักษภูมิจะดิ้นทุรนทุราย มากสักแค่ไหน นี่คุณจะบอกผมว่า เปียโน โกหกผมเหรอ ? ไม่อยากจะเชื่อ คุณกล้าพูดปด ใส่ร้ายเพื่อนสนิทของคุณ เพียงเพื่อจะปัดความผิดนี้ให้พ้นตัว ผมผิดหวังในตัวคุณมากนะ บอกมาดีกว่าว่าใครส่งคุณมา ? ภัทร คำรามถามขู่ชายหนุ่มอย่างหมดความอดทน เขาเงื้อหมัดขึ้นสูง แต่ยังมีสติพอที่จะค้างมันไว้เพื่อขู่ให้อีกฝ่ายยอมเผยความจริง รักษภูมิ มองภัทรที่เขาเคยนับถือด้วยความชื่นชมมาโดยตลอด ด้วยสายตาผิดหวัง ความรู้สึกตกใจทุรนทุราย บวกกับบรรยากาศในห้องเก็บของที่แสนอึดอัด ทำให้รักษภูมิถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างที่ เขาเองก็ไม่อาจควบคุมได้ น้ำตาของรักษภูมิ ที่ไหลออกมา ผนวกกับที่ชายหนุ่มเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างไร้แรงต้านทาน ทำให้เขาเริ่มได้สติ คลายโทสะลงไปได้ ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำที่ดิ้นรนอย่างทุลักทุเล จากการยึดกุมของเขาแล้ว กลับทำให้ความรู้สึกผิดเข้ามาจู่โจมในทันที มือที่กุมคอเสื้อของรักษภูมิ ไว้อย่างแน่น คลายตัวออก ชายหนุ่มดิ้นสะบัดจนเป็นอิสระ ทั้งสำลักทั้งไออกมาชุดใหญ่จนตัวงอ รักษภูมิ ไม่พูดอะไรออกมาอีก นอกจากหันมามองเขาด้วยความเคียดแค้นใจ ก่อนจะปาดน้ำตา แล้ววิ่งออกไปจากห้องเก็บของนั้นอย่างสะเปะสะปะ ไร้เรี่ยวแรง ชนกับชั้นวางของ จนข้าวของหล่นกระจายเกลื่อนพื้น ภัทร ยังคงยืนนิ่งอยู่ในภวังค์อย่างใช้ความคิด ความรู้สึกเสียใจที่เผลอใช้โมหจริตเข้าครอบงำตนเอง จนทำร้ายรักษภูมิที่ดีกับเขาเสมอมา และในใจก็ยังคิดอย่างสับสนว่า... รักษภูมิหรือเปียโน...ใครกันแน่ที่เป็นคนโกหก?
จากคุณ |
:
Awork
|
เขียนเมื่อ |
:
23 เม.ย. 55 01:02:03
|
|
|
|