Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 13 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน บทที่ 13 มาช้าไปนิดนะครับ ต้องขออภัยด้วย
ขอบคุณกิฟต์จาก คุณ อินทรายุธ, ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, นารีจำศีล, mementototem, mimny, เรียวรุ้ง, Setakan, แก้วกังไส, npuiy, เพชรรุ้งพราย, wor_lek และคุณ Hermosa ครับ

สำหรับตอนที่ 12 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11993916/W11993916.html



บทที่ 13


ปางงิ้วดำ พ.ศ. 2480


          เศาร์ วงศ์วนา เหยียดกายเต็มสัดส่วนสูงใหญ่ที่ค่อนข้างจะสูงตระหง่านกว่าชายไทยทั่วไปเล็กน้อย ชายหนุ่มยกแขนไขว้กันไว้ด้านหลังอย่างเคยชิน ด้วยอิริยาบถนิ่งขรึมเสมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ขณะทอดสายตาคมกล้าเพ่งมองภาพอาคารหลังงามที่กำลังจะถูกสร้างและต่อเติมขึ้นมาใหม่ด้วยความรู้สึกอันยากจะบรรยาย


          อาคารรูปทรงอย่าง “ฝรั่ง”ขนาดใหญ่อย่างที่บางคนเรียกขานว่าคฤหาสน์หรือปราสาทแบบฝรั่งก็ตามที มันผิดแผกแตกต่างจากเรือนไม้สองชั้นธรรมดาที่เขาเคยอาศัยมาก่อนอย่างสมถะ และเป็นผู้ตั้งนามใหม่ของมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ด้วยความหมายอันลึกล้ำที่ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้นั้นว่า


          ทับสนธยา!


           “คุณหลวงขอรับ...”


              เสียงเรียกด้วยความเคารพนบนอบดังขึ้นจากด้านหลัง ข้าราชการป่าไม้หนุ่มวัยสามสิบเศษจากพระนครหันไปตามเสียงเรียกทันที ใบหน้าแม้จะดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง หากก็เข้มคมคายสมชายชาตรี ไรเคราสีเขียวเป็นเงาจางๆระเรื่อยตลอดบนวงหน้าสะอาดตา ผมสีดำสนิทตัดสั้นหวีเสยด้วยน้ำมันขึ้นไปด้านหลัง นี่คือบุคลิกลักษณะอันองอาจและผึ่งผายอย่างมั่นใจในตัวเอง ท่าทีเฉกนั้นยังแฝงไว้ด้วยพลังอำนาจเอาไว้ในตัวอย่างสูงโดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้วยท่าทางหรือพลังจากน้ำเสียงใดๆที่เปล่งออกมา


           “มีอะไรหรือเปล่า อาตม์?”


               นายอาตม์ผู้เป็นคนสนิทคอยติดตามรับใช้ เจ้านาย มาตั้งแต่จำความได้ เมื่อครั้งคุณหลวงท่านยังเป็นหนุ่มน้อยที่เพิ่งเรียนจบมาจากวิชาการป่าไม้ที่ประเทศอินเดีย และเริ่มต้นเข้ารับราชการงานหลวงในกรมป่าไม้บ้านบาตร ตราบจนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นถึงหลวงอนุรักษ์วนาดรในปัจจุบัน ชายสูงวัยร่างผอมเกร็งมีท่าทีลังเลใจเล็กน้อย แต่ด้วยรู้จักอุปนิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จึงกล้าเปิดปากตอบออกไปตามตรง


            “บ่าวเห็นว่าคุณหลวงมีท่าทีเหมือนไม่สบายใจ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องของขุนพิพิธ หรือว่าเรื่องของคุณผอบแก้วขอรับ?”


             ขุนพิพิธอารัญ เป็นสหายท่านหนึ่งของคุณหลวงอนุรักษ์ เพิ่งเดินทางมาประจำการอยู่ในตัวจังหวัดไม่นานนัก และในวันนี้เอง ชายชราก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายเดินทางเข้ามาพบคุณหลวงอย่างเป็นส่วนตัวถึงปางงิ้วดำ ก่อนจะจากกลับออกไปด้วยอาการหัวเสียอยู่ไม่น้อย แม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใด แต่อาตม์ก็เดาได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เจ้านายของตนพึงใจเป็นแน่ หากคุณหลวงเองกลับเป็นฝ่ายรักษาอากัปกิริยาไว้ได้อย่างดี บนใบหน้ายิ้มละไมน้อยๆเช่นนั้น สามารถควบคุมอารมณ์ให้ราบเรียบไร้ซึ่งรอยกราดเกรี้ยวด้วยโทสะ ที่แตกต่างจากสภาพอีกฝ่ายจนเห็นได้ชัด


              ใบหน้าคมคายยิ้มให้กับผู้เป็นบ่าว คุณหลวงซึ่งแม้ภายนอกจะดูแข็งจนเหมือนคนเคร่งขรึม ไว้ตัว แต่อาตม์ก็รู้ดีว่าผู้เป็นนายมีความอ่อนโยนในใจ แม้แต่การรับฟังความคิดเห็นของบ่าวตัวเล็กๆเพียงคนหนึ่ง


             มือแข็งแรงเอื้อมมาแตะบ่าชายสูงวัยอย่างปรานี


                “ฉันรู้ว่าอาตม์เองก็เป็นห่วงฉันอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก สำหรับเรื่องของขุนพิพิธหาใช่เรื่องที่ฉันกังวลใดๆไม่ ส่วนเรื่องแม่อบเอง ฉันก็ไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยแม้แต่น้อย”


             สายตาคมเข้มทอดมองไปเบื้องหน้าเหมือนใจล่องลอยไปยังที่ใดที่หนึ่งที่ นายอาตม์เองก็ไม่อาจคาดเดาไปถึง


                คนรับใช้วัยชราแอบกลืนน้ำลายลงคอ ทำไมเขาจะไม่รู้ ว่าที่คุณหลวงท่านยินดีเดินทางบุกป่าฝ่าดงเข้ามาอยู่ถึงปางงิ้วดำ ทั้งที่หมู่บ้านแห่งนี้ยังเป็นดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อน ที่แสนทุรกันดาร และยังต้องเสี่ยงภยันตรายจากโจรร้ายต่างๆที่ชุกชุม พอๆกับโรคไข้ป้าง ไข้ป่า ที่คอยคร่าชีวิตผู้คนแถบนี้อยู่ทั่วไป


              นั่นก็เพราะภรรยาสาวของท่านเพียงเท่านั้น ภรรยาอันเกิดขึ้นจากความเห็นชอบของญาติผู้ใหญ่ในทุกฝ่าย ยกเว้นแต่... คุณหลวงเพียงผู้เดียว!!


               อาตม์ทำงานอยู่รับใช้นายท่านจนแทบจะเหมือนเงาตามตัว จึงรู้อุปนิสัยของผู้เป็นเจ้านายเป็นอย่างดี แม้ว่าท่านจะจบการศึกษาสูงมาจากภารตประเทศ แต่ก็มิได้ฝักใฝ่ความสำเริงสำราญ หรือนิยมเที่ยวเตร่ยามราตรีเหมือนบุรุษหนุ่มทั่วไป ตรงกันข้าม หลวงอนุรักษ์วนาดรเป็นผู้รักความสงบสันโดษและธรรมชาติพงไพรอย่างลึกซึ้ง ก็คงจะเหมือนกับในสาขาการป่าไม้ที่ท่านเล่าเรียนจบมานั่นเอง ในขณะที่คุณผอบแก้ว มีความสุขกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความหรูหราเฟื่องฟูของพระนคร


               ดูแล้วเหมือนกับคนทั้งคู่มีความแตกต่างกันเสียเหลือเกิน ทว่าคุณหลวงก็มิได้ปฏิเสธในไมตรีที่พระยาพิทักษ์พนาลัย บิดาของคุณผอบแก้วหยิบยื่นมาให้ เขาเองมิได้รู้ที่มาในความสัมพันธ์ของผู้เป็นเจ้านาย นอกจากคำบอกเล่าเพียงอย่างเดียว จนได้เห็นการเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าเกือบสิบปีในเวลาต่อมา


               “ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณหลวงกังวลเรื่องใดกันหรือ บ่าวไม่เห็นว่าคุณท่านจะเจ็บป่วยอะไร หรือว่ามีเรื่องอื่นเล่าขอรับ?”


              รอยยิ้มละไมนั้นอีกเช่นกัน นายอาตม์รู้ดีว่าตั้งแต่ท่านมาทำงานอยู่ปางงิ้วดำ บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ ลูกชาวบ้านในแถบนั้นต่างกล่าวขานร่ำลือถึงท่านราวกับเป็นเทพบุตรจุติลงมา ซ้ำบางบ้านพ่อแม่ของแม่สาวๆเหล่านั้นถึงกับนำตัวบุตรีของตนเองมายกให้คอยปรนนิบัติวัตรถากถึงเรือนพักเลยทีเดียว


             แต่คุณหลวงก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล


              เฒ่าอาตม์นั่นแหละที่ไม่ต่างกับทนายหน้าหอ ที่ต้องคอยรับหน้าตอบคำถามแทนท่านอย่างกระอักกระอ่วนใจอยู่มิน้อย


                    “ท่านก็มีเมียอยู่พระนครโน่นแล้วล่ะ เพียงแต่คุณผู้หญิงท่านไม่ได้ตามมาอยู่ด้วย”
“ก็แล้วทำไมล่ะ ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่นา ถ้าจะมีคนมาช่วยดูแลท่านเพิ่มขึ้น จะว่าท่านกลัวเมีย ก็ไม่น่าจะใช่”


          เสียงเหน่อตอบกลับมาอย่างสงสัยยิ่งนัก ก็ในเมื่อบรรดาบุรุษในยุคนั้นโดยเฉพาะผู้เปี่ยมด้วยลาภและดำรงตำแหน่งยศศักดิ์สูงใหญ่ในราชการ ย่อมไม่แปลกที่จะมี “นางเล็กๆ”ไว้คอยเฝ้าปรนนิบัติดูแล แทนภรรยาเอก


         “หรือท่านจะสนใจแต่การออกท่องตระเวนไพร คอยช่วยทางการจับไอ้เสือ ผู้ร้ายเป็นว่าเล่นล่ะนั่น”


            กิติศัพท์ความห้าวหาญเด็ดเดี่ยว และมีวิชาอาคมอันน่าครั่นคร้ามของหลวงอนุรักษ์วนาดรเป็นที่เล่าขานกันอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดได้ประจักษ์แก่สายตาชัดเจนก็ตาม


            ในเมื่อการเข้ามาทำงานในท้องที่ทุรกันดารของปางงิ้วดำ นอกเหนือจากเผชิญกับโรคภัยต่างๆทั้งไข้ป่าที่ระบาดเป็นประจำแล้ว ก็ยังมีเรื่องโจรขโมย ที่เข้ามาส้องสุมกำลังตั้งชุมโจรดักปล้นชาวบ้านอยู่ตามพื้นที่ป่าตะเข็บชายแดน


             แม้ว่าโจรพวกนี้จะไม่ได้ทำร้ายผู้คนจนเสียชีวิต ถ้าหากไม่มีการต่อสู้กัน นอกจากการปล้นสะดมทรัพย์สิน แต่ก็ถือว่าเป็นความเดือดร้อนของผู้คนทำกินอยู่ไม่น้อย จนทางการต้องเข้ามาดูแล และติดต่อให้คุณหลวงช่วยเหลือ


          นอกจากเพราะความเชี่ยวชาญในการเดินป่าท่องไพรแล้ว หลายคนเชื่อว่าท่านมี “ของ” ที่ก่อให้เกิดความครั่นคร้ามยำเยง แก่บรรดา เสือร้ายนักปล้นสดมภ์ทั้งหลายอีกด้วย เป็นพลังอำนาจหรืออิทธิฤทธิ์บางอย่างที่เล่าขานกันจนเกิดเป็นเรื่องร่ำลือทั่วเขตปางงิ้วดำ


             “เขาว่าท่านยิงฟันไม่เข้าน่ะสิ”


           “ได้ข่าวว่า ท่านไปเรียนวิชาคงกะพันชาตรี มาจากพวกฤาษีชีพราหมณ์ในอินเดียมา แล้วยังมีวิชาอาคมของศักดิ์สิทธิ์ติดตัวไว้ป้องกันแคล้วคลาดเสียด้วย”


              ด้วยเหตุนี้ คุณหลวงอนุรักษ์วนาดร จึงต้องรับภาระเพิ่มเติมในการช่วยปราบปรามผู้ร้ายทั้งหลาย โดยร่วมกับกำนันผู้ใหญ่บ้านและตำรวจท้องที่ออกนำทางจับไอ้เสือร้ายที่ออกอาละวาดปล้มชาวบ้านในหมู่บ้าน แม้ว่าท่านจะไม่เคย แสดง “อิทธิปาฏิหาริย์”ใดๆ นอกจากบางครั้งก็ต้องมีการ “ดวลปืน”กับเสือร้ายบางรายที่ขัดขืนและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ก็ตาม


           แต่ผลก็คือพวกมันได้รับบาดเจ็บและถูกทางการจับกุมตัวได้สำเร็จ เท่านี้ข่าวเล่าลือก็ยิ่งกระฉ่อนมากขึ้น จนคุณหลวงหนุ่มแห่งกรมป่าไม้ กลายเป็นมือปราบไปอีกตำแหน่งหนึ่ง และในทางที่ดี ก็ช่วยทำให้บ้านปางงิ้วดำเริ่มเข้าสู่ความสงบสุขขึ้นมาบ้าง


             “ฉันไม่มีอาคมขลังอะไรดอก นอกจากความสุจริตเป็นที่ตั้ง และสิ่งนี้ต่างหากที่เป็นเกราะแก้วกำบังภัยให้กับเรา”


              แม้ท่านจะถ่อมตัวยามมีผู้มาเข้าพบเพื่อขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเข้าใจ แต่อาตม์ก็รู้ดีว่า ฝีมือการยิงปืนและการใช้อาวุธต่างๆของหลวงอนุรักษ์ คล่องแคล่วและแม่นยำไม่ด้อยกว่านายตำรวจมือปราบในพระนครเลยด้วยซ้ำ!


          ผลงานของคุณหลวงหนุ่มผู้นี้จึงเป็นที่กล่าวขานกันอย่างชื่นชมว่า นอกจากอายุยังน้อย แต่หัวใจกลับแข็งแกร่งบ้าบิ่นเกินคน!!


             เสียแต่ท่านกลับไม่ชอบชีวิตเสเพลเหมือนกับบุรุษหนุ่มทั่วไปเท่านั้น ทั้งสุรา บุหรี่หรือแม้แต่นารีที่สามารถเด็ดเชยชมได้ตามใจชอบ


          “ก็เห็น ท่านสนใจทำงานมากกว่า แล้วก็เป่าขลุ่ยเล่นไปตามเรื่อง”


             เสียงเพลงที่ท่านบรรเลงผ่านขลุ่ยไม้คู่กายนั้น ไพเราะเยือกเย็นยิ่งนัก อาตม์ยังเคยนอนฟังจนเคลิ้มหลับไปโดยไม่รู้ตัว


             นอกจากนี้แล้ว ชายเฒ่าก็ไม่เคยเห็นคุณหลวงสนใจสิ่งบันเทิงอื่นใด ทั้งที่ตนเองก็สงสัยเหมือนกันว่าท่านทำกิจอะไรนักหนาในเวลากลางคืน บางครั้งก็เห็นแต่ดวงโคมเปิดสว่างจ้าอยู่ในห้องทำงานจนดึกดื่น บางครั้งก็เกือบรุ่งสาง แต่ก็ดูเหมือนว่าคุณหลวงอนุรักษ์วนาดร จะไม่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าใดๆ ทั้งที่ต้องตื่นมาทำงานตั้งแต่หัวรุ่งทุกวัน


           นายอาตม์เองก็มีโอกาสเข้าไปทำความสะอาดดูแลห้องทำงานของท่านอยู่บ่อยครั้งก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ นอกจากกองหนังสือ ตำรับตำรา มากมายที่ท่านนำมาจากพระนคร ถึงขนาดต้องขนใส่หีบนับสิบ


            แล้วคำตอบทุกอย่างที่เคยสงสัยก็เปิดเผยขึ้นในเวลาต่อมา มันเริ่มต้นจากจดหมายของคุณผอบแก้วที่ส่งมาจากพระนคร ในช่วงเวลาที่สงครามโลกเริ่มต้นขึ้นในดินแดนเอเชียบูรพา...


          ***************************


                มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหลือที่กล่าวให้ผู้ใดรับฟังและเชื่อถือในสิ่งที่เกิดขึ้น เขากำลังเพลิดเพลินกับมัน ไม่ต่างกับการย้อนกลับไปเป็นนายเศาร์ หนุ่มน้อยผู้ไม่มียศศักดิ์ฐานันดรใดๆ และกำลังออกเผชิญภัยในโลกใบใหม่ ทุกครั้งครา เมื่อยามได้ก้าวเข้าสู่ห้องแห่งนี้


               คุณหลวงหนุ่มสูดลมหายใจด้วยความปลื้มเปรมใจ เมื่อได้เวลาสำหรับการเดินทาง หรือที่เขาเรียกขานว่า “การจรดล” ของตัวเองอีกครั้ง


              หลวงอนุรักษ์หยิบนาฬิกาพกที่เขานำติดตัวมาร้อยเข้าไว้กับกางเกงขึ้นมาพิจารณา แล้วกดสปริงให้ฝาล็อคโลหะรูปทรงประหลาดตาเปิดออกจากกันก่อนจะหมุนเข็มนาฬิกาเพื่อตั้งเวลา เรือนทองสีสุกปลั่งสะท้อนประกายในยามรัตติกาล นั่นคือเวลาสำหรับการเดินทางภายใต้โลกแห่งจินตภพ เสมือนการนิรมิตขึ้นเองโดยที่เขาจะเป็นผู้บันดาลขึ้นเท่านั้น


               เขาทรุดกายนั่งลงยังเก้าอี้ไม้สักประจำกาย เบื้องหน้าคือโต๊ะไม้ขนาดใหญ่วางเรียงไว้ด้วยสรรพตำรา หนังสือต่างๆมากมาย แต่เหนืออื่นใดที่หลวงอนุรักษ์ จะมองเห็น ก็คือหนังสืออันว่างเปล่าเล่มหนึ่งที่เขาซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ลิ้นชักกล ด้านล่าง


              แท้จริงมันคือ โต๊ะไม้พิเศษที่ถูกสั่งทำขึ้นโดยเฉพาะ ภายในประกอบด้วยกลไกและซ่อนลิ้นชักเล็กๆเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง สำหรับเก็บสิ่งสำคัญล้ำค่าของผู้เป็นเจ้าของ หากสำหรับคุณหลวงหนุ่มแห่งกรมป่าไม้ผู้นี้แล้ว กลับมิใช่แก้วแหวนเงินทองหรือเงินตราใดๆทั้งสิ้น เพราะในลิ้นชักพิเศษนี้บรรจุไว้ด้วยของเพียงสิ่งเดียว มันคือสมุดบันทึกเล่มนี้เท่านั้น!!


               กัลปาลัย!


            ไม่ใช่สมุดหรือหนังสือใดๆ หากมีฉายานามเฉพาะตามที่มาของมันอย่างชัดเจน ด้วยความหมายที่เขารู้ซึ้งอยู่เพียงผู้เดียว


            ในรูปแห่งหนังสือหรือสมุดปกแข็งสีดำสนิทแม้จะมีริ้วรอยพาดผ่านแห่งกาลเวลา แต่มีเพียงอักษราสีทองกระจ่างด้วยอักษรบางอย่างที่มิใช่อักษรไทยถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเพื่อการจรดล คุณหลวงหนุ่มฉกรรจ์เพ่งสายตาจรดลงไปยังแต่ละหน้า แต่ละหน้า ระหว่างมือข้างหนึ่งหยิบปากกาขึ้น ตัวอักษรในหน้าแรกปรากฏผุดขึ้นมาทีละตัว ทีละตัว ทุกการจารจรดลงไปเพื่อเข้าสู่การเชื่อมต่อครั้งสำคัญ บางสิ่งบางอย่างเริ่มต้นไหลรินอย่างเชื่องช้า และถะถั่งพรั่งพรูโดยมิอาจควบคุม


               นั่นคือการสังวัธยายบุพมนตรา เพื่อการเริ่มต้นเปิดทวารวิถี...


                หรือทวารบถแห่งกัลปาลัย!


                 แต่ละหน้า แต่ละหน้าที่พลิกผ่านเสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาเปิดออก บัดนี้มิได้รับรู้สิ่งใดรอบตัวอีกต่อไป มิรับรู้ถึงตัวตนแห่งหลวงอนุรักษ์วนาดร หรือผู้คนรอบข้าง ในเมื่อภาพทุกอย่างเหมือนถูกทำให้หยุดนิ่ง เสียงสังวัธยายด้วยท่วงทำนองแห่งบุพมนตรา สำหรับการดำเนินสู่ทวารบถก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว ไม่ต่างกับสลักดาลถูกปลดให้เปิดผนึกออกจากกัน เขาปล่อยตัวเองให้หยุดนิ่ง ปล่อยทุกๆอย่างดำเนินไปตามครรลอง ในขณะตัวตนกำลังลอยละล่องแล้วดิ่งลึกลงไปสู่ ภาพที่ขยายใหญ่และกว้างขึ้นเรื่อยๆในทุกขณะ


            และ ณ บัดนี้การล่องสู่กัลปาลัยเริ่มต้นขึ้นแล้ว...

ณ เบื้องทิศ หรดี ธานีใหญ่
อาณาจักร กว้างไกล สุดไพศาล
พรหมทัต ครองเมือง เรืองโอฬาร
นามตระการ วิเทหะ นครา…



          พลัน! เรือนกายสูงใหญ่งามสง่าของหลวงอนุรักษ์วนาดรแห่งกรมป่าไม้แดนสยาม ก็เลือนสลาย ประดุจสสารอันคุมเป็นร่างกายถึงแก่กาลประลัยลง แล้วบังเกิดเป็นอณูมวลสารขนาดเล็กละเอียดประดุจผงธุลีปรากฏขึ้นทดแทน ก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะถูกดูดวูบ แล้วจ่อมจมหายลับลงไปภายในสมุดพิศวง อันมีนามเฉพาะว่า “กัลปาลัย” เล่มนั้น!


                นี่คือการจรดล!


             ********************


                   ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในดินแดนแห่งภารตประเทศ  ดินแดนในเงื้อมเงาของเวทย์มนตร์และความเชื่อถือในศาสตร์อันลึกลับของศาสนาพราหมณ์ เมื่อนักศึกษาหนุ่มชาวสยามผู้ได้รับทุนไปศึกษาต่อทางวิชาการป่าไม้ที่นั่น


             แต่แรกเขาก็มีความสนใจหลากหลายในสรรพวิทยา เมื่อมีโอกาส จึงได้พากเพียรเรียนรู้ถึงศาสตร์ต่างๆอันมหัศจรรย์เร้นลับเกินกว่าจะพิสูจน์ได้


                  เศาร์เองเคยสงสัย ทำไมบรรดาโยคีหรือนักบวช ที่สามารถบำเพ็ญตบะในสภาพร้อนแห้งแล้งหรือหนาวเหน็บโดยสวมใส่อาภรณ์เพียงผืนเดียวโดยไม่มีอาการเจ็บป่วย หรือการใช้พลังอำนาจบางอย่างที่เรียกว่าจิตตานุภาพ ซึ่งสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ และแม้แต่การใช้พลังอำนาจของการสะกดจิต หยั่งรู้จิตใจผู้คน


                นั่นคือมายากลหรือศาสตร์ที่แท้จริง?


             เขาเริ่มต้นเรียนรู้บรรดาศาสตร์ลึกลับเหล่านั้นควบคู่ไปกับการศึกษาเล่าเรียนในชมพูทวีปแห่งนี้ด้วยความเพลิดเพลินยิ่ง หากสรรพวิชาที่มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนมา ก็ยังไม่อาจก่อให้เกิดความตื่นเต้นระทึกใจเท่ากับการมีโอกาสได้รู้จักพราหมณ์เฒ่าผู้หนึ่งโดยบังเอิญ


                 มันคือเหตุการณ์ในช่วงเวลาหนึ่งก่อนจบการศึกษา นักศึกษาหนุ่มน้อยจากเมืองบอมเบย์ที่มีไฟฝันและความกระหายใคร่รู้อยู่เต็มเปี่ยม ตัดสินใจเดินทางเข้ามาเยือนเมืองวาราณสี หรือ พาราณสี นครที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความแตกต่างในความเชื่อและศาสนาอย่างเข้มข้น


              ภายในเมืองแห่งนั้นเต็มไปด้วยนักบวช โยคีที่มีความศรัทธา และสิ่งแปลกประหลาดต่างๆมากมาย เศาร์ติดตามสหายชาวภารตะผู้หนึ่งมาพักอยู่ในวิหารที่พราหมณ์ชาวเมืองใช้ประกอบกิจ สนานกายริมฝั่งแม่น้ำคงคา


              ธาราสายสำคัญที่ใช้สำหรับการชำระล้างบาป มันไหลล่องลงมาจากสรวงสวรรค์ ณ ที่นั่นเขาได้เรียนรู้การปฏิบัติสมาธิและการบำเพ็ญตบะที่มีหลากหลายรูปแบบ จากกลุ่มนักบวชที่สหายของเขารู้จัก


            ช่วงบ่ายวันหนึ่งในยามอากาศแล้งร้อนระอุ เขาเดินดุ่มลงมาจากวิหารบนเนินเหนือฝั่งน้ำไปสู่บริเวณท่ามณีกรรณิการ์ฆัต ท่าน้ำริมมหานทีขนาดใหญ่ที่มีการเผาซากศพ ตั้งเชิงตะกอนเตรียมพร้อม ก่อนจะส่งซากศพที่ผ่านการ ฌาปนกิจทั้งที่ยังคงรูปร่างและเหลือเพียงเศษเถ้ากระดูกให้ไหลลงสู่ห้วงน้ำเบื้องล่าง


             กลิ่นซากที่เกิดจากการเผาไหม้เหม็นคลุ้ง สลับกับเสียงสวดมนตร์ของบรรดาพราหมณาจารย์ และเสียงร้องโอดโอยของบรรดาคนป่วย คนเฒ่าที่อาศัยรวมกันอยู่ในอาคารข้างเคียงดังขึ้นจนระงมไปทั่วบริเวณ


              กึ่งกลางแม่น้ำชาวภารตะบางคนนุ่งผ้าเตี่ยวหรือโธตีเพียงผืนเดียว ลงไปดำผุดดำว่ายอย่างศรัทธา ในขณะที่มีทั้งซากศพซึ่งผ่านการเผาในเชิงตะกอนจนดำเกรียม บ้างก็ยังมีเศษผ้าขาวห่อศพกันอุจาดลอยผ่านไปมา


              และ ณ ที่นี้เอง เขาก็ได้พบกับวิศวามิตรพราหมณ์ ผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลกของตัวเองไปตลอดกาล...


                “ท่านเป็นคนต่างถิ่น การจะเดินทางไปไหนมาไหนเพียงลำพังก็โปรดระมัดระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ”


               นันทิกุมารสหายสนิทชาวพื้นเมืองเป็นฝ่ายเตือนเขาตั้งแต่แรก


               “บางทีก็มีพวกขอทาน พวกนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกจัณฑาลทั้งนั้น บางคนอาจจะเป็นกลุ่มนักบวชเดียรถีย์นอกรีต อาจจะเข้ามาขอเงินหรือถ้าไม่ให้ มันก็จะทำร้ายท่านเอาได้ ทางที่ดี ท่านก็พยายามหลีกเลี่ยง หรืออย่าไปยุ่งกับพวกมันจะเป็นการดีกว่า”


              เขาจดจำคำของสหายสนิทไว้ แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มมิอาจห้ามใจตัวเองมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้


           หัวขโมยวัยแรกดรุณกลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้ายื้อแย่งสิ่งของจากชายชราในชุดนักบวชสีขาวหม่นมัวซัว เสียงแหบพร่าจากผู้สูงวัยกว่าวิงวอนด้วยความน่าสงสารยิ่งนัก เสียงหัวเราะอย่างสาสมใจดังขึ้นเมื่อ พราหมณ์ชราถูกผลักอย่างแรงจนเสียหลักล้มลงกระแทกพื้น แม้ว่ามือเหี่ยวย่นจะยังไม่ยอมปล่อย


                 ในขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับหันไปฉวยไม้ฟืนที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วตรงเข้าไปยังชายชราที่กำลังยื้อดึงกับกลุ่มสหายอันธพาลของพวกมันอยู่ เขาเห็นเด็กหนุ่มผู้นั้นยิ้มอย่างอำมหิตก่อนจะยกมือเงื้อขึ้น


          แม้จะเป็นคนต่างถิ่นต่างภาษา แต่เศาร์ก็ไม่เคยเกรงกลัวใคร โดยเฉพาะไม่ชอบเห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้น มาณพหนุ่มจากแดนไกลรีบตรงดิ่งเข้าช่วยเหลือพราหมณ์เฒ่าในทันทีอย่างลืมตัว เด็กอันธพาลกลุ่มนั้นถนัดในการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนเอาจริง ที่ไม่ได้หวั่นกลัวต่อจำนวนพวกมันที่มีมากกว่าถึงเท่าตัว จึงต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง


                 เขาเพิ่งเห็นว่าพราหมณ์ผู้น่าสงสารนั้นล้มคะมำลงไปนอนคู้อยู่บนพื้นอันสกปรกอย่างน่าอนาถ... และเมื่อเข้าไปประคองช่วยเหลือ ร่างนั้นก็อ่อนพับหมดสติลงไปในทันที


                 นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้รู้จักกับพราหมณ์เฒ่า นามวิศวามิตร

          ****************************


                        ภายหลังจากพราหมณ์เฒ่าฟื้นขึ้นมา ก็ได้เล่าให้กับเขาว่า มีนาม วิศวามิตร นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่วิศวามิตรเดินทางมายังกรุงพาราณสีเพื่อเข้าพิธีชำระล้างบาปตามความเชื่อถือในศาสนา และเพื่อแสวงหาหนทางหลุดพ้นเพื่อคืนสู่ปรมาตมัน



             จากการพูดคุย เศาร์พบว่าพราหมณ์เฒ่าผู้นี้รอบรู้ในสรรพวิทยาการมากมายหลายแขนงนัก การสนทนาเป็นไปอย่างเพลิดเพลิน จนเศาร์คิดว่าตัวเองได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆมากมายจากผู้เป็นเหมือนพหูสูตรผู้นี้ยิ่งนัก


            “ข้ามีเงินเหลือติดตัวอยู่เท่านี้จริงๆ ถ้าเด็กพวกนั้นชิงเอาไป ก็คงจะไม่มีทางได้เดินทางกลับหริทวารแน่นอน ต้องขอบใจเจ้ามากจริงๆมาณพ”


              ท้ายสุดของการสนทนาก่อนการอำลาจาก วิศวามิตรพราหมณ์พร่ำขอบอกขอบใจ และยืนกรานที่จะมอบเงินตราในถุงผ้าเก่าๆของตนเองเพื่อเป็นการตอบแทนแก่นักศึกษาหนุ่ม แต่เศาร์ก็ไม่ยอมรับไว้แม้ว่าอีกฝ่ายจะคะยั้นคะยอสักเพียงใด ผู้ทรงพรตเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอีกฝ่ายช้าๆด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะตัดสินใจบางสิ่งบางอย่าง


             พราหมณ์เฒ่าล้วงลงไปในย่ามผ้าของตนเอง แล้วหยิบของชิ้นสำคัญออกมายื่นส่งให้


                  “บางทีทุกอย่างที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะโชคชะตาฤาพรหมลิขิต... ข้ามองเห็นแสงสว่างประหลาดล้ำในตัวของเจ้า มาณพเอ๋ย นั่นเป็นสิ่งที่ตลอดชีวิตของข้าไม่เคยพานพบในบุรุษผู้ใดมาก่อน”


              “แสง?”


                เขาไม่เข้าใจคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย มือเหี่ยวย่นของอีกฝ่ายยกขึ้นแตะบ่ากว้างเบาๆก่อนจะเลื่อนลงมาที่แขนและมือ เศาร์มิได้ขยับร่าง กลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างเสมือนกระแสไฟฟ้าพุ่งปราดไปทั่วทั้งร่างกาย ตราบจนมือเหี่ยวย่นข้างนั้นเลื่อนมาสัมผัสที่อุ้งมือ เขาจึงพบว่ามีวัตถุบางอย่างถูกวางลงอย่างนุ่มนวลโดยไม่ทันได้สังเกต


             หนังสือ??


           พราหมณ์เฒ่าส่ายศีรษะ ยิ้มน้อยๆจนเห็นส่วนของฟันสีเหลืองขุ่น


       “มิใช่ดอก มันคือกัลปาลัย”


        “กัลปาลัย?”


              เขาทวนคำของอีกฝ่ายด้วยความพิศวง เป็นชื่อที่ไม่คาดคิดว่าจะติดตรึงอยู่ในหัวใจตราบจนชั่วกัลปาวสาน


               “มันมิใช่หนังสือ มิใช่สมุดหรือคัมภีร์ใดๆ หากแต่คือสิ่งที่จะทำให้เจ้าได้ค้นพบตัวตนและหัวใจที่แท้จริงของเจ้า”


                เขาพอรู้จักความหมายแห่ง “กัลป์” หรือ “กัลปา” ซึ่งหมายถึงระยะเวลายาวนานเหลือคณานับ แต่กัลปาลัยในความหมายของพราหมณ์เฒ่าผู้นั้นคือสิ่งใด เศาร์มิอาจตอบได้ เขาเหลือบมองตัวอักษรสีทองรูปทรงประหลาดบนหนังสือ ทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่อักษรฮินดีทั่วไป วูบนั้นบุรุษหนุ่มชาวสยาม คล้ายมองเห็นตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวราวกับจะเรืองแสงขึ้นมาเอง หากเมื่อกระพริบตา ทุกอย่างก็กลับมาปกติเหมือนเดิม


                    “ข้ารู้ ข้าเห็น ในอนาคตกาล ชีวิตของเจ้าอาจจะต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆอีกมากมายเหลือเกินกว่าจะคณานึกนัก กัลปาลัยนี้อาจจะนำพาเจ้าจรดลไปสู่ปลายทางที่ปรารถนานั้น”


             “จรดลกระนั้นหรือ?”


               ชายหนุ่มพลิกหนังสือไปมาด้วยความพิศวง รอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นที่มุมปากของชายชรา อย่างที่เขาก็อ่านปริศนานั้นไม่ออก


             “ใช่แล้ว สิ่งนั้นคือการจรดล”


               เขาไม่เข้าใจความหมายของพราหมณ์เฒ่าโดยเฉพาะคำว่า “อาจจะ”ของอีกฝ่าย คิดแต่เพียงว่าชายสูงวัยผู้นี้อาจจะเริ่มเลอะเลือนตามวัย หากด้วยมารยาทก็ยื่นมือรับมันมา แล้วจึงพลิกขึ้นพิจารณาด้วยความพิศวง กัลปาลัย หรือหนังสือที่ว่า... หรือความจริงก็คือสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้ากระดาษภายในว่างเปล่าปราศจากอักษรแม้เพียงสักตัวเดียว


           “อักขระบนนั้น สลักลงด้วยคำว่า สุวรรณชตุกา”


               ชายเฒ่าตอบเพียงเรียบๆ เมื่อชายหนุ่มพลิกมันเปิดออกจากกันด้วยความพิศวง


                 “สุวรรณชตุกา อันมีความหมายว่า ค้างคาวทอง!”


           ***********************

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 55 18:42:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com