Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คฤหาสน์สนธยา ตอนที่ 2 ติดต่อทีมงาน

รุริโกะไขกุญแจเปิดประตู เช็ดเท้าเพื่อกำจัดเม็ดทรายที่ติดมา ก่อนก้าวเข้าไปในห้องที่คุ้นเคยเพราะได้อาศัยหลับนอนมาแล้วหลายวัน คำว่า 'หลายวัน' ควรเป็นจำนวนที่สามารถนับได้ แต่เธอเลิกใส่ใจเรื่องนี้ไปแล้ว 'เวลาไม่สำคัญ' สิ่งสำคัญคือนิยายเรื่องใหม่ที่เธอต้องเขียน

เธอเปิดไฟแสงสว่าง พร้อมกับเดินไปเปิดม่านหน้าต่าง ปล่อยให้ความมืดจากด้านนอกลุกล้ำเข้ามา ส่วนแสงสังเคราะห์ก็พุ่งผ่านออกไป ทั้งสองสิ่งเริ่มต้นการต่อสู้อันลี้ลับที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และคงไม่มีวันจบสิ้น

เธอนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆ ข้างหน้าต่าง สมุดดินสอวางกองไว้ตรงหน้า ก่อนมองออกไปในความมืด สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงฉากหลังสีดำ กับใบหน้าลางเลือนของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก กำลังจ้องมองกลับมา เธอพิจารณาดูมันอย่างสนใจ

'นี่คือตัวฉัน ถ้าต้องเข้าไปอยู่ในนิยาย ฉันจะเขียนอธิบายมันอย่างไรดี'

ไม่ว่าจะบอกเล่าให้ละเอียดอย่างไร สุดท้ายแล้ว จินตนาการของผู้อ่านแต่ละคนจะแตกต่างกันไปเสมอ ตัวเธอในความคิดของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน 'แม้แต่ตัวฉัน ในความคิดของฉันเอง ก็จะแตกต่างจากตัวฉันที่เป็นจริงด้วย' เพราะความเป็นจริงนั้นไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษาของมนุษย์

ภาษา นับเป็นเครื่องมือที่สำคัญของมนุษย์ หากขาดมันไปก็คงจะไม่มีวัฒนธรรม หรือความเจริญก้าวหน้าอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ แต่ตัวมันเองก็มีข้อจำกัดอย่างที่บอก ซึ่งเธอค้นพบเมื่อนานมาแล้วจากการเขียนนิยาย และยังมีอีกข้อหนึ่งที่เธอพึ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือ เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่ใช้ภาษาแตกต่างออกไปในตอนนี้

ในขณะที่ความคิดของเธอกำลังล่องลอยไป ในความมืดข้างนอกหน้าต่าง หลบซ่อนตัวอยู่ให้ห่างจากแสงไฟ มีอะไรบางอย่างกำลังจับจ้องมองมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว มันมีขนสีดำสนิทแห่งกลางคืน แต่กลับมีดวงตาสีทองแห่งตะวัน มันหมอบนิ่งรอคอย แต่เป็นความสงบนิ่งที่คาดหวังถึงความเคลื่อนไหว ความสงบนิ่งที่แฝงไว้ด้วยเขี้ยวเล็บ ความสงบนิ่งที่พร้อมจะตะครุบจับคุณได้ทุกเมื่อ

แล้วความคิดบางอย่างก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น 'มันเริ่มแล้ว' เธอพยายามจะไม่ตื่นเต้น 'อย่ารีบร้อน' ในตอนแรกมันยังคงเป็นเหมือนหมอกควันที่พร้อมจะจางหายไปได้ทุกเมื่อ เธอต้องไม่พยายาม ปล่อยให้มันค่อยๆ รวมตัว เข้มข้น จนในที่สุด มันจะกลายเป็นความคิดที่สามารถจับต้องได้ ด้วยดินสอ กับสมุดของเธอ

เริ่มต้นจากหญิงสาวสองคนที่เป็นพี่น้องกัน พี่น้องที่ทั้งเหมือน และแตกต่าง พี่น้องที่ทั้งรัก และเกลียดกัน แล้วอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนเป็นแบบนั้น มันต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ไม่ใช่การกำเนิดของจักรวาล แต่เป็นกำเนิดของพวกเธอทั้งสองคน มันจะต้องน่าสนใจ

'พวกเธอควรจะชื่ออะไรดี' เธอรีบเตือนตัวเอง 'ไม่ ยังก่อน' มันยังไม่ถึงเวลา 'ตอนนี้เอาแค่ เอ กับ บี ก่อน' เอ เป็นพี่สาวคนโต ส่วน บี เป็นน้องสาวคนเล็ก ทั้งสองมีพ่อคนเดียวกัน พ่อที่รักพวกเธอ แต่มีแม่คนละคน นั่นคือความเหมือน และความแตกต่าง พี่น้องที่ไม่ใช่พี่น้อง 'นั่นจะน่าสนใจ'

เอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่ของเธอเลย จนกระทั่งถึงวันที่รับปริญญา นอกจากของขวัญ พ่อได้มอบรูปถ่ายเก่าๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งให้กับเธอด้วย เธอถามเขาด้วยความแปลกใจ พร้อมกับรอยยิ้ม

“นี่รูปใครหรือคะพ่อ”

“...แม่ของลูก”

“ตอนสาวๆ แม่ดูต่างจากตอนนี้มากเลยนะคะ”

“นั่นเป็นรูปแม่ที่แท้จริงของลูก...ไม่ใช่แม่คนนี้”

รอยยิ้มค้าง เธอจ้องมองรูปในมืออีกครั้ง สมองหมุนติ้ว

“...นี่มัน...เรื่องอะไร...พ่อพยายามจะบอกอะไรหนูกันแน่”

พ่อของเธอแม้จะเตรียมตัวมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ดีนัก เขารู้สึกเสียใจที่เริ่มต้น มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิด หรือจริงๆ แล้ว มันก็เป็นอย่างที่เขาคิด แต่มันจะต่างอะไร เขาเริ่มไปแล้ว และจะต้องจบมัน

“ผู้หญิงในรูปนี้ คือแม่ที่แท้จริงของลูก...”

มันเริ่มเติบโตขึ้นในหัวใจของเอนับตั้งแต่นั้น ความเกลียดชัง บี กับแม่ของเธอ ผู้หญิงที่เธอถูกทำให้เข้าใจตลอดมาว่าเป็นแม่ เป็นน้องสาว พวกผู้หญิงที่เธอเคยรัก แต่ไม่อาจรักต่อไปได้อีก พวกผู้หญิงที่มาแย่งชิงแม้แต่พ่อของเธอไป

ในวันที่เธอได้รู้ความจริง เธอก็ต้องสูญเสียทั้ง แม่ น้องสาว แม้แต่ชีวิตในอดีตทั้งหมดของเธอไปในเวลาเดียวกัน พ่อของเธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เขาคิดเพียงว่ามันคงถึงเวลา ที่เขาควรจะบอกความจริงกับเธอ

“...พ่อบอกบีหรือยัง และแม่รู้หรือเปล่าคะ ว่าพ่อจะบอกเรื่องนี้กับหนู”

เขาส่ายหน้า

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องบอกพวกเขา แค่หนูรู้ความจริงคนเดียวก็พอแล้วไม่ใช่หรือคะ”

เธอขอร้อง และเขาก็รับปาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ยังฝังแน่นอยู่ภายในใจ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำอะไรลงไป เพราะการยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริงของเขา ความเป็นจริงของพ่อ ที่ได้ทำให้ความเป็นจริงของลูกสาวที่รักต้องมลายหายไป ความเป็นจริงที่เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญ และอาจจะไม่พร้อมไปตลอดกาล

ความเป็นจริงทั้งสองนั้น ได้อาศัยจิตใจของเธอเป็นสนามรบ ความเป็นจริงทั้งสอง ที่เธอไม่อาจประสานพวกมันเข้าด้วยกัน พวกมันต่อสู้ ฟาดฟัน จนในที่สุดจะหลงเหลือความเป็นจริงได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

นับตั้งแต่วันนั้น ความรู้สึกเกลียดชังก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น มันชอนไชรากลงลึก กลืนกินอดีตของเธอเป็นอาหาร มันแตกกิ่งก้านออกใบเป็นสีดำ เพื่อใช้สังเคราะห์สร้างความรู้สึกในด้านลบ มันดูดกลืนตัวเธอเข้าไปเรื่อยๆ และเฝ้ารอคอยเวลา ตอนนี้มันยังคงเป็นเพียงดอกตูมเท่านั้น

มันกำลังเฝ้ารอ เวลาที่เธอจะถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้น เวลาที่ดอกไม้สีแดงเลือดแห่งการล้างแค้นจะได้ผลิบาน เวลาที่ความเป็นจริงทั้งหมดของเธอจะสูญสลายไป ไม่เหลืออะไรสักอย่าง ไม่มีอะไรสักอย่าง

ปลายดินสอในมือหัก และมันทำให้รุริโกะรู้สึกตัว เธอกดดินสอเขียนลากไปจนกระดาษเป็นรอยอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกดำมืดของเอยังคงถาโถมเข้าใส่เธอไม่ยอมหยุด เธอรีบเปลี่ยนดินสอแท่งใหม่ ก่อนเริ่มเขียนต่อไป เธอมั่นใจว่าพวกมันจะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งในนิยายเรื่องใหม่ของเธอ นิยายที่ยังคงไม่มีชื่อเรื่อง หรือแม้แต่ชื่อของตัวละคร

เธอมั่นใจ

#####

“กินอะไรกันดีคะ”

ไหมถามเสียงใส ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะซึ่งชายหนุ่มทั้งสองคนกำลังนั่งรออยู่ บนโต๊ะมีขวดสีชา กับแก้วเครื่องดื่มสีเหลืองใส พร้อมกับฟองนุ่มๆ สองใบ แก้วน้ำเปล่าอีกสอง จานเปล่าสี่ใบ ช้อนส้อม และเมนู แต่ยังไม่มีใครสั่งอาหาร เพราะต้องการให้ทั้งหมดได้ตัดสินใจร่วมกัน

จริงใจ ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ เขาแอบเหลือบมองดูปุ้ยผ่านแว่นดำที่ยังสวมเอาไว้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน เคนรีบลุกขึ้นเพื่อขยับเก้าอี้ให้กับสองสาว ในขณะที่เขาได้แต่นั่งเฉย ไม่ทันได้นึกถึงเรื่องพวกนี้

สองสาวขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะออกมารับประทานอาหารเย็น ทั้งสี่คนแยกพักเป็นสองห้อง ปุยฝ้าย กับ เหมือนไหม น้องสาวของเธอพักอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนตัวเขา กับเคนจิ อยู่ห้องข้างๆ

เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่หน้าห้องพักเมื่อครู่อีกครั้ง

“ไหมจะอยู่ห้องเดียวกับพี่เคน”

หญิงสาวพูดออกมาหน้าตาเฉย แต่กลับเป็นเขาที่รู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ 'ฉันคิดเรื่องบ้าอะไรอยู่' โชคดีที่เขามีผิวเข้ม คนอื่นจึงไม่น่าจะมองเห็นใบหน้าที่กำลังแดงนี้

“พูดเล่นไม่เข้าเรื่องอีกแล้วนะไหม”

ปุ้ยดุน้องสาว ในขณะที่เคนเอาแต่ยิ้ม

“พี่ปุ้ยจะได้อยู่กันสองต่อสองกับพี่จริงไงล่ะ”

เขารู้ตัวว่า ใบหน้าของตนคงแดงขึ้นกว่าเดิมจนอาจถูกพบเห็นได้ เมื่อแอบสำรวจมองปุ้ย เธอยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่แม้แต่จะชายตามองมายังเขา ซึ่งเป็นคนที่ถูกพาดพิง สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนเลยสักนิด

“ไม่ต้องมาพูดดีเลย ถ้าพี่ไม่ยอมมาด้วย พ่อกับแม่ก็คงไม่ยอมให้พวกเธอสองคนมาเที่ยวกันแบบนี้”

ไหมแลบลิ้นอีกครั้ง มันเป็นนิสัยของเธอ

“ค่า ทราบแล้วค่ะ เลิกล้อเล่นก็ได้ คุณพี่สาวสุดสวยแสนดี”

สองพี่น้องส่งยิ้มให้กัน เขาชอบรอยยิ้มเวลาที่มันอยู่บนใบหน้าของปุ้ย อยากให้เธอยิ้มบ่อยๆ และที่สำคัญ อยากให้เธอมอบรอยยิ้มนั้นให้กับเขา แต่เขารู้สึกว่ารอยยิ้มในวันนี้ดูแตกต่างออกไป มันไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่เขาคุ้นเคย ที่สำคัญมันกลับทำให้เขานึกถึงอีกรอยยิ้มหนึ่ง รอยยิ้มที่เขาอยากลืมเลือนไปตลอดกาล 'อาจเป็นเพราะทะเล' เขาพยายามหาเหตุผลให้กับตัวเอง

“รับอะไรดีครับ”

เสียงของพนักงานเบียดแทรกเข้ามาในโลกของเขา ในขณะที่ใช้เวลาไปกับความคิดของตนเอง โลกรอบตัวเขาก็เปลี่ยนแปลงไป มันไม่เคยหยุดนิ่งรอใคร ทุกคนต่างกำลังก้มหน้าดูรูปอาหารน่ารับประทานที่บรรจุอยู่ภายในเมนู และเงยหน้าแลกเปลี่ยนความเห็นกันเป็นพักๆ

มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่นั่งอยู่ โดยไม่เป็นที่สนใจของใครเลย นอกจากพนักงานที่มายืนรออยู่ข้างๆ ความเข้าใจพลันสว่างวาบ 'ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ดูเมนู' นั่นคงทำให้พนักงานคนนี้คิดว่าเขาได้พบเจอสิ่งที่ต้องการแล้ว เขายิ้มเศร้าๆ ให้กับตัวเอง

“เอา...ไข่เจียว...”

เขารู้สึกได้ถึงสายตาสามคู่ที่จ้องตรงมา สายตาของปุ้ยเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจทานทนได้ คำว่า หมูสับ จึงถูกกลืนหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วย

“...กุ้งสับ...เอ่อ...เคนคงกินเผ็ดไม่ค่อยได้ใช่ไหม”

เขาพยายามหาเหตุผลให้กับตัวเอง เคนยิ้ม

“ผมกินเผ็ดได้...”

นั่นไม่ช่วยอะไรเขาเลย และเหมือนเป็นการตอกย้ำ เคนจึงสั่งอาหารเป็น

“...ผมขอกุ้งแช่น้ำปลา...ขอวาซาบิมาต่างหากด้วยนะครับ”

เคนหันมายักคิ้วให้ พวกเขาทั้งสองคนยังรู้จักกันไม่มากนัก และเขามีเหตุผลเพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งแล้ว ที่จะอยู่ห่างๆ จากหนุ่มคนนี้

“พี่เคนสั่งของโปรดของไหมไปแล้ว...”

เธอยิ้มหวานให้กับเคน เธอคนนี้เป็นเด็กร่าเริง เข้ากับใครได้ง่าย แตกต่างจากพี่สาวซึ่งเป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ถึงแม้ทั้งคู่จะมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน แต่น้องสาวนั้นสวยสดใส ตัวสูง และรูปร่างดีกว่า

“...ไหมเอา...หมึกนึ่งมะนาวก็แล้วกัน”

เขามองดูปุ้ยอีกครั้ง สิ่งเหล่านั้นมันไม่สำคัญเลย เขาไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไม แต่ความรักมักเป็นเช่นนั้นเอง สำหรับเขาแล้ว '…' เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าในวันหนึ่ง เธอก็เข้ามาครอบครองพื้นที่ในห้วงความคิดส่วนตัวของเขา และไม่ว่าจะทำอย่างไร เธอก็ไม่ยอมจากไปอีกเลย

“ผมแนะนำเป็น ทะเลเดือด ดีไหมครับ”

ไหมทำหน้างงมองพนักงาน

“เอ่อ มันก็เป็นนึ่งมะนาวเหมือนกันครับ เพียงแต่ใส่ของทะเลหลายอย่าง ทั้ง ปลาหมึก กุ้ง หอย เนื้อปลา ครับ”

“อ๋อ ก็ดีค่ะ แต่...ไม่เอากุ้งนะคะ กุ้งเยอะแล้ว เพิ่มปลาหมึกเยอะขึ้นได้ไหมคะ”

“ได้ครับ”

พนักงานจดยุกยิกลงบนกระดาษในมือ

“ถ้าอย่างนั้น เอาผัดผักรวมมาอีกจานจะได้ครบ ดีไหม...”

ปุ้ยถาม และทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

“...แล้วก็ข้าวด้วยนะคะ”

ก่อนเดินจากไป พนักงานก็บอกกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้

“ครัวปิดสามทุ่มนะครับ ถ้าจะนั่งกันยาว ขอให้สั่งอาหารไว้ล่วงหน้าเลย แต่เครื่องดื่มยังสั่งได้เรื่อยๆ ครับ”

อาหารทุกจานมีรสจัดจ้านตามลิ้นคนไทย แม้แต่ผัดผักก็ยังใส่พริกมาด้วย จริงแอบสะใจลึกๆ เมื่อได้เห็นเคนต้องปาดเช็ดเหงื่อ ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบบ่อยๆ และอาศัยไข่เจียวกุ้งสับของเขาเพื่อดับความเผ็ดร้อนนั้น

'ฉันมาทำอะไรที่นี่กันนะ' เขาตักข้าวเข้าปาก ทบทวนความคิดของตนเอง เขาเกลียด ไม่ใช่ เขากลัวทะเล แต่เมื่อปุ้ยเอ่ยปากถาม เขากลับรีบตกลงอย่างไม่ลังเล จนแม้แต่ตัวเองยังต้องแปลกใจ

'ฉันหวังจะให้มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่หรือไงกัน' ความหวังของเขาในครั้งนี้ คงไม่ต่างอะไรจากกองไฟลุกโชนที่คอยลวงล่อแมลงให้โบยบินเข้าไปเพื่อให้ตัวเองมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน แต่หากไร้ซึ่งแสงไฟ แมลงอย่างเขาจะโบยบินไปที่ใดได้ 'ขอเพียงได้เข้าใกล้เธออีกสักนิดก็พอ'

เขาพยายามไหลตัวเองไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย แต่ก็รู้ตัวว่าทำได้ไม่ดีนัก คนอื่นๆ ที่ทำได้ดีกว่าเขา เป็นเพราะมีอะไรในความคิดที่แตกต่างออกไป เขาก็ไม่อาจรู้ได้

'หากคนเราจะสามารถล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจของกันและกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา จะดีหรือไม่นะ' เขามักชอบคิดอะไรแปลกๆ แบบนี้ และติดอยู่ในความคิดของตนเอง แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ตาม

'ไม่ แบบนั้นต้องไม่ดีแน่' ความเป็นตัวตนของแต่ละคนจะค่อยๆ หมดไป แล้วทั้งหมดก็จะกลายเป็นทะเลความคิดอันกว้างใหญ่เพียงหนึ่งเดียว 'มันคงแปลกดีพิลึก'

'แต่ถ้าเป็นเรื่องของความรักล่ะ' จะเป็นอย่างไรถ้าคู่รักสามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ภายในใจให้แก่กันและกัน มันน่าจะเป็นความรักที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว ความรักที่จะไม่มีการแบ่งแยก ความรักที่หลอมรวมคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน 'ความรักที่...'

“สาวที่พี่จริงแอบจับมือเดินมาโน่นแล้ว”

เสียงของไหมที่เอ่ยอ้างชื่อ ดึงตัวเขาให้ออกมาจากโลกของตน แต่เขาไม่ได้หันไปในทิศทางเดียวกับที่หญิงสาวกำลังหันไปมอง เขากลับหันหน้าออกสู่ความมืดดำที่อยู่ด้านนอก

เสียงคลื่นที่ไม่ได้ยิน กำลังแอบซุ่มซ่อนอยู่ในความเงียบ น้ำทะเลที่มองไม่เห็น กำลังเคลื่อนกายอยู่ในความมืด เขามองเห็น และได้ยินสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัว ทะเล โดยเฉพาะ ทะเลในยามค่ำคืน เขารู้สึกถึงดวงตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองมา ดวงตาที่ทำให้เขานึกถึงดวงตาที่แข็งค้าง กับรอยยิ้มบิดเบี้ยวในความทรงจำ

“เธอคงต้องการอะไรบางอย่าง เคนไปช่วยเธอหน่อยสิ”

เคนมองหน้าปุ้ยงงๆ เขายังไม่รู้เรื่องราวของสาวญี่ปุ่นคนนี้

“เธอเป็นคนญี่ปุ่น ดูสิ พนักงานยังยืนงงอยู่เลย”

“ไม่ต้องเลยพี่เคน ไหมหึงนะ”

“มากไปแล้วนะเรา ดูพูดเข้าสิ”

ไหมหัวเราะ แต่ปุ้ยไม่ขำด้วย เธอดูเหมือนจะโกรธน้องสาวอย่างจริงจัง แต่ก่อนที่ใครจะทันรู้สึก สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป เธอยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา จริงหันกลับมาทันได้เห็นดวงตาคู่นั้น 'นี่มันอะไรกัน' เธอคล้ายกับจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน คนที่เขาไม่รู้จัก

“ถ้าอย่างนั้น ผมไปช่วยเธอเจรจาให้ก็แล้วกัน”

เคนขยับลุกขึ้น รุริโกะหันมองมา และอย่างประหลาด เธอสบสายตากับจริงเข้าอีกครั้ง เขาเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นภายในใจ 'ความรู้สึกนี้มัน' ดูเหมือนพื้นที่ส่วนตัวภายในใจของเขา จะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น และมันไม่อาจเล็ดรอดสายตาของปุ้ยที่กำลังแอบสำรวจมองโดยไม่ให้ใครรู้ไปได้

รุริโกะพยายามเร่งเจรจาเพื่อขอสิ่งที่ต้องการ แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ เธอไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ แต่เคนก็เดินมาถึงแล้ว 'มันคงเป็นชะตากรรม' เธอจึงไม่อาจหลบหนีได้

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้การเฝ้ามองของดวงตาสีทอง จากเงื้อมเงาแห่งคฤหาสน์ลึกลับหลังนั้น

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 23 เม.ย. 55 07:12:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com