บทที่ 4 พานพบ
วันนี้อากาศดีเลยทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส ฉันถูกสาวใช้ปลุกตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ฉันยังงัวๆ เงียๆ ลืมตาไม่ขึ้น ปล่อยให้สาวใช้สาละวนไป มาตื่นจริงๆ ก็ตอนที่เธอขีดๆ เขียนๆ บนหน้านั่นแหละ เพราะไม่ชอบแต่งหน้าจึงต้องตื่นมาดื้อสักหน่อย ระหว่างที่ทาแป้งทาปาก ฉันก็แกล้งลูบตาลูบจมูกลบออกป่วนไปเรื่อย เสี่ยวเถาก็เลยว่ามีนางในที่ไหนเดินหน้าเกลี้ยงเข้าวังบ้าง ซ้ำยังผิดระเบียบด้วย ฉันคิดตามแล้วก็เห็นจริง เลยต้องปล่อยให้เธอจัดการต่อ แต่ไม่วายขอให้เธอแต่งอ่อนๆ บางๆ
วางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าแต่งหน้าให้ท่านมาหลายปี จะไม่รู้อ่อนเข้มเชียวหรือ สาวใช้ยิ้มพูด แต่งหน้าอย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ เพียงไม่นานก็เปลี่ยนโฉมให้ฉันดูเรียบร้อยสมวัย ฉันมองในกระจกเห็นเด็กสาวหน้าตาสดใสพริ้มเพราคนหนึ่งกำลังมองกลับมาอยู่ ดูแล้วสวยสง่าภูมิฐาน ไม่เหลือเค้าความพื้นๆ ของฉันเลยสักนิด
อืม ดีมาก เสี่ยวเถา เจ้านี่ร้ายกาจจริงๆ แปลงโฉมข้าซะสวยเชียว
ฉันชมเปาะไม่หยุดปาก สาวใช้ก็ยิ้มอย่างดีใจ
เป็นเพราะเดี๋ยวนี้คุณหนูเปลี่ยนไปแล้วต่างหาก ไม่เหมือนก่อนเลยเจ้าค่ะ
ฉันมองเสี่ยวเถาอย่างตกใจ แต่เธอดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร
จริงๆ นะเจ้าคะคุณหนู ตัวท่านแตกต่างไปจากเดิมจนสิ้น ข้าก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว
ฉันค่อยโล่งอกเมื่อเธอเพียงแค่สัมผัสได้ถึงลักษณะและท่าทางที่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้น
เปลี่ยนเป็นดีขึ้นหรือแย่ลงล่ะ
ย่อมดีขึ้นสิเจ้าคะ ดูสดใสขึ้น เค้าหน้าก็คล้ายคลึงคุณชายใหญ่เลยเจ้าค่ะ งดงามสมเป็นกุลสตรี
ฉันอดหัวเราะไม่ได้
ชักจะปากหวานใหญ่แล้วนะ
ไม่ใช่สักหน่อย เดี๋ยวข้าไปดูสำรับเช้าให้ท่านนะเจ้าคะ เสี่ยวเถายิ้มเดินไป
พูดถึงน้องชาย ฉันก็เพิ่งนึกได้ว่าสองวันก่อนได้รับจดหมายจากที่บ้าน บอกว่าหมิงฮุยได้เป็นพระสหายขององค์ชายและมักจะพักอยู่ในวัง อยากให้เราทั้งสองคอยดูแลกันและกัน ฉันไม่เคยเห็นลูกชายของแม่เล็กคนนี้หรอก แม่เล็กกับน้องสาวก็ยังไม่เคยเห็นด้วยเหมือนกัน ตอนที่ฉันอยู่ที่บ้านนั้น พวกเขากลับไปเยี่ยมญาติที่ซูโจวกันหมด ที่รู้ก็เพราะแอบได้ยินมาจากเสี่ยวเถา ยังรู้ด้วยว่าระหว่างฉันกับพวกเขามีสัมพันธ์ที่ดีเสมอมา น้องชายฉันเป็นคนเฉลียวฉลาดมากความสามารถ กับฉันก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดี ฉันก็เลยวางใจไปได้เปราะหนึ่งว่าคงไม่มาสร้างความยุ่งยากให้ฉัน ส่วนเรื่องที่เขาจะฉลาดขนาดมองอะไรทะลุปรุโปร่งเลยหรือเปล่านั้น คงต้องค่อยๆ ดูกันอีกที
เสี่ยวชุนเดินยกสำรับอาหารเข้ามา ฉันยิ้มเรียกให้เธอมากินด้วยกัน เมื่อกินเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็จูงมือกันไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ที่ลานด้านหน้า แต่พอไปถึงก็เห็นน่าหลันหญงเยวี่ยเดินนวยนาดมาพร้อมกับ ขบวนเสด็จ ของเจ้าหล่อน เธอเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ฉันจึงยิ้มและค้อมหัวให้ ทำเธออึ้งตะลึงไปเลยทีเดียว แต่แล้วก็เดินต่อโดยไม่พูดอะไร ฉันหันกลับมาก็เห็นเสี่ยวชุนซึ่งกำลังมองตามหญิงสูงศักดิ์นั่นอย่างตะลึงงันไม่ต่างกัน
ทำไมเหรอ
เอ่อ ไม่มีอะไร พี่เสี่ยวเวย พวกเราก็ไปกันเถอะ เมื่อเรียกสติกลับมาได้เธอก็รีบดึงมือฉันไป
ฉันข้องใจนิดหน่อย รู้สึกว่าท่าทางเธอผิดปกติ แต่เมื่อเธอไม่พูดฉันก็จะไม่เข้าไปยุ่ง ทำได้แค่คอยระแวดระวังก็พอ
พวกเราทั้งหมดถูกแบ่งให้ขึ้นรถม้าคันละสองคนโดยเรียงตามรายชื่อ ฉันก็เลยไม่ได้อยู่กับเสี่ยวชุน
รถม้ามุ่งหน้าไปสู่พระราชวังหลวงหรือที่เรียกกันว่า นครต้องห้าม ฉันนั่งชิดริมหน้าต่างเพื่อมองท้องฟ้าใสๆ ด้านนอก ปักกิ่งในสมัยฉันไม่สะอาดอย่างนี้หรอก แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงอยากจะกลับไป ตั้งแต่ฉันย้อนเวลากลับมาในยุคสมัยนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันคิดถึงผู้คนและชีวิตในช่วงเวลาที่ฉันจากมา ไม่รู้ว่านี่เป็นลางบอกอะไรหรือเปล่า
ไม่นานนักรถม้าก็มาถึงประตูซีหฺวาซึ่งอยู่ทางตะวันตกของพระราชวัง มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทหารองครักษ์อาวุธพร้อมสรรพ ประตูวังสูงตระหง่านให้ความรู้สึกปลอดภัย มันเป็นสถานที่ซึ่งใครๆ ในยุคศตวรรษที่ 21 ต่างก็เห็นจนเจนตา แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่ามันน่าเกรงขาม ความรู้สึกกดดันรุนแรงเหลือเกิน หัวใจของฉันระส่ำระสาย แต่สีหน้ายังคงปกติอยู่ พอหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมทางก็เห็นเธอนั่งกำผ้าเช็ดหน้าแน่นและกำลังมองตรงมาที่ฉัน
รถม้าค่อยๆ แล่นไปอย่างช้าๆ ฉันจึงมองดูได้ทั่ว ทั้งหอเก๋ง ศาลา พระแท่น ตำหนักเรียงสลับเชื่อมต่อกัน อะไรๆ ก็ดูสูงๆ ใหญ่ๆ เงียบๆ ไปหมด ไม่เห็นมีต้นไม้สักต้นเดียว ผนังกำแพงสีแดงชาดกับกระเบื้องหลังคาสีทองช่างตัดกับสีของท้องฟ้า ราวระเบียงทางเดินหินอ่อนขาวสวยงามเหลือคนณา แต่มันกลับทำให้ฉันขนลุกซู่จนเผลอลูบแขนตัวเองอย่างไม่รู้ตัว พูดแล้วก็น่าขำ ฉันคุ้นเคยกับที่นี่จะตายไป มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แค่เห็นทางสายนี้ก็รู้แล้วว่าจะมุ่งไปยังประตูหลงจง* ผ่านประตูนั้นแล้วตรงไปอีกหน่อยก็เป็นห้องเครื่อง แล้วนี่เรากำลังจะไปไหนเนี่ย คงไม่ได้ส่งเราไปเชือดที่นั่นหรอกนะ...
คิกๆ ฉันกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ พอช้อนตาขึ้นมาก็เห็นสาวน้อยเพื่อนร่วมทางมองฉันด้วยสีหน้างงงวย ฉันจึงส่งยิ้มให้ก่อนจะหันหน้าออกไปมองด้านนอกต่อ
เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ พอผ่านประตูหลงจงเขาก็ให้เราลงจากรถม้าและเข้าแถวตรวจนับจำนวนคนเพื่อเดินไปทางวังฉู่ซิ่ว** ยิ่งเดินไปฉันก็ยิ่งคุ้นว่ามันเป็นทางสายเดียวกับตอนที่ฉันเดินไปหาเสี่ยวชิว ฉันจึงรีบสังเกตสิ่งรอบข้างเผื่อจะเจอเรือนลึกลับหลังนั้น แต่เดินไปไม่ทันจะถึงครึ่งทางก็ต้องเลี้ยวไปทางตะวันตกเพื่อเข้าสู่ลานกว้างแห่งหนึ่ง
แต่ละคนถูกแบ่งให้นอนในห้องเดี่ยวโดยมีขันทีรับใช้คอยดูแลจัดการ ขันทีอาวุโสคนหนึ่งประกาศแจ้งกฎที่ต้องระวัง หลักใหญ่ก็คือห้ามเดินเพ่นพ่านและต้องรักษาวินัย ครั้งนี้ฉันกับเสี่ยวชุนยิ่งแยกกันไกลกว่าเก่า แต่ดูเหมือนว่าจะกำหนดเวลาให้สามารถเยี่ยมหากันได้
ภายในห้องพักที่จัดไว้อย่างเรียบง่ายมีเตียงคั่ง* โต๊ะ เก้าอี้ และตู้ ฉันวางห่อผ้าไว้ข้างหนึ่ง คิดอยากจะดื่มน้ำสักหน่อยแต่ไม่เห็นมีกาน้ำเลย พลอยนึกถึงตอนที่มีเสี่ยวเถาให้ใช้สอย เฮ้อ...ใจหาย นี่ฉันขึ้นสูงสุดคืนสู่สามัญแล้วเหรอเนี่ย! สองเดือนที่ผ่านมาติดนิสัยรักสบายจนเคยตัว ฉันผลักประตูออกไปดูว่ามีใครอยู่บ้าง ซึ่งก็ว่างเปล่าวังเวง ดูเหมือนพวกนางในจะนอนพักกันหมดแล้ว แต่ฉันเป็นคนไม่ชอบนอนกลางวันมาตั้งแต่เล็ก และไม่อยากรบกวนเสี่ยวชุนด้วย ฉันเลยต้องเดินเตร่ไปหากามาเติมน้ำด้วยตัวเอง ดูซิว่าจะหาโรงน้ำเจอหรือเปล่า
ระหว่างเดินสุ่มไปตามระเบียงทางเดินช่วงหนึ่งก็กระดี๊กระด๊าเพราะได้เจอสวนดอกไม้เล็กๆ มีภูเขาจำลองและสะพานข้ามลำธาร เลยเดินเข้าไปนั่งดูปลาคาร์ฟตรงริมธาร พวกมันว่ายเข้ามาหาฉัน คงจะคิดว่าฉันมาให้อาหารล่ะสิ ฉันอดไม่ได้ที่จะจุ่มมือลงไปหยอกล้อมันเล่น
นี่เจ้ายังทำตัวเสรีเช่นนี้ได้อีกหรือ เสียงยั่วเย้าดังมาจากด้านหลัง
ฉันสะดุ้งหันกลับไปมองทันที ใบหน้าที่ตามหลอกหลอนฉันมาตลอดสองเดือนกำลังส่งยิ้มมาให้ ฉันลุกขึ้นมาเผชิญหน้า ในใจทั้งยินดีและทั้งรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร
เฮอะ เจ้าก็ยังผลุบๆ โผล่ๆ เป็นผีเหมือนเดิมเลยนะเจ้าหนู
เขาเลิกคิ้วสูง
บอกเจ้าแล้วนี่ว่าห้ามเรียกข้าว่าเจ้าหนู พวกเราก็เหมือนกันนั่นล่ะ!
หึๆๆ จริงด้วย ฉันหัวเราะ ไม่ว่าจะพูดยังไง การได้เจอคนที่เคยรู้จักในที่นี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่เหรอ แต่พอคิดอีกที...
ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เจ้าเป็นใครกันแน่
ฉันจ้องเขาเขม็ง แต่เขากลับเดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้ามาหา
เจ้าหอมข้าก่อนสิ แล้วข้าจะบอก
ฉันแทบจะขนหัวลุก หนอย...เจ้าเด็กทะลึ่ง ยังจะมา...
น้องสิบสาม ห้ามเที่ยวซนนะ!
ฉันกำลังจะสั่งสอนเขา จู่ๆ ก็มีอีกเสียงหนึ่งตะคอกขึ้นมาอย่างเฉียบขาด ฉันหันขวับไปมอง
ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าคราม ผูกผ้าคาดเอวสีเหลือง ใบหน้าของเขาเรียวยาว คิ้วหยักกลาง จมูกเป็นสัน ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาของเขาช่างดำสนิทดูเยือกเย็น น่าเกรงขามมากๆ แถมในตอนนี้ดวงตาคู่นั้นก็กำลังจับจ้องมาที่ฉัน
พี่สี่ ท่านมาได้อย่างไร เจ้าเด็กนั่นยิ้มถามอย่างไม่รู้สึกตกใจเลยสักนิด
ให้มันได้อย่างนี้สิ คราวนี้ฉันขนหัวลุกจริงๆ แล้ว เพราะถ้าขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ฉันก็โง่เต็มทน ตอนนี้ได้แต่ยืนบื้อดูบุคคลในประวัติศาสตร์จีนโต้ตอบกันตรงหน้า อยากจะร้องไห้จริงๆ เลย
พี่สี่ นางก็คือนางในที่ข้าเล่าให้ฟังอย่างไรเล่า...
ระหว่างที่กำลังตกตะลึงพรึงเพริดนั้น เสียงของเจ้าเด็กนั่น...โอ๊ย ไม่ใช่สิ...เสียงขององค์ชายสิบสามก็ดังมากระทบโสตประสาท ฉันเรียกสติตัวเองกลับมาทันที แล้วก็พบว่าองค์ชายสี่ผู้ที่ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นจักรพรรดิยงเจิ้งได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว เขาจะเห็นไหมว่าฉันกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่เลยทีเดียว
สกุลหย่าลาเอ๋อร์ถ่าหรือ
เอ่อ...เพคะ ฉันรีบสงบสติอารมณ์
เจ้ารู้หรือว่าพวกเราเป็นใคร
ฉันสะดุ้งมองเขาก่อนจะเหลือบไปมององค์ชายสิบสามแวบหนึ่ง ในใจคิดอยากจะหลบเลี่ยงคำถามนี้เพราะไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับพวกเขานัก แต่สายตาของยงเจิ้งที่มองมาดูน่ากลัวจริงๆ ราวกับเขามองทะลุเข้ามาถึงในใจยังไงยังงั้น ฉันค่อยๆ สงบใจตัวเองแล้วย่อกายคารวะด้วยท่าทางเรียบร้อย
ตอนนี้ทราบแล้วเพคะ ถวายบังคมองค์ชายทั้งสอง ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญเพคะ ฉันรีบทำตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ร่ำเรียนมาทันที
อ้อ ลุกขึ้นเถิด
ฉันยืดตัวและเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสายตาขององค์ชายสี่ให้ความสนใจ
เป็นเช่นไรท่านพี่ นางน่าสนใจดีนะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสิบสามยังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
อือ องค์ชายสี่เพียงตอบรับอย่างเย็นชา
ฉันถูกคนยืนวิจารณ์ตัวเองต่อหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลยหันหน้าไปทางอื่น ในเมื่อพวกเขาเห็นฉันเป็นแค่หุ่น งั้นฉันก็จะเป็นหุ่น แต่ขณะที่กำลังยืนเซ็งอยู่ตรงนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังมา
พี่สี่ช่างรื่นรมย์ยิ่ง เสด็จมาดูนางในที่นี่กับเขาด้วย
เสียงนั้นเป็นเสียงห้าวใหญ่ ฉันหันมองไปตามเสียงก็เห็นคนคนหนึ่งยืนพิงภูเขาจำลองอยู่ คิ้วของเขาดกหนา จมูกใหญ่ ปากกว้าง กำลังแสยะยิ้มมองมา
น้องสิบ เจ้าอย่าพูดเหลวใหล ทันใดนั้นเสียงนุ่มๆ เสียงหนึ่งก็ดังสอดเข้ามา
ฉันกะพริบตาปริบๆ เห็นอีกคนหนี่งโผล่ออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลอง คนคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีขาวนวล รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้ากลม คิ้วสูง ดวงตาสดใส ใบหน้าระบายยิ้ม จังหวะที่เขามองมาบังเอิญสายตาฉันสบสายตาของเขาพอดี เขาอึ้งก่อนจะเพ่งมองฉัน ฉันจึงรีบก้มหน้ารักษามารยาทที่พึงมี แต่ในใจนึกเดาไปใหญ่ว่าพวกเขาเป็นใครบ้าง
นึกแล้วน่าขำ พระเจ้าช่างเมตตาฉันจริงๆ เข้าวังมาวันแรกก็พามาให้เจอคนเยอะแยะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพวกนักประวัติศาสตร์โบราณคดีจะอิจฉาฉันขนาดไหน แต่พอคิดขึ้นได้ว่าประวัติศาสตร์ในช่วงนี้พี่น้องเหล่านี้จะชิงราชบัลลังก์กันเองก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ฉันไม่อยากถูกลากเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรอกนะ แค่อยากอยู่ทำความรู้จักกับที่นี่แค่ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่ได้อยากเอาชีวิตมาทิ้งเสียหน่อย ยิ่งนึกถึงเล่ห์เหลี่ยมของบรรดาคนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้วเหงื่อกาฬก็พานไหลออกมาเฉยๆ แถมขาฉันยังก้าวหลบฉากออกมาอย่างอัตโนมัติ องค์ชายสิบสามผู้มีนามว่าอิ้นเสียงเห็นเข้าก็ขยับมาใกล้ ฉันเงยเห็นเขาเอาตัวยืนบังฉันไว้ แม้เขาจะสูงกว่าแค่ครึ่งช่วงหัว แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด มือหนึ่งจับกุมข้อมือของฉันแน่น เจ็บอยู่เหมือนกัน แต่ฉันก็รู้ว่าไม่อาจดิ้นหนีความปรารถนาดีของเขาได้ เฮ้อ...เจ้าเด็กคนนี้...คนอื่นเขาจะคิดยังไงก็ไม่สนใจเลยนะ
พี่แปดกับพี่สิบก็รื่นเริงไม่น้อย
ฉันได้ยินเขาแดกดันกลับไป องค์ชายสิบได้ยินเข้าก็หน้าตึงทันควัน อ้าปากจะพูดอะไรโต้กลับ แต่เห็นองค์ชายสี่อิ้นเจินกระแอมไอในลำคอ จึงยังคงรักษามาดเยือกเย็นไม่พูดไม่จาไว้
ฮ่าๆๆ ข้าเพิ่งเรียนเสร็จก็แค่เดินผ่านมาทางนี้ ได้ยินเสียงคนคุยกันเลยแวะดูเท่านั้น บังเอิญจริงๆ ที่ได้พบกัน องค์ชายแปดอิ้นซื่อพูดยิ้มๆ
ฉันยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างหนึ่ง ดูออกว่าพวกเขายังเกรงพี่ชายสี่อยู่บ้าง แต่กับคนที่ยืนอยู่ข้างฉันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นที่ใส่ใจนัก จะว่าไปในพงศาวดารหรือในตำนานชาวบ้าน ชะตาชีวิตขององค์ชายสิบสามก็ขรุขระเสมอมาจนดูเป็นคนน่าสงสารน่าเวทนา...เจ็บแปลบหัวใจจัง ฉันอดมองไปที่เขาไม่ได้ ในดวงตาดำขลับคู่นั้นก็กำลังมองฉันอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าท่าทางของฉันเผยความเห็นอกเห็นใจไปมากแค่ไหน เพราะเขานิ่งอึ้งไปก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ น่าแปลก...ท่าทางเวลาดีใจของเขาทำให้รู้สึกอบอุ่นใจดีจัง
แม่นางผู้นี้คือ... เสียงนุ่มนวลนั้นดังขึ้นอีกแล้ว
ฉันเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ และเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกับใคร จึงรีบปลุกประสาทของตัวเองให้ตื่นตัวทันที น่าแปลกเหมือนกันที่ความสับสนว้าวุ่นใจก่อนหน้านี้หายไปจนหมด กลับกลายเป็นความสงบนิ่ง จะด้วยความที่ฉันมาจากอนาคตจึงได้อ่านได้รู้เรื่องราวในสมัยนี้มาแล้วก็ดี หรือจะด้วยฐานะที่ฉันเป็นคนนอกก็ช่าง การเผชิญกับคนที่ได้รู้ความเป็นไปของพวกเขามาก่อนแบบนี้ย่อมทำให้ฉันรู้สึกอยู่เหนือกว่า ก็เหมือนการดูละคร เพียงแต่ตอนนี้ได้เข้ามาในฉากด้วยก็เท่านั้นเอง ฉันเพียงต้องเตือนตัวเองว่าอย่าทำอะไรให้กระทบประวัติศาสตร์ เฮ้อ! นี่ฉันสงบลงได้ขนาดนี้เชียวเหรอ น่าตกใจจัง
ฉันย่อกายคารวะ
ถวายบังคมองค์ชายแปด องค์ชายสิบ ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเกษมสำราญเพคะ หม่อมฉันเป็น... พูดยังไม่ทันจบประโยค
พี่ใหญ่? มีเสียงใหม่แทรกมาอีกแล้ว ฉันยืดตัวขึ้นดูอย่างเสียไม่ได้ เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมาอย่างประหลาดใจ หน้าตากระจ่างใสของเขาละม้ายคล้ายฉันหลายส่วนซึ่งทำให้ฉันรู้ได้ทันที จึงพยักหน้ายิ้มให้เป็นการทักทาย
นางเป็นพี่สาวเจ้าหรือ หมิงฮุย องค์ชายสิบถามอย่างแปลกใจ จากนั้นก็หันมามองสำรวจฉันอีก
ที่แท้ก็เป็นบุตรีของใต้เท้าอิงลู่นี่เอง อิ้นซื่อพูดยิ้มๆ
พ่ะย่ะค่ะ เป็นพี่คนโตของกระหม่อมเอง ได้ยินท่านพ่อบอกว่าจะเข้าวังมาวันนี้ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ
น้องชายกล่าวตอบด้วยท่าทางนอบน้อม เมื่อเหลือบตาขึ้นมาเห็นว่าอิ้นเจินและอิ้นเสียงก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาก็รีบถวายความเคารพ ด้วยสภาพแบบนี้ทำให้เขาไม่กล้าเจรจากับพี่สาวตัวเองมากนัก แต่ก็มองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความฉงนสงสัย ฉันทำได้แค่ส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้ ตัวเองก็พูดอะไรไม่ได้มากเหมือนเขานั่นแหละ และไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงต้องมาเจอกันหมดในเวลานี้ ฝ่ายพวกองค์ชายดูเหมือนคลื่นซัดโถมใส่กันระหว่างพี่น้อง ขนาดฉันยืนอยู่บนตลิ่งยังโดนคลื่นซัดกระเซ็นใส่เหมือนกัน อึดอัดรำคาญใจแค่ไหนก็พูดไม่ได้ จะเดินหนีก็ไม่ได้
ระหว่างกำลังคิดหาทางเอาตัวรอดก็เห็นขันทีน้อยคนหนึ่งวิ่งมาพอดี พอเขาเห็นแต่ไกลว่ามีเหล่าองค์ชายยืนอยู่ตรงนี้ก็ตกใจรีบถวายบังคมตั้งแต่ตรงนั้น แล้วจึงมองมาทางฉัน
มีอะไรหรือ องค์ชายสี่ถาม
เอ่อ ทูลองค์ชาย กระหม่อมออกมาตาม...เอ่อ...แม่นางท่านนี้พ่ะย่ะค่ะ เหล่านางในจะต้องไปที่วังฉู่ซิ่วแล้ว
มิใช่ว่าคัดเลือกกันวันพรุ่งนี้หรอกหรือ องค์ชายแปดถามบ้าง
ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่วันนี้พระนางน่าหลันทรงสวดมนต์ภาวนาร่วมกับพระนางท่านอื่นๆ ทรงอยากทอดพระเนตรในบ่ายวันนี้สักหน่อยก่อน จึงให้...
อืม เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้ารีบนำแม่นางท่านนี้ไปเถอะ องค์ชายสี่ตัดบท
ขันทีน้อยรีบวิ่งเข้ามาหา
แม่นาง เชิญทางนี้
ฉันคารวะลา รู้ว่าองค์ชายสิบสามมองฉันอยู่ตลอด แต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรหันไปมองเขา เพราะทุกคนที่นี่จับจ้องกันอยู่ ขืนทำอะไรพลาดไปเพียงแค่ก้าวเดียวอาจจะสร้างความเสียหายขึ้นได้ ฉันยืดหลังตรงก่อนจะเดินตามขันทีน้อยไป ไม่รู้ว่าวิตกจริตไปหรือเปล่าถึงได้รู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าสายตาของพวกเขาพุ่งรังสีมาทางหลังฉัน หวาดเสียวจริงๆ แต่จะให้พวกเขารู้ไม่ได้ ฉันจึงเดินอย่างมาดมั่นต่อไป
เมื่อผ่านหัวเลี้ยวของระเบียงทางเดินพ้นสายตาของพวกเขาแล้วค่อยหายใจทั่วท้องหน่อย แต่เสียงขององค์ชายสิบก็ยังดังตามมาให้ได้ยิน
หึๆๆ วันพรุ่งนี้เลือกนางใน ข้าจะไปชมความครื้นเครงให้ได้เชียว พี่สี่ พี่แปด น้องสิบสาม จะไปด้วยกันหรือไม่
น้ำเสียงนั้นทำให้ฉันตระหนก เพราะมันแฝงด้วยเจตนาที่ไม่น่าจะดีนัก จิตใจที่สงบลงไปแล้วกลับกระพือความกังวลขึ้นมาใหม่