Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แก้วตายาใจ ติดต่อทีมงาน

-1-
ชายหนุ่มวัยย่างเข้าเบญจเพศก้าวออกมาประตูผู้โดยสารขาเข้า หลังจากเที่ยวบินแรกของวันจากมหานครนิวยอร์กมุ่งสู่ไทยทะยานลงบนลานจอดเเมื่อสิบนาทีก่อน ร่างสูงในชุดลำลองแบบสบาย เข็นรถสัมภาระส่วนตัวเดินปะปนไปกับผู้คนที่กระจายเต็มห้องโถงใหญ่ของท่าอากาศยาน ดวงตาคมภายใต้แว่นตาสีดำสนิทกวาดสายตาไปทั่วพื้นที่ มองหาคนที่นัดหมายไว้

ด้วยร่างกายล่ำสันเหมือนนักกีฬา ผิวพรรณสดใสอย่างคนที่อยู่เมืองนอกมานาน รูปหน้าเรียวขาว กับบุคลิกขรึมสง่างาม เขาผู้นั้นจึงกลายเป็นที่สนใจของบรรดาสาวๆที่เดินผ่านไปมาเพราะเข้าใจไปว่าเป็นดาราดังบินมาจากที่ใดสักแห่ง

ยศวินยังคงวางมาดของตนได้ไม่หลุด อาจเพราะความเก้อเขินที่ถูกคนมองทำให้วางตัวไม่ถูกเหมือนกัน ในอเมริกาเขาคือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีใครมาให้ความสนใจเป็นพิเศษเพราะเป็นคนต่างชาติ แต่สำหรับบ้านเกิดที่จากมานานหลายปี เขาดูคล้ายจะกลายเป็นคนที่เด่นกว่าใครเพื่อนยามเมื่ออยู่ท่ามกลางชายหนุ่มวัยเดียวกัน

“คุณหนูย้งครับ ขอโทษนะครับที่ผมมาช้า”

ความคิดบางอย่างหยุดลงชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงเรียกทุ้มแหบเรียกชื่อเล่นตน หันหน้าไปเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมโย่งเดินเข้ามาหาพร้อมเอื้อมมือออกไปรับกระเป๋าของเขามาถือไว้เอง

“ลุงผล” ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออก ส่งยิ้มละมุนออกมาเมื่อเจอหน้าคนขับรถเก่าแก่ของมารดาซึ่งไม่ได้พบหน้าค่าตามาหลายปี  “ขอบคุณมากครับที่มารับผม ไม่ได้เจอกันตั้งนานลุงสบายดีครับ”

“โอ้ย ผมก็เจ็บออดๆแอดๆตามวัยนะครับ เรารีบกลับกันเถอะครับ คุณแม่คุณรออยู่ ท่านกำชับนักหนาว่าถ้าหากคุณหนูอยากไปไหนอย่าตามใจเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรให้พากลับมาบ้านก่อน”

“ว้า แม่นี่  รู้ทันผมอีกแล้ว” เขาหัวเราะยิ้มๆ พร้อมเกาศีรษะแก้เก้อไปด้วย

รถตู้ที่ไปรับยศวินจากสนามบิน ขับผ่านประตูรั้วสูงเข้ามาภายในอาณาบริเวณพื้นที่นับสิบไร่ของบ้านพัฒนปรีชา ชายหนุ่มกดปุ่มลดหน้าต่างลงพร้อมชะโงกหน้าออกนอกรถเล็กน้อย มองความเขียวขจีของสนามหญ้าหน้าตึกหลังใหญ่

“กี่ปีๆ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม” เขายิ้มและพูดกับตนเอง เวลาสิบปีดูช่างรวดเร็วเหลือเกินเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง ต้นไม้ทุกต้นยังอยู่ตำแหน่งเดิมต่างกันที่ส่วนสูงที่มากขึ้นกับกิ่งก้านสาขาที่แผ่ขยายเต็มพื้นที่ เก้าอี้กลางสนามสีซีดไปตามกาลเวลาหลังผ่านแดดฝนคู่กับบ้านหลังนี้มาเท่าอายุของเขา นอกนั้นเหมือนไม่มีอะไรจะขยับหรือห่างหายไปไหน ทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำของเขาเรื่อยมาไม่ว่าจะจากบ้านไปนานเท่าไรก็ตาม  

คุณหญิงแขไขยืนรอรับลูกชายอยู่หน้าประตูเข้าบ้าน เมื่อรถตู้ติดฟิลม์จอดอยู่เชิงบันได และคนข้างในออกมา เธอและป้าม่อม คนรับใช้สนิทส่วนตัวก็เดินออกมา

“สวัสดีครับแม่” ถึงจะอยู่ต่างแดนมานาน แต่ยศวินไม่เคยลืมขนบธรรมเนียมเดิม พนมมือกราบไปที่อกมารดา คุณหญิงแขไขโอบกอดลูกชาย แอบยกมือซับน้ำตาดีใจที่สายเลือดเพียงคนเดียวของตนยอมกลับมาพำนักบ้านเกิดอย่างถาวร

ยศวินเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มอ่อนโยนผุดบนดวงหน้าคมคาย คุณหญิงแขไขประคองใบหน้าชายหนุ่มอย่างทะนุถนอม  สื่อความรักห่วงใยผ่านดวงตาฝ้าฟาง

“ผอมไม่นิดนะย้ง” คุณหญิงท่านว่าตามประสาคนแก่ทีไม่ค่อยเจอหน้าลูกหลาน ยศวินดึงมือเรียวเล็กออกมา หอมหลังมือนั้นอย่างรักใคร่

“แม่สบายดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ ผมตกใจแทบแย่ที่ป้าม่อมไปบอกว่า แม่ป่วยจนถึงกับเข้าโรงพยาบาล”

“แม่ไม่เป็นไรมากหรอก ย้ง อาการเจ็บปวดแบบคนแก่เท่านั้นเอง พักผ่อนมากๆ ก็หาย”

“อ้าว งั้นป้าม่อมก็ปดผมสิครับ” เขาว่าพลางส่งสายตาตำหนิไปยังหญิงสูงวัยอีกคนที่ก้มหน้าหลบอยู่

“อย่าไปดุป้าม่อมแบบนั้นสิย้ง ป้าแกตกใจรู้ไหม” คุณหญิงแขไขแก้ตัวแทนบ่าว หันไปพยักหน้าให้ป้าม่อมกลับเข้าไปในบ้านก่อน “แม่สั่งให้ป้าม่อมโทรไปบอกลูกแบบนั้นเอง ถ้าจะโกรธก็ควรโกรธแม่”

“โธ่ แม่ครับ ใครจะโกรธแม่ลง” เขาเป็นคนขี้อ้อนมาแต่ไหนแต่ไร พอเห็นมารดาทำหน้าน้อยใจจึงยกมือโอบกอดรอบตัวเป็นการปลอบประโลม “แม่ไม่น่าโกหกผมเลยนะครับ ผมไม่ได้เคืองแม่นะ ผมแค่เป็นห่วงแม่มากเท่านั้น”

“นี่ถ้าแม่ไม่บอกว่าตนเองป่วยจนเดินไม่ไหว ย้งก็ไม่คิดจะกลับไทยใช่ไหม” คุณหญิงตัดพ้อลูกชาย

“ไม่ใช่แบบนั้นครับแม่  อย่างอนสิครับคนดีของย้ง” ยศวินหยอกล้อมารดา หวังให้อารมณ์ดี และสามารถทำได้สำเร็จเสียด้วย

“พอเลย ไม่ต้องมาทำหน้าทะเล้นใส่ รีบเข้าไปข้างในกัน ป่านนี้ป้าม่อมคงเตรียมอาหารมื้อแรกให้เราแล้ว หิวละสิใช่ไหมย้ง แม่ได้ให้แม่ครัวทำของที่ลูกชอบทั้งนั้น”

“โห ดีจังเลยครับแม่ วันนี้ย้งจะซัดให้พุงกางไปเลย”

มื้อกลางวันระหว่างสองแม่ลูกตลบอลอวลไปด้วยความสุขอบอุ่นของบรรยากาศครอบครัว ถึงแม้คุณสุริยะประมุขของบ้านพัฒนปรีชาจะลาจากโลกนี้ด้วยอุบัติเหตุเมื่อหกปีที่แล้ว แต่สำหรับคนในครอบครัวรู้เสมอว่าท่านยังคงวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“ย้ง เมื่อไรลูกจะไปดูกิจการมหาวิทยาลัยของครอบครัวเราเสียที”

ไม่แปลกถ้าคนถูกถามจะสำลักข้าว เพราะยังไม่ทันตั้งตัวกับคำถามแกมบังคับตอบทันที จนต้องรีบยกน้ำมาดื่มก่อนจะตอบคำถามมารดา

“ทำไมจู่ๆ แม่ถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าครับ”

คุณหญิงแขไขรวบช้อนเมื่อรู้สึกอิ่ม ลอบระบายลมหายใจออกมา “คิดแล้วเชียวว่าลูกต้องพยายามหลบหลีกที่จะพูดเรื่องนี้กันอีก การที่แม่ให้ย้งกลับบ้าน ย้งน่าจะรู้ดีนะว่าแม่ต้องการให้เราทำอะไร”

“แต่แม่ครับ ย้งยังเที่ยวไม่สนุกเลย เรียนกว่าจะจบโทมาหลายปีแทบไม่มีเวลาไปไหนเลย ขอผมเที่ยวอีกสักปีได้ไหมครับ ผมสัญญาว่าจะกลับมาช่วยแม่ดูแลมหาวิทยาลัยที่พ่อสร้างมากับมือ”

“หย่งไฉ ลูกจะเที่ยวเอาเงินพ่อแม่มาผลาญเล่นตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ถูกต้องนะ” คุณหญิงแขไขเริ่มขึ้นเสียงดังพร้อมเรียกชื่อจีนของยศวิน  เธอมักจะเป็นแบบนี้เสมอหากรู้สึกอยากสั่งสอนลูกชาย ถึงจะเคยตามใจมาแต่เล็ก แต่ใช่ว่าจะต้องยอมทุกเรื่องเสมอไป

“ผมขอโทษครับแม่ แต่ผมคิดว่าตนเองยังไม่พร้อมจริง ผมอยากจะลองเรียนรู้โลกไปก่อน หรือเรียนรู้ธุรกิจอื่นจากพวกเพื่อนๆ” น้ำเสียงชายหนุ่มอ่อยลง

“เรียนกับแม่สิ แม่สอนเราได้เสมอย้ง ทำไมต้องไปเรียนกับคนอื่น เรียนรู้ด้วยการบริหารกิจการของเราเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง ลูกรู้ฐานะตนเองดีไม่ใช่หรือว่ามีความสำคัญสำหรับตระกูลพัฒนปรีชาแค่ไหน”

“ผมทราบดีครับ” เขาไม่เถียงมารดา ยอมรับโดยสดุดีแต่ยังหาข้อแก้ตัวให้ตนเอง “ผมแค่อยากบอกแม่ว่า ผมไม่ชอบและไม่ถนัดธุรกิจโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เราจ้างทีมบริหารมาช่วยไม่ได้หรือครับ”

“ถ้าแม่จะทำนั้นแบบจริง แม่จะเรียกลูกกลับมาทำไมย้ง ไม่มีใครน่าไว้ใจอีกแล้วนอกจากลูกหลานตนเอง ย้งแม่เหนื่อยแล้วนะ แต่แม่พักไม่ได้เพราะยังต้องดูแลมหาวิทยาลัยของเรา ถึงจะไม่ดังเท่ากับตอนที่พ่ออยู่ แต่ก็เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ยังเป็นที่นิยม แม่ห่วงว่าพอสิ้นแม่ไป ที่นี่จะอยู่อย่างไร บรรดานักศึกษา อาจารย์ และคนเก่าๆของเราอีกล่ะลูก เราเป็นนายต้องดูแลเขาให้ตลอดรอดฝั่งนะ จะมาเอาแต่สนุกไม่ได้”

คุณหญิงแขไขเทศนาลูกชายเสียยาวเหยียด ผู้เป็นลูกได้แต่กล้อมแกล้มรับคำพอเป็นพิธี ทั้งที่รู้สึกอึดอัด ยศวินมีความหลังกับกิจการของบิดามารดามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เมื่อเล็กยังเป็นเด็กน้อย ยศวินรู้สึกได้ว่าพ่อและแม่ให้เวลากับลูกชายเพียงคนเดียวน้อยกว่าลูกหลานของคนที่มาเรียนในมหาวิทยาลัยเขาเสียอีก เมื่อใดที่พ่อก้าวออกจากบ้านไป นั่นหมายถึงกำลังจะไปเอาใจพวกเด็กเหล่านั้นโดยปล่อยให้ลูกชายเหงาหงอยอยู่กับคนใช้ที่บ้านจนโต และขับไสไล่ส่งด้วยการส่งไปอยู่เมืองนอกเมื่ออายุได้สิบสี่ปี

ยศวินไม่อยากโกรธเคืองบุพการี เพราะเห็นว่าเป็นความคิดไม่สมควร ถึงไม่ค่อยได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่แท้ๆสักเท่าไร แต่ได้รับความรักจากป้าม่อมและคนสนิทของมารดาแทน คนเก่าแก่ของบ้านพร่ำสอนให้ทายาทพัฒนปรีชาผู้นี้เป็นเด็กน้อยที่เติบโตมาพร้อมแนวคิดที่เป็นบวก รักอิสระและเชื่อมั่นในตนเองจนกลายเป็นคนดื้อเงียบกลายๆ

คำร้องขอของแม่ทำให้เขาคิดเองได้ ยอมตามใจผู้ให้กำเนิดสักครั้งให้ท่านได้ชื่นใจด้วยการรับปากจะไปดูกิจการกิจการของครอบครัวด้วยตนเองในตอนเช้าของอีกวันกลางโต๊ะอาหาร

“ย้งไปวันอื่นไม่ได้หรือลูก พอดีสองวันนี้แม่ติดประชุมกับสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นเอเชีย แม่ต้องเข้าฟังด้วยเพื่อเอามาปรับใช้งานกับมหาวิทยาลัยของเราให้ทันสมัย แม่ว่านะเราน่าจะไปกับแม่เผื่อได้แง่คิดอะไรดีๆ”

“ผมว่า ผมไปดูกิจการมหาวิทยาลัยก่อนดีกว่าไหมครับ ผมควรจะรู้ว่ามหาวิทยาลัยของเรามีอะไรดีบ้าง หรือว่ามีตำหนิตรงไหนก่อน ถึงจะรู้ว่าควรจะปรับปรุงอย่างไร แต่ผมว่ามหาวิทยาลัยเราตอนนี้ก็ดีอยู่นะครับ”

เขาว่าพลางเทครีมเทียมลงในแก้วกาแฟ คุณหญิงแขไขเฝ้ามองบุตรชาย นึกเปรียบเทียบกับพ่อของเขา กาแฟของคุณสุริยะสีเข้มข้นบ่งบอกได้ว่าเป็นคนเอาจริงเอาจังกับงานจนลืมพักผ่อนและเป็นเหตุให้ขับรถหลับในจนพบอุบัติเหตุเสียชีวิต ส่วนของยศวินดูราวกับกาแฟเด็กน้อย ไม่จริงจังทีเล่นทีจริงไปวันๆ จนเธอนึกหวั่นใจว่าจะฝากงานทุกอย่างในมือไว้กับบุตรชายเพียงคนเดียวได้หรือไม่

“ตามใจแล้วกัน เดี๋ยวแม่ให้ลุงผลไปส่งนะ ย้ง แม่จะไปแท็กซี่เอง”

“ผมว่าผมไปเองดีกว่าครับแม่”

“ไปเอง” คุณหญิงแขไขทำเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ “ย้งไม่ได้กลับไทยมาหลายปี ถนนหนทางเปลี่ยนแปลงไปมาก แล้วลูกจะไปถูกหรือย้ง แม่ว่าให้คนไปส่งลูกดีกว่า เดี๋ยวแม่จะโทรไปบอกท่านอธิการก่อนว่าลูกจะไปดูงานที่มหาวิทยาลัย”

“อย่าเลยครับแม่ ผมว่าจะดูวุ่นวายไป เดี๋ยวไม่ได้ทำการทำงานกันพอดี ผมว่าผมไปเงียบๆ จะได้ไม่ต้องมีการโรยหน้าด้วยผักชี ”

“เจ้าสำบัดสำนวนจังนะคะคุณหนูของม่อม ไปเรียนนอกออกทันสมัย แต่พูดยังกับคนแก่มีอายุ” ป้าม่อมที่ยืนฟังอยู่อดไม่ได้ที่จะพูดจาหยอกล้อเจ้านายหนุ่มน้อยของเธอ

“ผมติดนิสัยป้าม่อมมาแหละครับ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มกว้างให้กับผู้อาวุโสสุดของบ้าน ความผูกพันแต่เล็กทำให้เขานับถือป้าแม่บ้านผู้นี้ราวกับญาติผู้ใหญ่คนหึ่ง

“เอาล่ะ ๆ ถ้าจะไปคนเดียว แม่ก็ไม่ว่าอะไร มือถือติดตัวตลอดนะ เกิดหลงหรืออะไรแม่จะให้คนขับรถของแม่ไปรับลูกกลางทาง อยากจะลองหลงทางกลางกรุงก็เอา”

คุณหญิงแขไขไม่ขัดใจลูกชาย ด้วยปล่อยให้คิดเองทำเองแต่เด็ก การให้ลูกหลานได้รับบทเรียนเองบ้างคือหนึ่งวิธีที่คนตระกูลนี้มักจะสอนต่อๆ กันมา

หลังมืออาหารเช้า รถหรูราคาเฉียดล้านพาคุณหญิงแขไขออกจากบ้านพัฒนปรีชาก่อนเป็นคันแรก ส่วนยศวินไม่ต้องการรบกวนใครจึงขอกุญแจรถทุกคันจากลุงผลเพื่อเลือกเดินทางไปมหาวิทยาลัยด้วยตนเองและเลือกพาหนะที่ทำให้ลุงแก่สูงวัยต้องรีบวิ่งตาเหลือกมาดักหน้าตะโกนร้องอย่างตกอกตกใจ

“คุณย้งครับ มอเตอร์ไซด์อันตรายนะครับ อย่าเอาไปเลย”

“ผมไปรถยนต์คงไม่ไหว รถติดเหลือเกินแถมไม่รู้ทางอีก เจ้าสองล้อนี่แหละครับเหมาะสุด ผมว่าจะไปทางลัด จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าไปไม่ยาก น่าจะถึงเร็วกว่าด้วย”

“โธ่คุณหนู ถ้าคุณหญิงรู้ ผมโดนดุแน่ๆ เลยครับ”

“ลุงผลไม่พูด ผมไม่พูด แล้วใครจะรู้ หลีกทางไปเลยลุงผล ไม่งั้นผมชนจริงด้วย”

นอกจากไม่ฟังแล้วเจ้านายหนุ่มยังบิดรถจนเกิดเสียงดัง มืออีกข้างกำคลัทไว้แน่น สองล้อสี่สูบราคาเฉียดล้านเป็นพาหนะคู่ใจของพ่อและกลายเป็นของตนเมื่อเสียบิดาไป เขารักรถคันนี้มากพอๆกับเจ้าของเดิมจนไม่ยอมให้แม่นำออกขาย

“ออกไปไม่งั้นชนจริงด้วย” เขาขู่ ชายสูงวัยรีบกระโดดหลบแทบไม่ทันเมื่อสี่สูบยี่ห้อดังพุ่งทะยานมาข้างหน้า สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้เจ้านายหนุ่มออกจากรั้วบ้านหลังใหญ่ทั้งที่รู้ว่าเสี่ยง

กว่ายศวินจะไปถึงจุดหมายปลายทางใช้เวลาไปเกือบหมดวัน เพราะความไม่ชำนาญเส้นทางและถนนในเมืองไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อสิบปีที่แล้ว  จำต้องถามทางมาตลอดจนกระทั่งมาถึงจนได้

ชายหนุ่มถอดหมวกนิรภัยใบโตออกจากศีรษะ สะบัดผมและเสยให้ได้ทรงก่อนจะถอดถุงมือวางที่รถ กอดอกเงยหน้ามองไปที่ประตูทางเข้าด้านข้าง

“ไม่ได้มานาน ตึกใหม่ๆ เกิดขึ้นเยอะเลย”

เขามองผ่านเข้าไปข้างใน เห็นอาคารสีขาวหลายรูปทรงเรียงรายสลับความสูงต่ำกันแน่นขนัดอยู่แถบหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามด้านเป็นตึกสูงลิ่วสี่สิบชั้นดูโดดเด่นกว่าใครเพื่อน เหนือยอดตึกคือป้ายโลหะขนาดใหญ่สะท้อนแดดยามเย็นเป็นประกายวิบวับ

“มหาวิทยาลัยพัฒนวิทยาการ”

เขาเงยหน้าอ่านชื่อมหาวิทยาลัยซ้ำไปมา ทั้งที่เคยมาเมื่อตอนเด็กแต่ยังไม่ค่อยรู้สึกคุ้นชื่อเสียที ยศวินก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกแสบตา เบนหางตามองไปทางขวามือหลังกลุ่มตึกสีขาวดูน่าเป็นพื้นที่โล่ง หรือไม่ก็เป็นสนามอะไรสักอย่างซึ่งเขาจำได้เพียงลางเลือน

“ลองเข้าไปดูเสียหน่อย คงไม่เสียหายมั้ง” ว่าพลางเดินกลับไปที่รถ ก้าวขึ้นค่อมนั่งตัวรถและติดเครื่องยนต์ขี่เข้าไปตามถนน พอผ่านป้อมยามจึงจอดรับบัตรเข้าออกจากพนักงานรักษาความปลอดภัยเหมือนคนมาติดต่อธุระทั่วไป การมาครั้งนี้ ยศวินไม่ต้องการให้ใครรู้มากนัก

สองล้อคู่ใจไถลเลยผ่านกลุ่มอาคารเรียนและสนามเทนนิสไปเกือบทะลุประตูหลัง ชายหนุ่มเลี้ยวรถไปตามถนนที่แยกออกไปด้านขวา เส้นทางนี้ไม่มีนักศึกษาเดินผ่านเหมือนที่เขาพบตลอดทางเพราะไม่มีตัวอาคารเรียนสักหลัง บริเวณหลังมหาวิทยาลัยถูกจัดให้เป็นกลุ่มบ้านพักของบรรดาลูกจ้างและนักการภารโรง สองข้างทางจึงเห็นแต่เพียงต้นไม้ใหญ่สูงร่มรื่นสลับกับบ้านไม้สองชั้นบ้างสามชั้นบ้างติดกันตลอดถนน

เขามาหยุดอยู่ที่บ้านชั้นเดียวหลังสุดท้าย ถอดหมวกวางตรงถังน้ำมัน เดินเข้าไปในบ้านอย่างคนคุ้นเคย บ้านหลังน้อยดูเป็นระเบียบตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงข้างใน แม้จะแลเก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลาก็ตาม

“เอ้ ลุงแจ่มไปไหนนะ”

ลุงแจ่ม คือชายแก่วัยเจ็ดสิบเศษๆ นักการภารโรงรุ่นแรกที่ทำงานให้มหาวิทยาลัยตั้งแต่วันที่เริ่มก่อตั้ง เป็นคนเก่าแก่เพียงคนเดียวที่คุณหญิงแขไขให้ความเคารพนับถือและรับอุปการะจนวันสุดท้ายของชีวิต ยศวินค่อนข้างสนิทกับลุงแจ่มมากกว่าใครเพื่อนเพราะเป็นคนๆเดียวที่คอยดูแลและอยู่ช่วยเป็นเพื่อนเล่นคลายความเหงาเมื่อครั้งที่พ่อชอบเอาเขามาทิ้งไว้ตอนเด็กเวลาจะไปประชุมหรือว่าไปทำงานในมหาวิทยาลัย ส่วนคนอื่นที่เขาเคยรู้จักถ้าไม่ลาออกไปเองก็เกษียณอายุงาน หรือไม่ก็จำเขาไม่ได้

“ไม่มีใครอยู่ข้างในเลยแฮะ” ชายหนุ่มลองผลักประตูเปิดเขาไปอย่างถือวิสาสะ ลุงแจ่มไม่เคยล็อกประตูบ้าน เพราะมั่นใจว่าไม่มีใครมาขโมยของ ทั้งบ้านสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับชายสูงวัยมีเพียงเสื้อผ้าและของใช้ไม่กี่อย่าง เงินทองที่เก็บหอมรอมริบมาจากทำงาน ลุงแจ่มนำฝากธนาคารไว้หมด บางส่วนก็เอาไปทำบุญ

“เอ๊ะ หรือว่าจะอยู่คลองหลังบ้าน” ยศวินออกตามหาเจ้าของบ้าน จากมานานสิบกว่าปีเขาไม่มั่นใจนักว่า คลองขุดด้านหลังยังจะคงอยู่หรือถูกถมไปแล้ว

“ใครกันอยู่ตรงนั้นนะ ผีหรือคนว่ะ”

เมื่อมาถึงก็ต้องแปลกใจที่เห็นนักศึกษาหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ริมน้ำตามลำพัง เพราะบริเวณนี้ไม่ใช่สถานที่ที่พวกนักศึกษาจะแวะเวียนเข้ามาเนื่องจากเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล  จึงรู้สึกสงสัยว่าเธอมาทำอะไรหรือมาหาใคร

“มายืนรับลมริมน้ำหรือไงนะ  คลองตรงนี้น่ามาเดินเล่นตรงไหน  ร้อนจะตาย”

ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของตนจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งนัก ขณะกำลังจะเดินกลับไปที่รถ เขาสังเกตเห็นว่าเธอกำลังทำท่าก้มตัวลงในน้ำคล้ายจะกระโดดลงไป

“เขาจะทำอะไรของเขานะ หรือว่า..” ไวเท่าความคิด ยศวินรีบปรี่เข้าไปหาเธอ ปากก็ร้องตะโกนไปด้วย “คุณอย่ากระโดดนะครับ”

ดูเหมือนร่างแบบบางจะสะดุ้งตัวเล็กน้อย เหลียวหลังกลับมามองข้ามไหล่ พอเห็นคนกำลังวิ่งพุ่งเข้ามาหา จึงขยับเท้าก้าวถอยหลังพร้อมเบี่ยงตัวหนีออกด้านข้าง

“เฮ้ย!” ชายหนุ่มตกใจที่คาดคะเนผิด อ้าปากร้องเสียงหลง พยายามหยุดฝีเท้าตนเองไว้ที่ริมน้ำได้ทันแต่ร่างกายเบื้องบนกลับเลยขอบตลิ่ง โลกของยศวินในเวลานี้เอียงทำมุมสี่สิบห้าองศาและลลหลั่นทีละน้อย สิ่งที่ขวางหน้าเขาคือผืนน้ำสีเขียวขุ่น พอรู้ตัวว่าไม่รอดลง จึงกลั้นหายใจเตรียมรอไว้ล่วงหน้า

“ตูม” เสียงน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้างเมื่อร่างอันหนาหนักร่วงหล่นลงไป หญิงสาวต้นเหตุยกมือกุมอกยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยแววตาชวนพิศวง ยกมือขยับแว่นเล็กน้อย ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองกำลังคิดจะทำอะไรอยู่

“ตายแล้ว เจ้ามูมู่” เธอย่อตัวลงนั่งกับพื้น รีบคว้าเอาร่างลูกสุนัขตัวหนึ่งที่หมอบตัวสั่นอยู่ริมตลิ่งจวนเจียนจะไถลลงไปในคลอง อุ้มขึ้นมาปลอบขวัญให้หายสั่นกลัว คนรับเคราะห์แบบไม่ทันตั้งตัวโผล่พรวดจากผิวน้ำขึ้นมา พอเห็นว่าเธอคนนั้นที่เขาพยายามจะช่วยเหลือยืนมองตนเองอยู่จึงว่ายน้ำมาเกาะขอบฝั่ง ยกมือขึ้นลูบหน้าและศีรษะเอาพวกวัชพืชออกไป

“คุณจะลงเล่นน้ำในคลองนี้หรือคะ ถ้างั้นฉันไม่ยืนเกะกะคุณนะคะ ขอโทษทีค่ะ” เธอเอ่ยปากถามเขาก่อนคนแรกก่อนที่เขาจะอ้าปากถามเธอ

“ไม่ใช่” ชายหนุ่มรีบตอบทันควัน แม้จะยังไม่หายงุนงงเสียทีเดียว “ผมตั้งใจมาห้ามคุณไม่ให้ฆ่าตัวตาย ถามจริงคิดยังไงของคุณกันนะ ไม่คิดถึงหัวอกพ่อแม่บ้างหรือ”

“ฉันนี่นะจะฆ่าตัวตาย ในคลองน้ำตื้นๆแบบนี้นะคะ” เธอย้อนถามเขากลับบ้าง ตานี่คือใครกันถึงได้คิดว่าเธอจะทำเรื่องโง่เง่าไร้สมอง

“ใช่ ฉันเห็นเธอกำลังจะกระโดดลงน้ำนี่”

“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันแค่ชะโงกหน้าเท่านั้น เพราะได้ยินเสียงเจ้ามูมู่มันร้องเลยมองหา จึงเห็นว่ามันกำลังจะกลิ้งตกน้ำ”

“เจ้ามูมู่ คือใคร” ยศวินย่นคิ้วด้วยความสงสัย แล้วได้คำตอบเมื่อมองไปเห็นลูกสุนัขตัวหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาว เจ้าหน้าขนปุกปุยมองเขาด้วยลูกตาดำใสซื่อพร้อมเอียงคอตามประสาสัตว์ขี้ระแวง

“โธ่เอ้ย บ้าฉิบ”  เขานึกโมโหตนเอง ควรจะลงโทษสัตว์โลกผู้น่ารักดีไหมที่ทำให้ตนต้องมาแช่อยู่ในน้ำแบบนี้ ร่างสูงปีนขึ้นมาจากคลอง ก้มมองตั้งแต่เท้าจนตลอดทั่วตัว กลิ่นเหม็นเขียวของวัชพืชและกลิ่นโคลนติดเข้าไปในจมูกจนแทบอยากจะคายอาหารมื้อเช้าออกมา

“โอ้ย ไม่ไหว อยู่ดีไม่ว่าดี มากลายเป็นมนุษย์แหนไปซะแล้ว” ชายหนุ่มตั้งฉายาตนเองตามสภาพไม่น่ามองตอนนี้  แหนสีเขียวติดตามเนื้อตัวตั้งแต่เส้นผมจนถึงปลายเท้า เหม็นคันจนเผลอเกาไปทั่วร่าง สายตาพลันชำเลืองมองเห็นหญิงสาวหางเปียกำลังกลั้นหัวเราะอยู่

“ขำอะไร” เขาทำเสียงเข้ม ไม่ค่อยพอใจที่เธอกำลังทำเสียมารยาทด้วยการหัวเราะเยาะเขาต่อหน้าต่อหน้า

“ขำคุณไง คิดได้ไงว่าฉันกำลังจะฆ่าตัวตาย”

ยศวินพ่นลมหายใจออกมาเป็นการระบายอารมณ์หงุดหงิด นั่นสินะ เขาบ้าไปเองที่คิดว่าเธอกำลังจะฆ่าตัวตาย หรือเพราะอยู่แต่ในเมืองใหญ่ที่มีแต่ผู้คนเคร่งเครียดจนลืมคิดในแง่อื่น

“คุณอยู่คณะอะไร ดูจากหน้าตาไม่คุ้นเลย คงปีสี่แน่ๆ คุณพักหอในหรือหอนอกคะ ถ้าเป็นหอนอกไกลไหม พอจะทนเหม็นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้หรือเปล่า ถ้าไม่ฉันจะไปหาเสื้อผ้าจากเพื่อมาเปลี่ยนให้เอาไหม”

เธอถามเขาเสียยาวเหยียดจนเขาไม่มีจังหวะจะถามเธอกลับหรือแม้แต่จะคิด

“บ้านฉัน หลังนั้น” เขาชี้มือไปทางบ้านของลุงแจ่ม หญิงสาวย่นคิ้วอีกครั้ง  

“บ้านลุงแจ่ม หรือคะ เอ้ ทำไมฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อน”

“ผมเป็นหลานลุงแจ่ม เอ่อ เพิ่งมาจากต่างจังหวัด” ยศวินนึกขอบคุณความสามารถในการกลั่นคำโกหกอย่างแนบเนียนได้ในไม่เกินห้านาทีของตน เขาอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าบอกความจริงออกไป แม่หางเปียจะทำหน้าอย่างไร จะตกใจจนเป็นลมช็อกตายหรือไม่ ในตอนนี้เขาจำเป็นต้องปิดบังตัวเองไว้ก่อน อย่างน้อยเพื่อจะได้ดูความเป็นไปของมหาวิทยาลัยนี้อย่างถ่องแท้ไม่ใช่การสร้างภาพเหมือนเวลาที่แม่เขามา

“อ๋อ ค่ะ เข้าใจแล้ว” เธอผงกศีรษะรับรู้ ชายหนุ่มนึกขำในใจ  ช่างพูดง่ายดายเหมือนเด็กเล็กเสียจริง

“ขอตัวก่อนนะ จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” ยศวินไม่คิดว่าตนเองจะอยู่สภาพนี้ได้นาน จึงรีบพาร่างเปียกโชกของตนเดินกลับมาที่บ้านชั้นเดียว ผลักประตูเปิดเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของบ้านอีกคน

“เอาไงดีวะนี่” เขาไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี บ้านชั้นเดียวแคบๆ ภายในเต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย มุมหนึ่งเป็นกองลังวางซ้อนสูงขึ้นไปหลายชั้น ถัดมาใกล้ๆกันเป็นกองเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซัก เขาตรงไปรื้อค้นกองผ้าที่สุมกันเป็นภูเขาเมื่อหาชุดมาผลัดเปลี่ยน

“กลิ่นตัวลุงแจ่มแรงเป็นบ้าเลย จะทนใส่ได้ไหม” เขาพยายามชั่งใจระหว่างเสื้อผ้าที่ใส่แล้วกับชุดเก่งที่เปอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำคลองสกปรก

“เอาวะดีกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยน ถ้าจะดีอาบน้ำก่อนดีกว่า” ยศวินหันรีหันขวางมองไปเห็นผ้าขาวม้าผืนหนึ่งพอดี มือยาวรีบดึงมาพันตัวอย่างคล่องแคล่ว ผ้าขาวม้าแบบไทยๆใช้นุ่งเป็นประจำตอนอยู่เมืองนอกเพราะหยิบใช้สะดวกกว่าชุดคลุมจนเพื่อนฝรั่งด้วยกันอดทึ่งไม่ได้กับการทำตัวง่ายๆไม่พิถีพิถันเหมือนนักเรียนนอกคนอื่น

ชายหนุ่มถอดเสื้อออก สะบัดสองสามทีแล้วม้วนวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ดึงเอากางเกงยีนหนักน้ำออกจากปลายขาทีละข้าง จนสุดท้ายเหลือกางเกงในเพียงตัวเดียว กำลังยกขาข้างหนึ่งถอดอยู่ดีๆ พลันประตูบ้านก็ถูกผลักเปิดเข้ามา

“เฮ้ย” ยศวินร้องลั่น เพราะคนที่เข้ามาเป็นแม่สาวน้อยหางเปียคนเดิม

“อุ้ย ว้าย” เธอร้องอุทานตกใจเสียงดังไม่แพ้กัน ใบหน้าแดงกล่ำเพราะความอับอาย แต่คนที่น่าจะอายกว่าควรเป็นเขาเพราะอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย ชายหนุ่มรีบกุมกล่องดวงใจ หันหลังให้หญิงสาวทันทีเช่นเดียวกับเธอ

“ขอโทษ ฉันไม่คิดว่าคุณจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากลางแจ้งแบบนี้ ฉันแค่จะมาขอผ้าสักผืนมาให้ความอบอุ่นมูมู่เสียหน่อย”

“กลางแจ้งที่ไหน นี่มันบ้านของผม ตกลงแล้วจะอยู่อีกนานไหม หรือว่าอยากดูผมแก้ผ้า” พอทำท่าจะหันกลับไป สาวน้อยเซ่อซ่าที่ยศวินลงความเห็นว่าเป็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกแทบไม่ทัน

ยศวินยกมือขึ้นมากอดตนเองเมื่อเริ่มรู้สึกหนาว ก้มมองไปที่น้องชายสุดที่รักของตน

“เกือบไปแล้วย้งน้อย เกือบเสียความบริสุทธิ์ ให้คนแปลกหน้า”

แก้ไขเมื่อ 02 พ.ค. 55 23:45:38

จากคุณ : myjay
เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 55 23:38:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com