บทที่ 8 อบอุ่น
ฉันตะลีตะลานลุกขึ้นและถอยไปข้างๆ ตงเหลียน เพิ่งเห็นว่ามือขององค์ชายแปดยังคงยื่นค้างอยู่อย่างนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหักหน้าองค์ชายแปดนะ เขาค่อยๆ หดมือกลับด้วยท่าทางนิ่งๆ คงรู้ตัวว่าทำให้ฉันตกใจ เลยส่งยิ้มบางๆ มาให้เป็นการปลอบ ฉันปรับสีหน้าให้เป็นปกติและค้อมหัวเป็นเชิงรับไมตรีอย่างนุ่มนวล แต่ในใจนึกผวา องค์ชายแปดคนนี้ฉันรับมือไม่ได้จริงๆ และฉันก็ได้เลือกอยู่ข้างองค์ชายสิบสามซึ่งก็คือข้างเดียวกับองค์ชายสี่ไปแล้วด้วย
ฮึ! เสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
ฉันเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายแปด เขารูปร่างสูงโปร่ง ผิวคล้ำดำแดง จมูกเรียวแหลม ดวงตาชี้แหลมเหมือนอินทรี ริมฝีปากบางเม้มสนิท แววตาบึ้งตึงของเขามองมาทางฉันพอดี ฉันอดเสียวสันหลังไม่ได้ นึกออกแล้วว่าเขาเป็นใคร
หม่อมฉันถวายบังคมองค์ชายเก้า ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ ตงเหลียนขยับไปถวายความเคารพด้านหน้า ฉันจึงรีบย่อกายคารวะตามพิธี แต่ผลไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด องค์ชายเก้าอิ้นถังเป็นคนใจดำอำมหิต เขามองฉันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เฮ้อ...ฉันหลุบตาลงซ่อนรอยยิ้มเฝื่อน นี่ฉันไปล่วงเกินอะไรเขาหรือไง ไม่เข้าใจจริงๆ แต่ก็ทำได้แค่คิดเดาเหตุผลในการมาของพวกเขา
แม่นางหมิงเวย องค์ชายแปดทักขึ้นฉันจึงต้องรีบค้อมกายตอบ
องค์ชายแปดทรงเรียกชื่อหม่อมฉันเฉยๆ เถิดเพคะ เรียกแม่นาง หม่อมฉันไม่อาจรับไหวเพคะ
หึๆ เจ้าเป็นคนสนิทของพระราชชายาจึงควรเรียกให้ต่างถึงจะเหมาะ
องค์ชายแปดตรัสเล่นแล้ว หม่อมฉันเป็นบ่าวรับใช้ที่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ไม่มีอะไรแตกต่างหรอกเพคะ
องค์ชายแปดอึ้งไป เขาเพ่งมองฉันอย่างละเอียด ฉันยืนเฉยปล่อยให้เขามองไป ส่วนตงเหลียนดูจะงงนิดหน่อย คงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น องค์ชายแปดองค์ชายเก้าเอาแต่เพ่งมองฉัน สายตามีทั้งเปิดเผยและแอบแฝง ทำฉันอึดอัดน่าดู หางตาเหลือบเห็นองค์ชายเก้าขยับเข้าไปกระซิบกระซาบข้างหูองค์ชายแปด ทีแรกองค์ชายแปดส่ายหน้า แต่แล้วก็พยักหน้า จากนั้นก็หันมามองฉันอีก
พระนางเหลียงเฟยกับพระนางเซวียนเฟยประทับที่นี่หรือไม่
พระนางเหลียงและพระนางเซวียนเป็นพระมารดาของทั้งสอง แล้วจะมาหาพวกเธอแถวนี้ทำไมกัน อ้อ เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อกี้มีสตรีกลุ่มใหญ่เข้ามา แต่ฉันไม่รู้จักเลยสักคน จะว่าไปบรรดาสนมชายาเหล่านี้ก็มีการแก่งแย่งชิงดีไม่แพ้พวกองค์ชาย ตอนนี้ฝ่าบาทยังทรงเรืองอำนาจ ตำแหน่งรัชทายาทยังไม่มั่นคง แต่ละคนจึงยังไม่ได้ผูกสัมพันธ์แน่นแฟ้นอย่างจริงจัง มารยาทที่พึงมีให้กันจึงต้องรักษาไว้
ฉันไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร พอดีตงเหลียนออกหน้าให้
ทูลองค์ชายแปด เหล่าพระนางประทับสำราญพระอิริยาบถที่โถงกลางเพคะ หากที่นั้นไม่พบคงจะเสด็จยังสวนพฤกษาแล้วเพคะ
องค์ชายแปดหันไปยิ้มให้อิ้นถัง
มิน่าเล่า เมื่อครู่จึงไม่เห็นใครที่โถงกลาง
เจ้าไปดูที่สวนซิ หากพวกพระนางจวนเสด็จกลับแล้วให้รายงานว่าพวกเรารอถวายบังคมอยู่ ประเดี๋ยวองค์ชายสิบก็จะมาด้วย แต่หากพวกพระนางกำลังทรงเกษมสำราญก็ไม่ต้อง พวกเราจะมาใหม่ทีหลัง
น้ำเสียงขององค์ชายเก้าห้าวห้วนมีลักษณะเฉพาะตัวซึ่งก็เข้ากับลักษณะของเขาดี ถ้าหากเสียงเขานุ่มทุ้มคงจะน่าตลกพิลึก หึๆๆ
เพคะ ตงเหลียนรับคำก่อนจะหันมามองฉันแวบหนึ่ง ฉันเข้าใจทันทีจึงย่อกายทำความเคารพเตรียมถอยออกไป ฉันยอมวิ่งไกลๆ ไปหาพวกพระนางดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับจอมวายร้ายสองคนนี้
เจ้ายังไม่รีบไปอีก ยืนทื่ออยู่ทำไมเล่า
ฉันตะลึง ก็ฉันกำลังจะไปอยู่นี่ไง
เพคะ หม่อมฉันไปเดี๋ยวนี้แล้ว ตงเหลียนลนลาน
โธ่เอ๊ย กะจะไม่ให้ฉันไปหรอกเหรอ อยากจะหลบแต่มันไม่ง่ายเลย ฉันมองไปที่ประตูเห็นตงเหลียนชำเลืองมาด้วยท่าทางเป็นห่วงแล้วขยิบตาให้ฉันก่อนจะรีบออกไปตามคำสั่ง ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อยเพราะเธอคงหาทางช่วยฉันได้แน่ อาจจะไปตามพระราชชายากลับมา คนที่นี่ฉลาดดีเหมือนกันแฮะ ถึงตงเหลียนจะเป็นคนเถรตรง แต่ก็จับสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อะแฮ่ม! องค์ชายแปดส่งเสียงขึ้นก่อน
ฉันรีบรวบรวมสติกลับมาโดยเร็ว
หม่อมฉันจะไปรินชามาถวาย องค์ชายทรงดื่มอะไรเพคะ
มีชาปี้หลัวชุน*ใหม่ๆ ไหม
ทูลองค์ชาย ชาปี้หลัวชุนเหลือแต่ของก่อนช่วงฝนเพคะ หลายวันก่อนท่านผู้ว่าการมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียงได้ส่งชาเหล่าจวิน**มาถวาย ยังใหม่อยู่เพคะ
เช่นนั้นก็เอามา
อ้า ใช่
จู่ๆ องค์ชายเก้าก็พูดขึ้นพาฉันสะดุ้งตกใจรีบก้มหน้าก้มตาไปหยิบกล่องใบชาจากด้านหนึ่งก่อนจะย่อกายเคารพขอตัวออกมา พอเดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่ฉันไม่นึกอยากฟัง คิดแต่จะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด อึดอัดจะตายอยู่แล้ว พอคิดว่าน่าจะถึงระยะที่พวกเขาไม่ได้ยินฉันแล้วก็รีบจ้ำเลยทันที เมื่อถึงห้องชาฉันก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ชงให้ ส่วนตัวเองมานั่งรออยู่ตรงบันไดหินด้านนอก
เฮ้อ... ในหัวยุ่งเหยิง ต้องสงบสติอารมณ์ลงหน่อย ฉันมองไปรอบตัว เพิ่งเห็นว่าแถวนี้มีดอกเบญจมาศหลากหลายพันธุ์ขึ้นเต็มไปหมด ดอกตูมรอวันผลิบานให้ความรู้สึกสดชื่นสวยงามและชวนให้ผ่อนคลายจนฉันแช่มชื่นใจขึ้นบ้าง
กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลรอบกาย ฉันหลับตาลงเสพรับความสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งนี้ไว้...
แม่นางหมิงเวย เฮ้อ เวลาแห่งการพักผ่อนหมดลงจนได้
ฉันลืมตาขึ้นมอง หวังซุ่นเอ๋อร์แห่งห้องชากำลังยิ้มประจบ
เสร็จแล้วขอรับ ตอนนี้รสชากำลังดี ท่านรีบนำไปถวายองค์ชายเถิด
ฉันลุกขึ้นยิ้มให้เขา
ขอบใจกงกงมาก
รอยยิ้มของเขายิ่งขยายกว้าง รีบตอบมาทันควัน
กล่าวเกินไปแล้วขอรับ หากแม่นางมีธุระอะไรก็เชิญสั่งมาได้เลย รับรองว่าข้าจะจัดการให้ไม่มีขาดตกบกพร่องเชียว
ฉันพยักหน้า
ทราบแล้ว ต่อไปคงไม่พ้นต้องรบกวนท่านแล้ว พูดจบฉันก็รีบยกชาไปทันที ไม่อยากมัวมาประดิษฐ์ถ้อยคำเกรงใจกับเขาอีก นิสัยอีกอย่างของคนที่นี่ก็คือพูดจามากความ อย่าไปผูกสัมพันธ์ให้รกตัวจะดีกว่า และฉันก็ไม่อยากโอ้เอ้ด้วย อารมณ์แช่มชื่นเมื่อกี้บินหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังขึ้นแท่นประหารเลย ฉันเดินไปทางโถงด้านนอกด้วยความท้อใจ
ยังไม่ทันจะถึงหน้าประตูดีก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาดังขึ้น น่าแปลก ใครกล้ามาเอะอะมะเทิ่งในนี้นะ...พอเดินใกล้เข้าไปอีกหน่อย ฮึ! ฟังออกแล้ว องค์ชายสิบนั่นเอง เสียงห้าวๆ แบนนี้ลืมไม่ลงหรอก
พี่เก้า นางคงจะคบหากับน้องสิบสามมาตั้งนานแล้ว หรือไม่พี่สี่ก็คง...
เจ้าหุบปากไปเลย วาจามีแต่คำเลื่อนเปื้อน หนำซ้ำยังไม่รู้จักกาลเทศะ องค์ชายแปดตวาดใส่
ฉันที่เดินมาถึงหน้าประตูพอดีรู้สึกเหมือนเลือดฉีดพุ่งมาที่หัว อยากจะกรี๊ดและเทชาราดหัวองค์ชายสิบนี่จริงๆ ฉันหรี่ตาจ้องเขม็งไปที่องค์ชายสิบ เขานั่งหันหลังให้ฉัน องค์ชายแปด องค์ชายเก้า และองค์ชายสิบสี่นั่งหันหน้ามาทางประตูจึงตกใจเมื่อเห็นฉัน องค์ชายสิบเพิ่งรู้ตัวรีบหันมามองอย่างตกใจ แต่แล้วก็เดินยิ้มมีเลศนัยเข้ามาหา
โอ้ นึกว่าใคร ที่แท้แม่นางหมิงเวยนั่นเอง เมื่อครู่พวกเรากำลังเล่าเรื่องชวนหัวกัน เจ้าว่าน่าขันไหม
เห็นเขาวางท่าสำรวม ฉันก็สงบใจลงได้ทันทีและทำความเคารพด้วยสีหน้าปกติ
หม่อมฉันถวายบังคมองค์ชายสิบและองค์ชายสิบสี่ ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ
องค์ชายสิบอึ้งไป แต่องค์ชายสิบสี่ยิ้มให้ทีหนึ่ง
ลุกขึ้นเถิด
ฉันก้าวไปด้านหน้าอย่างมั่นคงเพื่อรินชาให้เหล่าองค์ชาย แถมยังยกจอกชามาส่งให้องค์ชายสิบกับมือ เขารับไปด้วยท่าทางหมดสนุกเพราะฉันไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย สุดท้ายจึงต้องกลับไปนั่งจ้องฉันอยู่พักใหญ่กว่าจะดื่มน้ำชาลง
ฮ่าๆๆๆ! ฉันรอจนถึงจังหวะนี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
องค์ชายสิบถึงกับสำลักชา ไอจนหน้าแดงก่ำพูดอะไรไม่ออก
ฉันยิ้มตาหยีพร้อมกับย่อกายอย่างนอบน้อม
เรื่องชวนหัวขององค์ชายขบขันที่สุดเลยเพคะ พูดจบฉันก็ยืดตัวขึ้นค้อมคำนับอีกทีก่อนจะหลบไปยืนอยู่ด้านข้าง
เจ้าเด็กเมื่อวานซืน คิดจะระรานใครก็หัดดูคู่ต่อสู้บ้าง! ถึงแม้ฉันจะได้ระบายออก แต่รู้ตัวว่าสร้างปัญหาขึ้นอีกแล้ว แต่แล้วไง ฉันก่อเรื่องให้ตัวเองต้องเสียใจมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เหาเห็บแค่นี้ไม่สะดุ้งหรอก เพิ่มมาอีกสักครั้งจะเป็นไร...กำลังรอดูทีท่าโมโหเดือดดาลขององค์ชายสิบ แต่กลับได้ยินเสียงขององค์ชายสิบสี่แทรกขึ้นก่อน
ฮ่าๆๆ! เขาหัวเราะพลางมองมาทางฉัน แต่ปากพูดกับองค์ชายสิบ พี่สิบชอบพูดตลกมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครั้งนี้ขบขันที่สุดเลย!
ฉันไม่แน่ใจว่าเขาต้องการจะช่วยฉันหรือซ้ำเติมฉันกันแน่
องค์ชายสิบลุกขึ้นแล้ว หน้าแดงหน้าดำเลยทีเดียว แต่ฉันไม่กลัวหรอก ในตำหนักนี้เขาไม่สามารถถืออำนาจบาตรใหญ่ทำอะไรฉันได้ ยังไงฉันก็เป็นคนของพระราชชายา จะตีหมาก็ต้องดูนายมันก่อน! ยิ่งกว่านั้นคือคำที่เขาพูดเมื่อกี้ก็พาดพิงไปถึงองค์ชายสี่ด้วย ถ้ารู้ไปถึงพระราชชายาซึ่งเป็นพระมารดาขององค์ชายสี่คงไม่ดีกับเขาแน่ ส่วนเรื่องที่ฉันล่วงเกินองค์ชายสิบแล้วจะได้รับผลยังไงนั้นฉันไม่สนใจ ถึงตัวเองจะต้องถูกโบย แต่ฉันก็ว่าคุ้ม เดิมทีเขาก็มองฉันด้วยแววตามาดร้ายอยู่แล้ว ฉันทำอะไรก็คงขวางเขาไปเสียหมด แต่ฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขามาดูถูกฉันง่ายๆ หรอก เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วฉันจึงเตรียมใจรับผลที่จะเกิดขึ้น
องค์ชายสิบเดินอาดๆ เข้ามาทีละก้าว ทันใดนั้นเสียงอ่อนโยนที่ฉันคุ้นเคยก็ดังขึ้น
ทูลองค์ชาย เหล่าพระนางเสด็จกลับมาแล้วเพคะ ประทับอยู่ที่โถงกลาง องค์รัชทายาทและองค์ชายทั้งหลายก็ประทับอยู่ที่นั้นแล้วเช่นกัน เชิญเสด็จเถิดเพคะ
ฉันหันไปมองตามเสียง คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตงเหลียนคือเสี่ยวชุนไม่ใช่เหรอ
เสี่ยวชุนยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้หันมามองฉัน ฉันดีใจมากทีเดียวแต่ก็ทำได้แค่ยืนอยู่ที่เดิม จู่ๆ เสียงขององค์ชายแปดก็ดังขึ้น
เช่นนั้นก็ไปกันเถิด อย่าให้พระนางทรงรอนานเลย องค์รัชทายาทก็มาถึงแล้วด้วย
พอฉันได้สติหันกลับมา องค์ชายสิบสี่ก็มายืนกะพริบตาปริบๆ อย่างซุกซนอยู่ข้างๆ แล้ว ฉันตกใจรีบหลุบสายตาลง ได้ยินเขาพูดว่า
นั่นสิ ตอนเย็นยังต้องไปคารวะเสด็จพ่ออีก อย่าชักช้าเลย
ฉันเขยิบถอยหลังเปิดทาง ได้ยินเสียงฝีเท้าผ่านหน้าไป เหล่าองค์ชายเดินออกประตูไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่องค์ชายสิบที่มาหยุดตรงหน้าฉัน
ฮึ!
ฉันรู้ดีว่าไม่ควรเงยหน้าพูดอะไรทั้งนั้น เมื่อกี้องค์ชายแปดและองค์ชายสิบสี่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ยกหนึ่งแล้ว ฉันก็ควรต้องรู้จักกาลเทศะบ้าง
ในที่สุดความสงบก็กลับมาอีกครั้ง ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ วันนี้โชคดีรอดมาได้ แต่ก็คงแค่ชั่วคราว
พี่เสี่ยวเวย
หา?
เสี่ยวชุนยังไม่ได้ไปไหน เธอกำลังยิ้มตาหยีให้ฉัน
ท่านยังเหมือนเดิมไม่ผิด ชอบใจลอยไปไกล อีกทั้งแอบยิ้มอยู่คนเดียว
เหอะๆๆ
ฉันเข้าไปกอดเธอด้วยความคิดถึงก่อนจะสำรวจดูอย่างละเอียด เธอยังคงงามพริ้งพริ้มเพรา สงบเสงี่ยมเรียบร้อยไม่เปลี่ยน แต่ดวงตาคู่นั้นมีแววเย้ายวนที่ไม่เหมือนก่อนอีกแล้ว
เธอเห็นฉันจ้องเอาๆ แบบนี้ก็หัวเราะ
พี่เสี่ยวเวยยังคงใจชื่นรื่นเริงเหมือนเดิม ทั้งยังสวยขึ้นอีกด้วย
พูดได้ดี ถ้าเจ้าชมข้าอีกข้าคงจะไม่ได้ชื่นแค่ใจอย่างเดียวแน่ แต่คงซาบซ่านไปทั้งตัวเลย
คิกๆๆ เสี่ยวชุนหัวเราะ ข้อนี้ท่านก็ไม่เปลี่ยน ชอบหยอกเย้านักเชียว
อย่าพูดถึงแต่ข้าเลย เจ้าเป็นยังไงบ้าง
เธอหลุบตาลงก่อนจะเอ่ย
ข้าสบายดี
เจ้าอยู่ที่วังฉู่ซิ่วต้องทำอะไรบ้างเหรอ
ฉันเดินไปที่โต๊ะ เห็นกาน้ำชายังมีชาเหลืออยู่จึงเทมาสองจอก แม้จะแค่อุ่นๆ แต่ก็นับว่าเป็นชาดี ฉันส่งให้เสี่ยวชุนจอกหนึ่ง แต่เธอแค่รับไปดมเฉยๆ ท่าทางคล้ายกำลังครุ่นคิด
ฉันมองเธอแวบหนึ่ง ถือวิสาสะนั่งลงดื่มชาที่โต๊ะ
อืม! ชาดี! ฉันจิบชาเม้มปาก ไม่เลวเลยจริงๆ
สองวันมานี้ข้าอยู่ที่วังจิ่งเหญิน จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาพาให้ฉันตกใจ
วังจิ่งเหญิน!
อะไรนะ! เจ้าไปทำอะไรที่วังของพระนางน่าหลัน! ฉันเผลอหลุดเสียงสูง
ไม่มีอะไร แค่ปรนนิบัติทั่วไป ช่วยพระนางหยิบจับงานปักบ้าง เสี่ยวชุนยิ้มบาง
อ้อ อย่างนี้นี่เอง แล้ว... ฉันได้แต่มอง ไม่กล้าถาม
อะไรหรือ เธอยิ้มถามฉัน
ฉันหัวเราะแหะๆ ถามไปอย่างอายๆ
แล้ว...ฝ่าบาททรง...
พี่เสี่ยวเวย! เสี่ยวชุนหน้าแดงทันที เธอก้มหน้างุดบิดผ้าแพรในมือ
นี่ไม่ใช่การพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยหรอกนะ เพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเสี่ยวชุนฉันจึงจ้องมองเธออย่างแน่แน่ว ผ่านไปพักใหญ่เธอถึงเงยหน้าขึ้นก่อนส่ายหน้าให้
ฉันถอนหายใจ ในใจนึกอยากให้เสี่ยวชุนได้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เพราะอาจจะช่วยยับยั้งความคิดที่เธอไม่ควรจะมีได้ แต่การจะให้ฝ่าบาทหันมาสนมันไม่ใช่ง่ายๆ เลย มีผู้หญิงตั้งมากมาย ต่อให้เก่งกาจขนาดไหนยังไงก็ต้องพกดวงมาเยอะๆ นั่นแหละ!
เสี่ยวชุนเห็นฉันทำหน้าคุ้มดีคุ้มร้ายจึงถามด้วยความสงสัย
พี่เสี่ยวเวย เป็นอะไรหรือ
อ๊ะ? เหอะๆๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่หวังให้เจ้าได้ดิบได้ดี แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ควรรีบร้อน ต้องดูโอกาสเหมาะควร
เสี่ยวชุนยิ้มอ่อนโยนแล้วขานรับไปตามเรื่อง ท่าทางไม่ได้จริงจังนัก
ฉันครุ่นคิดในใจ มือเผลอหมุนถ้วยชาเล่น เสี่ยวชุนเห็นฉันไม่พูดไม่จาก็รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ค่อยดี จึงลุกขึ้นพูด
พี่เสี่ยวเวย เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ
อ๊ะ? ได้สิ เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวจะเสียงานเสียการ
ฉันลุกขึ้นเดินไปส่งเธอที่ประตู เธอทำท่าว่าไม่ต้องส่งแล้ว
พี่เสี่ยวเวย เห็นท่านไม่เป็นอะไรข้าก็ยินดี บางทีเวลาอาหารค่ำอาจจะได้พบกันอีก ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะทรงจัดงานฉลอง
ฉันยิ้ม เข้าใจแล้ว เจ้าค่อยๆ เดินนะ
เธอพยักหน้าและหันตัวเดินจากไป ฉันยังคงยืนมองส่ง เห็นเธอเดินไปถึงผนังสลักบังตาก็หันกลับมาทางฉัน
พี่เสี่ยวเวย การเป็นบ่าวรับใช้ต้องยอมรับอารมณ์ เจ้านายท่านว่าอะไรเราก็ต้องฟังและทำตาม พูดจบเธอก็เดินไปทิ้งให้ฉันยืนอึ้งก้มหน้าครุ่นคิด หมายความว่ายังไงนะ
อ๊า! ฉันเงยหน้าพรวดมองไปทางเดิม ที่แท้เสี่ยวชุนเห็นวีรกรรมของฉันตั้งแต่แรกเลยเหรอ ได้เห็นได้ยินไปมากไหมเนี่ย แล้วที่เธอพูดหมายความว่า...