Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนุษย์ห้อง....(ตอนเดียวจบ) ติดต่อทีมงาน

===========
มนุษย์ห้อง
:Psycho Man
===========



ผมคิดว่าหลายคนรู้จัก มนุษย์ค้างคาว มนุษย์กินคน (หรือคนกินมนุษย์ก็ไม่แน่ใจ) มนุษย์แมงมุม (ทำไมเรียกว่าไอ้แมงมุมก็ไม่รู้) มนุษย์มดแดง (นี่ก็เรียกไอ้มดแดง) และอีกสารพัดมากมายมนุษย์ และผมยังพอใจที่จะเรียกตัวเองว่า “มนุษย์ห้อง” มากกว่า จะเรียกตัวเองว่า “ไอ้ห้อง”


ความจริงผมคิดว่ามนุษย์ห้องไม่ได้มีเฉพาะผมเท่านั้น หลายๆคนในโลกนี้เป็นมนุษย์ห้องเช่นเดียวกับผม เพียงแต่อาจเป็นน้อยกว่าเท่านั้น สาเหตุที่พูดอย่างนี้ก็เพราะผมไม่ได้ออกจากห้องนานมากแล้วนั่นเอง ห้องของผมอยู่ชั้นสองของตึกเก่าๆ สมัยก่อนมีคนมาพักอาศัยมากมาย แต่พอวันเวลาผ่านไป เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนน้อยลงทุกที รวมทั้งสาวน้อยสองคนซึ่งพักอยู่ห้องข้างๆ ก็ย้ายออกไปด้วย

แบบนี้ผมก็เหงาแย่เลยสิครับ เพราะปกติได้ยินเสียงพวกเธอพูดคุยกันดังแว่วผ่านผนังห้องเข้ามาให้ได้ยิน ก็เป็นเสียงสัพเพเหระต่างๆ ตามประสาผู้หญิง การแต่งเนื้อแต่งตัว แฟชั่น เรื่องคนรักเรื่องทะลึ่งแบบผู้หญิง  อะไรพวกนั้น ก็เพลินดีครับ

ผมชอบที่จะอยู่ในห้อง โลกภายนอกน่ากลัวและไม่น่าไว้วางใจ อะไรทำให้คิดแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้นผมจึงได้แต่คอยมองดูโลกภายนอกผ่านหน้าต่าง โดยไม่คิดจะออกไปไหนมานานมากแล้ว

มองจากชั้นสองลงไป จะเห็นถนนซึ่งค่อนข้างสงบเงียบเพราะไม่ใช่ถนนสายหลัก ฝั่งตรงกันข้ามเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กๆ สังเกตได้ว่าบ้านหลังนั้นมีคนอยู่ทั้งสองสี่คน พ่อแม่กับลูกชายลูกสาว เป็นครอบครัวที่อบอุ่นดี ลูกชายลูกสาวอยู่ในวัยทำงานกันหมดแล้ว ผมไม่ได้สนใจคนอื่นคนใดเป็นพิเศษมากกว่าลูกสาวของเจ้าของบ้านหลังนั้นหรอกครับ ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง แล้วผมจะมองคนอื่นทำไมให้เสียเวลาล่ะครับ

ความจริงเธอก็ไม่ได้สวยบาดตาบาดใจอะไรมากมาย เป็นคนหน้าตาค่อนข้างดูดี ซึ่งเราอาจพบทั่วไปตามถนน ตามสถานที่ต่างๆ แต่สิ่งพิเศษคือเธอคนนี้เวลายิ้มจะดูดีมาก มีคนบอกการการยิ้มเป็นเครื่องแตงหน้าที่ดีที่สุด ผมเห็นด้วยการคำพูดนั้น เพราะเวลาที่เธอยิ้ม โลกทั้งโลกดูเหมือนจะสว่างไสว มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ผมคิดว่าคุณเองก็คงเคยเห็นคนยิ้มแล้วดูดีแบบนี่ มันดูแล้วเพลินตาเพลินใจเหลือที่จะกล่าว

เธอเองก็คงไม่รู้หรอกครับว่าผมเฝ้าแอบมองอยู่อย่างชื่นชม ในความรู้สึกเฉพาะตัวของผม ผู้หญิงสวยงามเหมือนดอกไม้ ดอกไม้มากมายหลายแบบหลายสีประดับโลกให้สดชื่น ผู้หญิงเหมือนภาพเขียน ซึ่งมีหลายประเภทหลายชนิดทั้งภาพดูง่ายๆ แบบการ์ตูนลายเส้นน่ารัก และภาพดูเพริดแพร้วพรรณารายแบบยุคอิมเพรสชันนิสม์ หรือดูแล้วไม่เข้าใจแบบ  Abstract art มากมายหลายแบบเชียวล่ะครับ

และผมก็คิดว่าผู้หญิงคือบทเพลง ซึ่งมีทั้งเพลงฟังง่ายเรียบง่ายแบบ easy listening  สาวร่วมสมัยใสสวยเป็นที่นิยมแบบ  Pop music สาวห้าวแบบ  Heavy Metal   สาวโบราณแบบ gothic music สาวขรึมเข้าใจค่อนข้างยากแบบ progressive rock กระทั่งสาวหลุดโลกแบบ Drone music สรุปง่ายๆก็แล้วกันว่าพวกเธอคืองานศิลปะอย่างหนึ่งนั่นเองล่ะครับ

จะว่าไปแล้วผมเองก็คงเหมือนคนโรคจิต เพราะเฝ้าแอบมองคนอื่นโดยที่คนถูกมองไม่รู้ตัว เธอไม่รู้หรอกครับว่าจะมีใครบางคนกำลังแอบมองผ่านช่องว่างของผ้าม่าน ผมมองเห็นเธอและรอยยิ้มของเธอทุกวัน เช้าเดินอกจากบ้าน เย็นกลับมาถึงบ้าน เป็นเช่นนี้เป็นประจำ

และบังเอิญว่าห้องนอนของเธอผมสามารถมองเห็นได้อย่างถนัด เสียดายว่าเธอไม่เปิดผ้าม่านบ่อยนักโดยเฉพาะเวลากลางคืน จึงมองเห็นเพียงเงารางๆ ของเธอเคลื่อนไหวไปมาเพียงนิดๆหน่อยๆ แต่แค่นั้นก็สุขใจแล้วครับ ทำให้วันเวลาผ่านไปอย่างไม่เงียบเหงาเท่าไรนัก


ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆก็คงดีไม่น้อย แต่ในเมื่อทุกอย่างล้วนเป็น ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ผมเริ่มเห็นว่าตอนเย็นจากการที่เคยเดินกลับมาบ้าน เธอเริ่มมีคนขับรถมาส่ง ถึงจะมองไม่ชัดก็พอจะรู้ว่าคนขับรถเป็นผู้ชายหน้าตาดีทีเดียว

และจากที่เคยมาส่งตอนเย็น ในที่สุดก็กลายมาเป็นมารับในตอนเช้า และมาส่งในตอนเย็น รอยยิ้มแสนจะดูดีของเธอแจกจ่ายให้กับชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้นแบบไม่ต้องประหยัดขัดสน


เจ็บ ปวด บาดลึก ร้าว แตกปริ แยก กัดกร่อนทรมานสั่นสะท้านระริกไหว เหมือนหัวใจแหลกสลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี ชิ้นส่วนเศษเสี้ยวหัวใจร่วงโรยรายปรายโปรยลงสู่ความมืดมนอนธการ


ไม่ใช่การอกหัก ไม่ใช่แน่นอน เพราะเธอไม่ได้รักผม ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าผมกำลังเฝ้ามองทุกวันทุกคืน จึงไม่ใช่การอกหัก แต่เป็นความเจ็บชนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนที่เรารักอยู่กับคนอื่น เป็นความรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น

ให้ตายสิ ขนาดอยู่ในห้อง ผมก็ยังโดนรบกวนจากภายนอกจนได้ นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าโลกภายนอกน่ากลัวขนาดไหน ถ้าผมก้าวเดินออกไปจริงๆ อาจเดินออกไปไม่ถึงปากซอยคงขาดใจตายเสียก่อนเป็นแน่แท้

ผมปิดหน้าต่าง ตั้งใจว่าจะไม่เปิดมองภาพบาดตาบาดใจนั้นอีก แต่ถึงจะปิดหน้าต่าง แต่กลับไม่สามารถปิดความคิดของตัวเองได้ ทำให้นอนซมอยู่ในห้องอย่างโดดเดี่ยวเหมือนสัตว์ได้รับบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ ยาวนาน

แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ คนเราไม่ว่าจะเจ็บปานใด จะเจ็บซ้ำซากปานใด สุดท้ายก็จะเริ่มกลับกลายเป็นชาด้านขึ้นทีละน้อย บาดแผลในใจยังมีเช่นเดิม แต่กำลังจะกลายเป็นแผลเป็น

ไม่มีใครหนีความคิดหนีตัวเองพ้น ดังนั้นผมจึงเปิดหน้าต่างเปิดตาเปิดใจอีกครั้ง ไม่มีประโยชน์อะไรจะวิ่งหนีเงาความคิดของตนเอง ผมเฝ้ามองด้วยใจที่เริ่มสงบลง

ใช่แล้ว ...ผมพยายามคิดบทเพลง ดอกไม้ หรือภาพวาดเป็นงานศิลปะ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ เราก็สามารถชื่นชมกับความงดงามงานศิลปะเหล่านั้นได้  โดยไม่จำเป็นต้องแตะต้อง เราสามารถเดินชมงานแสดงศิลปะในงานนิทรรศการงานศิลป์ ชื่นชมงานเหล่านั้นด้วยสายตาและหัวใจ โดยไม่จำเป็นต้องไปซื้อมาเป็นเจ้าของด้วยราคาแสนแพง เราฟังบทเพลงที่คนอื่นสร้างสรรค์ขับขานไม่จำเป็นต้องร้องเอง เราก็มีความสุขได้ ดอกไม้ถึงจะอยู่ในสวนของคนอื่น เราก็ยังสามารถชื่นชมความงามของมันได้จากหัวใจ

คิดได้แบบนี้ จิตใจของผมเริ่มสงบเยือกเย็นลง

ผมควรจะออกจากห้องนี้เสียที ไปสู่โลกภายนอก เผชิญหน้ากับสรรพสิ่งมากกว่าจะมาขดตัวอยู่ในห้องจนกลายเป็นมนุษย์ห้องแบบนี้

เธอ และเขาคนนั้นสนิทสนมกันมากขึ้นทุกที  เขาเดินเข้าออกในบ้านได้อย่างคุ้นเคย ก็ดีแล้ว ผมคิด.....เธอก็มีความสุขดี แล้วเราจะมามัวคิดโศกเศร้าเสียใจทำไม ต้องยินดีกับเธอต่างหาก ชีวิตก็เป็นแบบนี้

เอาล่ะ ถึงเวลาแล้วที่ผมจะออกจากห้อง บางทีอาจจะไปหาห้องอื่น ตึกอื่น มุมมองอื่น อันแปลกหูแปลกตาเปลี่ยนบรรยากาศ ผมจะต้องเข้มแข็งในการก้าวเดินออกไปเผชิญหน้ากับโลกภายนอก ผมไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการก้าวเดินออกไปเท่านั้น

แค่เปิดประตูออกไป

และก้าวเท้าออกไป

มันไม่ใช่เรื่องยากถ้าจะทำ ขอให้มีแรงจูงใจ ความมั่นใจ



ผมหาเท้าของตัวเองไม่เจอ

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ผมงุนงงไปพักใหญ่ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมผมหาเท้าที่จะก้าวเดินออกไปไม่เจอ ความจริงแล้วไม่ใช่แค่หาเท้าไม่เจอเท่านั้น ผมหาอะไรของตัวเองไม่เจอสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมือ ศีรษะ ลำตัว หรืออะไรทั้งนั้น มีอย่างเดียวที่รู้สึกได้คือความรู้สึกนึกคิด!

นานทีเดียวกว่าผมจะเริ่มยอมรับความจริงได้

ความจริงอันเยือกเย็น

ความจริงที่ว่า ผมเป็นห้องๆหนึ่งเท่านั้น  เป็นห้องซึ่งมีชีวิตจิตใจ ผมไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คิดในตอนแรก เป็นเพียงห้องเก่าๆ ในอาคารร้างเก่าแก่ทรุดโทรม

ผมปิดประตูและหน้าต่างเข้าอย่างเงียบงัน


******


“ห้องนั้นดูแปลกๆนะคะ”

หญิงสาวพูดกับชายหนุ่มพร้อมกับชี้มือให้ดูห้องชั้นสองของอาคารเก่าๆตรงกันข้ามกับบ้าน ในขณะกำลังยืนคุยกันอยู่สนามหญ้าหน้าบ้านหลังอาหารมื้อเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์

“บางทีผ้าม่านก็เปิดปิดเอง หน้าต่างก็เปิดปิดเอง ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ บางทีก็รู้สึกเหมือนมีสายตาใครบางคนจ้องมองอยู่เสมอ”

ชายหนุ่มมองตาม เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน แต่ในที่สุดเขาก็ยิ้มและบอกว่า

“ช่างเถอะนะครับ อีกสองสามวัน ตึกหลังนั้นก็จะถูกทุบทิ้งแล้ว เห็นว่าจะสร้างเป็นบ้านเช่าแทน  คงจะไม่มีอะไรมารบกวนใจอีกแล้ว”

หญิงสาวยิ้มสดใส ให้กับเข้าของวันใหม่อันสดใส พวกเขาไม่ได้ยินเสียงเศษอิฐเสียงเศษปูนของอาคารเก่าแก่ทรุดโทรม ซึ่งเริ่มร่วงหล่นลงมาทีละน้อย ทั้งที่ยังไม่ถึงวันเวลาของการรื้อทุบทำลาย






จบแล้วครับ

แก้ไขเมื่อ 24 เม.ย. 55 14:16:10

จากคุณ : Psycho man
เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 55 09:36:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com