Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Black Gun And Red Rose - กุหลาบแดงและปืนดำ - บทที่ 14 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11691462/W11691462.html

บทที่ 2 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11703633/W11703633.html

บทที่ 3 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11718987/W11718987.html

บทที่ 4 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11728001/W11728001.html

บทที่ 5 http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2012/02/W11751888/W11751888.html

บทที่ 6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11770861/W11770861.html

บทที่ 7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11795300/W11795300.html

บทที่ 8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11817498/W11817498.html

บทที่ 9 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11842423/W11842423.html

บทที่ 10 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11862773/W11862773.html

บทที่ 11 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11882295/W11882295.html

บทที่ 12 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11912513/W11912513.html

บทที่ 13 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11956587/W11956587.html

-----------------------

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ Psycho man - ขอบคุณสำหรับคำชมถึงพีภัทรครับอาจารย์ ถ้าได้จับคู่กับทิวากรน่าจะเป็นคู่หูสะท้านนรกจริงๆ ด้วย และพวกเราคงจะได้เห็นการจับคู่ตะลุยดงตรีน(หง่ะ -_-" ) ของสองหนุ่มนี้อีกในช่วงท้ายเรื่องครับ

ปล.ฝากบอกคุณ GTW ด้วยนะครับอาจารย์ว่านักเขียนจะพยายามไม่ป่วยจนทิ้งช่วงไปอีกครับ แฮ่ๆ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณรุริกะ - แบบพีภัทรเค้าเรียกหล่อลากเลือดครับ มีหล่อลากไส้ หล่อลากดินไปแล้ว อันนี้หล่อลากเลือด อิอิ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณกาปอมซ่า - วันนี้รีเควสอะไรดีน้า อืมม์ อ้อ นึกออกแล้วครับ ขอเป็นขนมลอดช่องน้ำกะทิใส่น้ำแข็งเย็นๆ มีไหมครับ ถ้าไม่มีขอขนมหวานอื่นๆ แก้ร้อนก็ได้ ช่วงนี้ร้อนจนอยากแปลงร่าง อ๊ากกก!

ขอบคุณกิฟท์(ที่หมด)จากคุณสะเก็ดดาวเสาร์ - บทที่ 14 มาแล้วนะครับ แต่บทที่ 15 ยังมะรู้ อ๊ะ ล้อเล่งงงงงง จะรีบปั่นชดเชยที่หยุดเขียนไปหนึ่งอาทิตย์ครับ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณห้าสิบป่าย - บทที่แล้ววิ่งหลบกระสุนกันจ้าละหวั่น บทนี้(รวมถึงบทหน้า)เบรกอารมณ์บู๊กันนิดหน่อยเนาะครับ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณเพชรรุ้งพราย - ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ ^^

ขอบคุณกิฟท์จากคุณเงาดินสอ - ขอบคุณที่ตามอ่านและไม่หนีไปไหนครับ แฮ่ๆ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณน้ำพรมหนำ - มาให้โล่งอีกหนึ่งตอนแล้วนะครับ บทนี้ผ่อนอารมณ์กันหน่อย ให้พระเอกนางเอกเขาทำความรู้จักกันและกันบ้าง

ขอบคุณกำลังใจจากคุณปันฝัน - บทนี้คงอ่านแบบสบายๆ ไม่ต้องลุ้นมากเหมือนบทก่อนครับ เพราะกระสุนเก็บไว้ปล่อยกันเต็มที่ในช่วงท้ายเรื่อง เอิ๊กๆ

ขอบคุณกำลังใจจากคุณ Sniper-1500watt - ระวังหมอนขาดนะครับ อิอิ ตอนแรกจะใส่บทผายปอดเหมือนกัน แต่กลัวพีภัทรโดนตบ!

ขอบคุณกิฟท์จากคุณใยไหมกะใบม่อน - ไม่รู้จะมีฉากให้จิ้นกันต่ออีกไหมนะครับพี่ไหม ต้องคอยติดตาม อิอิ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณ zoi - ถ้าไม่มีพี่โส้ยช่วยเก็บ ป่านนี้บทแรกๆ คงหายไปในจักรวาลแล้วมั้งครับเพราะผมไม่ได้กดเก็บเลย(อ๊อกซ์!)

ขอบคุณกิฟท์จากคุณชมภัค - ยังรองานโพสต์ของพี่อยู่นะฮะ

ขอบคุณกิฟท์จากคุณให้เพียงเธอหมดใจ - คำตอบมาแล้วครับว่าพระเอกของเราจะเป็นอย่างไร ว่างเมื่อไหร่ค่อยตามอ่านก็ได้ครับผม ^^

ในที่สุดบทที่ 14 ก็มาซะที หลังจากนี้คาดว่าน่าจะกลับมาประจำการให้อ่านอย่างสม่ำเสมอดังเดิม แหะๆ กิฟท์หมดแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม และขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านครับ


-----------------------

บทที่ 14

เมืองลำปาง, ห้างฉัตร
โรงพยาบาลห้างฉัตร

เฉลียงทางเดินหน้าห้องฉุกเฉินแลดูคุ้นตาอย่างประหลาด

ริสาไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอกำลังกลับมายืนที่นี่อีกครั้ง เมื่ออาทิตย์ก่อนเธอก็ยืนอยู่ตรงนี้ บริเวณนี้ เดินกลับไปกลับมาด้วยความกระสับกระส่ายไม่สบายใจแบบนี้ เสียแต่ว่าครั้งก่อนเธอไม่มีรอยแผลขูดขีดตามใบหน้าและแขนขาเท่านั้น

ริสากอดกระชับกระเป๋าเป้ของเขาคนนั้นไว้แนบอก เสื้อคลุมของเขายังคลุมอยู่บนไหล่เธอให้ความอบอุ่นไม่คลาย เธอไม่ยอมปล่อยให้ของสองสิ่งนี้อยู่ห่างกายเลยแม้กระทั่งตอนที่พยาบาลลากตัวเข้าไปทำแผล ริสาไม่รู้ว่าข้างในกระเป๋านี้บรรจุอะไรอยู่บ้างนอกจากกระเป๋าใส่บัตรประชาชนหลายใบหลายนาม เธอเลือกมันออกมาใบหนึ่งและแจ้งแก่พยาบาลว่าผู้บาดเจ็บชื่อพีภัทร สินธุธานต์ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าบัตรประชาชนใบนั้นใช่ของจริงหรือเปล่า

แต่จากการกระทำตัวลึกลับของเขา ริสาก็เข้าใจว่าเขาคงไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริง ดังนั้นเธอจึงบอกกับตัวเองว่าเวลาอันเหมาะสมที่จะเปิดกระเป๋าเป้ใบนี้ออกสำรวจดูเพื่อค้นหาตัวตนของเขา ต้องเป็นเวลาที่เธออยู่เพียงลำพังเท่านั้น ซึ่งกว่าที่เวลานั้นจะมาถึง ก็คงอีกหลายชั่วโมง

ร่างที่สลบไม่ได้สติของชายผู้ที่เธอตัดสินใจเรียกเขาว่าพีภัทรถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมกับร่างที่หมดสติไประหว่างเดินทางของรัมภาได้เกือบสิบนาทีแล้ว ขณะนี้ในเฉลียงทางเดินนอกจากจะมีริสาแล้ว ข้างกายเธอยังมีร่างของทิวากรที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้ากระสับกระส่ายไม่แพ้กันอีกหนึ่งคน  

ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ริสาก็ดูออกว่าทิวากรเป็นห่วงน้องสาวต่างมารดาของเธอมาก

หนุ่มตี๋ปฏิเสธการทำแผลและตรวจเช็คร่างกายอื่นใด เขายืนยันว่าไม่เป็นไร เหล่าพยาบาลจึงทำได้เพียงให้ยาทาแก้ฟกช้ำมาหนึ่งหลอด แต่ทิวากรแทบไม่สนใจเลย ตลอดเวลาเขาเอาแต่ยืนกอดอก เดินกลับไปกลับมาสวนกับริสา และถอนหายใจหนักหน่วงออกมานานๆ ครั้งเท่านั้น

เสื้อของเขายังเปรอะเปื้อนเลือดของรัมภาเต็มไปหมด ทิวากรรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างเดินทางเลือดของเด็กสาวไหลทะลักอย่างน่ากลัว สองขมับที่ปวดตึบๆ ของเขาไม่ใช่การเจ็บปวดเพราะความฟกช้ำทางร่างกาย หากแต่เป็นผลจากความเครียดที่ทับถมเพิ่มพูนขึ้นทุกๆ วินาทีที่เข็มนาฬิกากระดิกผ่านไปต่างหาก

มันทำให้เขาถึงกับสะดุ้งโหยงเล็กน้อยเมื่อบังเกิดเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หนุ่มตี๋ล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันเป็นโทรศัพท์มือถือที่เขาขอยืมมาจากพนักงานของรีสอร์ทที่ทำหน้าที่ขับรถมาส่งพวกเขาที่โรงพยาบาล ส่วนโทรศัพท์มือถือของเขาเองนั้น ทิวากรยังทิ้งมันไว้ในรถซึ่งตอนนี้ใครบางคนคงขับกลับไปจอดไว้หน้าบ้านพักหลังรีสอร์ทให้เขาเรียบร้อยแล้ว

“คุณเรณู คุณเดโชและคุณพิชิตมาถึงโรงพยาบาลแล้วครับคุณหมิง ตอนนี้กำลังเดินเข้าไป พวกเขาหน้าเครียดจนผมไม่กล้าเข้าไปทัก” เสียงของยิ่งยอดผู้ที่ทิวากรมอบให้ทำหน้าที่คอยยืนดูต้นทางอยู่ในลานจอดรถดังมาเข้าหูทันทีที่หนุ่มตี๋กดปุ่มรับสาย

“เหรอ อืมม์ รู้แล้ว ขอบใจมาก” ทิวากรถอนหายใจ “เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณพาลูกน้องกลับไปก่อนเถอะ”

“ครับ”

เมื่อวางสายแล้ว ทิวากรก็ยัดโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมายังริสาที่หยุดยืนดูเขาคุยโทรศัพท์ตาเขม็ง

เขากล่าวหลังแค่นยิ้ม “ป๊าหมิงมาแล้ว โรสไม่ต้องพูดอะไรนะ ปล่อยให้หมิงพูดทั้งหมดเอง”

“อาชิตไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม?” ริสาต้องการจะถามว่าเรณูเดินทางมาด้วยใช่หรือไม่ ทิวากรเข้าใจดีจึงผงกศีรษะตอบ แต่พอริสาจะถามต่อว่าทิวากรคิดจะทำอย่างไรต่อไปกับเขาคนนั้นที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างของพิชิตและเดโชก้าวพ้นมุมทางเดินเข้ามาโดยมีร่างระหงของเรณู บุษบายุธเดินนำหน้า เธอจึงต้องปิดปากเงียบและยืนกอดกระเป๋าเป้อยู่ด้านหลังทิวากร

“ทำไมถึงปล่อยให้ยัยมินโดนยิงได้นะอาหมิง!” เรณูกรีดเสียงลั่นเฉลียงทางเดินขณะเดินตรงเข้ามาหาทิวากรและตวัดฝ่ามือตบแก้มหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายจนหน้าหัน “ทำไมถึงปล่อยให้น้องเจ็บ ถ้ายัยมินเป็นอะไรขึ้นมานะ อย่าหวังเลยว่า – ”

“ใจเย็นน่า อาเจิน” เดโชแทรกขึ้นพร้อมกับคว้ามือของเรณูที่เตรียมตบแก้มอีกด้านของหลานชายเอาไว้กลางอากาศ

เรณูน้ำตาคลอเบ้า หันกลับไปซบไหล่เดโชร้องไห้อย่างคนที่เกือบจะควบคุมสติไม่อยู่ เดโชโอบกอดหญิงที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นน้องสาวของเขาอย่างปลอบโยน แต่ดวงตาคมวาวน่ากลัวนั้นกลับจับจ้องมาที่ทิวากรอย่างกล่าวโทษเช่นเดียวกัน

ทั้งที่โอบกอดเรณูในอ้อมแขน บุรุษผู้มีผมสีดอกเลาก็ยังสามารถเค้นเสียงถามทิวากรได้อย่างเฉียบขาด “ลื้ออธิบายมาซิว่าเรื่องมันเป็นยังไง อาหมิง ไอ้คนที่โทรไปตามป๊าลื้อมันบอกว่าเป็นฝีมือของไอ้ลูกชายพ่อเลี้ยงกำธร เรื่องจริงหรือเปล่า?”

“จริงครับแปะ” หนุ่มตี๋ตอบ รอยนิ้วห้าแฉกแดงโร่อยู่บนแก้ม “พวกมันดักเล่นงานอั๊วกลางทางกลับรีสอร์ท”

“น่าขายหน้า นี่ลื้อพลาดท่าไอ้ไก่อ่อนแบบนั้นได้ยังไง” เดโชส่ายศีรษะ เบนสายตาไปทางอื่นเหมือนรับไม่ได้ที่จะจับจ้องใบหน้าของหลานชาย

ทิวากรยืนก้มหน้ามองพื้น เห็นเท้าของบิดาเดินมายืนข้างเขาเหมือนต้องการจะช่วยแบ่งรับการกล่าวโทษและตำหนิจากเดโชและเรณู  ทิวากรกำลังใช้สติเรียบเรียงคำพูดเพื่อบอกเล่าเรื่องราวย่อๆ เขารู้ดีว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องราวของพีภัทรผู้ลึกลับให้ใครรู้ เพราะจากการที่หมอนั่นใช้ปืนได้อย่างแม่นยำ มีศิลปะป้องกันตัวอย่างฉกาจ และยังพกบัตรประชาชนปลอมอีกหลายใบ ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็พอจะประมวลผลออกมาได้แล้วว่าคงไม่ใช่สุจริตชนสักเท่าไหร่

แต่การที่หมอนั่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขากับริสาและรัมภาคราวนี้ ถึงแม้จะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงก็ตาม อย่างไรเสียก็ถือว่ามีบุญคุณ ทิวากรจะพูดถึงหมอนั่นเมื่อถึงคราวจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น

หนุ่มตี๋เรียบเรียงคำพูดและเนื้อหาเสร็จพอดี แต่ไม่มีโอกาสพูดเพราะประตูห้องฉุกเฉินเปิดผางออก ส่งผลให้ทุกคนละความสนใจจากเขาไปชั่วขณะ

“ขอโทษค่ะ ใครเป็นญาติของนางสาวรัมภา บุษบายุธบ้างคะ?” พยาบาลวัยยี่สิบกว่าๆ คนหนึ่งเดินออกมาพร้อมความเครียด

“ฉันค่ะ ฉันเป็นแม่แก” เรณูโพล่งตอบแทบจะในทันที หล่อนผละออกจากอ้อมกอดของเดโชและยกมือปาดน้ำตาอย่างเร่งรีบ

พยาบาลสาวผู้นั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นขณะพูดว่า “จากการตรวจดูบาดแผลเบื้องต้นพบว่ากระสุนฝังในต้องรีบผ่าตัดนำหัวกระสุนออกมา แต่ผู้บาดเจ็บมีเลือดกรุ๊ปเอบี ทางโรงพยาบาลของเรามีเลือดสำรองในกรุ๊ปนี้อยู่น้อยมาก เกรงว่าจะไม่เพียงพอต่อการผ่าตัดค่ะ ขณะนี้เราได้พยายามติดต่อขอเลือดจากโรงพยาบาลข้างเคียงอยู่ แต่คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะได้เลือดมา ไม่ทราบว่าคุณแม่มีเลือดกรุ๊ปอะไรคะ ถ้ากรุ๊ปเดียวกันจะทำให้การรักษาเร็วกว่ามาก”

ใบหน้าของเรณูสลดวูบลง “กรุ๊ปบีค่ะ ไม่ทราบว่าใช้แทนกันได้หรือเปล่า?”

พยาบาลสาวเม้มปาก ส่ายศีรษะ “ไม่ได้ค่ะ คือเลือดสำรองในกรุ๊ปอื่นๆ ทางโรงพยาบาลของเราก็ยังมีอยู่และที่จริงแล้วผู้ป่วยที่มีเลือดกรุ๊ปเอบีก็สามารถรับเลือดได้ทุกกรุ๊ป แต่ถ้าเลี่ยงได้แพทย์ก็จะเลี่ยงเพราะกลัวเลือดจะเข้าไปตกตะกอนทำให้เป็นอันตรายกับผู้ป่วยค่ะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนก็หน้าซีดลงไปถนัดใจ บรรยากาศในเฉลียงทางเดินเงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน แต่ความเงียบงันและสีหน้าที่ซีดสลดก็ดำรงอยู่ได้เพียงไม่กี่วินาที เพราะเดโชโพล่งขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิดว่า

“ผมมีเลือดกรุ๊ปเอบีครับคุณพยาบาล ถ้าต้องการให้เลือดต้องทำอย่างไรบ้าง?”

“ไม่ทราบว่าคุณพ่อเคยผ่านการบริจาคเลือดมาบ้างหรือเปล่าคะ?” พยาบาลสาวพูดอย่างไม่ได้คิดอะไร เพราะจากภาพที่เห็นชายหญิงสองคนนี้ยืนกอดกันอย่างปลอบประโลมขณะเธอเปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา ย่อมทำให้เธอเข้าใจว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน และในเมื่อฝ่ายหญิงเป็นมารดาของผู้เจ็บ ฝ่ายชายก็ต้องเป็นบิดาแน่ๆ

“ไม่เคย” เดโชตอบสั้นๆ สีหน้าราบเรียบไม่มีอะไรผิดปกติ ต่างจากใบหน้าของเรณูที่เผยความประหลาดใจส่ออาการพิรุธออกมาแวบหนึ่ง แต่หล่อนก็สลายมันไปได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน

ทว่า ไม่เร็วเกินกว่าที่สายตาของทิวากรและริสาจะเหลือบไปพบเห็นเข้าพอดี

“แล้วสุขภาพเป็นอย่างไรบ้างคะ มีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า?” พยาบาลสาวซักถามต่ออย่างกระตือรือร้น

“ไม่มี ผมแข็งแรงดี” เดโชตอบ

“คุณพ่อดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่หรือเปล่าคะ?”

“ไม่” น้ำเสียงของบุรุษผู้มีผมสีดอกเลาบ่งบอกว่าเริ่มจะเกิดความรำคาญขึ้นมาบ้างแล้วที่โดนถามซอกแซก

“งั้นตามมาเลยค่ะ เราต้องพิสูจน์ดูก่อนว่าเลือดของคุณพ่อสะอาดพอหรือเปล่า หวังว่าคุณพ่อคงเข้าใจนะคะ ถึงเราต้องการเลือดกรุ๊ปเอบี แต่เราก็ต้องการเลือดที่สะอาด หากผู้ให้เลือดมีโรคประจำตัว นอนดึก ชอบดื่มสุราหรือของเสพติดอื่นๆ ก็เป็นเลือดที่ใช้ไม่ได้” พยาบาลสาวก้าวเดินนำทางพร้อมกับหันมาพูดกับเดโชที่เดินตามไปอย่างพยายามจะอธิบาย

เมื่อพยาบาลสาวและเดโชเดินพ้นมุมทางเดินไปแล้ว ทิวากรก็คว้าแขนริสาแล้วลากออกมาที่มุมทางเดินอันเป็นมุมที่ตั้งของตู้กดน้ำดื่ม ส่วนพิชิตและเรณูยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินดังเดิม

“เมื่อกี้โรสเห็นสีหน้าของคุณเรณูตอนที่พยาบาลเรียกแปะโชว่า ‘คุณพ่อ’ หรือเปล่า?” ทิวากรกระซิบถามเบาหวิวขณะหยิบแก้วกระดาษมากดใส่น้ำดื่ม สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมากกว่าเคยเมื่อยกแก้วกระดาษขึ้นจิบ

“อืมม์” ริสารับคำในลำคอเบาๆ ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านั้นเพราะนึกกลัวความคิดของตัวเอง

“พ่อเลี้ยงมีเลือดกรุ๊ปอะไร โรสพอจำได้ไหม?” ทิวากรกระซิบถามต่อเมื่อลดแก้วลงจากริมฝีปาก

ริสาผงกศีรษะ “พ่อโรสมีเลือดกรุ๊ปโอ โรสจำได้เพราะโรสก็มีเลือดกรุ๊ปโอเหมือนพ่อ”

หนุ่มตี๋หรี่ตา “ถ้าพ่อเลี้ยงมีเลือดกรุ๊ปโอ คุณเรณูมีเลือดกรุ๊ปบี แล้วลูกสาวอย่างคุณมินทำไมถึงมีเลือดกรุ๊ปเอบีเหมือนแปะโชได้ล่ะ?”

ริสาเบิกตาโตด้วยไม่นึกว่าทิวากรจะมีความคิดเดียวกับเธอ หญิงสาวพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง เธอเหลียวไปมองทางอื่นอย่างต้องการเวลารวบรวมความคิด ไม่ทันสังเกตว่าพิชิตกำลังยืนมองมาที่พวกเธออยู่ ในขณะที่เรณูยังกระสับกระส่ายแทบจะแนบใบหน้าลงบนช่องกระจกของประตูห้องฉุกเฉินเพื่อสอดส่ายสายตามองเข้าไปด้านในอยู่แล้ว

เสียงกระซิบของทิวากรดังขึ้นข้างหูริสาอีกครั้ง

“ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ทำไมคุณเรณูต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นด้วยตอนที่พยาบาลคนนั้นนึกว่าแปะโชเป็นพ่อคุณมิน หมิงว่ามันมีอะไรแปลกๆ นะ โรสลองนึกถึงข้อความในพินัยกรรมที่พ่อเลี้ยงเขียนเอาไว้สิ พูดเหมือนกับคุณมินไม่ใช่ลูกงั้นแหล่ะ สงสัยจริงว่าพ่อเลี้ยงจะรู้อะไรที่พวกเรายังไม่รู้หรือเปล่า?”

“นี่หมิงกำลังจะบอกว่า...” ริสาพูดได้เพียงเท่านั้น ลำคอก็ตีบตันด้วยก้อนสะอื้นที่พุ่งขึ้นมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน ข้อความที่ปรากฏในพินัยกรรมซึ่งประกาศผ่านทนายคนนั้นหวนกลับมาก้องกังวานในหูเธอเหมือนวิทยุที่มีลำโพงระบบสเตอริโอ มันทำให้เธอแทบไม่ได้ยินในสิ่งที่ทิวากรกล่าวอย่างปวดร้าวใจเลย

“บางที...คุณมินอาจไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อเลี้ยงและไม่ใช่น้องสาวของโรสก็ได้”

“แต่สองคนนั้นเขาเป็นพี่น้องกันนะ” ริสาพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง “ไม่น่าเป็นไปได้”

ทิวากรสั่นศีรษะ “ไม่มีใครยืนยันได้หรอกว่าแปะโชกับคุณเรณูเป็นพี่น้องกันจริงหรือเปล่า หมิงจะต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้ ยังไงก็ยังมีทนายคนนั้นอยู่ เขาบอกว่าพ่อเลี้ยงเก็บหลักฐานสำคัญบางอย่างที่เป็นเหตุผลรองรับพินัยกรรมไว้ในตู้เซฟที่กรุงเทพ บางทีมันอาจเป็นหลักฐานที่เราต้องการก็ได้”

ริสาหันหน้ากลับมาสบตาทิวากร “แล้วเรื่องที่มีคนต้องการจะฆ่าโรสกับเรื่องที่มีคนบุกเข้าไปหาพ่อหมิงที่บ้านล่ะ มันจะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยไหม?”

“นั่นต้องถามเพื่อนใหม่ของเราแล้วล่ะ” ทิวากรตอบก่อนยิ้มฝืด

“เพื่อนใหม่หรือ?” ริสาขมวดคิ้ว

หนุ่มตี๋ยกมือบุ้ยใบ้ไปที่กระเป๋าเป้ที่ริสากำลังกอดอยู่ “ก็เจ้าของเป้ใบนี้ไง เขาคงพอจะบอกอะไรเราได้บ้างแหล่ะ หมิงคิดอย่างนั้นนะ”

หญิงสาวก้มมองกระเป๋าเป้ในแขน แล้วเงยหน้าจ้องมองเพื่อนสนิท  ก่อนอ้อมแอ้มออกมา “แล้วหมิงจะเอายังไงต่อ...เรื่องเขาน่ะ?”

ทิวากรตอบ นัยน์ตาเป็นประกายจริงจังขึ้น “ก็รักษาตัวให้หาย แล้วหาทางล้วงความลับออกมาให้ได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่าเขาคือใคร”

“หมิงมีวิธีหรือ?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ในกระเป๋าเขามีบัตรปลอมชื่อปลอมตั้งหลายใบ”

ผู้ถูกถามยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ “คิดว่ามี แต่ต้องใช้เวลา นามสกุลเขาที่โรสแจ้งชื่อกับพยาบาลคุ้นหูหมิงชอบกลอยู่ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน”

“จริงหรอ?” เสียงของริสาเต็มไปด้วยความหวัง “งั้นเดี๋ยวโรสหยิบบัตรออกมาให้ดูนะ รู้สึกบัตรใบนั้นจะใช้ชื่อพีภัทรอะไรสักอย่าง”

พูดจบหญิงสาวก็ทำท่าจะรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ แต่ทิวากรก็รีบขัดขึ้นเพราะเหลือบไปเห็นว่าบิดากำลังย่างเท้าเดินเข้ามาหา

“เดี่ยวก่อนโรส ยังไม่ต้อง”

เมื่อริสาหยุดชะงักและหันมองหนุ่มตี๋ เธอก็พบว่าเขากำลังค้อมหัวฝืนยิ้มให้กับใครบางคน ริสาจึงหมุนตัวและทอดมองตามสายตาของเขาไป แล้วใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของพิชิตก็ส่งยิ้มมาให้เธออย่างขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะ

ริสารีบปิดกระเป๋าเป้และกอดมันไว้ตามเดิม พิชิตเดินมาถึงพอดี เขาพยักหน้าให้บุตรชายทีหนึ่งก็หันมายิ้มและถามหญิงสาวเสียงเรียบว่า
“บาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับคุณหนู ให้หมอตรวจดูหรือยัง?”

“ตรวจแล้วค่ะ โรสไม่เป็นไร” ริสาตอบ “แค่โดนกิ่งไม้ข่วน เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดของยัยมิน”

ขณะผงกศีรษะรับทราบ สายตาของพิชิตก็จับจ้องที่กระเป๋าเป้กับเสื้อแจ็คเก็ตตัวโคร่งซึ่งคลุมอยู่บนไหล่ของหญิงสาวรุ่นลูกตลอดเวลา เขาทำท่าจะถามอะไรเกี่ยวกับของสองชิ้นนั้นออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย หันกลับมาถามบุตรชายด้วยความห่วงใยว่าบาดเจ็บมากหรือเปล่า

ทิวากรตอบเหมือนริสาคือไม่เป็นไร

พิชิตถอนหายใจเล็กน้อยก็หันมากล่าวกับหญิงสาวอีกครั้ง “ถ้าคุณหนูอยากกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือนอนพักเมื่อไหร่ก็เดินไปที่ลานจอดรถนะครับ ผมให้เหลาเฟอคอยขับรถรับใช้คุณหนูอยู่ที่นั่น”

ริสารับคำเบาๆ แต่ไม่มีความคิดที่จะเดินทางกลับไปนอนพักอยู่ในหัวเลย

เธอคิดว่าบิดาของทิวากรคงพูดเพื่อเป็นเหตุผลในการนำเข้าสู่เรื่องอะไรบางอย่างที่พยายามกันเธอออกไปมากกว่า

และเธอก็คิดถูก

“อาหมิง อั๊วกับลื้อมีเรื่องบางอย่างต้องคุยกัน ให้คุณหนูไปพักผ่อนแล้วเราไปหาที่สงบๆ คุยกันดีกว่า” พิชิตหันไปพูดกับทิวากรด้วยเสียงที่บอกว่าเขาจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทิวากรตระหนักได้ในวินาทีนั้นว่าเรื่องที่บิดาต้องการพูดกับเขาต้องเป็นเรื่องที่สำคัญแน่ เขาหันสบตาหญิงสาว เธอผงกศีรษะเข้าใจ ทิวากรจึงกำแก้วกระดาษจนบุบและทิ้งมันลงถังขยะ ก่อนหันมาผงกศีรษะให้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อมก่อนพากันเดินออกมายังสวนหย่อมด้านหน้าตึกในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

“ป๊ามีอะไรจะพูดกับอั๊วหรือ?” ทิวากรถามอย่างไม่รอช้า

“ลื้อเป็นคนยิงลูกชายไอ้พ่อเลี้ยงกำธรจริงๆ หรือเปล่า?” พิชิตถามทันทีเช่นกัน “ตอบอั๊วมาตามความจริงนะ”

หนุ่มตี๋รู้ดีว่าถึงเขาโกหก แต่ก็ไม่มีทางที่จะตบตาบุพการีของตัวเองได้เด็ดขาด เขาจึงต้องก้มหน้าตอบตามความจริง

“ไม่ใช่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นใครยิง มันสำคัญมากนะ พรุ่งนี้รับรองไอ้พ่อเลี้ยงกำธรต้องเต้นเป็นเจ้าเข้าวิ่งมาหาพวกเราแน่”

“เขา...เป็นเพื่อนอั๊ว” หนุ่มตี๋ตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

“อยู่ไหน อั๊วไม่ยักเห็น” พิชิตหรี่ตาจ้องมองบุตรชายอย่างพินิจพิเคราะห์ “เป็นเจ้าของกระเป๋าที่หนูโรสหอบติดตัวใช่ไหม?”

“ครับ” ทิวากรกลั้นใจสบตาตอบบิดา “เกิดเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย เขาโดนคนงานที่ไปช่วยพวกเรายิงและใช้ปืนฟาดหัวจนสลบ ตอนนี้เลยอยู่ในห้องฉุกเฉินเหมือนคุณมิน”

“เขาเป็นใคร?” พิชิตถามอย่างไล่บี้

ทิวากรตัดสินใจไม่ตอบ “เขาเป็นใครอั๊วคิดว่าตอนนี้มันยังไม่สำคัญหรอกนะป๊า อั๊วคิดว่ามันมีเรื่องสำคัญมากกว่านี้หลายสิบเท่าผุดขึ้นมารอให้ป๊าตรวจดูมากกว่า - สำคัญมากกว่าเรื่องที่พ่อเลี้ยงกำธรจะมาหาเราซะอีก”

“ลื้อกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นจากไฟลวกถึงกับแปลกใจไม่น้อยที่บุตรชายกล้าไม่ตอบคำถามของเขา

“พฤติกรรมของแปะโชกับโกวเจินน่ะ” ทิวากรกระซิบ “อั๊วว่ามีบางอย่างน่าสงสัย”

“แปะกับโกวเขาน่าสงสัยยังไง” พิชิตเสียงแข็งจนกลายเป็นกระด้าง “ลื้อพูดให้ดีนะ”

หนุ่มตี๋ยังคงพูดต่อไป “อั๊วสงสัยว่าพวกเขาสองคนจะไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ น่ะสิ  ป๊าเองก็เคยเล่าให้อั๊วฟังไม่ใช่หรือว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าแปะโชมีน้องสาว จนกระทั่งแปะพามาแนะนำตัวเมื่อสิบแปดปีก่อน”

“แล้วไง” พิชิตตอบอย่างปกป้อง “แปะลื้อไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังมาแต่ไหนแต่ไร อั๊วไม่เห็นมันจะแปลกตรงไหน”

“แต่มันแปลกตรงกรุ๊ปเลือดของคุณมิน ป๊าก็เห็นว่าคุณมินมีกรุ๊ปเลือดเดียวกับแปะ” ทิวากรพูดอย่างคนที่เฉลยไพ่ตายออกมา “ไม่ใช่พ่อลูกกัน เป็นแค่ลุงกับหลาน แต่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกัน ป๊าว่าน่าสงสัยไหมล่ะ?”

“เรื่องบังเอิญ ลื้ออย่ามาพูดพล่อยๆ แบบนี้ให้อั๊วได้ยินอีกนะ อาหมิง” ปากพูดว่าเรื่องบังเอิญ แต่บางส่วนในดวงตาของพิชิตกลับทอแววบางอย่างขึ้นมา

“เรื่องแบบนี้มันบังเอิญไม่ได้หรอก ป๊าลองตรวจสอบดูแล้วกัน อั๊วคิดว่าแปะอาจจะปิดบังอะไรพวกเราอยู่” หนุ่มตี๋สบโอกาสรุกต่อ “แล้วไหนจะเรื่องการตามหาตัวคนใช้ที่หายตัวไป เรื่องทุกอย่างพวกเราปล่อยให้แปะจัดการเพียงคนเดียว เขาจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

หลังบุตรชายพูดจบ มือของพิชิตก็กำเป็นหมัดแน่นขณะตอบกลับไปว่า “นี่ลื้อเห็นแปะโชเป็นยักษ์เป็นมารไปแล้วหรือไงหือ อาหมิง? ลื้อกำลังคิดอะไรอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า ระวังคำพูดเสียบ้าง ถ้ามันหลุดไปถึงหูแปะโชเมื่อไหร่ เขาเล่นลื้อตายแน่ แม้แต่อั๊วก็ช่วยไม่ได้!”

ทิวากรส่ายศีรษะ “อั๊วไม่กลัวหรอกครับป๊า ถ้าแปะเขาจะเล่นอั๊วถึงตายขนาดนั้น มันก็ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่อั๊วพูดน่ะเป็นความจริง!”

พิชิตได้แต่ยืนนิ่ง จ้องมองบุตรชายด้วยความสับสนที่เริ่มก่อตัวน้อยๆ ในจิตใจ...


++++++++

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 16:47:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com