ความคิดเห็นที่ 1 มีวิทยากรระดับซูเปอร์หลายท่าน  หัวขบวนหลักคือ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ท่านเวียนขึ้นรถทุกคัน บรรยายภาพรวม เรื่องย่อย เกร็ดความรู้ต่างๆ เร้าความสนใจพวกเราได้มากมาย ทั้งจากพงศาวดารหลัก พงศาวดารกระซิบ เรื่องซุบซิบในราชสำนัก และ...เรื่องที่ทางราชการบอกว่า "ลับ" กับภาพนี้ วาทะเด็ดของท่านพร้อมประจักษ์พยานคือ  "เรื่องของประวัติศาตร์ อย่างน้อยที่สุดต้องมองสองด้าน... ดูอย่างรูปสลักนี้ หากดูจากด้านหน้า จะเห็นว่าเป็นพุทธรูป แต่...หากดูจากด้านหลัง จะยังเป็น เทวรูปสี่กร..." การผ่านเปลี่ยนของยุคสมัย... ก็เป็นดั่งนี้ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 15:50:37

ความคิดเห็นที่ 2 จากด้านหลังคคห.ที่ ๑  กะ รูปสลักเดียวกันในคคห.นี้ โปรดสังเกต รอยสลักเครื่องนุ่งห่ม สบงหรือผ้านุ่มด้านหน้ากับด้านหลัง ที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน... เห็นรูปสลักนี้แล้วก็รู้สึกสะท้อนใจดีเหมือนกัน... จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 15:54:23

ความคิดเห็นที่ 3 เลยไม่รู้ว่า องค์กลาง พระพุทธรูปนาคปรก ก่อนจะเป็นรูปนี้ มีเป็นรูปอื่นก่อนหรือเปล่า อย่างที่เขาว่า ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ คงไม่พอ... น่าจะต้องบอกว่า ประวัติศาสตร์สร้างโดยน้ำมือของผู้ชนะ  555 T_T จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 15:57:41

ความคิดเห็นที่ 4 ตามชื่อกิจกรรม "ศรีเทพ ละโว้ อโยธยา" จึงขอพามาที่ นครศรีเทพ กันก่อน เดิมเมื่อครั้งกรมพระยาฯดำรงฯ เดินทางมาถึงที่นี้ ชาวบ้านเล่าว่าชื่อเมืองอภัยสาลี แต่ตามหลักฐานใบบอก เคยปรากฏชื่อเมืองโบราณศรีเทพ ท่านจึงสันนิฐานและเรียกเมืองโบราณ ณ รอยต่อของที่ราบลุ่มภาคกลางกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี้ว่า "เมืองศรีเทพ" จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:06:31

ความคิดเห็นที่ 5 วิทยากรท่านว่า ชื่อ "อภัยสาลี" น่าจะมาจากพวกลาวที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานสมัยหลัง นิยมสร้างตำนานทางพุทธศาสตร์ให้แก่แหล่งที่อยู่ของตน ดังเช่นการสร้างตำนานเมืองศรีมโหสถ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:09:59

ความคิดเห็นที่ 6 ปรางค์ศรีเทพ ปรางค์องค์ใหญ่สุดในเขต "เมืองใน" ที่มีผังเมืองเดิมเป็นเกือบกลม มีปรางค์องค์นี้อยู่กลางเมือง หันหน้าทิศตะวันตก ทิศที่ตั้งของเขาถมอรัตน์ ภูเขารูปพีระมิดกลางที่ราบเพชรบูรณ์ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:16:08

ความคิดเห็นที่ 7 แม้ปัจจุบันจะเหลือแต่ฐานแลงกับปรางค์อีกครึ่งองค์ แต่ยิ่งเข้าใกล้จะยิ่งเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของภูมิปัญญาที่สามารถสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ถึงเช่นนี้ได้ในยุคพันกว่าปีที่แล้ว จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:21:52

ความคิดเห็นที่ 8 วิทยากรประจำ "อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ" บอกว่า หากปรางค์ศรีเทพเสร็จสมบูรณ์ หน้าตาน่าจะเป็นแบบนี้ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:24:52

ความคิดเห็นที่ 9 ที่จริงเคยมาศรีเทพครั้งหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้ว  เข้าใจว่า "บัวยอด" ชิ้นนี้ เป็นชิ้นส่วนที่ถล่มลงมาจากยอดปรางค์ตามอายุความเก่าแก่ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:27:36

ความคิดเห็นที่ 10 มาคราวนี้ได้ความรู้เพิ่มว่า "บัวยอด" ทั้งสองชั้น ที่วางอยู่เคียงกันทางทิศใต้ขององค์ปรางค์นั้น ที่จริง... ยังไม่เคยได้ขึ้นไปประดับอยู่บนยอดปรางค์ เพราะ... จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:29:47

ความคิดเห็นที่ 11 อ.ภูธร ภูมะธน เล่าว่า ตามหลักฐานทางกัมพูชา ซึ่งเพิ่งค้นพบจารึกหลักหนึ่งที่ระบุชัดเจนว่า สุริยวรรมันที่ ๑ กรีฑาทัพมาทำลายทวารวดีจนราบคาบย่อยยับ ถือเป็นหลักฐานลายลักษณ์ครั้งแรกที่ระบุเหตุการณ์นี้ จากแต่เดิมเป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่า ที่ยุคทวารวดีล่มสลาย เพราะ "ขอม" ขึ้นมาเรืองอำนาจ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:36:49

ความคิดเห็นที่ 12 เขาคลังใน ตั้งชื่อตามชาวบ้านเรียกขานและตามที่เชื่อกันว่า ภายในเป็นคลังมหาสมบัติหรือศัตราวุธ ความจริงตามที่ผู้เล่าเล่าให้ฟัง คือเป็นการก่อสร้างแบบทึบตัน มีทางขึ้นทางเดียว มีฐานเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนเป็นระนาบ มีร่องรอยของแท่นบูชา จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:44:23

ความคิดเห็นที่ 13 ด้านทิศใต้และทิศตะวันตกของเขาคลังใน ต้องสร้างหลังคาคลุมหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญที่ช่วยชี้ชัดว่าสถานที่นี้เป็นหนึ่งในความยิ่งใหญ่ของสมัยทวารวดี จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:46:43

ความคิดเห็นที่ 14 หลักฐานสำคัญใต้ร่มสังกะสี ร่วมสมัยกับประติมากรรมที่เมืองคูบัว จ.ราชบุรี คือแถวคนแคระ(แบก) ซึ่งนอกจากรูปคนแคระแล้ว ยังมีสิงสาราสัตว์อื่นๆ อีกหลายชนิด จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:49:15

ความคิดเห็นที่ 15 เจ้าหน้าที่อุทยาน เล่าว่า แต่ละหน้าของแต่ละตัว(ตน)ไม่เหมือนกัน เพราะช่างปั้นแบบตามใจฉัน(ตามอารมณ์ตู) จึงมีทั้งยิ้มแย้ม บึ้งตึง เหนื่อยหน่าย... จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:51:34

ความคิดเห็นที่ 16 อันนี้ ช้างแบก ออกแนวช้างเผือก เพราะเป็นปูนขาว ที่จริงทั้งแถวชาวแบกนี้ ดูสภาพสมบูรณ์มาก จน... ยากจะเชื่อว่าอยู่ยั้งยืนยงมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕ โน้นนนน.... แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 16:54:10 จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:53:54

ความคิดเห็นที่ 17 สระศิลา ก่อแบบหลั่นพีระมิด เจ้าหน้าที่บอกว่าจากปากถึงก้นบ่อลึก ๖ เมตร จุดลึกสุดเป็นหินก้อนเดียว หน้าตาจึงเสมือนหลุมพีระมิดเช่นนี้ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 16:56:50

ความคิดเห็นที่ 18 อีกชิ้นที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเมืองศรีเทพอยู่ในยุคอิทธิพลศิลปะทวารวดี ก็คือธรรมจักรศิลา ซึ่ง... ที่จริงไม่เต็มกงอย่างที่เห็น โปรดสังเกตส่วนที่เป็นสีน้ำตาลๆ เหลืองๆ นั่นละส่วนที่เหลือจริงๆ ส่วนอื่นแม้จะดูเก่า ก็เป็นเพราะความสามารถของช่างสมัยเรานี้เอง จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:04:05

ความคิดเห็นที่ 19 ห้องจัดแสดงศิลปวัตถุกำลังปรับปรุง ชิ้นส่วนโบราณวัตถุจึงต้องถูกนำมาพักรอเข้าจัดแสดง... จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:07:25

ความคิดเห็นที่ 20 อาจถือได้ว่าเป็นการจัดแสดงกลางแจ้งอีกรูปแบบหนึ่ง... ถ้าใครเคยไปดูพิพิธภัณฑ์ที่เวียงจันทน์ อาจรู้สึกตำหนิการจัดแสดงกลางแจ้งเช่นนี้น้อยลง จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:09:40

ความคิดเห็นที่ 21 เขาคลังนอก เดิมชาวบ้านคิดว่าเป็นแค่ภูเขาศิลา เป็นพะเนินกองของหินแลงที่เอาไว้ใช้สร้างโบราณสถานอื่นๆ ก่อนปี ๔๙ ดูคล้ายภูเขาขนาดย่อม จนนักขุดท่านหนึ่งตกลงจากบนยอดเขา จึงเริ่มมีการขุดสำรวจ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:12:38

ความคิดเห็นที่ 22 เขาคลังนอกตั้งอยู่นอกเขตเมืองทางทิศเหนือ ขนาดใหญ่กว่าเขาคลังในสองเท่า อ.ชาญวิทย์ เล่าว่าเห็นรูปแบบศิลปกรรมแล้วคลับคล้ายกับบุโรพุทโธในอินโดฯ อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่โตใกล้เคียงกัน และเช่นกันกับเขาคลังใน ด้านบนเป็นระนาบ มีร่องรอยของแทนบูชา และฐานเทวรูป จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:15:42

ความคิดเห็นที่ 23 เกือบลืม ปรางค์สองพี่น้อง ตั้งอยู่ด้านหน้าปรางค์ศรีเทพ เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นจุดสะดือเมือง ใครอธิษฐานขออะไรก็ได้ดั่งใจทั้งนั้น... ณ จุดนี้ จากบรรยายแนวประวัติศาสตร์แล้วท่านซูเปอร์กูรูช่วยเพิ่มเติมเนื้อหา เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานก็เริ่มเปลี่ยนเป็นบรรยายแนวปาฏิหาริย์เร้นลับแทน... อะเหอๆ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:18:57

ความคิดเห็นที่ 24 เดินทางสู่ ละโว้ (วิทยากรท่านหนึ่งออกเสียงให้ฟังว่า  ละโว้ว ตามสำเนียงขอม) ณ ที่นี้เราไม่เน้น ปรางสามยอด ศาลพระกาฬ (ที่เป็นศาลเจ้าเมืองเดิม มิใช่ แนว อินทร์ พรหม ยม กาฬ : เล่าว่าพระกาฬเจ้าเมืองละโว้คือบิดาของพระนางจามเทวี) อาคารสีเขียวหลังนี้ เป็นที่ทำการสำนักศิลปากรลพบุรี จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:24:24

ความคิดเห็นที่ 25 ทัพละโว้ ในรูปสลักที่นครวัด เป็นกองทัพที่ใหญ่มากพอๆ กับทัพของสุริยวรมั้นที่ ๒ และชื่อเมืองละโว้ยังปรากฏในจารึกของขอมมาแต่ดั้งเดิม ปัจจุบันยังมีซากศิลปของให้เห็นอยู่ทั่วไป ที่สำคัญคือวัดมหาธาตุ พระปรางค์สามยอด ส่วนที่เราเน้น เน้นที่พระราชวังนารายณ์ ซึ่งมีเรื่องราวเล่าขานสนุกสนานและน่าสนใจมากกกกกกกกก ที่เห็นคือแนวตึกสิบสองท้องพระคลัง ตั้งขนาบถนนอิฐ ระหว่างกำแพงวังชั้นนอกกับกำแพงวังชั้นใน ถนนนี้ตัดตรงสู่พระที่นั่งรับราชทูต จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:29:33

ความคิดเห็นที่ 26 ตึกรับรองคณะทูตฯ มีสระน้ำโดยรอบ และมีน้ำพุประดับหลายสิบจุด ด้วยเทคโนโลยีแบบเปอร์เซียร์ บีบขนาดท่อให้เล็กลงจนเกิดแรงดันน้ำ เล่าว่ามีการประดับตกแต่งแบบเปอร์เซียร์ ปูด้วยพรมเปอร์เซียร์ เสิร์ฟอาหารด้วยชุดเครื่องทอง สร้างความตื่นตาตื่นใจกับคณะราชทูตประเทศต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:38:08

ความคิดเห็นที่ 27 เคยกล่าวกันว่า ซุ้มประตู-หน้าต่างในพระราชวังฯ เป็นแบบกอธิก แต่ท่านแย้งว่า เป็นศิลปะแบบเปอร์เซีย เพราะสมัยนั้นกอธิกยังไม่เกิด... จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:40:39

ความคิดเห็นที่ 28 ตึกพระเจ้าเหา สถานที่ที่พระเพทราชา รับราชโองการให้ว่าราชการแทนพระองค์ในสมัยปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:49:30

ความคิดเห็นที่ 29 และตึกพระเจ้าเหานี้เองที่หลวงสรศักดิ์ นำกำลังเข้าล้อมที่ประชุมเสนาบดีถามให้รับพระเพทราชาขึ้นเป็นกษัตริย์ เป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ปราสาททอง และเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์บ้านพลูหลวง จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 17:52:17

ความคิดเห็นที่ 30 กำลังเดินเข้าเขตพระราชฐานชั้นใน ซ้ายมือคือแนวตึกสิบสองท้องพระคลัง เชื่อมต่อกับกำแพงชั้นใน สีขาวใหม่ของแนวกำแพงและซุ้มประตู เคยมีกรณีคัดค้านเรื่องการซ่อมแซม ถึงขนาดเกิดวลีที่ว่า "เป็นความ อัปยศใหม่ ไม่ใช่การ บูรณใหม่" จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:06:07

ความคิดเห็นที่ 31 เขตพระราชฐานชั้นใน (ฝ่ายใน) ปัจจุบันเหลือเพียงฐานพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นพระที่นั่งที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2231 เล่าว่าในอาณาบริเวณนี้ พระองค์ทรงใช้เป็นที่ปลูกต้นไม้ที่ทรงโปรด จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:09:24

ความคิดเห็นที่ 32 ซุ้มประตูข้างพระราชฐานฝ่ายในออกสู่หมู่พระที่นั่งอื่นๆ ถนนอิฐ วางอิฐแบบตั้งสันเรียงเป็นก้างปลา เพื่อกันลื่น ถนนส่วนนี้เป็นของดั้งเดิมตั้งแต่แรกสร้าง แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 18:12:35 จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:11:47

ความคิดเห็นที่ 33 พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ในเขตพระราชฐานชั้นกลาง เป็นพระที่นั่งท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกรับคณะราชทูต หลายท่านเข้าใจว่า สมเด็จพระนารายณ์ทรงรับราชทูตฝรั่งเศส ณ พระที่นั่งนี้ด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด การรับราชทูตฝรั่งเศส ที่ปรากฏเป็นภาพเขียนมากมายนั้น เกิดขึ้นที่พระที่นั่งสรรเพชปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ณ กรุงศรีอยุธยา จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:18:11

ความคิดเห็นที่ 34 ภายในพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท ที่เสด็จออกเป็นชั้น ๒ เพื่อใช้ธรรมเนียมเป็นธรรม ให้ชาวตะวันตกยืนเข้าเฝ้าได้ ขณะที่พระมหากษัตริย์ก็ไม่เสื่อมพระเกียรติยศ เพราะประทับอยู่ในที่อันสมควร เล่าว่าตั้งแต่ครั้งก้ารรับราชสาสน์จากราชทูตฝรั่งเศสด้วยพระหัตถ์แล้ว สมเด็จพระนารายณ์ไม่เคยรับพระราชสาสน์จากราชทูตอื่นอีก เพราะครั้งที่รับด้วยพระองค์เอง ราชทูตไม่ได้ทูนพระราชสาสน์ขึ้นจนพอเหมาะ ทำให้พระองค์ต้องก้ม ยื่นพระหัตถ์เพื่อรับราชสาสน์ เพราะราชทูตท่านนั้นอยากเห็นพระพักตร์ของพระองค์ถนัดๆ แต่นั้นมาจึงโปรดฯให้มหาเสนาบดีเป็นผู้รับพระราชสาสน์มาทูลเกล้าถวายอีกทอดหนึ่ง จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:25:03

ความคิดเห็นที่ 35 เล่ากันว่าคราวที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้อิสรภาพรวมสยามเป็นปึกแผ่นได้อีกครั้งหนึ่งนั้น หลังจากทรงมีพระราชดำริตั้งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเป็นราชธานีแล้ว โหรหลวงทำนายว่าไม่เหมาะ ควรยกพระราชวัง ณ ลพบุรีนี้เป็นพระบรมมหาราชวัง และเป็นศูย์กลางราชธานี พระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ทรงเห็นด้วย เพราะได้ออกวาจาไปแล้ว กระนั้นเพื่อเป็นการแก้เคล็ด จึงเสด็จมาประทับแรม ค้างที่พระราชวังนารายณ์นี้ ๑๐ คืน มุมมองจากพระราชฐานชั้นกลางสู่เขตพระราชฐานชั้นใน จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:32:24

ความคิดเห็นที่ 36 องค์ใกล้คือพระที่นั่งพิมานมงกุฏหมู่ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงมีพระราชดำริจะมาประทับที่นี้เช่นกัน แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศ จึงโปรดฯให้สร้างพระราชวัง ณ สถานที่อื่นๆ เพิ่มเติมเช่น พระนครคีรี จ. เพชรบุรี เป็นต้น ปัจจุบันพระที่นั่งหมู่องค์นี้ เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ องค์ไกลคือพระที่นั่งจันทรพิศาล ตามบันทึกว่าสมเด็จพระนารายณ์ใช้เป็นหอประชุมขุนนางสำคัญ ถูกทิ้งร้างและกลายเป็นซากปรักหักพัง จนสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมจนสมบูรณ์ดังเดิม จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:43:38

ความคิดเห็นที่ 37 ภายในพระที่นั่งจันทรพิศาล ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระนารายณ์เป็นองค์ประธาน จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:45:14

ความคิดเห็นที่ 38 ปัจจุบัน ภายในพระที่นั่งจันทรพิศาลจัดแสดงโบราณวัตถุด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อ.ภูธร นำบรรยาย จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 18:51:22

ความคิดเห็นที่ 39 ออกจากพระราชวังนารายณ์จากประตูด้านทิศเหนือไปตามถนนฝรั่งเศส ถึงบ้านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และบ้านราชทูต ดูใหญ่โตกว้างขวางสมเป็นข้าหลวงคนสนิทในสมัยปลายรัชกาล บริเวณนี้แบ่งเป็นสามส่วน มองจากด้านหน้า ซ้ายมือเป็นบ้านเจ้าพระยา กลางเป็นเขตโบสถ์ฯ ขวาเป็นเขตบ้านพักรับรอง ปัจจุบันพื้นที่ ๑ ใน ๓ ได้รับอนุญาต(เมื่อนานมาแล้ว) ให้ใช้เป็นพื้นที่เชิงพาณิช ทำให้ด้านหนึ่งมีอาคารพาณิชค้าสิ่งก่อสร้างสร้างทับเขตโบราณสถานซะงั้น จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 19:00:04

ความคิดเห็นที่ 40 (ไม่เคยโพสต์เยอะขนาดนี้มาก่อน ขอเป็นคคห.สุดท้ายนะขะรับ) ณ อยุธยา เน้นสองหมู่บ้านสำคัญคือ หมู่บ้านญี่ปุ่นกับหมู่บ้านโปรตุเกส ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกัน ระหว่างสองฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนใต้ของเกาะเมืองอยุธยา หมู่บ้านญี่ปุ่นเป็นที่อยู่ของเหล่ากองอาสาญี่ปุ่น ทหารคนสำคัญสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมคือ ท่านยามาดะ หรือออกญาเสนาภิมุข ซึ่งชีวิตตอนปลายได้รับโปรดเกล้าฯให้ไปครองเมืองนครศรีธรรมราช จนได้รับพระราชทานน้ำจันทร์ ให้ปลิดชีพตนเองในเวลาต่อมา หมู่บ้านญี่ปุ่นแห่งนี้เป็นบ้านเกิดของ ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับขนมไทยประเภทฝองทองทองหยิบทองหยอด(ขนมลูกครึ่งญี่ปุ่น+โปรตุเกส) เพราะท้าวทองกีบม้าเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นกับโปรตุเกสนั่นเอง (บิดาท้าวทองกีบม้าเป็นบาทหลวงชาวโปรตุเกส มีนิวาสสถานอยู่ตรงข้ามฝั่งเจ้าพระยากับหมุ่บ้านญี่ปุ่น) หมู่บ้านโปรตุเกส ปัจจุบันเหลือหลักฐานเป็นซากโบสถ์เก่า กับสุสานโบราณ แบ่งเป็นสุสานของสามัญชนกับสุสานของนักบวช โครงกระดูกปัจจุบันเป็นของจำลองหล่อจากพลาสติก เพราะของเดิมไปกับเหตุน้ำท่วมหลายครั้งหลายคราว ทั้งญี่ปุ่นและโปรตุเกสมีบทบาทสำคัญต่อราชสำนักอยุธยาตอนปลายเป็นอย่างยิ่ง หากมีโอกาส จะนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังนะขะรับ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 19:13:40

ความคิดเห็นที่ 41 เป็นสองวันหนึ่งคืนที่หัวบวมสุดๆ ที่เล่ามาทั้งหมดล้วนจากความทรงจำ เพราะจดไม่ทัน กลัวมัวแต่จดจนพลาดข้อมูลสำคัญ ผิดพลาดประการใดเชิญช่วยปรุง และความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกระทู้นี้ ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ อนึ่ง คนเล่าไม่ได้เล่าในฐานะนักประวัติศาสตร์ แค่เล่าสู่กันฟังตามประสาคนชอบเล่าเท่านั้นเอง ด้วยจิตคารวะ ขอขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านที่กรุณาให้ความรู้สารพัดประโยชน์ในกิจกรรมครั้งนี้ จากคุณ : SONG982 เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 19:16:18

ความคิดเห็นที่ 42 ตาบวมด้วยคน...เพิ่งเห็นยาวได้ขนาดนี้นะท่านขอคาราวะอ่ะ จากคุณ : เปียร์รุส เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 19:46:55

ความคิดเห็นที่ 43 ชอบมากครับ จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 20:49:17

ความคิดเห็นที่ 44 ขออนุญาตแจมนะคะ ชอบมากสามเมืองนี้ เคยมีอ้างอิงนิดหน่อยในนิยายที่เขียนอิๆ อยากหัวบวมมั่งค่ะ แต่ทั้งสามที่ก็เคยไปมานานมากแล้ว แต่ก็ยังชอบอยู่ ปล. ขอบคุณมากนะคะ จากคุณ : Setakan เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 55 16:48:46

ความคิดเห็นที่ 45 มาจองที่ค่ะ จากคุณ : รวยระรินกลิ่นชา เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 55 01:57:52