 |
เมืองลำปาง,ห้างฉัตร โรงพยาบาลเลิศศาสตร์
เมื่อพีภัทรลืมตาขึ้นพร้อมสติที่กลับคืน สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเพดานสีขาวสะอาดตา และเมื่อดึงสายตากลับลงมา เขาก็เห็นเสาน้ำเกลือตั้งอยู่ข้างเตียง ขยับไปเล็กน้อยเป็นเก้าอี้ที่ว่างเปล่าหนึ่งตัว บนพนักพิงของมันมีเสื้อแจ็คเก็ตสีดำของเขาพาดอยู่ แต่บนที่นั่งมีกระเป๋าสะพายของผู้หญิงใบหนึ่งวางทิ้งเอาไว้ แทนที่จะเป็นกระเป๋าเป้ของเขา นอกจากนั้นมันยังทับสมุดเล่มหนึ่งอยู่อีกด้วย
เครื่องปรับอากาศทำงานตามหน้าที่ของมันส่งลมเย็นเยือกชโลมอากาศภายในห้อง พีภัทรขยับตัวหมายเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าใบนั้นมาดู แต่ความเจ็บปวดก็แล่นแปลบที่หัวไหล่ขึ้นมาทันที เขาจึงต้องทิ้งตัวลงนอนตามเดิมด้วยความจำใจ
ความมึนงงจากฤทธิ์ยายังไม่คลายไปนัก นักฆ่าหนุ่มกวาดตามองรอบกายอีกครั้งพลางทบทวนความทรงจำของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เริ่มประกอบตัวรวมกันเป็นรูปร่าง
ภาพของพานท้ายปืนที่กระแทกหัวคิ้วทำให้พีภัทรต้องยกมือข้างที่เจาะสายน้ำเกลือแตะศีรษะเพื่อสำรวจบาดแผล ปรากฏผ้ากอซผืนหนึ่งแปะอยู่บริเวณหัวคิ้วของเขาแสดงว่าแผลคงผ่านการเย็บเรียบร้อย นักฆ่าหนุ่มค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากเป็นรอบที่สอง เขาลองเอื้อมมือคลำดูในเสื้อก็พบว่าตรงด้านหลังหัวไหล่ที่โดนยิงก็มีผ้ากอซปิดแผลอยู่เช่นกัน หมอคงผ่ากระสุนออกไปแล้ว
ไฟในห้องเปิดเพียงสลัว นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะข้างเตียงบอกเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า ความสงสัยผุดเข้ามาในหัวทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างที่เขาสลบไป ใครกันที่พาเขามาส่งโรงพยาบาล ทิวากรให้คนงานพวกนั้นพาเขามาส่งโรงพยาบาลหรือ?
แล้วลูกสาวของพ่อเลี้ยงไกรศักดิ์ทั้งสองคนเป็นอย่างไรบ้าง?
นักฆ่าหนุ่มยกมือลูบแก้ม รอยแผลเป็นรูปกากบาทกระทบปลายนิ้วย้ำเตือนความเป็นจริง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาจะอยู่ที่โรงพยาบาลต่อไปไม่ได้ เขาเป็นนักฆ่า อันเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ได้แต่ในความมืด ไม่ควรที่จะเปิดเผยตัวตนจริงให้ใครได้รู้ในแสงสว่าง
พีภัทรสลัดศีรษะไล่ความมึนงง เหวี่ยงขาลงจากเตียง ทำท่าจะกระชากสายน้ำเกลือทิ้งเพื่อความคล่องตัว ก็พอดีประตูห้องเปิดออก แล้วร่างบอบบางของริสาก็ก้าวเข้ามาพร้อมโทรศัพท์ในมือ
เมื่อพบเห็นอีกฝ่าย ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต่างชะงักกึกในวินาทีเดียวกัน
มือของพีภัทรแตะอยู่ที่สายน้ำเกลือ แต่สองตาแตะอยู่บนใบหน้าของสุภาพสตรีกุหลาบแดง ปากของเขาเผยออ้าออกด้วยความไม่คาดคิด เช่นเดียวกับความประหลาดใจที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของริสาตอนนี้
ประตูห้องยังเปิดค้างอยู่ เผยให้เห็นทางเดินด้านนอกที่มีพยาบาลชุดขาวเดินผ่านไปผ่านมา ริสาได้สติ เธอรีบงับประตูปิดและเดินตรงมาที่เตียงพร้อมกับควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ไม่สำเร็จ
“คุณกำลังจะทำอะไรน่ะ?” ริสาพูดเมื่อหยุดยืนข้างเก้าอี้ หยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาแล้วยัดโทรศัพท์มือถือใส่เข้าไปในนั้น ดวงตายังจับจ้องมือของพีภัทรที่จับสายน้ำเกลือค้างอยู่
คำถามของหญิงสาวปลุกนักฆ่าหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ เขากำสายน้ำเกลือบนหลังฝ่ามือแน่นอีกครั้ง ริสารู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร เธอจึงปล่อยกระเป๋าทิ้งทันทีเพื่อมายื้อยุดฉุดมือเขาไว้พร้อมกับส่งเสียงกล่าวอย่างร้อนรน
“คุณจะบ้าหรือไงกัน จะกระชากมันทำไม ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
“คุณนั่นแหล่ะปล่อย!” พีภัทรปล่อยมือจากสายน้ำเกลือแล้วตวัดมือจับข้อมือของเธออย่างว่องไว “คุณพาผมมาที่นี่ทำไม! แล้วกระเป๋ากับข้าวของของผมหายไปไหน!”
เขาเผลอตัวบีบข้อมือและบิดแรงจนเธอร้องโอ๊ย
พีภัทรรีบปล่อยมือเธอทันที เขาละล่ำละลักออกมาอย่างไม่รู้ตัว“ผมขอโทษ คุณเจ็บมากหรือเปล่า?”
ริสาปัดมือของเขาที่ยื่นเข้ามา เธอถอยหลังออกไปสองก้าว คลำข้อมือที่ถูกบิดป้อยๆ ขณะพูดด้วยความโมโหเล็กน้อย
“ก็คุณโดนยิง...แล้วยังถูกปืนฟาดจนสลบอย่างนั้น จะให้พวกฉันปล่อยคุณทิ้งไว้ในป่าหรือไง” ริสาดุเสียงเข้ม “คุณเป็นหนี้ชีวิตฉันแล้วนะ ประพฤติตัวให้มันดีๆ หน่อยสิ”
นักฆ่าหนุ่มเม้มริมฝีปากไม่ต่อปากต่อคำ เขาเบือนหน้าจ้องมองเสาน้ำเกลือเหมือนรอคอยให้หญิงสาวพูดอะไรต่อ แต่ความเงียบงันก็มาถึง พีภัทรเหลือบตามองไปที่ริสาอีกครั้ง เธอก้มลงเก็บของในกระเป๋าที่หล่นกระจัดกระจายบนพื้นเสร็จพอดีเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา
“ต่อไปนี้ คุณไม่มีสิทธิ์ไปไหน ถ้าฉันไม่อนุญาต” ริสาพูดขณะลุกขึ้นยืน ประกายบางอย่างในดวงตาของเธอทำให้นักฆ่าหนุ่มล่วงรู้ทันทีว่าตนเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียแล้ว “ถ้าคุณหนี ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณ คุณพีภัทร”
พีภัทรอ้าปากค้าง สองตาจับจ้องใบหน้าของสุภาพสตรีกุหลาบแดงอย่างไม่อยากเชื่อ
เธอรู้ชื่อของเขาได้อย่างไร?
“ฉันไม่รู้นะว่าคุณจะเป็นคนใกล้ตัวพวกเราขนาดนี้ โชคช่วยจริงๆ ที่ทำให้ฉันหยิบบัตรใบนั้นออกมา” ริสาวางกระเป๋าสะพายไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหันมายกมือกอดอกพูดกับพีภัทรต่อ “ทำไมคุณไม่บอกพวกเราว่าคุณเป็นญาติกับหมิง?”
“ผมไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้เป็นญาติกับใครทั้งนั้น” พีภัทรกระซิบตอบอย่างงุนงงของจริง
“เป็นสิ หมิงเพิ่งโทรมาบอกฉันเมื่อกี้ เขารู้แล้วว่าคุณคือใคร” ริสาตอบ
นักฆ่าหนุ่มตัวเย็นวาบ แต่ยังไม่วายใจแข็งถามกลับไป “ถ้าอย่างนั้น ผมเป็นใครล่ะ?”
“คุณคือพีภัทร สินธุธานต์ ลูกชายของนายพงศธร สินธุธานต์ซึ่งแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อศโรรัตน์ ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ของหมิง” ริสาตอบอย่างจำขึ้นใจ “หมิงบอกฉันตั้งแต่เมื่อคืนว่าคุ้นหูนามสกุลของคุณมาก วันนี้เขาเลยตรวจสอบดูข้อมูลเกี่ยวกับคนนามสกุลนี้ บัตรประชาชนปลอมใบอื่นของคุณจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว”
“นี่พวกคุณเปิดดูกระเป๋าของผมหมดแล้วหรือ?” พีภัทรถาม หัวใจหล่นไปกองแทบเท้า
“สบายใจเถอะ อย่างน้อยก็มีเพียงฉันคนเดียวที่ได้รู้ว่าคุณใส่อะไรไว้ในเป้บ้าง และตอนนี้ก็มีเพียงฉันกับหมิงเท่านั้นที่รู้ตัวตนจริงของคุณ” ริสาเดินมาที่เก้าอี้ เธอหยิบสมุดขึ้นแล้วหย่อนกายลงนั่ง ชุดกระโปรงยาวถึงเข่าสีขาวที่เธอใส่วันนี้ยังคงเผยให้เห็นรอยขูดขีดจากกิ่งไม้บนร่างกายเธออยู่บ้าง แต่มันก็เบาบางลงแล้ว
“กระเป๋าของผมอยู่ที่ไหน?” พีภัทรถามเสียงเครียด “แล้วโทรศัพท์ของผมล่ะ?”
“อยู่ในที่ๆ ควรอยู่” ริสาตอบ วางสมุดไว้บนตัก “ถ้าประพฤติตัวดี ฉันจะคืนทุกอย่างให้คุณ”
นักฆ่าหนุ่มหัวเราะอย่างขมขื่น ความลับของเขาตกไปอยู่ในกำมือของหญิงสาวคนหนึ่งและตอนนี้เธอก็กำลังจะสอบสวนเขา
ในชีวิตนี้ เขาไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองอย่างนี้มาก่อน แม้จะมั่นใจว่านักสอบสวนมือสมัครเล่นอย่างเธอคงไม่สามารถล้วงอะไรไปจากเขาได้ แต่สิ่งที่พีภัทรกลัวกลับเป็นหัวใจของตัวเองมากกว่า เขากลัวว่ามันจะไม่เข้มแข็งพอสำหรับการปกปิดความจริงจากเธอ
“คุณต้องตอบคำถามของฉัน” ริสากล่าวต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งเงียบ “คุณรู้ใช่ไหมว่าคนที่ต้องการฆ่าฉันคือใคร?”
พีภัทรหลับตาแล้วส่ายหน้า “ผมไม่รู้”
“คุณอยากให้ตำรวจมาเยี่ยมถึงข้างเตียงใช่ไหม?” ริสาพูดเหมือนขู่ มันควรเป็นคำขู่ที่ทำให้เธอได้เปรียบ แต่ทว่าเมื่อคำพูดนั้นลอยมาเข้าหูคนที่นั่งบนขอบเตียง เขากลับรู้สึกเหมือนเธอกำลังพูดขู่เด็กยังไงยังงั้น มันดูไม่น่ากลัวเลยสักนิดเดียว
นักฆ่าหนุ่มลืมตาขึ้นมองเธอและยิ้ม “ตำรวจจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”
“มาจับคุณไง คุณฆ่าคน รู้ไหมว่าเมื่อคืนคุณฆ่าคนตายกี่คน” หญิงสาวมีอาการเสียงสั่นเล็กน้อย “คนที่คุณยิงข้างลำธารน่ะ ตายสอง แล้วไอ้กบิลนั่นอีก”
“แต่ผมเชื่อว่าคุณไม่มีทางแจ้งตำรวจหรอก” พีภัทรพูดเสียงเรียบ
“ทำไม?”
“เพราะผมทำไปเพื่อช่วยคุณ” นักฆ่าหนุ่มสังเกตปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม เขาคิดว่าเห็นแก้มขาวนวลของเธอแดงระเรื่อขึ้น นับเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่ง อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาทราบว่าเธอไม่ได้มีจิตใจคิดจับเขาส่งตำรวจจริงๆ
“แต่ยังไงซะคุณก็ฆ่าคนตายอยู่ดี” ริสากลบเกลื่อนสีหน้าตัวเองด้วยการตีหน้าขรึม “คุณบอกมาดีกว่าว่าคุณเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อฉันหรือเปล่า?”
“ไม่เกี่ยว”
“ถ้าอย่างนั้น นอกจากที่คุณจะเป็นญาติห่างๆ กับหมิงแล้ว คุณยังเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราอีก?”
“ก็ไม่เกี่ยวอีกเหมือนกัน” พีภัทรตอบพลางลองขยับหัวไหล่ข้างที่โดนยิง แต่ก็รู้สึกปวดปากแผลจนต้องเลิกขยับ เขาวางมือลงบนหัวเข่าและเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง “พูดถึงเรื่องเมื่อคืน เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมสลบ มีใครเก็บปืนของผมหรือเปล่า?”
“มี” ริสาตอบ “และไม่ต้องเป็นกังวลว่าปืนของคุณจะตกอยู่ในมือของตำรวจ เพราะตอนนี้มันอยู่ในที่ๆ ควรอยู่”
“กับกระเป๋าและโทรศัพท์ของผม?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
พีภัทรใช้ดวงตาเพ่งพินิจใบหน้าของหญิงสาว “คุณดูไม่เหมือนผู้หญิงคนเมื่อคืนเลย คนที่เป็นหนี้ชีวิตผมน่ะ”
ริสากระพริบตา ผุดรอยยิ้มจางๆ ขึ้นบนริมฝีปาก “ฉันไม่ได้เป็นหนี้ชีวิตคุณอีกแล้ว แต่เป็นคุณต่างหากที่เป็นหนี้ชีวิตฉัน – แล้วก็เป็นหนี้ชีวิตหมิงด้วย”
“งั้นหรือ?” พีภัทรแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ “ยังไงล่ะ ผมจำไม่เห็นได้ ผมจำได้แต่ว่าผมเสี่ยงชีวิตช่วยพวกคุณจนต้องมาอยู่ที่นี่ แถมยังโดนสอบสวนแบบนี้อีกต่างหาก”
“คุณจำไม่ได้หรอกเพราะคุณสลบอยู่” หญิงสาวลุกขึ้นยืน ถือสมุดไว้ในมือ มีความไม่พอใจเจืออยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อยขณะกล่าว “ฉันและหมิงช่วยปกปิดตัวตนให้คุณ เมื่อคืนหมิงก็บอกพวกคนงานว่าคุณเป็นเพื่อนเขาทั้งที่หมิงยังไม่รู้ชื่อคุณด้วยซ้ำ และหลังผ่าตัดเอากระสุนออกเสร็จ เขาก็ทำเรื่องย้ายคุณมาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้เพื่อหลีกหนีการเผชิญหน้ากับพ่อเขา นอกจากฉันกับหมิงและลูกน้องอีกสองสามคนของเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้อีกว่าคุณอยู่ที่นี่ แบบนี้พอจะทำให้คุณปากอ่อนลงได้บ้างไหม?”
“ทำไมเขาถึงช่วยผมล่ะ?” พีภัทรหรี่ตามองดวงตาของฝ่ายตรงข้าม “แล้วเขากับผมก็ใช่ว่าจะถูกชะตากันเสียเมื่อไหร่”
“ที่หมิงช่วยคุณ ก็เพราะเขาแน่ใจว่าคุณเป็นคนที่บุกเข้าไปหาพ่อเขากลางดึกเมื่อคืนก่อนน่ะสิ” ริสาตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่น่าช่วยผมใหญ่” หัวสมองของพีภัทรเริ่มขบคิดถักทอแผนการบางอย่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ใช่ เพื่อนชายของคุณคิดถูก ผมเป็นคนที่บุกเข้าไปหาพ่อเขาเอง”
นัยน์ตาของริสาฉายประกายวูบวาบ “เพราะอย่างนั้นไงล่ะ ในเมื่อคุณบุกเข้าไปหาพ่อเขาเมื่อคืนก่อนอย่างมีเจตนาที่ไม่ดีนัก แต่คืนต่อมาคุณกลับโผล่มาช่วยพวกเราเอาไว้ มันทำให้หมิงอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ถึงทำอย่างนั้น?”
พีภัทรหลุบสายตามองพื้นพรม ปล่อยให้ความเงียบแทรกกลางการสนทนาครู่หนึ่ง ในใจของเขาอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนี้มันคือสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า เขาควรจะบอกให้เธอรู้ไหมว่าเหตุผลที่เขายังอยู่ที่นี่ก็เพราะคิดว่าพ่อของเธอเป็นคนออกคำสั่งฆ่าพ่อแม่ของเขาและเขากำลังจะทำการล้างแค้นบุคคลเกี่ยวข้องทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่
และหนึ่งในนั้นก็คือพ่อของเพื่อนสนิทของเธอ
นักฆ่าหนุ่มรู้ว่าเขาสามารถหลอกถามข้อมูลต่างๆ จากเธอได้ แต่เขาเองก็ต้องยอมเปิดเผยความจริงบางส่วนเพื่อให้เธอวางใจเช่นกัน...พีภัทรไม่อยากจะคิด นี่เขาจะต้องหลอกใช้เธอ เหมือนที่เคยหลอกใช้ผู้หญิงคนอื่นๆ มานับไม่ถ้วนงั้นหรือ?
“คุณอยากรู้จริงๆ หรือว่าผมต้องการอะไร?” พีภัทรเงยหน้าถามเพื่อทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด ถึงอย่างไรแผนการก็ถูกร่างไว้ในหัวของเขาแล้ว เขาต้องเดินหน้ามันต่อไป
“ใช่” ริสาผงกศีรษะ
พีภัทรถอนหายใจ แลบลิ้นแตะริมฝีปากที่แห้งผากแล้วพูด “คอแห้งจริง ช่วยรินน้ำให้ผมแก้วนึงสิ แล้วผมจะบอกคุณทุกอย่างเลย”
หญิงสาวขมวดคิ้ว ขยับกายถอยหลังออกไปเล็กน้อยอย่างไม่ไว้ใจ “นี่คุณวางแผนจะเล่นลูกไม้อะไรอีกหรือเปล่า?”
“เปล่านี่ ผมแค่หิวน้ำ” พีภัทรพูด เมื่อเห็นหญิงสาวยังยืนเฉยอยู่ เขาจึงก้าวลงจากเตียง “โอเค ผมไปรินเองก็ได้”
พูดไปอย่างนั้น แต่พอขยับเท้ากลับรู้สึกเวียนหัวจนต้องคว้าเสาน้ำเกลือพยุงตัวเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันรินให้” ริสากล่าวอย่างใจอ่อน เธอวางสมุดไว้บนเก้าอี้ แล้วรีบหมุนตัวเดินไปยังโต๊ะมุมห้องที่มีกระติกน้ำร้อนเสียบปลั๊กตั้งเอาไว้ ข้างๆ กันนั้นเป็นตู้เย็นสองประตูที่สูงพอๆ กับตัวเธอ บรรยากาศภายในห้องจึงคลายความตึงเครียดไปชั่วขณะ
แต่ในขณะที่ริสาหยิบแก้วน้ำใบหนึ่งขึ้นมาดูความสะอาด เธอไม่เห็นเลยว่าชายหนุ่มในชุดคนป่วยได้เอื้อมมือหยิบสมุดวาดรูปของเธอไปนั่งเปิดดูบนเตียงอย่างสนอกสนใจ โดยเฉพาะในหน้าล่าสุดที่เธอเพิ่งวาดเสร็จ ดินสอ 2b ยังสอดค้างอยู่ในหน้านั้น พีภัทรจับจ้องมันจนแทบลืมหายใจ
เพราะมันเป็นรูปของเขาเอง สุภาพสตรีกุหลาบแดงวาดใบหน้าเขาขณะนอนหลับ มุมล่างของภาพลงวันที่วาดคือวันนี้
เธอเลือกใบหน้าด้านที่มีรอยแผลเป็นของเขาเป็นมุมหลักในการวาด ลายเส้นดินสอที่ให้แสงเงาบอกเขาว่าเธอมีฝีมือในการวาดรูปจริงๆ กว่าจะได้รูปนี้มาคงไม่ใช้เวลาเพียงสิบนาทีหรือยี่สิบนาทีเป็นแน่ แต่มันต้องแลกมากับเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง อันหมายความว่าเธอคงมานั่งอยู่ในห้องนี้ก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติได้พักใหญ่แล้ว
ต่อมศิลปะของพีภัทรในอดีตถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง มันเรียกร้องให้เขาโยนความแค้นทั้งหมดในชีวิตทิ้งไป เขาไม่ควรนั่งคุยกับสุภาพสตรีกุหลาบแดงในเรื่องของความตาย แต่เขาควรจะแลกเปลี่ยนทรรศนะในด้านศิลปะกับเธอมากกว่า
ความรู้สึกนั้นเหมือนได้ใจ มันแจ้งว่ามือของเขาเหมาะแก่การจับพู่กันมากกว่าการจับปืน นานกี่วันกี่เดือนกี่ปีแล้วหนอที่เขาใช้ชีวิตเหมือนคนไร้หัวใจ เขาสูญเสียความฝันของตัวเองไปท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและคมกระสุนที่ลอยว่อนอยู่ในความยุติธรรมที่ไม่เคยมีอยู่จริงบนโลก...
“นี่ ใครอนุญาตให้คุณดูไม่ทราบ” เสียงของริสาดังขึ้นพร้อมกับที่สมุดวาดรูปถูกกระชากกลับออกไป พีภัทรรู้สึกเสียดาย แก้วน้ำอุ่นถูกยื่นเข้ามาแทบกระแทกใส่หน้า ดูเหมือนสุภาพสตรีกุหลาบแดงจะไม่ชอบใจนักที่เขาถือวิสาสะหยิบโลกส่วนตัวของเธอมาเปิดดูอย่างนี้
“คุณมาที่นี่นานแล้วหรือ?” พีภัทรถามหลังรับแก้วน้ำมาถืออย่างเหม่อลอย
“เรื่องของฉัน” ริสาขึงตาตอบอย่างฉุนโกรธ
“คุณมีฝีมือด้านศิลปะมากเลยนะ” นักฆ่าหนุ่มชมหญิงสาวจากใจจริง เขายังไม่สามารถลบภาพวาดของเธอออกไปจากสายตาได้ มันกลับยิ่งทำให้เขานึกถึงภาพโปสการ์ดทำมือที่เธอเคยโพสต์ไว้ในอินเตอร์เน็ตมากขึ้นไปอีก
“คุณสนใจงานศิลปะกับเขาด้วยหรือ?” ริสาถามกลับอย่างประชด
“ใช่ คุณรู้ไหม ผมเกือบจะได้เป็นนักวาดภาพ...” พีภัทรห้ามตัวเองไว้เพียงเท่านั้นด้วยสติเริ่มกลับเข้าที่เข้าทาง ความเพ้อฝันของวันวานถูกความเป็นจริงในปัจจุบันกดทับให้กลับไปหลบอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ ของจิตใจตามเดิม
แก้วน้ำที่ยังไม่ถูกจิบสะท้อนภาพใบหน้าของผู้ถือ เงาสะท้อนของรอยแผลเป็นบนแก้วทำให้พีภัทรกลับมาเป็นนักฆ่า Black Gun ผู้เชื่อมั่นในการทวงคืนความยุติธรรมคนเดิม เขายกแก้วทาบริมฝีปากแล้วกระดกดื่มดับอารมณ์โหยหาอดีต
เขายกแขนเสื้อซับริมฝีปากเมื่อส่งแก้วคืนให้หญิงสาวและถาม “น้องสาวคุณเป็นยังไงบ้าง?”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังไม่ได้สติ” ริสาตอบ วางแก้วลงบนโต๊ะข้างเตียง ยืนถือสมุดวาดรูปไว้อย่างกลัวว่าเขาจะหยิบมันไปเปิดดูอีก “มาพูดเรื่องของคุณกันดีกว่า คุณสัญญาแล้วนะว่าจะเล่าให้ฉันฟังทุกอย่าง” พีภัทรผงกศีรษะ มันเป็นการผงกศีรษะกับตัวเองมากกว่าผงกศีรษะเพื่อรับคำเธอ
เขากล่าวถามออกมาเบาๆ “ถ้าเข้าใจไม่ผิด คุณคงตรวจค้นดูกระเป๋าของผมทุกซอกทุกมุมแล้วสินะ”
“คุณถามทำไมล่ะ?” ริสาขมวดคิ้ว
“จากของที่คุณพบในกระเป๋า คุณคิดว่าผมทำงานเกี่ยวกับอะไร?”
คำถามของพีภัทรทำให้เธอต้องคิดหนักกว่าจะตอบ ริสานั่งคิดมาตลอดคืนว่าเขาคนนี้มีอาชีพอะไรกันแน่ ในกระเป๋าของเขาเต็มไปด้วยเสื้อผ้าในรูปแบบต่างๆ กล่องใส่เครื่องสำอางและอุปกรณ์ปลอมแปลงใบหน้า ยังไม่นับบรรดากล่องใส่กระสุนปืนและบัตรประชาชนและนามบัตรปลอมพวกนั้น
รวมถึงโทรศัพท์มือถือที่เธอลองเปิดดูและพบรูปภาพที่แอบถ่ายอาพิชิตในงานศพพ่อเธออีก
“คุณทำตัวเหมือนพวกนักสืบในนิยาย” ริสาตอบออกมาในที่สุด
“โชคร้ายที่มันไม่ใช่นิยาย” พีภัทรพูดแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างขมขื่นชีวิต “ผมเป็นนักฆ่า อาชีพของผมคือฆ่าคน และเหตุผลที่ทำให้ผมยังอยู่ที่ลำปางก็เพื่อล้างแค้นให้พ่อแม่ผม พวกเขาถูกฆ่าตายเมื่อผมยังเด็ก...และคนที่สั่งฆ่าพวกเขาก็คือพ่อของคุณ ริสา พ่อคุณทำให้ผมกลายเป็นเด็กกำพร้า!”
------------------------------
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
30 เม.ย. 55 16:49:17
|
|
|
|
 |