41
“ผมยอมรับว่าเคยพูดแบบนั้นจริง แต่เรื่องวางเพลิงไม่เคยแม้แต่จะคิด”
น้ำเสียงประวีณแสดงความหงุดหงิดชัดเจน
“ใจเย็น ๆ ครับ ผมยังไม่ได้จะกล่าวหา เพียงแต่สอบถามข้อมูลเท่านั้น” สารวัตรนิกรดูแฟ้มเอกสาร “ผอ.คเชนทร์แจ้งว่าสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างจากบริษัทคุณ”
“ก็ใช่ แล้วไง”
“ผมได้ยินอีกว่าคุณขอซื้อที่ของผอ.”
ท่าทีนักธุรกิจหนุ่มอ่อนลง แต่สีหน้าไม่ค่อยพอใจยังอยู่ “ใช่ ผมอยากได้ที่ดินผืนนั้น แต่ผมไปเจรจาอย่างตรงไปตรงมา ไม่คิดกลั่นแกล้งแบบนี้ เพราะถ้าเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นก็ต้องพุ่งเป้ามายังคนที่เคยหมางใจกันอยู่แล้ว”
“ดูเหมือนอาคารนั้นจะมีการใช้วัสดุไม่ถูกสเปค”
“ดูเหมือน ? เพิ่งรู้ว่าตำรวจใช้วิธีคาดเดา เอาหลักฐานมาพูดดีกว่า ผมมีเอกสารสั่งซื้อถูกต้อง การตรวจรับงานก็ถูกต้อง คุณเรียกวิศวกรมาได้เลย แล้วผมถามจริง ๆ เถอะ ที่คุณบอกว่าวางเพลิงนี่แน่ใจแล้วเหรอ หรือว่า ‘ดูเหมือน’ อีก”
สารวัตรนิกรชี้แจงหลักฐานเรื่องกลิ่นกับคราบน้ำมัน รวมทั้งอุปกรณ์จุดไฟที่เจอ “อาคารเพิ่งสร้างเสร็จ แทบจะไม่มีอะไรเป็นเชื้อเพลิงได้เลย ทีมของผมเข้าไปในดูในที่เกิดเหตุแล้ว รวมทั้งตัวผมเองที่อยู่ในเหตุการณ์ เวลาที่ไฟไหม้ไม่นาน ไม่น่าจะทำให้ตึกถล่มเร็วขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น ข้อสันนิษฐานของคุณคงออกมาทำนองว่า ผมกลั่นแกล้ง พอสร้างเสร็จแล้วก็วางเพลิงอย่างนั้นสิ”
นายตำรวจยังคงยิ้มเยือกเย็น ยื่นแฟ้มกระดาษให้ดู
“นี่เป็นใบสั่งซื้อที่ทางวิศวกรส่งให้คุณ จะรบกวนคุณประวีณเอาสำเนามาเทียบกันได้ไหมครับ”
ประวีณเหลือบมองในวินาทีแรก แต่ต้องดึงเอกสารมาใกล้เพราะสายตาจริงจังของอีกฝ่ายเตือนว่าเขาควรจะต้องให้ความสนใจประเด็นนี้
“เมื่อวานผมเพิ่งได้คุยกับวิศวกร เขายืนยันว่าแบบถูก แต่วัสดุไม่ใช่ ไม่มีทางสั่งเหล็กเส้นขนาดนั้นทำเสาอาคารแน่” สารวัตรนิกรจับจ้องกิริยานิ่งขึงของนักธุรกิจหนุ่ม แววตาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เป็นประกาย
“ผมคิดว่าคุณคงอธิบายได้”
วันนี้วันศุกร์ สินธพยืนมองพื้นที่ซึ่งถูกกั้นไว้ สลับกับรูปถ่ายบริเวณจุดที่อาคารพังทลายในโทรศัพท์ ทั้งหมดโฟกัสจุดที่ชี้ให้เห็นว่ามีการใช้วัสดุผิดสเปค
เมื่อวันจันทร์เขาได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวจากผู้เป็นแม่ ตั้งใจว่าจะเคลียร์งานให้เสร็จแล้วค่อยขับรถมาวันเสาร์ แต่พอได้การติดต่อจากตำรวจทำให้ต้องเปลี่ยนกำหนดการมาเป็นวันพฤหัสซึ่งก็คือเมื่อวานนี้แทน
วินาทีแรกที่เห็นซากอาคารซึ่งถูกไฟไหม้เขาเกือบจะเป็นลม ทำงานกับดินคลุกอยู่กับทรายท้ากับแดดมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่หน้ามืด ตาพร่าจนได้ยินเสียงเรียกจากนายตำรวจที่มาด้วยจึงคืนสติ เจ็บในใจแปลบเสมือนดั่งว่าไฟนั้นได้เผาบ้านตนเองที่สร้างกับมือ
สินธพคิดกับงานทุกชิ้นแบบนั้น เขายอมรับว่าไม่ใช่เป็นคนดีเลิศมาจากไหน ใช้ชีวิตนอกลู่นอกกฎเป็นประจำ หากเป็นเรื่องงานเขาเต็มที่และตรงไปตรงมาเสมอ
‘ผู้เชี่ยวชาญแจ้งว่า ที่อาคารถล่มเพราะมีการใช้วัสดุผิดสเปค ผมเลยต้องเชิญคุณมายืนยันในฐานะวิศวกร’
‘เดี๋ยวนะครับ ผิดยังไง’
ตำรวจเดินเข้าด้านใน ชี้จุดที่น่าสงสัยให้ดู ‘เหล็กขนาดนี้รับน้ำหนักไม่ได้ คุณเป็นวิศวกรเรื่องนี้น่าจะรู้ดี’
‘เป็นไปไม่ได้’ เขารำพึง ‘ผมไม่ได้สั่งแบบนี้นี่นา’ ชายหนุ่มยอบตัวมอง
‘แต่ที่เห็น...’
‘ผมยืนยันได้ว่าไม่ได้สั่งวัสดุพวกนี้แน่ ๆ ไม่เชื่อดูเอกสารได้เลย ผมยินดีให้ตรวจสอบ’ ‘ถ้าอย่างนั้น จะขอเชิญคุณไปที่สถานีตำรวจดีกว่าครับ จะได้พูดคุยเรื่องเอกสารกัน”
ที่นั่น สินธพติดต่อให้คนที่บริษัทแฟ็กซ์ใบสั่งซื้อวัสดุมาทั้งหมด ความดึงเครียดเพิ่มขึ้นทุกขณะที่เห็นนายตำรวจจัดเรียงใส่แฟ้มเอกสาร
‘ไม่มีรายการไหนเลยที่เป็นวัสดุแบบที่เห็น’ สินธพบอก
‘แล้วมันถูกใช้ในงานไปได้ยังไงล่ะครับ เมื่อคุณเป็นคนอนุมัติ’
วิศวกรหนุ่มหน้าตึง ‘ผมก็ไม่รู้’
‘ว่ากันตามเอกสารก็ถูกต้องจริงอยู่ แต่เราก็เห็นอยู่ว่ามันไม่ใช่ ผมคงต้องขอคำอธิบายที่มากกว่านี้ ถ้ามันไม่กระจ่างคุณคงรู้นะครับว่าใครจะเดือดร้อน’
ชายหนุ่มนั่งเงียบ แน่ล่ะสิ เขานี่เองที่เซ็นตรวจรับงานในแต่ละช่วง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าวัสดุเกรดต่ำพวกนั้นมาจากไหน มันรอดหูรอดตาเขาไปได้ยังไง และที่สำคัญจากเรื่องไฟไหม้กลายเป็นเรื่องตึกถล่มไปได้ยังไง
‘ผมปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องวางเพลิงด้วย ผมทำงานถูกต้องทุกอย่าง ไปเช็คประวัติได้เลย’ สินธพพูดเสียงเข้ม ‘อีกประการหนึ่งคือ ถ้าคุณตำรวจสงสัยผมเรื่องนี้ควรสงสัยคนที่ขายวัสดุนี้ให้ด้วย เพราะมันคงไม่ใช่ผมฝ่ายเดียวหรอกที่จะสามารถทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ได้’
สารวัตรนิกรมองสินธพนิ่ง
‘ก็เพราะว่าคุณไม่คิดว่าจะมีใครจับได้ แต่ด้วยความบังเอิญที่มีการวางเพลิง เรื่องเลยแดง’
‘นี่คุณตำรวจ คุณกล่าวหาผมนะ!’ วิศวกรหนุ่มลุกพรวด แรงกดดันทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ‘อย่าคิดว่าเชิญผมมาแล้วจะถากถางยังไงก็ได้เพราะว่าที่นี่คืออาณาเขตของพวกคุณ ถ้ากล่าวหาลอย ๆ ไม่มีหลักฐานอย่าคิดว่าพลเมืองจะฟ้องกลับไม่ได้!!”
‘ใจเย็น ๆ ครับคุณสินธพ ผมไม่ได้จะถากถางคุณ มันเป็นสำนวนการสอบสวนเท่านั้น’ สารวัตรยิ้มใจเย็น ‘ผมต้องไปสอบสวนคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอยู่แล้ว แม้แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ตาม แน่นอนว่าถ้ามีหลักฐานผมจะบอกทันที เอาล่ะครับ ตอนนี้ผมคงต้องขอชื่อคนที่ร่วมงานกับคุณ’
สินธพหายใจถี่ อารมณ์เย็นเมื่อถูกเปลี่ยนหัวข้อ พลางคิดได้ว่าอีกฝ่ายคงทำไปเพื่อดูปฏิกิริยาตนเองเท่านั้น รู้สึกเสียหน้าแต่รักษาไม่ทันแล้ว เขาให้รายชื่อโฟร์แมน
จิตใจของสินธพกลับสู่ปัจจุบัน แต่ยังครุ่นคิดอย่างหนัก เอกสารทุกอย่างถูกต้อง แล้ววัสดุพวกนั้นมาจากไหน ใครทำ มีการสอดไส้แบบนี้ เขาจะต้องโดนเอาผิดเรื่องบกพร่องต่อหน้าที่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงแน่ ๆ ความตึงเครียดเข้าครอบคลุมเสมือนเงามืดที่กัดกินจิตใจ
ในที่สุดก็จนปัญญา วิศวกรหนุ่มหมุนกายเดินออกมา เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งตรงบริเวณที่จอดรถผู้ปกครอง ความคิดหยุดลงชั่วคราว
เป็นอีกวันที่สายไหมมาส่งโขง หญิงสาวมองซากอาคารด้วยอาการตกตะลึงไม่ต่างกับผู้ปกครองคนอื่น
“ไฟไหม้ครับ” โขงตอบก่อนคำถามจะมา
“ตายจริง มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า”
เด็กชายส่ายหน้า เล่าเพิ่มว่าเหตุเกิดวันอาทิตย์ ถึงแม้จะมาไม่กี่หนแต่พอได้ยินเรื่องก็อดใจหายไม่ได้
“เศร้าไปกันหมดเลย ผมไปก่อนนะครับแม่” โขงมือไหว้
“พรุ่งนี้ไปไหนกันดี”
“อืม...ยังนึกไม่ออก เดี๋ยวผมโทรบอก” เขาบอก สายไหมลูบศีรษะเด็กชาย พลางมองคนเป็นลูกเดินเข้าไปรวมกับกลุ่มเพื่อน แต่สำหรับเธอแล้ว ไม่ว่าอาคารจะสร้างหรือไฟไหม้ก็ไม่กระทบกระเทือนกับสิ่งที่มุ่งมาด หญิงสาวจุดยิ้ม เดินออกมา
“สวัสดีครับ คุณสายไหม”
ได้ยินแค่เสียงก็จำได้ จะหลบก็ไม่ทันแล้วเพราะคนเรียกยืนอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าว สายไหมเชิดหน้า แสดงอาการว่าไม่สบอารมณ์
“แหม ทำท่าไม่น่ารักเลย ยังติดหนี้กันอยู่แท้ ๆ”
เธอตาเขียว “ฉันว่าผู้ชายที่เอาแต่ทวงบุญคุณผู้หญิงน่ารังเกียจมากกว่า”
“เราคุยกันดี ๆ ไม่ได้เหรอ” สินธพเอียงคอ “ถึงเจ้าโขงจะเกลียดผม ไม่เห็นว่าคุณจะต้องเกลียดผมด้วยเลยนะ ผมซะอีกหลงช่วยคนของคู่แข่งไปไม่รู้ตัว”
สายไหมขมวดคิ้ว วันนี้เขาสวมเสื้อยืดกางเกงยีน หญิงสาวอดมองไม่ได้ ถึงจะไม่หล่อจัด แต่ดวงหน้ากับผิวพรรณสะอาดก็ดึงดูดสายตาได้
“คู่แข่ง...หมายถึงใคร นายเข้นะเหรอ คุณไม่ใช่คู่แข่งเขาหรอก” เธอเหยียดยิ้ม
“ที่แท้คุณก็กับมาเพื่อทวงคนรักเก่านั่นเอง”
สายไหมไม่ตอบ เดินหนี สินธพเดินตาม เพิ่มคำกระแทกน้ำหนักอีกนิด “ไม่คิดว่ามาช้าไปหน่อยเหรอ สิบกว่าปีเลยนะ”
ไม่ต้องถามต่อ เป็นอันว่าเขารู้จักเธอแน่แล้ว “ฉันมาก่อน”
“แต่คุณเป็นอดีต”
หญิงสาวจ้องเขม็ง “นี่มันเรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นที่ต้องสาธยายให้คนนอกอย่างคุณรับรู้หรือมาสั่งสอนหรอกนะ”
สินธพไหวไหล่ “ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งอะไร แค่สงสัยเท่านั้น เพราะดูว่าคุณจะเกือบช้านะ เพราะถ้าไม่มา คนสองคนคงลงเอยกันด้วยดี”
“ฉันมาแล้วเดือดร้อนใครไม่ทราบ ถ้าเขาจะเลิกกันก็ด้วยตัวเขาเอง ฉันไม่ได้ทำอะไร แต่มาหาลูกเฉย ๆ นะ”
สินธพมองเธอนิ่ง มีรอยยิ้มมุมปาก “คุณไม่ได้ทำ แต่แน่ใจเหรอ ว่าไม่ได้ยืมมือคนอื่นทำ” เขามองหน้าเธอ “ยิ่งคน ๆ นั้นเป็นลูกด้วย มันไม่น่ารักเท่าไหร่นะแบบนี้”
“อย่ามายุ่ง!”
หญิงสาวร้อนวูบวาบในอกเนื่องจากถูกอ่านความในใจถูกเผงทั้งที่เจอกันไม่กี่ครั้ง เธอสะบัดตัวก้าวยาว ๆ ไปที่ลานจอดรถ สกุณีเดินสวนมาพอดี สายไหมชะงัก คนอายุมากกว่าเหลือบมอง ครั้นแล้วก็หันกลับไปมองเขา ทำให้เธอใช้จังหวะนี้ปลีกตัวออกไปได้
“รู้จักด้วยเหรอ” สินธพขมวดคิ้ว “นั่นแม่เจ้าโขง เมียเก่านายเข้” สายตาที่มองค้นหา ชายหนุ่มโคลงศีรษะ
“เคยเจอกันโดยบังเอิญ รถเขาเสีย ผมเรียกช่างให้แค่นั้น” คำที่บอกบวกกริยาแสดงอาการไม่ยีหระ แต่สกุณีเห็นในดวงตาลูกชายว่ามีแต่ภาพผู้หญิงเปรี้ยวคนนั้น
“ตำรวจว่ายังไงบ้าง”
“ก็ถามเรื่อง...”
เสียงโทรศัพท์มือถือของสินธพดังขัดจังหวะ หมายเลขไม่คุ้นตา แต่เขาเลือกรับสายแทนตอบคำถาม ครั้นแล้วท่าทางก็กระตือรือร้นขึ้นทันใด “ได้ครับ เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้เลย”
ชายหนุ่มหันกลับมามองผู้เป็นแม่ “ผมมีธุระด่วน ต้องรีบไป เอาไว้คุยกันวันหลังนะครับ”
พูดแล้วก็ผละออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นจังหวะที่สามารถหนีการสืบสวนเรื่องสายไหมได้ด้วย
แทนที่ประวีณจะโล่งใจเมื่อเมื่อเห็นเอกสารใบสั่งซื้อของสินธพ กับเอกสารทางเขาที่เป็นฝ่ายขาย การเบิกจ่าย รวมไปถึงเอกสารการรับเงิน ซึ่งพอมาเทียบกันแล้วถูกต้อง แต่กลายเป็นว่ายิ่งหัวเสีย เพราะการที่รายละเอียดของวัสดุทุกอย่างตรงกัน ทำให้ไม่เจอข้อบ่งชี้ว่าทำไมถึงได้มีเหล็กขนาดไม่ตรงกันไปอยู่ในตึกได้ ประกอบกับหัวหน้าฝ่ายขายซึ่งเป็นคนที่เคยดูแลการขายล็อตนี้ก็ลาออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว จะเรียกมาสอบถามให้หายข้องใจเลยก็ไม่ได้ ทำให้นักธุรกิจหนุ่มออกอาการเหวี่ยง
“แล้วคุณไม่ได้ตรวจรับของหรือไง ถึงไม่รู้ว่ามันไม่ตรงรายการ”
วิศวกรหนุ่มฉุนกึก หากแต่ระงับอารมณ์ไว้ ณ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาการค้นหาความจริง เอาความไม่พอใจส่วนตัวเก็บไว้ก่อน เสร็จเรื่องเมื่อไหร่ค่อยสะสางก็ไม่สาย
“รู้ได้ยังไงว่าผมไม่ตรวจ ผมก็เช็คดูทุกครั้งนั่นแหล่ะ ถ้าผมไม่กลัวว่าจะติดร่างแหไปด้วยผมจะมาให้คุณแดกดันแบบนี้ไหมครับ” ถึงอย่างไรก็ยังตอกกลับไปนิ่ม ๆ ประวีณคงรู้สึกตัวจึงเงียบไปครู่หนึ่ง
“เมื่อเอกสารมันถูกต้อง แล้วมันมีเหล็กขนาดนั้นได้ยังไง แล้วจะเรื่องไฟไหม้อีก” นักธุรกิจหนุ่มรำพึง เคาะนิ้วกับโต๊ะขณะใช้ความคิด
“เดี๋ยวนะ” สินธพพูดขึ้น “ตอนแรกเลยมีไฟไหม้ ตำรวจสรุปว่าวางเพลิงเพราะมีหลักฐานเรื่องน้ำมัน ธรรมดามันน่าจะจบแค่นี้ไม่ใช่เหรอครับ”
ประวีณสบตาคู่สนทนา “ก็เพราะตัวอาคารมันถล่มลงมาด้วยไง สารวัตรนิกรที่ดูแลคดีนี้เขาอยู่ในเหตุการณ์พอดี พอเขาส่งคนไปตรวจสอบเรื่องวางเพลิง ก็เจอเรื่องวัสดุด้วย มันก็เลยกลายเป็นประเด็นใหม่”
สินธพคิดตาม ความจริงเขาควรจะได้รับหน้าที่ไปตรวจสภาพอาคารด้วยซ้ำ ว่าความเสียหายอยู่ในระดับใด โครงสร้างอาคารยังสามารถใช้งานเพื่อซ่อมแซมได้หรือไม่ แต่อาคารถล่มลงมาอย่างรวดเร็วแบบนี้ เป็นที่แน่นอนว่าตำรวจต้องสงสัย และไม่ถึงขนาดต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญก็รู้ว่ามีความผิดปกติ
“แปลว่า ถ้าอาคารไม่ถล่ม หรือไฟไหม้จนมอดหมดก็อาจจะไม่พบเรื่องวัสดุผิดสเปคนี่ใช่ไหมครับ”
“คุณจะพูดอะไร”
ผู้มาเยือนลูบคาง “บางที เรื่องไฟไหม้กับเรื่องวัสดุอาจจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่มันบังเอิญ เหมือนน้ำลดตอผุด”
คนฟังเค่นยิ้ม “ไม่ว่าจะเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่อง แต่มันเกี่ยวกับผมแน่ ๆ วางเพลิงแปลได้ว่าต้องการทำลายผอ.โรงเรียน ก็ต้องเป็นคนที่มีเรื่องบาดหมางกัน ซึ่งคนทั่วไปมองว่าเป็นผม ส่วนเรื่องวัสดุผิดสเปค แน่นอนว่าเกี่ยวกับผมโดยตรง อ้อ คุณด้วย มีใครสักคนที่พยายามใส่ร้ายผม เพราะผมเคยมีปากเสียงกับผอ.คเชนทร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันจะกลายเป็นว่าผมวางเพลิงเพื่อปกปิดเรื่องวัสดุผิดสเปค ผมต้องรู้ให้ได้!”
ประวีณกำมือกระแทกลงไปบนโต๊ะทำงาน คำนี้พูดกระแทกใจสินธพ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังพัวพันเรื่องจัดหาวัสดุผิดสเปค หลักฐานทางเอกสารที่มีไม่เพียงพอ อาจจะทำให้โดนเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพก็ได้
เขาก็อยากรู้เช่น ใครทำ และเพื่ออะไร
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
26 เม.ย. 55 14:36:25
|
|
|
|