Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Anti - Suicide Project - คนแปลกหน้า ติดต่อทีมงาน

โปรเจ็คเรื่องสั้น Anti - Suicide Project เกิดขึ้นมาหลังอ่านหนังสือ"เรื่องสั้นของคนไม่คิดสั้น" จบลง หากใครสนใจ สามารถทดลองอ่านตัวอย่างเรื่องสั้นในเล่มได้ที่กระทู้นี้ของพี่รุริกะครับ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11954714/W11954714.html


---------------------------------



Anti – Suicide Project

no.1

คนแปลกหน้า

มันเป็นบ่ายที่ร้อนมาก ร้อนจนสมควรจะถูกเรียกว่านรกบนดินสำหรับคนเดินถนนอย่างผม

ผมยกแขนเสื้อเชิ้ตซับเหงื่อที่ผุดพราวบนหน้าผาก ก่อนถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเพราะตระเวนหางานทำมาทั้งวัน ทว่าสิ่งที่ผมพบกลับเป็นความว่างเปล่า แต่ผมเข้าใจดี ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ คุณมักจะเหนื่อยเป็นสองเท่าเสมอหากคุณพยายามทำอะไรสักอย่างแต่มันกลับล้มเหลว

เดี๋ยวมันก็ผ่านไปครับ ทำใจเถอะ

ดูอย่างผม วันนี้พยายามหางานตั้งแต่เช้าจนถึงขณะนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ผมยังไม่พบคนที่จะสามารถให้งานผมได้สักคน  เห็นทีถ้าเป็นแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ ผมอาจจะถูกคนอื่นทิ้งแต้มห่าง และโอกาสที่ผมจะเป็นผู้ชนะก็ต้องลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ จนเหลือศูนย์

ความคิดนั้นทำให้ผมฮึดสู้ ไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนที่ชอบยอมแพ้อะไรง่ายๆ ผมจะไม่ยอมทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง

งานนี้ผมต้องเป็นผู้ชนะให้ได้!

ผมกำหมัดแน่น เม้มริมฝีปาก นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความหวัง แทบจะตะโกนปลุกใจตัวเองออกมาว่า “สู้โว้ย!”แต่กลัวผู้คนที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้จะมองว่าผมเป็นคนบ้า ผมจึงทำได้แค่ผงกศีรษะกับตัวเอง ขยับแว่นตาให้ได้องศาและกวาดสายตามองรอบกายอีกครั้งพร้อมกับหวังว่าจะพบคนที่สามารถให้งานผมได้

และแล้ว...

โปะเช๊ะครับ

ในที่สุด ผมก็ได้เจองานของผมสักที

++++++++

เธอคนนั้นกำลังพาร่างอ้อนแอ้นของตนเองเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้า ในวงแขนนอกจะแขวนกระเป๋าสะพายไว้แล้ว ยังแนบด้วยหนังสืออีกปึกใหญ่  ผมเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีเมื่อออกมาเผชิญความร้อนของเปลวแดดที่เต้นระบำระยิบระยับแทนความเย็นจากแอร์ชุ่มฉ่ำของห้างสรรพสินค้า

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลย

สิ่งนั้นคือรัศมีสีดำที่แผ่ออกมาจากรอบกายเธออย่างเบาบาง

ไม่มีใครสามารถเห็นรัศมีสีดำนี้ได้นอกจากผม  มันเป็นรัศมีที่เป็นสัญลักษณ์บอกว่าคนที่แผ่รัศมีชนิดนี้ออกมา ย่อมเป็นผู้ที่กำลังไตร่ตรองเรื่องการฆ่าตัวตายระยะสุดท้าย หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ คนๆ นั้นกำลังเตรียมตัวจะลงมือฆ่าตัวตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

เรื่องแบบนี้คนที่ได้รับเลือกให้เป็น ‘มือปราบอัตวินิบาตกรรม’ อย่างผมต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางปฏิบัติภารกิจได้ พวกเราต้องมีสายตาที่ว่องไว เพราะหากปล่อยให้เป้าหมายหลุดรอดไปแม้แต่คนเดียว นั่นหมายถึงบันไดที่หายไปหนึ่งขั้นสำหรับการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ของผู้ชนะ

ผมจับตามองหญิงสาวคนนั้นเดินมาจนถึงป้ายรถเมล์ เธอเป็นคนสวย ผิวขาว ตากลม หน้าเรียว จมูกโด่ง ผมยาวรวบเป็นหางม้าด้วยโบว์สีแดง ชุดที่ใส่ก็ดูทะมัดทะแมงคือเสื้อกล้ามสายเดี่ยวสีดำเผยสายบราเซียร์สีเดียวกันบนสองไหล่  สวมคลุมทับหลวมๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงินที่พับแขนขึ้นมาเหนือข้อศอก ส่วนด้านล่างเป็นกางเกงยีนเอวต่ำกับรองเท้าผ้าใบขาดๆ คู่หนึ่ง

มองเผินๆ ก็เหมือนเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย ผมไม่เข้าใจเลยว่าเธอไปพบอะไรมาถึงกำลังคิดก่อการฆ่าตัวตายอย่างนี้

ผมจึงรีบเข้าไปพิสูจน์ทันที

++++++++

“ให้ช่วยถือหนังสือมั้ยครับ?” ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพที่แสดงถึงความเป็นมิตรมากที่สุด ผมจะสามารถรู้ได้ว่าหญิงสาวคนนี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของเธอเท่านั้น มันเป็นความสามารถพิเศษของผม เป็นมาตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นมนุษย์ ผมสามารถอ่านใจคนอื่นได้

เอ เดี๋ยวนะครับ ผมยังไม่ได้บอกคุณใช่มั้ยว่าผมพ้นสภาวะการเป็นมนุษย์มาได้หลายเดือนแล้ว?

“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ” เธอตอบผมด้วยเสียงห้วนสั้น พร้อมกันนั้นก็เขยิบห่างไปจากผมสองก้าวเป็นนัยว่าไม่อยากสนทนาด้วย

“ไม่เป็นไรครับ ผมช่วย ร้อนๆ แบบนี้ถือของหนักเดี๋ยวจะเป็นลมไปนะ” ผมว่าพลางขยับเท้าเข้าไปใกล้ สองมือก็เอื้อมไปที่หนังสือของเธอ

หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบ มือผมจึงพลาดจากหนังสือไปแปะเอาแขนของเธอเข้า  ผมเห็นเธออ้าปากจะกรีดร้องโวยวายออกมา แต่ผมปล่อยพลังสะกดให้เสียงค้างอยู่ในลำคอ เธอจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ตราบใดที่ผมยังไม่คลายพลังให้

เมื่อปล่อยพลังใส่เธอเสร็จแล้ว ความร้อนเหมือนไฟฟ้าก็แล่นพล่านจากปลายนิ้วของผมพุ่งตรงเข้าสู่สมอง ภาพของเธอผู้นี้ผุดขึ้นมาในหัวผมทันที เธอกำลังอยู่บนเตียงในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ อันเป็นห้องนอน เธอวางจดหมายลาตายไว้หัวเตียง แล้วหยิบกระปุกยานอนหลับออกมาจากกระเป๋าสะพาย จัดการกรอกใส่ปากจนหมดกระปุก และตายไปเงียบๆ ปราศจากพยานรู้เห็นในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

ผมสะดุ้งเฮือก มันเป็นอาการเตือนว่าหากผมปล่อยพลังสะกดใส่เธอนานกว่านี้เธอจะเป็นอันตราย

ผมรีบถอนพลังทั้งหมดออก พร้อมกับปล่อยมือออกจากแขนของหญิงสาว เธอจึงสามารถโวยวายลั่นป้ายรถเมล์ได้ทันที

“ออกไปนะ เป็นโรคจิตหรือเปล่า! คนบอกไม่ต้องๆ ยังตามตื๊ออยู่ได้ ถ้าจะหม้อไปหม้อที่อื่นเลยไป๊!”

เล่นด่ากันซะขนาดนี้ บอกตามตรงเลยครับว่ารู้สึกหน้าชาไปแถบหนึ่งเลย แต่เพื่อคะแนนอันล้ำค่า แค่นี้ผมไม่ถอยหรอก

ผมถือวิสาสะคว้าแขนเธออีกครั้งโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง และกระซิบออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะทันโวยวายต่อ “หนังสือพวกนั้นจะถือเองก็ได้ แต่ยานอนหลับที่คุณคิดจะกินเพื่อฆ่าตัวตายน่ะ ผมขอได้ไหม?”

ใบหน้าของหญิงสาวแสดงอาการประหลาดใจอย่างชัดเจน “คุณพูดบ้าอะไรกัน?”

“ไม่บ้าหรอก” ผมฉีกยิ้ม “ผมรู้ว่าคุณเข้าใจ”

“ไม่เข้าใจว้อย!” เธอเริ่มเอะอะขณะพยายามสะบัดมือ “ปล่อยนะ ไอ้โรคจิต!”

แต่ผมไม่ปล่อย ผมรู้ดีว่าหากปล่อย เธอจะวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือ และผมจะหมดโอกาสเกลี้ยกล่อมเธอ

สำนึกด้านดีที่ต้องการจะช่วยเหลือเธอออกจากบ่วงไฟแห่งการฆ่าตัวตายทำให้ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกล่าวออกมาแผ่วเบาว่า

“ผมรู้ว่าคุณกำลังจะกลับไปที่ห้องพักเพื่อกินยาฆ่าตัวตาย ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้ ไปหาที่นั่งคุยกันเถอะครับ ผมขอร้อง”

++++++++

“ขอโทษด้วยนะที่เหมียวว่าคุณเสียๆ หายๆ ที่ป้ายรถเมล์น่ะ” หญิงสาวผู้มีนามว่าเหมียวกล่าวขณะรับกระดาษทิชชู่จากผมไปซับน้ำตาอย่างไม่เหลือเค้าสาวดุจอมโวยวายเลยสักนิด

ขณะนี้เราสองคนเข้ามาอยู่ในร้านไอศกรีมชื่อดังแห่งหนึ่งมาได้พักใหญ่แล้ว ผมกล่อมให้เธอมานั่งคุยกับผมได้สำเร็จ แต่เรื่องที่จะกล่อมให้เธอล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตายนั้นจะสำเร็จหรือไม่ ผมยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

เพราะปัญหาของเหมียวมันหนักหนาสาหัสเหลือเกินสำหรับลูกผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

เธอเล่าให้ผมฟัง(แน่นอนครับ ผมต้องกล่อมเธออยู่นานให้เธอเชื่อว่าผมมีสัมผัสพิเศษอ่านใจคนได้และมีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะช่วยเธอจริงๆ ) ว่าเธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองท้อง อายุครรภ์ประมาณสามเดือน เมื่ออาทิตย์ก่อนนัดคุยกับคนที่เป็นพ่อของเด็ก แต่ก็ตามสเต็ปของผู้ชายรักสนุกแต่ไม่คิดผูกพันทั่วไป มันไม่มีทางยอมเป็นพ่อคนหรอกครับ

ในรายของเหมียวเองก็เช่นกัน พ่อของเด็กให้เงินก้อนหนึ่งมาเพื่อให้เธอไปทำแท้ง แต่ด้วยสัญชาตญาณแห่งความเป็นแม่ซึ่งมีอยู่ในตัวผู้หญิงทุกคน เหมียวทำใจไม่ได้ที่จะฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง เธอจึงปฏิเสธเงินก้อนนั้นไปอย่างไม่ใยดีเพราะเธอไม่ได้ขาดแคลนด้านเงินทอง แต่เธอต้องการเรียกร้องให้พ่อของเด็กรู้จักคำว่าความรับผิดชอบต่างหาก  

หมอนั่นโมโห บอกว่าถ้าเธอไม่ทำแท้งก็ตามใจ มันเผยธาตุแท้ออกมา ประกาศชัดว่าถ้าเหมียวยังลากมันมาข้องแวะกับเรื่องนี้อีก มันจะโพสคลิปประจานลงอินเตอร์เน็ต

คลิปของมันคือการบันทึกภาพขณะมันกับเหมียวกำลัง...นั่นแหล่ะครับ ผมคิดว่าคุณก็รู้ แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทำไมวัยรุ่นส่วนใหญ่ในยุคนี้ถึงชอบถ่ายวีดีโอเก็บไว้นะเวลาบ๊ะ บ๊ะ โอ บ๊ะ บ่ะ ซาราเรวี้ฮู กับคนรักน่ะ สุดท้ายก็กลายเป็นผลเสียย้อนมาทำร้ายตัวเองนักต่อนัก ผมไม่เคยเห็นมันจะให้ผลดีกับใครเลย

และที่สำคัญก็คือ คนรักของเหมียวมันไม่ได้ขู่ แต่มันลงมือทำจริงๆ เมื่อเหมียวโทรศัพท์ไปถามหาความรับผิดชอบจากมันอีกสองสามครั้ง คลิปของเธอก็ปรากฏหราอยู่บนยูทูปและถูกคัดลอกให้ดาวน์โหลดผ่านเว็บฝากไฟล์อีกหลายเว็บภายในระยะเวลาไม่กี่วัน

เรื่องมันคงไม่เป็นอะไรหากเหมียวไม่ใช่ลูกสาวของนายทหารใหญ่ที่มีผู้คนนับหน้าถือตามากมาย คลิปของเธอถูกใครบางคนส่งไปถึงสายตาของพ่อ เหมียวจึงถูกเรียกเข้าไปพบ พ่อเธอโกรธมากเสียแทบจะตัดพ่อตัดลูก นี่เพียงแค่เรื่องคลิปหลุดยังขนาดนี้ ถ้าพ่อเธอรู้ว่าเธอท้อง เหมียวไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าพ่อเธอจะโมโหขนาดไหน

เหมียวไม่เหลือใครให้หันหน้าไปหาอีกแล้ว แม่ตายจากเธอไปตั้งแต่เธอยังเด็ก หากแม่อยู่เธอก็คงสามารถเปิดอกคุยระบายความในใจได้ง่ายดายกว่าพ่อ ครั้นจะโทรไปที่พ่อของเด็กอีกมันก็ขู่แล้วว่ายังมีคลิปอีกหลายชุดอยู่ในสต็อกรอให้เผยแพร่ออกมา เธอเลยต้องเลิกติดต่อกับมันอย่างเด็ดขาด

เหมียวรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่ตัวคนเดียวบนโลกที่แสนโหดร้าย ทุกอย่างหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับเธอ ความคิดเรื่องการฆ่าตัวตายจึงผุดขึ้นมา เพราะเหมียวไม่สามารถใจดำทำแท้งได้ลง เธอไม่อาจฆ่าลูกตัวเองได้จริงๆ

เธอเคยซื้อยาขับมดลูกหรือแม้กระทั่งไปคลินิกทำแท้งมาแล้ว แต่เมื่อปากขวดยาขับมดลูกแตะริมฝีปากหรือถึงคิวเธอเข้าห้องรีดเด็ก เหมียวก็ต้องล้มเลิกทุกอย่างและกลับมานอนร้องไห้คนเดียวตั้งแต่ดึกจนถึงเช้าและตั้งแต่เช้าจนถึงดึก วนเวียนอยู่แบบนี้

ทางออกของเธอจึงเป็นการฆ่าตัวตาย เธอรู้สึกเสียใจที่ต้องทำให้ลูกเสียชีวิต แต่มันย่อมดีกว่าเธอไปทำแท้งแล้วตัวเองกลับมามีชีวิตปกติสุขอีกครั้ง สำหรับเธอมันเหมือนการตัดช่องน้อยแต่พอตัวที่น่าทุเรศสิ้นดี เธอทำไม่ได้ จึงขอตายไปพร้อมกับลูกเสียจะดีกว่า

วันนี้เหมียวจึงมาซื้อยานอนหลับที่ร้านขายยาแถวๆ นี้ ซื้อเสร็จก็เดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ดูเหมือนร่างกายของเธอจะเดินไปอย่างเคยชิน เธอมาที่นี่บ่อย มาเดินซื้อของบ้าง เดินตากแอร์บ้าง เดินแก้เหงาบ้าง แต่ส่วนใหญ่เธอจะมาที่นี่เพื่อดูหนังสือออกใหม่ ทั้งนิตยสาร นวนิยาย หรือแม้แต่สารคดีและวันนี้เธอก็ยังไม่วายซื้อหนังสือมาด้วยความเคยชิน ทั้งๆ ที่ไม่มีความคิดอยากจะเปิดอ่านเลยแม้แต่น้อย

แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเหมียวเป็นคนมีนิสัยรักหนังสือและการอ่าน ซึ่งทำให้งานของผมง่ายขึ้นเยอะ

++++++++

“เรื่องสั้นของคนไม่คิดสั้น ผมอยากให้เหมียวลองอ่านดู อ่านตอนนี้เลย” ผมพูดเสียงเรียบพลางหยิบหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คขนาดกะทัดรัดเล่มหนึ่งออกจากกระเป๋าสะพายและเลื่อนข้ามโต๊ะส่งให้เธอ

ไอศกรีมสองถ้วยของเราละลายไปกว่าค่อน ผมภาวนาขอให้ความตั้งใจในการฆ่าตัวตายของเธอละลายไปดั่งเช่นไอศกรีมนี้ด้วยเถิด บางครั้งเวลามีเรื่องทุกข์ใจ การที่ได้ระบายให้ใครสักคนรับฟัง ก็สามารถทำให้ปัญหานั้นเบาบางลงได้ อย่างน้อยก็ทางจิตใจล่ะครับ

“ทำไมถึงอยากให้เหมียวอ่านล่ะ?” น้ำเสียงที่เหมียวพูดกับผมในตอนนี้อ่อนโยนลงมาก เธอรับหนังสือไปพลิกดูปกหน้าปกหลัง ผมหัวใจเต้นตึกๆ ลุ้นให้เธอเปิดอ่าน เพราะถ้าเธอยังไม่อ่าน ผมก็ยังไม่สามารถปฏิบัติงานของผมได้เต็มที่

“ก็...” ผมนึกหาคำพูด “...หนังสือเขาดีนี่ รู้จักหนังสือเสียดายคนตายไม่ได้อ่านมั้ย? นั่นแหล่ะ เรื่องสั้นของคนเขียนเดียวกันก็อยู่ในเล่มนี้ เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกเลย ชื่อเรื่องว่าทางลัด”

“เหรอ?”

คำโฆษนาของผมส่งผลให้เธอเปิดหนังสือออกดูอย่างสนใจ

“อุ๊ย จริงด้วย”

ประโยคหลังที่เหมียวพูดออกมาขณะเปิดพบหน้าแรกของเรื่องสั้นที่ต้องการนั้น ผมได้ยินอย่างรางเลือนมากเพราะทันทีที่เหมียวเปิดหนังสือออกอ่าน ประตูมิติบนหน้าผากของเธอก็เปิดกว้างออก ผมรีบพึมพำท่องมนตร์สร้างอาเขตบังตาให้คนทั้งร้านไม่สามารถมองเห็นโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ได้ แล้วผมจึงปล่อยร่างจำแลงของตัวเองนั่งอยู่ที่เดิมในกายหยาบขณะที่ร่างกายทิพย์ทะยานผ่านเข้าไปในประตูมิติเพื่อขจัดเหล่าปิศาจร้าย

งานของผมเริ่มขึ้นแล้ว ผมต้องทำให้เธออ่านหนังสือเล่มนี้อย่างสงบให้ได้!

++++++++

ทันทีที่ผมหลุดเข้ามาในมิติของเหมียว ชุดที่ผมใส่ก็เปลี่ยนจากเสื้อเชิ้ตกางเกงยีน มาเป็นชุดเกราะสีดำอันเป็นยูนิฟอร์มประจำตัวของมือปราบอัตวินิบาตกรรม ในมือมีดาบเล่มโตสะท้อนประกายคมกริบ เท้าของผมสัมผัสพื้นหินแข็งกร้าน สายลมเย็นที่กรีดกรายพัดมาปะทะกายทำให้ผมรีบกวาดสายตาสำรวจภูมิประเทศ

แล้วผมก็ได้พบว่าตนเองกำลังอยู่บนชะง่อนผา เบื้องหน้าเป็นหุบเขาหินแห้งแล้ง มีกองทัพปิศาจนับร้อยๆ ตัวยืนแยกเขี้ยวอย่างอดใจไม่ไหวที่จะฉีกเนื้อผมเป็นชิ้นๆ ส่วนข้างหลังผมนั้นคือเหวลึกมืดมิดที่มองไม่เห็นก้น

ที่นี่คือจิตใจของเหมียว

จิตใจด้านมืดที่มีกองทัพปิศาจอันร้ายกาจคอยยุยงให้เธอฆ่าตัวตายทุกนาที

หน้าที่ของ ‘มือปราบอัตวินิบาตกรรม’ ก็เป็นอย่างนี้  ผมต้องเข้ามาขจัดปิศาจพวกนี้ระหว่างที่เหมียวอ่านหนังสือ ผมมีหน้าที่คอยกำราบไม่ให้พวกมันออกไปแผลงฤทธิ์ในขณะที่ตัวอักษรในหนังสือเวทมนตร์เล่มนั้นค่อยๆ บรรเทาจิตใจของเธอให้สว่างไสวขึ้น

ผมต้องต่อสู้จนกว่าที่เหมียวจะอ่านหนังสือจบ ส่วนผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรนั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง ถ้าระหว่างที่เธออ่านหนังสือ ผมสามารถฆ่าปิศาจพวกนี้ได้ในจำนวนที่มากพอ ผลก็น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่ามนตร์แห่งหนังสือเวทมนต์จะทำให้เธอเลิกล้มความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย เหมียวจะกลายเป็นคนใหม่ที่มองโลกในด้านสดใสกว่าเดิม

แต่ถ้าไม่ ทุกอย่างก็จะเป็นด้านตรงกันข้ามกับที่ผมพูดไปเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง

ผมยกมือขยับแว่นให้เข้าที่ก่อนตวัดดาบเป็นวงกลมเรียกพลังอัคนีออกมาประจำการ ดาบของผมลุกเป็นไฟ ผมพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ เหล่าปิศาจร้ายพวกนั้นพากันร้องโห่ฮาและกระทืบเท้าเมื่อเห็นผมย่างสามขุมเข้าไปหาพวกมัน

โดยที่ไม่มีสัญญาณเตือน เมื่อปิศาจตัวแรกกระโจนเข้าใส่ผมและถูกผมใช้ดาบแห่งเพลิงฟันขาดเป็นสองท่อน ปิศาจตัวอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง พวกมันมีใบหน้าเหมือนกันหมดราวกับแฝด เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง แต่นัยน์ตาฉายชัดความสำราญและเจ้าเล่ห์ชนิดคาสโนว่าตัวพ่อ

ผมมั่นใจว่าพ่อของเด็กในท้องเหมียวต้องมีหน้าตาเช่นนี้แน่

ตลอดเวลาสิบนาทีหลังจากนั้น ผมไม่มีเวลาคิดถึงอะไรอีกนอกจากการต่อสู้ตรงหน้า ดาบแห่งเพลิงของผมสะบัดไหววูบวาบ ปล่อยเปลวไฟหมุนควงสว่านพุ่งประหัตประหารเหล่าปิศาจร้ายตายไปเป็นแถบ หัวของพวกมันขาดกระเด็นเกลื่อนพื้นเหมือนลูกบอล ผมคิดว่าคงได้รับชัยชนะได้ง่ายๆ เพราะจำนวนปิศาจลดลงจนบางตามากแล้ว

แต่ผมก็คิดผิด

ในขณะที่ผมวาดดาบลงบนพื้นเพื่อพุ่งเปลวไฟสังหารปิศาจชุดสุดท้าย เสียงที่สนั่นหุบเขาก็ดังขึ้น พื้นดินสั่นสะเทือน ร่างของผมไหวเอนตามแรงสั่นไหว ผมไม่เคยเจอแผ่นดินไหวในมิติแห่งจิตใจของใครมาก่อนจึงอดรู้สึกตื่นตระหนกไม่ได้  แต่พอกวาดสายตามองรอบกาย ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่แผ่นดินไหว

มันเป็นเสียงฝีเท้าของยักษ์ตัวหนึ่งต่างหาก

ยักษ์ที่เป็นหัวหน้าของปิศาจหน้าหล่อพวกนี้ มันมาแล้ว มันเดินอ้อมหุบเขาออกมาพร้อมดาบเล่มยักษ์ในมือ เสียงปิศาจผู้เป็นลูกกระจ๊อกพากันเป่าปากใส่ผมเฟี้ยวฟ้าวอย่างเยาะหยัน ผมเผลอกายก้าวถอยหลังเพื่อตั้งหลัก ไม่ใช่ถอยหลังเพราะความหวาดเกรง

ดาบแห่งเพลิงยังคงลุกโชนด้วยเปลวไฟ ผมใช้สองมือกุมด้ามดาบแน่นขณะเงยหน้ามองยักษ์ใหญ่ผู้มีใบหน้าหล่อเหลาพิมพ์เดียวกับลูกน้องของมันไม่มีผิด แต่ความสูงของมันเท่ากับตึกสิบชั้นเห็นจะได้ ด้านดาบคู่มือนั้นก็ยาวยังกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ ผมตวัดสายตามองดาบของตัวเอง หากจะเทียบขนาดกันแล้ว ดาบของผมไม่ต่างจากไม้จิ้มฟัน ส่วนดาบของมันนั้นคือไม้ซุงขนาดสามสิบคนโอบ

ไม่ต้องบอกเลยว่า ถ้าดาบของผมกับมันปะทะกัน ฝ่ายไหนจะเสียเปรียบ

แม้ในการปฏิบัติภารกิจทั้งสิบสองครั้งที่ผ่านมา ผมไม่เคยพบคำว่าความพ่ายแพ้ แต่ผมก็ไม่เคยสู้กับยักษ์มาก่อน ผมสูดอากาศเรียกความมั่นใจที่เริ่มคลอนแคลน เป็นวินาทีเดียวกับที่ไอ้ยักษ์เจ้าถิ่นเดินมาหยุดตรงหน้า ชุดเกราะที่มันใส่เป็นเกร็ดมันเลื่อมเหมือนเกล็ดปลา

ผมพยายามมองหาจุดอ่อนของมัน ตัวใหญ่อย่างนี้ มีเป้าหมายให้เล็งไฟใส่เยอะ ขึ้นอยู่ที่ว่าผมจะมีโอกาสได้ปล่อยพลังใส่หรือเปล่าเท่านั้น

“คนใส่แว่น เจ้ามายุ่งอะไรในดินแดนของข้า!” ยักษ์คำรามใส่ผม เสียงของมันดังกังวานราวเสียงฟ้าคำรน”แล้วเจ้ามาฆ่าบริวานของข้าเพราะเหตุใดกัน!”

“ข้ามาเพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าฆ่าเหมียว!” ผมตะโกนตอบกลับไป ชินแล้วกับคำพูดเหมือนตัวละครในนิยายแฟนตาซี เพราะในมิติแห่งจิตใจด้านมืดทุกที่ ล้วนแต่พูดจากันด้วยภาษาแบบนี้ทั้งนั้น “เจ้ากำลังทำบาปครั้งใหญ่ ไม่รู้ตัวหรือ?”

“บาปคืออาหารอันโอชะของข้าและบริวาร!” ยักษ์ตอกกลับอย่างท้าทาย

“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ต้องฆ่าเจ้า!” ผมตะเบ็งเสียงจนเส้นเลือดบนคอปูดโปน

“มิต้องพูดมากความ จะฆ่าข้าก็เข้ามาเลย!!!” มันแผดเสียงลั่นพร้อมกับตวัดดาบในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้

ผมเต้นฟุตเวิร์กเพื่อรวบรวมกำลังใจรออยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำท้าเชิญ ผมก็ตวัดดาบปล่อยพลังออกไป เปลวเพลิงบิดตัวเป็นเกลียวกลายร่างเป็นมังกรไฟตัวใหญ่ มังกรไฟพุ่งออกจากปลายดาบของผมตรงเข้าใส่ท่อนขาขวาของยักษ์

แต่ยักษ์ก็สะบัดดาบว่องไววูบวาบ ฟันมังกรไฟอันเป็นท่าเด็ดในไม่กี่ท่าของผมให้ขาดเป็นหกท่อน มังกรไฟของผมสลายหายวับไปกลางอากาศ ผมหอบหายใจ การเรียกมังกรไฟออกมาต้องใช้พลังไม่น้อย ยังไม่ทันรวบรวมพลังใหม่ เงาของดาบยักษ์มหึมาก็ถูกตวัดฟาดลงมา ผมอ้าปากหวอ พุ่งกายไปด้านข้างม้วนหลบได้เฉียดฉิวชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ดาบยักษ์ฝังลงบนพื้นหิน ส่งฝุ่นตลบคลุ้งไปทั่ว

ผมสำลักฝุ่นไอค่อกน้ำตาไหล ดาบแห่งเพลิงในมือกระเด็นหลุดหายไปเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เพิ่งยันกายลุกยืนเท่านั้น ไอ้พวกปิศาจลูกกระจ๊อกก็มาล้อมกรอบผมเป็นวงกลม พวกมันแยกเขี้ยวยิ้มอย่างดีใจ ในขณะที่ผู้เป็นหัวหน้าดึงดาบกลับออกจากพื้นหิน

ไม่อยากเชื่อ ผมกำลังจะแพ้หรือนี่...

“พี่ขา รับดาบด้วย!”

เสียงใสกังวานปานแก้วทิพย์ดังขึ้นเหนือหัว เมื่อผมเงยหน้ามอง ก็พบนางฟ้าตัวน้อยอายุราวสามสี่ขวบกำลังกระพือปีกขนนกสีขาวบินวนอยู่ เธอบอกให้ผมรับดาบ ผมจึงเห็นดาบแห่งเพลิงที่เมื่อหลุดออกจากมือผมก็กลายสภาพกลับเป็นดาบธรรมดาลอยลงมา

ผมกระโดดขึ้นกลางอากาศ เอื้อมมือคว้าด้ามดาบ รู้สึกถึงมวลลมเย็นยะเยียบพัดผ่านกายขณะเรียกพลังแห่งอัคนี

ดาบในมือผมบังเกิดไฟลุกโชน เมื่อผมม้วนกายลงบนพื้นและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ปิศาจลูกกระจ๊อกพวกนั้นก็สลายเป็นเถ้าถ่านหมดแล้วจากฝีมือของคฑาวิเศษในมือของนางฟ้าตัวน้อย ผมเดินเข้าไปหานางฟ้าตัวน้อยที่ค่อยๆ ลอยลงมายืนบนพื้น

เธอหุบปีกแล้วหันมายิ้มให้ผม

ผมไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน แต่ผมพอจะทราบแล้วว่าเธอเป็นใคร

“ขอบใจมากนะครับที่มาช่วย” ผมพูด “เหมียวคงดีใจที่ลูกสาวเป็นเด็กดีตั้งแต่อยู่ในท้อง”

นางฟ้าน้อยยิ้มแป้น “ก็พี่มาที่นี่เพื่อช่วยหนูกับแม่นี่คะ จะให้หนูอยู่เฉยๆ ได้ไง”

“มันเป็นหน้าที่ของพี่น่ะ” ผมตอบ หันกลับไปเผชิญหน้ายักษ์ใหญ่ แต่ยังคงพูดกับนางฟ้าน้อยต่อไป “พี่ว่าน้องกลับไปที่ดินแดนของน้องก่อนดีกว่า อยู่ที่นี่นานๆ มันจะทำให้พลังชีวิตอ่อนลงนะ”

ดินแดนของนางฟ้าตัวน้อย คือจิตใจด้านสว่างของเหมียว

“แต่ว่า...” นางฟ้าตัวน้อยหน้าเจื่อนลง มองผมที หันไปมองยักษ์ร้ายที แล้วจึงหันกลับมามองผมอีกที

เห็นได้ชัดว่าเธอกลัวผมจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังไงวันนี้พี่ก็ต้องชนะ” ผมกล่าวด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมอีกครั้ง “ไม่มีลูกสมุนคอยช่วยแบบนี้ พี่เชื่อว่าจัดการไอ้ยักษ์นี่ได้ไม่ยาก”

“เข้าใจแล้วค่ะ” นางฟ้าตัวน้อยผงกศีรษะ ฉีกยิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วเธอก็กางปีกออก ค่อยๆ กระพือพัดพาตนเองลอยขึ้นสู่เบื้องบน ในมือข้างขวาถือคฑาวิเศษ ส่วนมือซ้ายโบกบ๊ายบายผม

ผมยิ้ม ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือดาบบ๊ายบายตอบ

เธอหันมาพูดกับผมเป็นครั้งสุดท้ายขณะลอยสูงขึ้นไป “สู้ๆ นะคะ”

“ครับผม” ผมตอบ ยืนป้องตามองนางฟ้าตัวน้อยบินหายลับไปในท้องฟ้าทางทิศตะวันออก เมื่อเธอพ้นสายตาไปแล้ว ผมจึงหันกลับมาที่ยักษ์ผู้ครองดินแดน ผู้ที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของมันขณะนี้อัปลักษณ์เป็นที่สุดจากความเดือดดาล

“เหลือเพียงข้ากับเจ้าแล้วสินะ” ผมพูดเสียงเรียบ กำด้ามดาบแห่งเพลิงในมือขวากระชับแน่น

“ใช่ และข้าคิดว่าเรามาดวลดาบกันเลยดีกว่า!” ยักษ์อัปลักษณ์ตะโกนตอบกลับเสียงสะท้านพสุธา

ผมยิ้มมุมปาก ควงดาบเป็นวงกลม “ย่อมได้”

แล้วผมก็พุ่งเข้าไปหามัน พร้อมด้วยดาบที่รวมพลังแห่งอัคนีทั้งปวงเอาไว้

++++++++

แก้ไขเมื่อ 04 พ.ค. 55 18:13:48

แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 55 12:05:55

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 12:01:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com