42
ประวีณได้รับคำบอกจากตำรวจที่สถานีว่าสารวัตรนิกรไปหาผอ.คเชนทร์ เขาลังเล ใจหนึ่งอยากบอกเล่าสิ่งที่ได้มา หากอีกใจก็อึดอัดเพราะต้องเผชิญหน้ากับคนที่ตัวเองเคยทำกิริยาไม่ดีใส่
ในที่สุดเหตุผลแรกก็ชนะ เพราะอุตส่าห์อดนอนค้นหาข้อมูลมาเพื่อแก้ต่างให้ตนเองก่อนที่จะเป็นผู้ต้องหา อย่างน้อยก็สารวัตรนิกรต้องไม่ละเลยข้อมูลนี้แน่
ชายหนุ่มเดินลงมาจากสถานี ขับรถมุ่งตรงไปที่โรงเรียนชลพิทักษ์พิทยาคม
ที่ห้องทำงานผอ.โรงเรียนชลพิทักษ์พิทยาคม สารวัตรนิกรกำลังแจ้งผลความคืบหน้าของคดีวางเพลิง
“ผมให้คนไปถามตามปั๊มในตำบลมาหมดแล้ว ร้านที่มีคนซื้อน้ำมันในวันเกิดเหตุมีที่เดียว คนร้ายพลาดที่ไปเลือกซื้อที่ปี๊มเล็ก ๆ ของชาวบ้านเพราะคิดว่าจะลับตาคน แต่กลายเป็นว่าคนขายจำได้แม่นเพราะลูกค้าวันนั้นมีแค่คนเดียว ตอนนี้กำลังเทียบหน้าคนร้ายในแฟ้มประวัติ อีกไม่นานคงรู้”
ผอ.คเชนร์ฟังและรับรู้ หลังจากได้รับการพักผ่อนเต็มที่รวมทั้งการปลงตกกับเหตุการณ์นี้ทำให้สีหน้าเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น ไม่ซีดเซียวเหมือนคนป่วย แม้ในดวงตาจะอิดโรยอยู่บ้าง อันเนื่องมาจากการขอร้องแกมบังคับของปุริมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินเรื่องนอน
“แล้วเรื่องวัสดุก่อสร้างล่ะครับ”
นายตำรวจยศสัญญาบัตรขยับตัว “ในเบื้องต้นทั้งทางประวีณกับสินธพยังปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง แต่ผมกำลังเร่งตามจี้อยู่ คิดว่าคงจะมีจุดผิดปกติอยู่ที่หนึ่งในสองคนนี้แหล่ะครับ”
โทรศัพท์บนโต๊ะดัง ผอ.คเชนทร์ขอตัวรับ เขาแปลกใจเมื่อได้ยินพนักงานธุรการบอกว่ามีผู้มาแจ้งความต้องการขอพบคือประวีณ ผอ.โรงเรียนสบตานายตำรวจ เอามือปิดโทรศัพท์
“คุณประวีณ”
สารวัตรนิกรขมวดคิ้ว ยังไม่ทันได้พูดกันเสียงในโทรศัพท์ก็ดัง “ความจริงผมอยากพบสารวัตร อยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหมครับ แต่ถ้าผอ.อยู่ด้วยก็ดี”
คเชนทร์ถ่ายทอดคำพูด นายตำรวจพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวเชิญเลยก็ได้”
ประวีณมานั่งเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์กฎหมายที่คลางแคลงในตัวเขา กับชายเจ้าของโรงเรียนที่ตัวเขาเคยไม่สบอารมณ์ กางเอกสารบนโต๊ะทำงานเจ้าของสถานที่
“จะเรียกว่าผมมาแก้ต่างก็ได้ แต่ผมคิดว่าข้อมูลที่เจอน่าจะเป็นประโยชน์ อย่างน้อยสารวัตรคงเอาไปขยายผลต่อ”
นายตำรวจผงกศีรษะเป็นสัญญาณให้ผู้มาเยือนได้พูดสิ่งที่ต้องการ
“จากที่พบว่ามีของผิดสเปคแล้วทางผมยืนยันว่าการซื้อขายเบิกจ่ายวัสดุก่อสร้างถูกต้องทุกอย่างนั้น ตอนนี้คงต้องบอกว่าอาจจะไม่ทุกอย่างเพราะผมเจอความผิดปกติเกี่ยวกับการขนส่งซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงได้มีวัสดุล็อต นั้นอยู่ในอาคาร สารวัตรกับผอ.ดูที่ใบส่งของนะครับ” เขาเว้นวรรคให้คนฟังได้ทำตาม
“บริษัทของคุณสินธพทำรายการซื้อของทั้งหมดก็จริง แต่แบ่งเบิกและชำระเงินเป็นแปดงวดตามระยะของงาน โดยแต่ละครั้งก็ระบุรายการมาถูกต้อง ดูไม่น่าจะมีอะไรแต่ก็มีจนได้ ปกติบริษัทผมจะเบิกของแล้วไปส่งภายในวันเดียวกัน ความจริงทุกที่ก็ทำแบบนี้ แต่ตรงนี้ลงวันที่หลังจากวันที่เบิกไปสองวัน มันผิดปกติ แล้วก็มีตั้งสี่หนจากแปดหนที่เป็นแบบนี้”
ประวีณให้คนฟังได้พลิกเอกสารตามคำบอก “ผมเลยไปถามคนที่ส่งของ ก็ตามเคยปฏิเสธไม่รู้เรื่อง ตอนแรกคิดว่าเขาปากแข็ง แต่มีเรื่องน่าตกใจคือ วันเดียวกันนี้เขาไปส่งวัสดุอีกที่พอดี ตรงนี้ดูได้จากใบบันทึกเวลาทำงาน เวลาพนักงานไปส่งของจะมีเบี้ยเลี้ยงเพิ่ม ในสี่ครั้งที่เจอว่ามีการส่งของข้ามวันเป็นชื่อบุญส่งสามครั้ง ซึ่งสองในสามครั้งบุญส่งส่งของอยู่อีกที่”
“มีหลักฐานว่าเขาไปส่งของที่นั่นจริง ๆ ไหมครับ” สารวัตรถามแทรกขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจประเด็นนี้
ประวีณยื่นเอกสารอีกแฟ้มแล้วเปิดให้ดู “มีครับ นี่คือใบเสร็จรับเงินที่เขาเติมน้ำมันวันนั้นซึ่งลงเวลาสิบโมงเช้า แต่ของมาส่งที่โรงเรียนลงเวลาสิบโมงสิบนาที ผมไปถามแล้ว ปั้มปตท.ที่ไปเติมห่างจากโรงเรียนเกือบสี่สิบนาที”
สารวัตรนิกรนั่งดูเอกสารอย่างตั้งใจ “บริษัทสินธพสั่งเบิกของแปดครั้ง สี่ครั้งมีการส่งของข้ามวัน และทุกครั้งคนรับเป็นคนเดียวกัน ซึ่งไม่ใช่สินธพ”
“ใช่ครับ”
“แต่ก็ต้องมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าของถูกเปลี่ยนได้ยังไง อ้อ แล้วเวลาเบิกของ ก่อนที่คุณจะอนุมัติ ใครเป็นคนทำเรื่องเบิก”
“หัวหน้าฝ่ายขายครับ ชื่อเกียรติชัย เขาลาออกไปแล้ว ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนเบอร์ แต่นี่เป็นที่อยู่ของเขา”
ประวีณยื่นสำเนาบัตรประชาชนให้ สารวัตรนิกรรับมา “แสดงว่าคุณให้น้ำหนักไปที่เขาอยู่แล้ว ถึงได้เตรียมเอกสารมาพร้อมขนาดนี้”
นักธุรกิจยิ้มเขินเล็กน้อย “ก็ไม่เชิงหรอกครับ แต่เขาเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเพียงคนเดียวที่ผมไม่สามารถติดต่อได้ ผมก็สันนิษฐานเอาเล่น ๆ ว่า การที่เขาลาออกไปก่อนอาจจะเกี่ยวข้องกัน”
“อืม...แบบนี้อธิบายได้ว่า มีการทุจริตในบริษัทของคุณ แต่ไม่อธิบายเรื่องวางเพลิง” นายตำรวจหนุ่มบอก
ประวีณไหวไหล่ “ยังไงก็ไม่ใช่ผมทั้งสองกรณี”
“แล้วคุณคิดว่ายังไง”
“ผมว่าต้องเป็นใครสักคนที่ต้องการทำลายชื่อเสียงผอ.คเชนทร์ พอรู้ว่าผมเคยไม่พอใจกันอยู่ก็โยนความผิดมาให้” นักธุรกิจหนุ่มตอบ “ผมอยากได้ที่ของผอ.ก็จริง แต่ผมไม่ใช่คนสกปรก วันนั้นผมใช้อารมณ์มากไปหน่อยเลยเสียงดัง คนที่ไม่หวังดีเลยใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้เต็มที่” ประโยคท้ายนั้นสบตากับเจ้าของห้องโดยตรง
สารวัตรนิกรเช็คประวัตินักธุรกิจหนุ่มมาแล้ว เป็นคนเก่ง ฉลาด แต่ตรงไปตรงมา อาจจะมีชั้นเชิงการเจรจา การวางแผนบ้างตามประสาคนทำธุรกิจ แต่เช่นเดียวกันคือเขาก็เป็นคนไม่มีศัตรู แม้ว่าธุรกิจก่อสร้างจะแข่งขันสูงและมีผลประโยชน์มหาศาลก็ตาม
“เรื่องนี้ผมจะสืบสวนต่อเอง ขอบคุณสำหรับข้อมูลและการให้ความร่วมมือ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมคงจะขอรบกวนคุณอีก ขอบคุณมากครับ”
สีหน้าประวีณแช่มชื่น “ขอโทษด้วยที่ผมเสียมารยาทครั้งก่อน”
“ขอโทษใครครับ” นายตำรวจยศสัญญาบัตรถามยิ้ม ๆ อีกฝ่ายหัวเราะแผ่ว
“ต้องเป็นคุณทั้งสองคน โดยเฉพาะผอ. ผมอารมณ์ร้อนไปหน่อย” เขาเม้มปากคล้ายตัดสินใจ “พูดแบบนี้อาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่ถ้าผอ.มีอะไรให้ผมช่วยบอกได้เลยนะครับ ผมเต็มใจ สารวัตรด้วยนะ ผมอยากให้คดีนี้จบเร็ว ๆ”
ผอ.โรงเรียนมีทีท่าสงบ บางอย่างยังกวนใจ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว “ผมขอถามอะไรคุณประวีณสักข้อได้ไหมครับ”
นักธุรกิจหนุ่มยกคิ้วฉงนใจ คเชนทร์จึงยิงคำถาม “ประมาณวันที่ 20 กุมภา คุณผ่านไปทางอำเภอหรือเปล่าครับ สักตอนสองสามทุ่ม”
อีกฝ่ายไม่แน่ใจจุดประสงค์ แต่เขาก็นึกและตอบ “ใช่ครับ ผมเพิ่งกลับจากงานเลี้ยงแต่งงานรุ่นน้อง ทำไมเหรอครับ”
คเชนทร์นิ่ง แล้วผ่อนลมหายใจ “ไม่มีอะไรหรอกครับ วันนั้นผมกลับงานประชุมเห็นรถคุณ ก็เลยถามดูครับ” เขาบอกยิ้ม ๆ ถ้าเป็นคนที่ตั้งใจปองร้ายคงไม่ยอมรับง่ายขนาดนี้ พอคิดให้ดี รู้สึกการขับรถวันนั้นของประวีณก็ดูไม่มั่นคงนัก ถ้าเป็นสาเหตุว่าเพิ่งกลับจากงานเลี้ยงก็เป็นไปได้ สรุปแล้ว...เป็นแค่ความบังเอิญมากกว่า
สารวัตรนิกรเอ่ยขึ้น “เอาเป็นว่า ขอบคุณคุณประวีณนะครับ ผมเองต้องไปสืบสวนต่อ และทางเราเองก็ต้องขออภัยถ้าทำให้คุณไม่สะดวกใจ พอดีว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นที่สนใจ โรงเรียนกับเด็ก ๆ เป็นเรื่องอ่อนไหว ลูกผมเองก็เรียนที่นี่ ต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นผอ.จะเดือดร้อน และท้ายสุด นักเรียนก็จะไม่มีที่เรียน”
เมฆที่ครึ้มอยู่เริ่มเคลื่อนออกให้แสงสว่างส่องลอดออกมาดูสดใสกว่าเดิม
เวลาใกล้สี่ทุ่มที่บ้านนาวามาศ เขมรัฐเดินไปหาเจ๊หงส์ในครัว ที่ซึ่งผู้เป็นแม่มักจะนั่งทำงานส่วนตัว ถ้าไม่อ่านสูตรขนมก็ดูรายรับจ่ายของร้านอาหาร คนนั่งอยู่ก่อนเงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ของลูกชาย
“ยุ่งอยู่ไหม ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
เจ๊หงส์ถอดแว่นสายตา พยักหน้า “เอาสิ”
ลูกชายเลื่อนเก้าอี้แล้วขยับไปนั่ง “ผมอยากถามแม่เรื่องกิจการโรงเรียนหน่อย”
“ยังไง”
“ก็เกี่ยวกับขั้นตอนดำเนินงาน เหมือนรูปแบบบริษัทหรือเปล่า วัดผลยังไง กำไรขาดทุน อะไรทำนองนี้” เอกสารที่ผู้เป็นแม่ดูอยู่คือใบสั่งซื้อปูนิ่มจากฟาร์ม เขาดึงมาดูผ่าน ๆ
“ทำไมอยู่ดี ๆ มาถามล่ะ เมื่อก่อนเข้ไม่เห็นสนใจ” เจ๊หงส์หรี่ตา เขมรัฐวางกระดาษ ชีวิตนี้เขาคงไม่มีอะไรบิดบังได้
“ก็เรื่องไฟไหม้โรงเรียนนี่แหล่ะ ผมได้คุยกับปูนิ่ม เขาบอกว่ามันมีเรื่องสับเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างทำให้อาคารถล่ม ผมก็เลยคิดว่ามูลเหตุเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็เลยอยากรู้การบริหารงานโรงเรียนขึ้นมา และในฐานะที่แม่เองก็เป็นคนที่ใกล้ชิดผอ. น่าจะพอมีข้อมูลอะไรบ้าง”
“คิดจะเล่นบทนักสืบเหรอพ่อหนุ่ม” อีกฝ่ายแซว ชายหนุ่มยิ้ม ๆ
“แค่ลองตั้งประเด็นดู ผมได้ยินว่านายประวีณกับสินธพมีหลักฐานแก้ต่างตัวเองได้แล้ว ตำรวจเขาก็เลยต้องสืบต่อ ผมเลยลองคิดดูในฐานะเป็นเพื่อนร่วมชุมชน บางทีอาจจะมองเห็นอะไรที่ลอดหูลอดตาก็ได้”
“เช่นหัวใจคุณครูสาว”
“โอเค ผมไปนอนแล้วครับ”
“เดี๋ยว ๆ แหม ล้อเล่นนิดหน่อย ทำเป็นงอน” เจ๊หงส์พูดกลั้วหัวเราะ นานทีจะมีโอกาสได้แกล้งลูกชายตัวโต ครั้นแล้วก็โน้มกายมาข้างหน้า ปรับสีหน้าและกิริยาจริงจัง
“โรงเรียนเอกชนต่างกับโรงเรียนรัฐบาลตรงที่สามารถบริหารงานได้ง่ายและคล่องตัวกว่า เงินรายได้ก็มาจากค่าเทอมนักเรียน ได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลเหมือนกันแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กนักเรียนเท่านั้น เช่น เงินสนับสนุนรายคน หรือเงินทัศนาศึกษาตามหลักสูตร ส่วนเรื่องเงินเดือนครู ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือพวกค่าก่อสร้างอาคาร ก็เป็นหน้าที่ผู้บริหารต้องจัดการเอง”
เขมรัฐนิ่งฟัง “แบบนี้ ถ้ามีกรณีผู้ปกครองผ่อนผันค่าเทอมกันมาก ๆ เงินก็ช็อตสิครับ”
เจ๊หงส์พยักหน้า “นี่คือสาเหตุที่ทำไมแม่ถึงไปช่วยผอ.คเชนทร์ เราประชุมกันหลายหนถึงข้อกำหนดในการผ่อนผัน ผอ.แกเป็นคนดี เห็นใจผู้ปกครอง เลยทำให้โรงเรียนขาดสภาพคล่อง แม่เองก็เข้าใจ ขอให้ผอ.ปรับหนี้ให้เป็นหุ้นก็ไม่ยอม”
“ยังไงครับ”
“ถ้าปรับหนี้เงินกู้ของแม่ไปเป็นหุ้น ผอ.ก็จะจ่ายคืนในรูปของเงินปันผลเท่านั้นไง ไม่ต้องชำระหนี้กันเป็นงวด ๆ”
ลูกชายพยักหน้า “เงินปันผล...ถ้าโรงเรียนขาดทุนก็จ่ายไม่ได้”
“ตามปกติแล้วโรงเรียนจะไม่ใช้คำว่าขาดทุนนะ แต่เรียกว่าเป็นการบริหารให้รายได้มากกว่ารายจ่ายเท่านั้น ส่วนเงินที่เกินมาก็จ่ายผู้ถือหุ้น”
“หมายความว่าโรงเรียนมีผู้ถือหุ้น”
“ถ้าโรงเรียนเล็ก ๆ อาจจะไม่มี แต่ถ้าขนาดใหญ่หน่อยก็มี โรงเรียนชลพิทักษ์จัดอยู่ในโรงเรียนขนาดกลาง เลยมีแค่สองสามคน”
เขมรัฐนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาเป็นประกาย “แบบนี้เรียกว่าแรงจูงใจได้ไหมครับ”
เจ๊หงส์จับจ้องลูกชายนิ่ง สีหน้าเข้าใจว่าในคำถามของเขาหมายถึงอะไร “เข้จะบอกว่า มีหุ้นส่วนที่ไม่พอใจที่ไม่ได้เงินปันผลจากผอ.ก็เลยทำเรื่องแบบนี้เหรอ”
ชายหนุ่มลูบคาง “แค่ข้อสันนิษฐานหนึ่งน่ะครับ แต่ถ้าแม่เข้าใจ แสดงว่าแม่เองก็คิดตามผมได้เหมือนกัน”
“แม่ไม่คิดว่าคนดีอย่างผอ.จะมีคนเกลียด”
“มันเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้ดีในสายตาคนนับร้อย ก็ต้องมีสักหนึ่งที่ไม่ชอบ ผมแค่คิดว่าเราน่าจะมองประเด็นนี้ไว้ จะบอกว่ามีแต่คนภายนอกอย่างเดียวคงไม่ได้ คนในก็มีสิทธิ์ทำได้เหมือนกัน” เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะ
“แล้วถ้าอยากจะสร้างอาคารหรือลงทุนจริง ๆ กู้ธนาคารได้ไหมครับ”
เจ๊หงส์พยักหน้า “ได้สิ ค่อนข้างง่ายด้วยซ้ำ เพราะตราบใดที่โรงเรียนยังมีนักเรียน ก็ยังสามารถชำระหนี้ได้”
เขมรัฐสะดุดคำนี้ อะไรบางอย่างที่ลอยแวบเข้ามา แต่เลือนหายไป ความเคร่งเครียดปกคลุมการสนทนาอยู่ชั่วครู่ ต่างคนต่างใช้ความคิด กระทั่งลูกชายถามขึ้น
“แม่พอรู้ไหม ใครเป็นหุ้นส่วนของโรงเรียนบ้าง”
เช้าวันต่อมา เขมรัฐเดินเข้าฟาร์ม กวักมือเรียกธรณิศที่กำลังดูไซคัดขนาดปูให้เข้าไปคุยกันในสำนักงาน
“มีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย ไม่ใช่เรื่องงานนะ”
ธรณิศเงียบรอคำสั่ง เป็นอันรับรู้ คนเป็นหัวหน้ายื่นกระดาษให้ “รายชื่อคนมีหุ้นส่วนในโรงเรียน ฉันสงสัยว่าจะมีใครสักคนที่ไม่พอใจการบริหารงานของผอ.ถึงขนาดต้องวางเพลิง” ผู้ช่วยมือขวาประมวลความในใจอย่างรวดเร็ว คำถามว่าทำไมต้องเป็นคนกลุ่มนี้อยู่ในสีหน้า
“นายประวีณกับสินธพรอดตัวไปแล้ว สองคนนี้เป็นคนนอก ฉันคิดว่าบางทีอาจจะเป็นคนในนี่แหล่ะ โรงเรียนมีปัญหาการเงินมาสักระยะแล้ว เงินปันผลก็ไม่ได้จ่าย”
“นายเข้จะให้ผมทำอะไร”
“หาคนไปคอยจับตาดูพฤติกรรมหน่อย ตอนนี้ข่าวเรื่องโรงเรียนสะพัดไปทั่วแล้ว ถ้าคนที่เกี่ยวข้องเป็นคนกลุ่มนี้คงต้องทำอะไรที่ส่อพิรุธบ้างล่ะ”
ธรณิศมองดูอักษรในกระดาษ “มีคนในโรงเรียน คงไม่สะดวกจะจับตามองมั้งครับ”
เขมรัฐกอดอก ยิ้ม “คนในโรงเรียนก็ต้องให้คนในโรงเรียนช่วยสิ”
คนสนิทเข้าใจทันที เขาหยิบโทรศัพท์ รอสายไม่นาน
“จ๋าจ้ะ”
ธรณิศพูดราวกับไม่สนใจเสียงหวานใส “บุ้ง เดี๋ยวกลางวันมาที่ฟาร์มหน่อยนะ มีเรื่องจะคุยด้วย”
“อุ้ย จะชวนกินข้าวต้มกลางวันเหรอ ว้าย...”
“บุ้ง!”
“ค่า ๆ” บัณฑิตารีบบอกเพราะรู้ว่าสามีไม่อยู่ในอารมณ์ล้อเล่น ธรณิศวางสาย พยักหน้าให้เจ้านายเป็นการยืนยันคำสั่ง ใส่กระดาษลงในแฟ้มบนโต๊ะตัวเอง ก่อนจะขอตัวออกไปทำงานต่อ
เขมรัฐทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะทำงาน รวบรวมความคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน หลับตา เตือนตัวเองให้ใจเย็นและมีสมาธิ ต้องรอข้อมูลจากธรณิศเสียก่อนคงเห็นภาพอะไรได้ชัดกว่านี้
‘หัวใจของครูสาว’
สิ่งนี้เขาเห็นแจ่มชัด เพราะมันตั้งอยู่ในหัวใจเขาเอง ขาดเพียงอย่างเดียวคือจับจองไม่ได้ ถึงกระนั้นการได้ประคับประคองเพื่อจะได้เห็นรอยยิ้มกับตาค้อนคม ๆ ทำให้นายฟาร์มเต็มใจที่จะเล่นบทนี้
แม้รู้ว่าคงไม่มีวันได้เธอกลับมาก็ตาม
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันแรงงาน 55 15:14:25
|
|
|
|