ตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11915632/W11915632.html
ตอนที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11934699/W11934699.html
ตอนที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11941758/W11941758.html
ตอนที่4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11969123/W11969123.html
พักนี้สุขภาพไม่ค่อยดีครับ ต้องขออภัยหากลงตอนต่อช้าไปหน่อยครับ
(กลัวคนอ่านลืมตอนเก่าๆซะก่อน
)
๕. เวลาเดินช้าและบีบหัวใจเด็กหญิงชุดสีบานเย็นทุกวินาที เธอชะเง้อมองหาคุณหมอ แหงนหน้าดูบนนาฬิกาแขวนผนัง ทำอย่างนี้ซ้ำๆจนเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลสัตว์พลอยลุ้นกับเธอไปด้วย
บ็อบบี้โชคร้ายที่เข้ามาหลบหลังกระจกกันกระสุนของร้านโมเน่ต์ไม่ทัน ไม่มีใครรู้ว่ามันจะรอดหรือเปล่าเพราะว่ากระสุนปืนที่แก๊งมอเตอร์ไซด์ใช้นั้นเป็นแบบลูกปราย โอกาสที่จะมีกระสุนมากกว่าหนึ่งนัดฝังอยู่ในลำตัวมีมากพอๆกับโอกาสตายของเจ้าสี่ขา
เอื้อย ซึ่งคอยดูน้องแพรอยู่ไม่ห่าง โทรศัพท์กลับไปหาคุณแม่ของเด็กน้อยระหว่างนั้น
“อีกสักพัก คุณแม่น้องแพร จะมารับกลับค่ะ” เธอ บอกรัตติกรณ์
“ไม่ … ” เด็กหญิงชุดสีบานเย็นส่ายหัว ลากเสียงยาวๆ “แพร จะกลับพร้อมกับ บ็อบบี้”
เอื้อย ลูบศีรษะน้องแพรเบาๆ พยายามพูดปลอบโยนสารพัด แม้จะรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานเธอคงไม่รู้จะหาประโยคไหนมาปลอบใจหนูน้อยได้อีก
รัตติกรณ์นึกเสียดายที่ไม่รู้เรื่องอวัยวะภายในของสุนัขเลยสักนิด ด้วยพลังของเขาการดึงกระสุนลูกปรายออกมาไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
“เพิ่งรู้นะคะว่าคุณสนิทกับ เจ้าของร้านซักรีดแถวบริษัท” เอื้อย ชวนรัตติกรณ์คุย พลางนึกดีใจว่าอย่างน้อยนอกจากเธอ พี่นุช ก็ยังมี คุณแม่ของน้องแพรอีกคน ที่ไว้ใจเขา
“เอ่อ … ครับ เธอเคยช่วยผมหลายเรื่องสมัยตอนทำร้านโมเน่ต์ใหม่ๆ”
เอื้อย ไม่ค่อยพอใจคำตอบสักเท่าไหร่ ทำไมกันนะผู้ชายที่ดูอึมครึมเหมือนจะไม่สนใจใครแบบนี้ กลับมีผู้หญิงหลายคนผูกพันธ์กับเขา
“เจ้าของร้านซักรีด ก็สวยและเป็นม่ายเหมือนพี่นุชด้วย” เอื้อยคิดในใจ
สักประมาณยี่สิบนาทีต่อมาสัตว์แพทย์และเจ้าหน้าที่จึงเดินออกมาจากห้องผ่าตัด
“ผมฝาก น้องแพรด้วย” รัตติกรณ์ลุกขึ้น
“หนูจะไปด้วย” เด็กน้อยกระโจนลงบนพื้น
ชายชุดดำยืนขวางเอาไว้ เขาไม่ชอบการโกหกนักแต่บางทีมันก็จำเป็น “น้องแพร รออยู่กับ น้าบุษบา ดีกว่านะ ข้างในมีหมาดุๆอยู่หลายตัว เดี๋ยวน้าจะพาบ็อบบี้ออกมาหาเอง”
เอื้อย คว้าแขนน้องแพรไว้เบาๆ “เรารอรับบ็อบบี้กลับบ้านกันตรงนี้ดีกว่านะ”
รัตติกรณ์รีบเดินไปหาคุณหมอ เขาไม่คิดว่าน้องแพรจะอ่านว่าเขากำลังโกหกไม่ออก เด็กๆมีพลังในการจับความรู้สึกได้ดีกว่าผู้ใหญ่มากนัก
“บ็อบบี้ เป็นยังไงบ้างครับ” รัตติกรณ์ถาม
แม้จะมีผ้าคาดปากและแว่นตาสวมอยู่ แต่ความกังวลของสัตวแพทย์วัยหนุ่มก็แสดงออกมาอย่างเด่นชัด
“กระสุนสองนัดฝังอยู่ค่อนข้างลึก ผมเกรงว่าสุนัขจะเสียเลือดมากเกินไประหว่างผ่าตัด สุนัขไม่มีสต๊อกเลือดเก็บไว้เหมือนคน” สัตวแพทย์ส่ายหัวเสียดาย “แต่เราก็ติดต่อไปที่ธนาคารเลือดสุนัขที่กรุงเทพแล้ว ตอนนี้คงทำได้แค่รอ”
“นานแค่ไหน” ชายชุดดำถาม
“อย่างเร็วก็คงสองชั่วโมงครับ”
“แล้ว บ็อบบี้จะทนไหวถึงตอนนั้นเหรอครับ”
“ผมคงรับประกันไม่ได้ แม้ว่าโรงพยาบาลของเรามีอุปกรณ์ยื้อชีวิตที่จัดว่าดีเทียบเท่าโรงพยาบาลสัตว์ในกรุงเทพ แต่ว่า … ”
“คุณหมอต้องการเลือดมากแค่ไหน”
หมอหนุ่มชักสีหน้าค้านเต็มกำลัง “มันไม่ง่ายเหมือนรับบริจาคเลือดให้คนนะครับ”
“ผมรู้” รัตติกรณ์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น “ตกลงคุณต้องการเลือดเท่าไหร่”
“สุนัขต้องน้ำหนักเกิน 20 กิโลกรัม สุขภาพดี มีประวัติการฉีดวัคซีน … ”
“คุณหมอคงไม่รู้ว่ามีศูนย์ฝึกสุนัขตำรวจอยู่แถวนี้” รัตติกรณ์พูดแทรก “ผมจะพา เยอรมันเชฟเฟิร์ด กับลาบราดอร์ มาให้สักห้าหกตัว คิดว่าคงพอ ขออย่างเดียวช่วยบอกผมทีว่า บ็อบบี้จะรอด”
แววตาหลังกรอบแว่นของสัตวแพทย์ดูมีประกายขึ้นทันตา “เยี่ยมเลย ! ถ้าคุณพามาได้ล่ะก็ … ”
“อีกสิบห้านาทีคงมาถึง” รัตติกรณ์บอก
แม้ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลใดๆที่ชายชุดดำร่างสูงตรงหน้าจะพาสุนัขพันธุ์ต่างประเทศมาให้เจาะเลือด และก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำแบบนั้นได้ยังไง แต่หมอหนุ่มไม่มีเวลาให้สงสัยรีบสั่งการเจ้าหน้าที่เตรียมอุปกรณ์เก็บเลือดสำหรับผ่าตัด สุนัขไม่แข็งแกร่งเท่ามนุษย์ในยามเจ็บป่วยทุกวินาทีจึงล้วนแต่มีค่า ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไหร่ร่างกายของเจ้าบ็อบบี้ก็ยิ่งไม่ต้องรับภาระหนักมากเท่านั้น
ไม่กี่นาทีต่อมาสุนัขเจ็ดตัวมาถึงตามนัด ชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดสวมเครื่องแบบตำรวจครึ่งท่อนจูงฝูงสุนัขตัวใหญ่เข้ามาในโรงพยาบาล ด้วยความสง่างามและน่าเกรงขามตามแบบฉบับสุนัขตำรวจทำให้น้องแพรเผลอกระโจนขึ้นไปอยู่บนตัก เอื้อย และจิกเล็บฝังบนแขนเสื้อสาวน้อยโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีสุนัขตัวไหนร้องโวยวายขัดขืนในห้องเจาะเลือด พวกมันเคร่งครัดต่อหน้าที่อย่างซื่อสัตว์ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ในที่สุดทีมสัตวแพทย์ก็คัดเลือกเลือดที่เข้ากับเจ้าบ็อบบี้ได้สำเร็จ
ห้องผ่าตัดปิดลงอีกครั้ง ไม่มีใครทำอะไรได้นอกจากเชื่อใจทีมของโรงพยาบาลนี้เท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” เอื้อยทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจนต้องเดินจูงน้องแพรมาหารัตติกรณ์
“บ็อบบี้ต้องการเลือดระหว่างผ่าตัด” เขาตอบเรียบๆ
เด็กน้อยซึ่งแอบอยู่หลัง เอื้อย โผล่หน้าออกมานิดหน่อยมองไปยังเจ้าตัวโตทั้งเจ็ดที่มีผ้าก็อตย้อมสีแดงพันรอบขาหน้ากันทุกตัว
“หมาของคุณลุง ทำไมถึงมีเลือดที่ขาทุกตัวเลยล่ะคะ” น้องแพร เอ่ยถามนายตำรวจ
“ลุงพามันมาให้เลือดไงล่ะ”
“ให้เลือด … ” น้องแพรเอียงหัว “ยังไงเหรอคะ”
“ใช้เข็มฉีดยาแทงเข้าไปในเนื้อและดูดเลือดออกมาไงล่ะ” รัตติกรณ์พูดแทรก
น้องแพรทำหน้าเหยเก เด็กห้าหกขวบส่วนมากกลัวเข็มเสียยิ่งกว่าผีซะอีก “อย่างนี้หมาคุณลุงก็เจ็บแย่น่ะซิคะ”
“ใช่ เจ็บมาก … ” รัตติกรณ์ซ้ำเติม
เอื้อย ยิ้มออก การที่เขากล้าพูดเช่นนี้ย่อมแปลว่า บ็อบบี้มีโอกาสรอดแล้วแน่นอน
“แต่ว่า พวกมันก็ยอมทำเพื่อบ็อบบี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย … คุณหมอในห้อง … คุณลุงตำรวจคนนี้ก็เช่นกัน” ชายชุดดำหันมาหาน้องแพร และย่อตัวลง “ดังนั้น น้องแพร เองก็ต้องเข้มแข็งเพื่อบ็อบบี้เช่นกันนะ เมื่อบ็อบบี้ออกมาจากห้องผ่าตัดคงไม่อยากเห็นน้องแพรร้องไห้”
น้องแพรพยักหน้า
เอื้อย แตะไหล่ของเด็กน้อยเบาและยิ้มให้ “เราไปรอกันที่นั่งข้างนอกเหมือนเดิมดีกว่านะคะ น้องแพร คุณหมอ จะได้ช่วยบ็อบบี้ได้สะดวก”
สาวน้อยพาเด็กหญิงออกไปนั่งรอทีเดิม น้องแพรดูสงบนิ่งมากขึ้นด้วยคำพูดของรัตติกรณ์ น้ำตาที่อาบแก้มเหือดหายไปหมดแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคือประกายของแววตาที่มั่นใจว่าเธอต้องพาบ็อบบี้กลับไปเล่นที่บ้านได้อีกแน่นอน
“ต้องขอโทษ ที่รบกวนนอกเวลางานนะครับ” รัตติกรณ์กล่าวกับนายตำรวจ
“ไม่เป็นไรหรอก กร … ถ้าเป็นกร ล่ะก็ อา ถึงไหนถึงกันอยู่แล้ว”
“เดี๋ยวผมไปส่งที่รถนะครับ ต้องขอบคุณมากๆเลย”
เมื่อทั้งคู่ออกมาที่ห้องรับรอง คุณแม่ของน้องแพรก็มาถึงพอดี รัตติกรณ์กล่าวทักทายเจ้าของร้านซักรีด อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง
“ขอบคุณจริงๆค่ะ คุณกร” แม่ม่ายลูกติดกล่าว “ดีนะคะที่น้องแพร ไม่ได้เป็นอะไรไปอีกคน”
เธอหันมาทางสาวน้อยอีกคนหนึ่งซึ่งเคยเห็นหน้าแค่ไม่กี่ครั้ง
“สวัสดีค่ะ” เอื้อยกล่าวทักทายก่อน
“จำได้แล้ว น้องเป็นพนักงานใหม่บริษัทคุณเจมส์ใช่มั้ยจ๊ะ” สาวใหญ่ร้อง “รู้จักกับคุณกรด้วยเหรอ”
ไม่ทันทีสาวน้อยจะตอบอะไรสักคำข้างนอกโรงพยาบาลมีแสงไฟของรถมอเตอร์ไซด์จำนวนมากส่องสว่างทั่วท้องถนน เสียงคำรามของท่อไอเสียดังมากจนสุนัขที่อยู่ในโรงพยาบาลเห่าขึ้นพร้อมๆกัน
“ไอ้พวกแก๊งมังกรบูรพา … เสียดายที่ไม่ได้พกวิทยุสื่อสารมาด้วย ไม่งั้นจะสกัดจับพวกให้หมดยกแก๊งเลย” นายตำรวจสบถ พลางกระตุกสายจูงให้ลูกน้องเจ็ดตัวอยู่ในความสงบ
“คุณพ่อนะคุณพ่อ ไหนบอกว่าจะจัดการให้ไงล่ะ” รัตติกรณ์บ่นในใจ
“คนนั้นไง ที่ยิงบ็อบบี้” น้องแพรร้องเสียงดัง พลางชี้นิ้วไปยัง ชายวัยรุ่นร่างผอมบนมอเตอร์ไซด์สีน้ำเงิน
“แย่จริงๆเลย พวกนี้ ดีแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น” เอื้อย กล่าวเสริม
“มังกรบูรพา … ” รัตติกรณ์คิดในใจ ถึงเหตุการณ์เมื่อสักแปดปีก่อน แก๊งมังกรบูรพา เป็นศูนย์รวมของพวกเด็กเหลืออายุประมาณ 14-15 ในสมัยนั้นนิยมสร้างชื่อด้วยการก่อความรุนแรงมากๆ เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นแค่เด็ก คดีที่โด่งดังที่สุดคือร่วมกันปล้นฆ่านักท่องเที่ยวชาวยุโรปเพื่อนำเงินไปซื้อยาเสพติดจนเป็นคดีใหญ่ระดับกระทรวงต่างประเทศต้องช่วยไกล่เกลี่ยกับครอบครัวผู้ตาย เพราะผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นแค่เด็กที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง
และเพราะว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ แก๊งนี้จึงถูกตำรวจจับตาอย่างใกล้ชิดอยู่หลายปีจนคนในเมืองนี้คงลืมไปแล้วว่า สมาชิกในแก๊งยังไม่มีใครติดคุกเลยแม้แต่คนเดียว
เสียงไซเรนดังขึ้นกลบเสียงมอเตอร์ไซด์จนหมด รถตำรวจจำนวนมากแล่นด้วยความเร็วโอบล้อมแก๊งมังกรบูรพาไว้ได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด พวกเด็กๆในแก๊งพยายามหลบหนีกันสุดชีวิต แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายตำรวจจะจัดกำลังมามากพอจะรับมือได้อย่างสบายๆ
“เอาจนได้ซินะคุณพ่อ” รัตติกรณ์เอ่ยชมในใจ
เขายืนแนบประตูกระจกของโรงพยาบาล ดูเจ้าหน้าที่ควบคุมแก๊งเด็กเหลือขออหังการ์ ในใจของเขานึกเสียดายเหลือเกินที่บทสรุปก็คงเป็นแบบเดิมๆ
เขากวาดสายตาไปเรื่อยๆและพบสิ่งผิดสังเกตเข้าเมื่อ ชายวัยรุ่นร่างผอมที่น้องแพร บอกว่าเป็นคนยิงบ็อบบนี้นั้นไม่ได้นอนราบอยู่บนพื้นถนนเหมือนสมาชิกในแก๊งคนอื่นๆ
“โอ้โห แฮะ เฉียบขาด จริงๆ ต้องชมผู้กำกับเลยนะที่หาข่าวได้ พวกมันคงได้นอนในกรงกันสักคืน” นายตำรวจหัวเราะชอบใจ พลางจูงสุนัขออกจากโรงพยาบาล “ถ้าหมดเรื่องแล้วยังไง อา ขอกลับก่อนล่ะนะ กร ”
รัตติกรณ์เดินไปส่งนายตำรวจที่รถ ขอบคุณอีกยกใหญ่แล้วจึงเข้ามาเรียกเจ้าของร้านซักรีดในโรงพยาบาล “คุณพลอยครับ”
“คะ”
“ผมรบกวนไปส่ง คุณบุษบา หน่อยได้มั้ยครับ”
“ได้ซิ” เจ้าของร้านซักรีดตอบรับ แต่ทำสีหน้าสงสัย
เอื้อยกระอั่กกระอ่วนขึ้นมาทันที รีบเดินเข้าไปใกล้รัตติกรณ์ “คุณจะไปไหนเหรอคะ ไม่รอดูบ็อบบี้ด้วยกันก่อนเหรอ”
“บ็อบบี้ปลอดภัยแน่นอน อำนาจการทะลุทะลวงของลูกปรายไม่มากนัก และตอนนี้เลือดสำหรับผ่าตัดก็มีแล้วด้วย”
ไม่ทันขาดคำ สัตวแพทย์หนุ่มก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยสีหน้าแจ่มใสแม้ว่าจะเหงื่อท่วมก็ตาม
“ผ่าตัดเรียบร้อยครับ แต่คงต้องให้นอนพยาบาลสักสองสามวันเพื่อพักฟื้นร่างกายก่อน” หมอหนุ่มรีบประกาศ
สีหน้าทุกคนโล่งใจ โดยเฉพาะน้องแพร “เย้ๆ ! บ็อบบี้จะได้กลับบ้านแล้ว ”
น้องแพรกระโดดโลดเต้น เสียงร้องไร้เดียงสาเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆในห้องรับรองโรงพยาบาล
“จะไม่กลับพร้อมกันจริงๆเหรอคะ” เอื้อย ทำเสียงเสียดายถามรัตติกรณ์ “คุณแม่กับน้องแพร คงอยากให้คุณกลับด้วย เราเพิ่งคุยกันว่าจะพาคุณไปเลี้ยงมื้อค่ำขอบคุณ”
“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่ามีลูกค้ากำลังรอผมอยู่”
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ” สาวน้อยทำเสียงผิดหวัง
“ใช่” รัตติกรณ์พูดโดยไม่ได้หันหน้ามาตอบเธอ สายตาสอดส่องอยู่นอกโรงพยาบาลตลอดเวลา
เอื้อย ส่ายหัว “ฉันขับไม่เป็นค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ มันเป็นธุระด่วนจริงๆ” รัตติกรณ์พูดพลางผลักประตูกระจก
ชายชุดดำเดินหายไปท่ามกลางความมืดเพื่อตามหาคนที่เขาเคยพยายามตามหาเมื่อแปดปีก่อน
แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 00:04:28