Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
'สวิง' รัก ... 'พัตต์' หัวใจ (บทที่ ๔) ติดต่อทีมงาน

ขอเกริ่นสักนิด

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ ชยพล ชายหนุ่มผู้ซึ่งโดนบิดาปรามาสว่าชาตินี้ไม่มีวันทำอะไรสำเร็จ เขาจึงตั้งใจจะเป็น 'โปรกอล์ฟ' เพื่อลบคำสบประมาทให้ได้ และการจะเป็น 'โปรกอล์ฟ' ให้สำเร็จโดยเร็วก็ต้องอาศัย ชาลิดา 'แคดดี้มือหนึ่ง' เป็นสำคัญ

ความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกล... ถ้าทั้งคู่ไม่ตีกันตายเสียก่อน

นิยายเรื่องนี้จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นกอล์ฟครบทั้งบรรยากาศและเทคนิค หวังว่าผู้อ่านจะได้รับความบันเทิง และความรู้ในกีฬาชนิดนี้บ้างตามสมควร

ปกติผมจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับธรรมะและประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างจริงจังพอสมควร เรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่พยายามจะกุ๊กกิ๊กกับเขาบ้าง หากไม่หวานหรือกุ๊กกิ๊กเท่าไหร่ ก็ให้ถือว่าเป็นเพราะวัยที่ล่วงเลยวันหวานมานานเกินไปแล้วกันนะครับ ^_^

นิยายเรื่องนี้เขียนเกือบจบแล้ว (เหลือประมาณสองบทสุดท้าย) ตั้งใจจะลงเดือนละสองครั้งครับ คือ วันที่ ๑ กับ ๑๖

คาดว่ากว่าจะลงครบก็คงเขียนจบพอดี ดังนั้นเป็นอันรับประกันว่า ต้องลงให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันจนจบอย่างแน่นอน


บทที่ ๓
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11968378/W11968378.html


.........



บทที่ ๔


มหาวิทยาลัยเอกชนที่ ชุลีภรณ์ ประภาพิศ น้องสาวของชาลิดาเรียนอยู่มีเนื้อที่ไม่กว้างขวางต่างกับชื่อเสียงที่โด่งดัง บุตรหลานของผู้มีอันจะกินที่พลาดจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลมารวมตัวกันที่นี่ราวกับนัด

มหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งประชันแฟชั่นไปโดยปริยาย

แม้ทางมหาวิทยาลัยจะพยายามรณรงค์เรื่องการแต่งกายให้ถูกระเบียบ แต่เนื่องจากไม่มีบทลงโทษที่จริงจังจึงถูกเพิกเฉย โดยเฉพาะจากเหล่านักศึกษาหญิงแต่ละคนแต่งกายอวดรูปโฉมอย่างเต็มที่ เสื้อที่ใส่รัดติ้ว กระโปรงก็เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งชนิดที่ว่าไม่ต้องใช้จินตนาการก็เห็นได้อย่างชัดเจน

หากว่ากันตามฐานะชุลีภรณ์ไม่มีสิทธิ์เทียบชั้นนักศึกษาพวกนี้ได้เลย ทว่าเธอพยายามกดดันด้วยวิธีต่างๆ นานาจนกระทั่งพี่สาวทนไม่ไหวต้องกัดฟันส่งให้เธอเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตามใจปรารถนา

ชุลีภรณ์อยากเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เพราะเธอรู้ดีว่า ที่นี่คือแหล่งรวมบรรดาแมวมอง ดังนั้น ไม่ว่าพี่สาวจะพยายามอธิบายถึงความยากลำบากของครอบครัวให้ฟังอย่างไรเจ้าตัวก็ยังยืนยันเจตนาเดิม

ตั้งแต่เล็กเจ้าตัวคิดมาโดยตลอดว่า รูปร่างหน้าตาอย่างเธอต้องได้เป็นดาราชื่อดังแน่นอน เมื่อบอกตัวเองอย่างนี้ จึงไม่ใส่ใจที่จะศึกษาเล่าเรียน คิดแต่เพียงว่าเรียนไปก็เพื่อหาเงิน หากได้เป็นดาราชื่อเสียงเงินทองจะไหลมาเองไม่จำเป็นต้องเรียนให้เปลืองสมอง เธอจึงจบชั้นมัธยมปลายด้วยคะแนนที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า ‘โดนถีบออก’ สอบเข้าที่ไหนก็ไม่ได้

ตอนแรกทั้งมารดาและพี่สาวยื่นคำขาดให้เรียนในมหาวิทยาลัยเปิดของรัฐบาล แต่ชุลีภรณ์ใช้ไม้ตายที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว นั่นคือ ทำทีเป็นหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ไม่ยอมกินข้าวกินปลา เจ้าตัวรู้ดีว่ามารดาและพี่สาวรักเธอมาก หากเห็นเธอในสภาพนี้ต้องทนไม่ได้แน่ และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน พี่สาวรับปากจะส่งเสียให้ได้เรียนตามที่ปรารถนาแต่ขอสัญญาว่าเธอจะต้องตั้งใจเรียน

เมื่อได้เข้าไปเรียนรั้วมหาวิทยาลัยชุลีภรณ์ไม่ทำให้พี่สาวผิดหวัง แม้ผลการศึกษาจะไม่เลิศเลอ แต่ไม่เคยต้องเสียเงินค่าลงทะเบียนซ่อมจนนี่ย่างเข้าปีที่สี่แล้ว เป้าหมายสูงสุดของเธอยังคงเป็นวงการบันเทิง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สบโอกาสเสียที ส่วนใหญ่จะเจอแมวมองแย่ๆ ที่หวังในความสาวมากกว่า ทว่าเธอยังรักในศักดิ์ศรีไม่ยอมขายมันเพื่อแลกกับความฝัน

ชุลีภรณ์พยายามทำตัวให้ทัดเทียมนักศึกษาคนอื่น แต่ปมความยากจนยังเกาะกินหัวใจของเธอเสมอ ยิ่งเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางความร่ำรวย ความยากจนก็ยิ่งลุกลามกลายเป็นปมด้อย กำแพงจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องจุดเปราะบาง และกำแพงทระนงนั้นก็สูงเกินปกติ เพื่อนนักศึกษาบางส่วนจึงไม่ชอบเธอ

“ยายดาวดินมานั่นแล้ว” หนึ่งในสามสาวที่สวมชุดนักศึกษารัดติ้วสะกิดบอกพรรคพวก แล้วทั้งกลุ่มกรูเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังทันที

คนถูกล้อมรู้สึกเสียขวัญแต่ยังทำใจดีสู้เสือ เชิดหน้าราวกับไม่ยี่หระกับสถานการณ์ ถามขึ้นเสียงแข็ง “พวกเธอจะทำอะไร”

สาวร่างเล็กที่สุดในกลุ่มยื่นหน้ายียวนเข้าไปใกล้ใบหน้าของชุลีภรณ์ เพ่งซ้ายทีขวาทีแล้วเหยียดปาก “มาดูคนหน้าด้าน ชอบแย่งแฟนชาวบ้าน”

“แฟนเฟินอะไร” ชุลีภรณ์ว่าแล้วตั้งใจจะใช้ท่อนแขนแหวกวงล้อมออกมาแต่กลับทำให้พวกนั้นยิ่งกระชับวงแคบ

“อย่ามาไขสือ” หนึ่งในฝ่ายโจทก์ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาไม่เป็นรองจำเลยสักเท่าไรเอ่ยขึ้น “เธอก็รู้ว่าพัฒน์เป็นแฟนฉัน ยังหน้าด้านมายุ่งอีก”

“นึกว่าใคร ที่แท้ก็แฟนคลับนายพัฒน์” ชุลีภรณ์ยิ้มหยัน “รู้ไว้นะ ฉันไม่สนคนอย่างเขาหรอก อยากได้ก็เชิญเถอะ”

ว่าพลางมองผู้มาร้องสิทธิ์ด้วยสายตาดูแคลนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คนถูกมองอดรนทนไม่ไหวง้างมือทำท่าจะตบสักฉาดทว่าเพื่อนในกลุ่มห้ามไว้

ชุลีภรณ์แบะปาก “ฉันไม่เสียเวลามาแย่งผู้ชายกับคนอย่างเธอ...” พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องรีบก้มหลบฝ่ามือที่วาดเข้ามาหมายใบหน้าแล้วผลักอีกฝ่ายกระเด็นออกไป พร้อมฉวยโอกาสก้าวหนีออกจากวงล้อมทันที

“คนอย่างเธอมันสูงส่งนักรึ!” คนถูกผลักแผดเสียง ทะยานตามติดพร้อมเพื่อน แต่ก่อนจะถึงตัวเป้าหมายนักศึกษาชายคนหนึ่งปราดเข้ามาขวาง และพยายามกันไม่ให้กลุ่มโจทก์เข้าถึงตัวจำเลยได้

“ดาวรีบไปก่อน” นักศึกษาคนนั้นบอกพลางขยับไม้ขยับมือเหนี่ยวรั้งซ้ายทีขวาที ไม่ให้สามสาวซึ่งกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลหลุดจากแนวป้องกันของตน

ชุลีภรณ์ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ ก่อนเดินหนีไป

“เอกนี่ยังไงกัน!” หนึ่งในกลุ่มโจทก์ถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “หลงเสน่ห์ยายดาวดินนั่นอีกคนแล้วรึ”  

ผู้ถูกกล่าวหาส่ายหน้าดิก “ไม่ใช่อย่างนั้น เราแค่ไม่อยากให้มีเรื่องกัน” ว่าพลางบุ้ยปากไปยังกลุ่มนักศึกษาที่จับกลุ่มซุบซิบอยู่ไม่ห่าง สามสาวคงรู้สึกกระดากขึ้นมาบ้างเลยปรับท่าทีเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปคือการเย้ากันเล่น เขาเห็นได้ทีจึงสำทับเข้า

“เราเป็นรุ่นพี่แล้วนะ ทำอะไรบุ่มบ่ามเดี๋ยวน้องจะเอาไปนินทากันได้”

“เอกไม่ต้องมาพูดดีเลย” คนโดนแย่งแฟนตัดพ้อ “กี่ครั้งกี่หนแล้วล่ะที่ปกป้องยายดาวแบบนี้”

“ใช่ๆ” อีกสองสาวรุมกันเออออ

“โธ่... เพื่อนๆ กันทั้งนั้น” นักศึกษาหนุ่มพยายามแก้ตัว “เราก็ปกป้องทุกคนเท่าที่จะทำได้แหละ”

“นี่ถ้าไม่ใช่เอกนะ จะหยิกให้เนื้อเขียวเชียว ชอบมาขวางนัก” หนึ่งในนั้นทำตาขึงขังแต่ริมฝีปากอมยิ้ม “หมั่นไส้อ่ะ”

ว่าแล้วสามสาวก็รุมกันหยิกนิด ทุบหน่อย แต่แทนที่คนโดนรุมจะเจ็บกลับหัวเราะร่วน



ชุลีภรณ์กระแทกหนังสือในมือลงบนโต๊ะหินทรงกลมข้างสระน้ำแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ‘อย่างนายพัฒน์เนี่ยนะ!?’ เธอร้องถามตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะโดนกล่าวหาโดยไม่มีมูลอย่างนี้

พัฒน์ หรือ พิพัฒน์ ฉัตรโยธิน เป็นหนุ่มเนื้อหอมประจำมหาวิทยาลัยก็จริงแต่มีนิสัยเจ้าชู้ เปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อย ซึ่งเธอไม่เคยคิดจะข้องแวะกับคนประเภทนี้ เป็นตัวเขาเองต่างหากที่ชอบมาวุ่นวายกับเธอ และที่เธอไม่ตัดเยื้อใยก็เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น คือเขาเป็นทายาทเจ้าของค่ายหนังชื่อดัง

หากพิพัฒน์คือราชสีห์ที่คอยจ้องตะครุบเหยื่อ เธอก็ไม่ต่างกับนางพยัคฆ์ เรื่องจะยอมให้เคี้ยวง่ายๆ คงไม่มีวัน หรือถ้าเธอจะยอมโอนอ่อนนั่นหมายความว่าเขาต้องยอมศิโรราบก่อนเช่นกัน



นักศึกษาที่เข้าไปขัดตาทัพให้ชุลีภรณ์ คือ เอก หรือ นฤดล ประพนธ์ เขากำพร้าทั้งบิดาและมารดาตั้งแต่ยังแบเบาะ อาศัยอยู่กับหลวงตาที่วัดแถวบ้านของชุลีภรณ์

แม้จะเป็นเด็กกำพร้าแต่ด้วยความที่มีหลวงตาคอยอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด ประกอบกับตัวเขาเองเป็นคนมีน้ำใจ มีความอดทนอดกลั้น แม้จะโดนเพื่อนล้อว่าเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ก็ไม่เคยตอบโต้จึงเป็นที่รักของคนรอบข้าง

บิดากับมารดาของนฤดลเสียชีวิตจากอุบัติพร้อมกัน บิดาไม่มีญาติที่ไหน มารดาก็เหลือเพียงหลวงตาซึ่งเป็นพี่ชายเพียงคนเดียว ภาระการเลี้ยงดูจึงเป็นของท่านอย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่ภาระนี้ไม่หนักหนานัก เพราะนฤดลเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่งอแง ครั้นโตมาก็มีแต่เสียงชื่นชมยินดี ไม่เคยสร้างความเสื่อมเสียให้ท่านต้องร้อนใจ

หลวงตาสอนให้นฤดลสวดมนตร์ นั่งสมาธิ มาตั้งแต่เล็ก ตอนแรกท่านจะสวดนำ แต่พอทำเป็นกิจวัตร ประกอบกับวัยที่เจริญขึ้น นฤดลก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเองโดยที่หลวงตาไม่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไช
หลังจากสวดมนตร์ นั่งสมาธิในตอนหัวค่ำแล้ว เขาจะอ่านทบทวนตำราที่ได้ร่ำเรียนมาในแต่ละวันอย่างตั้งอกตั้งใจ อาจเพราะสมาธิบวกกับสติปัญญาที่ดีอยู่แล้ว จึงทำให้ผลการเรียนเป็นที่ชื่นชมทั้งต่อครูบาอาจารย์และเพื่อนๆ

นอกจากผลการเรียนเยี่ยมแล้ว เขายังเป็นนักฟุตบอลตัวยงอีกด้วย

สมัยเรียนมัธยมปลาย เขาสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนในการแข่งขันฟุตบอลระดับต่างๆ มาโดยตลอด ทั้งรางวัลผู้ยิงประตูสูงสุด ศูนย์หน้าดาวรุ่ง นักฟุตบอลยอดเยี่ยม ถ้วยรางวัลที่เป็นเครื่องยืนยันความสามารถล้นตู้โชว์ของโรงเรียนทีเดียว

มหาวิทยาลัยแห่งนี้เห็นแวว และรวดเร็วกว่าที่อื่น จึงเสนอทุนให้เรียนฟรีในระดับปริญญาตรีตลอดการศึกษา ที่ว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้รวดเร็วกว่าที่อื่นเพราะหลังจากที่เขาตัดสินใจเซ็นสัญญาไปได้ไม่กี่วันก็มีอีก ๔ – ๕ มหาวิทยาลัยติดต่อมาในเงื่อนไขเดียวกัน

เมื่อเข้ามาอยู่ที่นี่นฤดลประพฤติตนเป็นนักกีฬาที่ดี เคร่งครัดในระเบียบวินัย ไม่เคยสร้างรำคาญใจให้ผู้ฝึกสอน สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยเรื่อยมา

นอกจากนั้น เขายังร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อนนักศึกษาไม่เคยขาด สมัครเข้าชมรมค่ายอาสาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทุ่มเทเวลาที่เหลือจากการเรียนและฝึกซ้อมทั้งหมดให้กับชมรมนี้ กระทั่งได้รับเลือกเป็นประธานชมรม และปัจจุบันเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานนักศึกษา

ในสายตาของคนอื่น เขาอาจประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง แต่สำหรับตัวเขาเองกลับคิดว่า ตราบใดที่ยังเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยบางอย่างของผู้หญิงที่แอบชื่นชมไม่ได้ ตราบนั้นก็ยังไม่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จ

ผู้หญิงคนนั้นคือชุลีภรณ์

นฤดลเห็นพัฒนาการของเธอมาตลอด จากเด็กผู้หญิงช่างจำนรรจา คล้ายมะลิแรกแย้ม เติบโตเป็นดรุณีอ่อนหวานสดใส ราวกล้วยไม้ต้องประกายแดดยามเช้า กระทั่งกลายเป็นสาวงาม งามเสียจนน่ากริ่งเกรง ไม่ต่างจากกุหลาบงามที่มีหนามแหลมคม แม้ดูงามตาทว่าต้องระวัง

แม้ใครจะมองเธอร้าย แต่เขาเชื่อว่าในหัวใจดวงนั้นมีความงดงามแฝงอยู่ และเขายังเชื่ออีกว่า ความกล้าหาญของบิดา ความอารีของมารดา ความเด็ดเดี่ยวของพี่สาว สิ่งดีงามเหล่านี้แม้ไม่ทั้งหมด ก็ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งถ่ายทอดถึงเธออย่างแน่นอน

สิ่งหนึ่งที่ทำให้มั่นใจ และสิ่งนั้นทำให้เขายังคงเชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ นั่นคือ แม้อยากเป็นดารา แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เจ้าตัวจะไต่เต้าขึ้นไปสู่จุดนั้นอย่างไร้ศักดิ์ศรี

“พี่เอกครับ ได้เวลาประชุมแล้วครับ” เสียงเรียกของนักศึกษารุ่นน้องฉุดให้เขาตื่นจากภวังค์

การประชุมที่ว่าเป็นการประชุมของชมรมค่ายอาสา ด้วยความที่เขาคลุกคลีอยู่กับชมรมนี้มาตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ และร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมาโดยตลอด ดังนั้น แม้ปีนี้เขาจะได้รับเลือกให้เป็นประธานนักศึกษา มีภารกิจในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ยังอดไม่ได้ที่จะหาเวลามาร่วมประชุมเสมอ จึงได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของชมรมไปโดยปริยาย

วันนี้เป็นการประชุมใหญ่ของชมรม ดังนั้น นอกจากคณะกรรมการชมรมแล้วยังมีเหล่าสมาชิกชมรมเข้าร่วมด้วย

เมื่อนฤดลก้าวเข้าไปในห้องประชุมทุกคนพร้อมกันอยู่แล้ว เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ประธานชมรมคนปัจจุบัน นักศึกษาหญิงผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขานุการของชมรมหยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา

“ก่อนจะเริ่มประชุม ดิฉันมีจดหมายฉบับหนึ่ง อยากอ่านให้พวกเราได้ฟัง” บรรดาสมาชิกที่กำลังคุยกันจ้อกแจ้กเงียบเสียงลง หันมองไปทางผู้พูด “เป็นจดหมายของ เด็กหญิงวาสนา พาบุญ จากโรงเรียนพาฝันวิทยา ที่เราไปทำห้องสมุดให้เมื่อปีที่แล้ว ยังจำกันได้หรือเปล่าคะ”

ทุกคนต่างพยักหน้ากันสลอน เลขานุการชมรมขยับจดหมายในมือให้กระชับ แล้วเริ่มอ่านช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ


สวัสดีค่ะพี่ๆ ที่ใจดี

หนูชื่อเด็กหญิงวาสนา พาบุญ อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ของโรงเรียนพาฝันวิทยา ที่พวกพี่มาสร้างห้องสมุดให้เมื่อปีที่แล้ว

เมื่อเดือนก่อนหนูเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันตอบปัญหาวิชาภาษาไทยที่ตัวจังหวัด หนูได้รับรางวัลชนะเลิศค่ะ ครู พ่อแม่ และคนในหมู่บ้านดีใจกันมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนเล็กๆ ของพวกเราได้รับรางวัลอย่างนี้

ครูใหญ่ถามหนูหน้าเสาธงว่าเพราะอะไรถึงเก่งภาษาไทย หนูตอบอย่างภาคภูมิใจว่า เพราะอ่านหนังสือในห้องสมุดที่พวกพี่มาสร้างไว้ให้ ตอนนี้พวกเพื่อนๆ เลยเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดอย่างล้นหลาม จนต้องลงชื่อจองกันเลยค่ะ

ยิ่งหนูได้รับคำชื่นชมมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้คิดถึงพวกพี่มากขึ้นเท่านั้น จึงเขียนจดหมายฉบับนี้มาเล่าให้พวกพี่ฟัง หวังว่าพวกพี่จะดีใจไปกับหนูด้วยนะคะ

ท้ายนี้ขอขอบพระคุณพวกพี่ที่ทำให้หนูสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนและหมู่บ้านของเราได้ หนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่และคุณครูค่ะ


รักและคิดถึงพวกพี่เสมอ

ด.ญ.วาสนา พาบุญ


เมื่อเสียงอ่านจดหมายจบลง เสียงปรบมือดังกึกก้อง ผู้อ่านปาดน้ำตาที่เอ่อล้นแล้วยิ้มร่า ซึ่งบรรดาสมาชิกชมรมหลายคนก็อยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกัน ทุกสายตาเปล่งประกายความแช่มชื่น ถ่ายทอดความอิ่มเอมเปรมใจให้กันและกัน

“ในฐานะที่พี่นฤดลเป็นผู้ริเริ่มโครงการสร้างห้องสมุดให้โรงเรียนตามชนบท อยากให้พี่ช่วยแสดงความรู้สึกที่มีต่อจดหมายฉบับนี้หน่อยค่ะ” เลขานุการชมรมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือด้วยความปีติ

นฤดลพยักหน้าช้าๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยน แววตาเปล่งประกายความยินดี “ผมเป็นคนเสนอก็จริง แต่ถ้าไม่ได้มติจากพวกเรา เรื่องที่น่าปลาบปลื้มเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น ดังนั้นความสำเร็จชนิดเกินคาดหมายในครั้งนี้ จึงถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของพวกเรา เหล่าสมาชิกค่ายอาสาทุกคนครับ”

เสียงเป่าปาก ปรบมือดังอื้ออึง

“เห็นผลิตผลที่พวกเราสู้อุตส่าห์ทำกันแบบนี้ รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกมีกำลังใจในการที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้ยิ่งๆ ขึ้นไป” นฤดลเอ่ยต่อด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ปีนี้เป็นปีสุดท้าย ที่ผมและพวกปีสี่ทุกคน ทั้งที่เป็นคณะกรรมการและสมาชิก จะได้ร่วมมือร่วมใจกับน้องๆ สร้างสรรค์สิ่งดีๆ คิดแล้วรู้สึกใจหายเหมือนกัน”

ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ความแช่มชื่นเมื่อสักครู่เหือดหาย แต่รอยยิ้มของผู้พูดก็เหมือนช่วยปลุกความรื่นรมย์ขึ้นอีกครั้ง

“แต่ก็ดีใจที่ได้รับความรู้สึกยอดเยี่ยมอย่างนี้เป็นการส่งท้าย” นฤดลเอ่ยต่อ “ผมขอเป็นตัวแทนของปีสี่ กล่าวฝากชมรมนี้ไว้กับน้องๆ ขอให้พวกน้องจดจำความรู้สึกอิ่มเอมใจในครั้งนี้ไว้ และจงระลึกเสมอว่า นี่ต้องไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่ความมุ่งมั่นของพวกเราจะสัมฤทธิ์ผล”

เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ต่อเนื่องและยาวนาน กระทั่งผู้พูดนั่งลงแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง




.........



(โปรดติดตามตอนต่อไป ๑๖ พ.ค.)

จากคุณ : วรบรรณ
เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 16:33:46




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com