ป้า กับ Mickey เป็นความผูกพันระหว่างหมาตัวหนึ่งกับคนๆหนึ่ง
"ป้า" เป็นเพื่อนกับปอมมานาน แล้ววันหนึ่งป้าก็สอบชิงทุนของรัฐบาลไทย ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา ด้วยความที่จากบ้านไปนานๆ ป้าก็เกิดอาการคิดถึงบ้านขึ้นมา ไอ้ครั้นจะกลับบ้านบ่อยๆก็เปลืองค่าเครื่องบินที่ทางรัฐบาลไม่ได้ออกให้ ป้าเลยแวะเวียนไปที่สถานที่ๆเขาจับสุนัขและแมวจรจัดไว้กักกัน
เป็นความรู้เพิ่มเติมของปอมว่า สถานที่นี้เป็นที่พักชั่วคราวของสุนัขและแมวที่คาดว่าไม่มีเจ้าของ เพราะมันไม่มีปลอกคอ (ลืมถามไปเรื่องไมโครชิบ) เจ้าหน้าที่จะกักสัตว์พวกนี้ไว้สักพัก ถ้าไม่มีคนมาตามหาหมาแมวหาย หมาแมวพวกนี้ก็จะถูกเอาไปทำให้หลับ แต่มันแย่ตรงที่ว่าหลับแล้วหลับเลยไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก
ตอนที่ป้าไปถึง ก็เดินดูๆหมาตามกรง เจอ ลูกหมาพันธุ์ลาบราดอร์ผสม อายุประมาณ 1 เดือน สีดำ เมื่อตาสองคู่มาผสานกัน ป้าและมันก็รู้สึกถูกชะตา แต่ไม่เอา เดินไปดูตัวอื่นก่อนดีกว่า พอป้าเดินผ่านกรงไป เจ้าลูกหมาก็ตะโกนร้อง บ๊อกๆลั่น (หมาเด็กเห่า บ๊อกๆ หมาผู้ใหญ่ถึงจะเห่าโฮ่งๆ) ป้าก็หันกลับมาที่กรงของ เจ้าด๊ำดำ ใหม่ มันก็หยุดเห่าทันใดเหมือนกัน เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 รอบ ป้าเลยตัดสินใจอุ้มน้องดำจังกลับบ้าน
ป้าตั้งชื่อมันว่า Mickey แปลว่าอะไรไม่ทราบโปรดไปถามคนตั้งชื่อเอาเอง การเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครๆจะทำได้ดี ป้าเองก็สาหัสเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ ไหนจะค่าอาหาร ค่าหมอ และอื่นๆอีกมากมาย ตอนแรกป้าไม่ได้บอกให้ที่บ้านรู้เพราะกลัวจะถูกคัดค้าน
คนหนึ่งคนกับหมาหนึ่งตัวก็ฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการมาด้วยกัน . .
วันที่ป้าต้องไปค้างที่มหาวิทยาลัยเพื่อทำวิจัย ก็อาศัยเพื่อนสาวชาวญี่ปุ่นมาให้ข้าวให้น้ำเจ้า Mickey
. . . . และวันคืนก็ผ่านไปอย่างสงบสุข
จนวันที่ป้ากำลังจะเรียนจบและจะกลับเมืองไทย จะทำอย่างไรกับเจ้า Mickey ซึ่งบัดนี้ได้แปรสภาพจากดำจังน้อยเป็นสุนัขหนุ่มโตเต็มวัยสูงเกือบเท่าเอว คนไทยคนอื่นใช้วิธีฝากสัตว์เลี้ยงให้เพื่อนสนิทที่เป็นชาวอเมริกันช่วยเลี้ยงต่อให้ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาก็ยินดีที่จะดูแลเจ้าตูบพวกนี้เป็นอย่างดี
เพื่อนของป้าก็เช่นกันพวกเขายินดีที่จะรับเจ้า Mickey มาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านทรายทอง เอ๊ย! ไม่ใช่ มาเป็นสมาชิกของบ้านพวกเขา
เริ่มแผนการจากป้าจูงเจ้า Mickey ไปเล่นกับหมาบ้านเพื่อน ดูๆมันก็ร่าเริงดี อาศัยช่วงที่เผลอป้าก็แอบออกหลังบ้านเพื่อนกลับบ้านตัวเองทิ้งเจ้า Mickey ไว้เพื่อให้ลองปรับตัว
2 ชั่วโมงผ่านไป เพื่อนของป้าโทรศัพท์มาบอกว่า
เห็นท่าจะไม่ไหวว่ะ พอ Mickey มันรู้ว่าแกหนีกลับและคงจะทิ้งมันแน่ มันเอาแต่เอาหน้าซุกทราย น้ำข้าวไม่ยอมกินทั้งที่เลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้ว
เพื่อนป้ายังบอกอีกว่า
ถ้าแกทิ้งมันไว้กับฉัน อีกไม่นานมันคงตรอมใจตาย
ป้าได้ยินแบบนั้นเลยต้องรีบไปรับเจ้า Mickey กลับ คุณเคยเห็นดวงตาของคนที่ใจแตกสลายไหม ?
คน เป็นอย่างไรหมาก็เป็นอย่างนั้น Mickey งอนอยู่นานเหมือนกัน ถึงจะยอมกินข้าวกินน้ำแต่จะไม่มาทักทายป้าเหมือนเคย เรียกแล้วก็ไม่หันมามอง
เวลาที่จะต้องกลับเมืองไทยเริ่มใกล้เข้ามาทุกที
ผลที่สุดป้าตัดสินใจจะเอา Mickey กลับมาด้วยกัน แต่เมื่อคุยกับทางสายการบินเจ้าหน้าที่บอกว่ามันมีความเสี่ยงเพราะ Mickey จะต้องอยู่ห้องเดียวกันกับห้องเก็บสัมภาระของผู้โดยสาร ซึ่งไม่อาจควบคุมอุณหภูมิได้ ไม่ว่าอากาศจะร้อนเกินไปหรือหนาวไปล้วนทำให้หมาตายได้ทั้งนั้น
ทางสายการบินไม่รับผิดชอบกรณีที่หมาตายเนื่องจากการขนส่งเพราะได้แจ้งความเสี่ยงแก่เจ้าของหมาแล้ว กรงที่มีขนาดใหญ่สุดก็แทบจะใส่ Mickey ไม่ได้เพราะมันเป็นหมาร่างยักษ์ ต้องอาศัยขดมา งดน้ำงดอาหาร 24 ชั่วโมง ป้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเพราะถ้าปล่อยให้ Mickey อยู่ที่อเมริกา มันตายแน่นอน ถ้ายอมเสี่ยงเอากลับเมืองไทย ยังพอมีทางรอด ค่าตั๋วเครื่องบินนั้นราคาเดียวกับคนเลย แต่ไม่มีอาหารให้หม่ำๆอ่ะ
วันนี้ตอนนี้ เจ้า Mickey Happy ดี๊ด๊าอยู่ที่บ้านป้าแถวเมืองนนท์ มันฟังภาษาไทยรู้เรื่องแล้ว (มาตอนแรกต้องพูดควบ 2 ภาษา กันหมาสับสน และเป็นการฝีกภาษาไทยไปในตัว) Mickey มีเพื่อนมาเพิ่มอีกตัวชื่อเจ้า Tony เลยสนุกกันใหญ่
Mickey เหมือนๆกับ "เจ้าขาว" (หมาตาสวยของปอมเองจ้า) คือไม่ค่อยเกรงใจเชื่อฟังป้าสักเท่าไหร่ (เหมือนที่ ขาว ไม่ค่อยยอมฟังปอม . . เรียกให้อาบน้ำแล้วทำเมิน . . . เรียกให้เข้าบ้านมีค้อนใส่) เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนกัน แต่จะเกรงใจคุณแม่ของป้ามาก คงให้ความเคารพแบบที่เราเคารพคุณแม่ของเพื่อน
สุดท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีกับทั้งคนและทั้งหมา ที่ได้มีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขอีกครั้งบนผืนแผ่นดินแห่งนี้.......แผ่นดินไทย
ภาพประกอบ จาก Internet : ลูกหมาพันธุ์ลาบราดอล์