Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หญิงสาวในสายน้ำ ติดต่อทีมงาน

     เสียงขลุ่ยของใครบางคนดังแว่วมาตามสายลมยามเย็นปลายเดือนเมษายน ภายหลังจากที่พายุฤดูร้อนพ้นผ่าน อากาศทั้งเมืองก็เย็นชื้นขึ้น ยามเย็นของวันนี้ ท้องฟ้าจึงไม่ได้ถูกทาบทอด้วยแสงสีเหลืองส้มแสบจ้าจากดวงอาทิตย์ หากแต่มีเมฆสีขาวขุ่นน้อยใหญ่เคลื่อนมาบดบัง อณูแห่งความสดชื่นยังคงแทรกซึมอยู่ในผืนดิน ต้นไม้ ดอกหญ้าและอากาศยามเย็น ณ ขณะนี้

      พงอ้อริมน้ำโบกสะบัดพัดพลิ้ว ไล่ไปตามแนวขอบฝั่งหนองน้ำใหญ่มีดอกหญ้าสีขาวขึ้นประปราย ผมปรายตามองพวกมันพร้อมกับคลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกอันปลอดโปร่งและสบายใจ ตาทั้งสองข้างกวาดมองไปยังผืนน้ำเย็นใสอันกว้างใหญ่ตรงหน้า สายลมอ่อนๆ ยังคงพัดเอาไอเย็นมาปะทะร่างกายไม่ขาดสาย

    จู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ลอยมากับสายลมด้วย กลิ่นของมันคล้ายดอกจำปีผสมกับดอกมะลิ กลิ่นนั้นฉุดให้ผมต้องดันตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น

    ผมหันซ้ายขวา กวาดสายตามองไปยังบริเวณริมฝั่งของหนองน้ำคล้ายกับว่ากำลังควานหาบางอย่าง เสียงขลุ่ยแว่วหวานนั้นเงียบหายไปแล้วหากแต่กลิ่นของดอกไม้หอมกลับแรงขึ้น สายตาของผมมาหยุดอยู่ที่ข้างพงอ้อทางซ้ายมือ ห่างออกไปราวสิบเมตร เห็นช่อดอกไม้สีขาววางอยู่บนพื้นและอีกหลายดอกที่กำลังลอยอยู่บนผิวน้ำ

    “เธอกลับมาแล้ว...” จู่ๆ ผมก็พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว ตาทั้งสองข้างจ้องมองดอกไม้สีขาวที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างไม่กระพริบตา ผมกำลังจะก้าวขาเดินตรงไปหาดอกไม้พวงนั้นที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นแต่ทว่าเสียงระฆังโบราณที่ดังแว่วกังวานมาจากวัดในหมู่บ้านก็ทำให้ผมชะงักงันเสียก่อน

    ผมหันหลังกลับ ชะเง้อคอมองผ่านทิวไม้ไปยังหมู่บ้านก่อนหันกลับมามองดอกไม้สีขาวที่วางทิ้งอยู่บนพื้นอย่างเสียดาย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะได้พบกับเธออีกครั้ง

    ผมเดินกลับมาตามทางมุ่งสู่หมู่บ้าน ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆสีดำที่ตั้งเค้ามาทางทิศตะวันออก ดอกคูณสีเหลืองเข้มปลิดปลิวลอยละลิ่วลงจากต้น ใบอันใหญ่ยักษ์คล้ายนิ้วมือของทิวตาลหลายสิบต้นที่ปลูกอยู่ริมคันแทนาเสียดสีกันเสียงดัง ผมหยุดยืนอยู่บนคันแทนา แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีขาวขุ่นที่เริ่มมีเมฆดำเคลื่อนเข้าบดบังแสงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะลาลับ กางแขนทั้งสองข้างขนานกับพื้นดิน ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ และปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านร่าง ให้อณูความเย็นแผ่ซึมเข้าสู่ร่างกายอันเหนื่อยล้าจากการทำงานและเดินทางอันแสนยาวนาน และไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ผมปล่อยสมองให้ว่างเปล่า จนรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเป็นดังปุยนุ่นอันเบาหวิว กลิ่นหอมของดอกไม้สีขาวที่ผมพบริมฝั่งหนองน้ำก็ฉุดให้ผมเบิกตาโพลง อีกทั้งความรู้สึกคล้ายมีบางอย่างโอบกอดจากด้านหลังก็ทำให้หัวใจของผมเต้นโครมคราม กลิ่นนั้นชัดเจนกว่าคราวแรก
หอมเหมือนดอกไม้ที่อยู่ใต้น้ำลึก น้ำที่ลึกมากๆ

      ผมสะดุดกับความคิดของตัวเอง ผมรู้ได้อย่างไรว่ากลิ่นนี้เหมือนดอกไม้ที่อยู่ใต้น้ำ ผมเคยลงไปใต้น้ำลึกแล้วพบกับดอกไม้ที่มีกลิ่นแบบนี้งั้นหรือ ? ผมย่นคิ้วด้วยความสับสน มนุษย์เรามักตั้งคำถามให้กับตัวเองเสมอ บางครั้งเราก็ค้นพบคำตอบนั้น แต่ยังมีอีกคำตอบที่ผมยังเฝ้าตามหาอยู่

     ผมเดินกลับมาจนถึงบ้านในเวลาหกโมงครึ่งพอดี ฟ้ามืดเกือบสนิทก่อนที่ฝนจะโปรยปรายลงมาเป็นสาย พร้อมกับเสียงฟ้าร้องครืนๆ ได้ยินเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะดังออกมาจากครัวพร้อมกับกลิ่นกระเพราหอมๆ เมื่อเดินขึ้นบันไดมาบนบ้านแล้วผมก็หย่อนตัวลงนั่งบนเสื่อนวมผืนเล็กที่ปูอยู่กลางบ้าน

    “ให้ผมช่วยมั้ยครับยาย” ผมโก่งคอถามพร้อมกับรอยยิ้ม เสียงจากในห้องครัวเงียบลงก่อนที่หญิงวัยหกสิบปีจะถือจานกระเพราหอมๆ พร้อมกับแกงอ่อมออกมาจากห้องครัว

     ยายวางจานกับข้าวลงตรงหน้าผมก่อนบอกให้ไปยกเอาหม้อข้าวและจานออกมาจากครัว ผมรีบทำตามอย่างไม่รอช้า เมื่อจัดสำรับเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจึงเริ่มกินอาหารเย็นกัน

    “วันนี้ต้องรีบกินข้าว เดี๋ยวไฟดับก่อน...” ยายว่าขึ้นขณะหยิบเอาผักลวกไปจิ้มกับถ้วยแจ่วที่อยู่ทางซ้าย ผมหันไปมองหน้าบ้าน สายฟ้าแลบแปลบปลาบราวกับคนเล่นสปอร์ตไลท์

     “เดินทางเป็นยังไงบ้าง เห็นว่าทางโคราชก็ฝนตกหนักไม่ใช่เหรอ?” ยายเอ่ยถามหลังจากเอื้อมไปหยิบเอาขันน้ำมาดื่มกลั้วอาหารลงคอ ก่อนหยิบเอาปลาซิวที่ทอดจนกรอบเข้าปาก

      “ครับ ช่วงนี้พายุฤดูร้อนเข้า” ผมบอกก่อนตักกระเพราของยายเข้าปาก นึกถึงสายฝนที่ซัดสาดทุ่งนาสองข้างทางที่รถบัสแล่นผ่านอย่างบ้าคลั่ง แต่ยิ่งได้เห็นสายฝน พายุ ได้สัมผัสไอเย็น ผมกลับยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังอันทำให้ตัวเองสดชื่นและมีชีวิตชีวา ยิ่งได้อยู่ใกล้สายน้ำก็ยิ่งรู้สึกเป็นสุขเกินบรรยาย เป็นความสงบที่ผมเฝ้าถวิลหามาทั้งชีวิต


    ผมกับยายกินข้าวกันจนอิ่ม เมื่อผมยกสำรับออกไปและยายก็ปัดกวาดเสื่อที่เราใช้เป็นที่กินข้าวเย็นกันเรียบร้อยไฟฟ้าจึงดับลงพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน

    สองหูของผมได้ยินแต่เสียงเม็ดฝนสาดกระทบกับผืนดิน แผ่นสังกะสีจากบ้านเรือนข้างๆ เสียงต้นไม้ที่เสียดสีโอนเอนจากแรงลม เสียงฟ้าร้องที่คำรามก้อง ก่อนที่ยายจะจุดเทียนไขเดินตรงมาหาผมที่อยู่ในครัว เป็นบรรยากาศที่สงบเงียบและน่ากลัวในคราวเดียวกัน

    แสงเทียนสีเหลืองนวลสาดกระทบกับใบหน้ากรำแดดอันเหี่ยวย่นของยาย ดวงตาสีเทาหม่นแสงคู่นั้นทอดมองผมอย่างเป็นห่วง ยายคงสังเกตได้ว่าผมเปลี่ยนไปนับแต่เกิดเรื่องในคราวนั้น ยายห่วงว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาเอาชีวิตผม

    ผมเดินตัดหน้ายายตรงไปยังกลางบ้าน ค่อยๆ ทรุดนั่งลงช้าๆ ก่อนที่มือซ้ายจะวางไปถูกอะไรบางอย่างเข้า ผมรีบหยิบมันมาดู แสงเทียนที่ตั้งอยู่รอบๆ กายพอจะทำให้รู้ได้ว่ามันคือดอกไม้ ดอกไม้สีขาวที่มีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้จากใต้น้ำลึก ผมยื่นมันเข้ามาใกล้จมูกและสูดเอากลิ่นนั้นเข้าไปจนสุดก่อนที่ยายจะมาคว้าเอามันไปจากมือผม

    “ยายไม่ให้เธอเอาหลานไปเด็ดขาด ยังไงยายก็ไม่ยอม” น้ำเสียงยายคล้ายคนกำลังโกรธจัด มือหยาบหนานั้นโยนดอกไม้สีขาวทิ้งไปหลังเรือน และยืนขวางผมไว้ไม่ให้กลับไปหยิบเอามันมาไว้อีก ผมจ้องมองดอกไม้สีขาวช่อนั้นด้วยความอาวรณ์ ราวกับว่ามันเป็นของล้ำค่าที่ผมเฝ้าตามหา เราสองคนนั่งจ้องหน้ากันอย่างไม่มีฝ่ายไหนยอมแพ้ง่ายๆ
      จนสุดท้าย ดอกไม้สีขาวช่อนั้นก็ถูกลมแรงพัดจนตกเรือนไป และหายไปกับลมพายุในคืนนั้น...


    ผมตื่นขึ้นในเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า พอเดินมาที่หน้าเรือนก็เห็นยายกำลังนั่งพนมมือรับพรจากพระสงฆ์หลังจากใส่บาตรตอนเช้า เมื่อเดินกลับขึ้นมายายก็จูงแขนผมมานั่งที่กลางเรือนก่อนจะเอาฝ้ายสีขาวผูกข้อมือซ้ายผมไว้พร้อมกับเอ่ยให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุญคุณพ่อแม่ วิญญาณปู่ยาตายายให้คุ้มครองรักษาก่อนจะกำชับผมว่าห้ามแกะมันออกโดยเด็ดขาด

      ผมไม่รับปากยาย อาจจะเพราะผมยังเคืองเรื่องดอกไม้เมื่อคืนนั่นอยู่ พอยายหายเข้าไปในครัวผมจึงรีบกระโจนลงจากบ้านทันที สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำถนนที่กลายเป็นโคลนสู่หนองน้ำใหญ่แห่งนั้น

      เธอคงอยากมาหาผม คงอยากพบผม ผมเองก็อยากพบเธออีกครั้ง หากว่าคราวนั้นผมว่ายน้ำตามเธอไปอีกสักนิด เราสองคนคงได้อยู่ด้วยกันแล้ว...

      ผมมาหยุดยืนอยู่ริมฝั่ง ท้องฟ้าเบื้องบนยังหนาแน่นด้วยเมฆสีเทาเข้ม ปอยฝนยังคงรินลงมาจากท้องฟ้า ผืนน้ำกลายเป็นสีเทาขุ่น พงอ้อสั่นไหวด้วยสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกที ขณะทอดสายตามองท้องน้ำเบื้องหน้าผมก็คิดถึงชั่วนาทีที่ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างงัวเงีย

     แสงเทียนเล่มเล็กของยายทำให้เห็นภาพตรงหน้าเลือนราง ยายนั่งอยู่บนเรือนตรงทางขึ้นพอดีและมีหญิงสาวผมยาวสลวยนั่งอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย เธอก้มหน้า ผมสีดำขลับนั้นยาวเลยบ่า ที่หูซ้ายทัดดอกไม้สีขาวที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล ไหล่ทั้งสองข้างของเธอสั่นระริก เธอกำลังร้องไห้...

      เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ดวงหน้าหวานเนียนนั้นก็เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตากลมใสที่สะท้อนแสงเทียนเป็นสีเขียวมรกตหันมามองผม ก่อนที่เธอน้ำตาจะรื้นไหลลงมาเป็นสาย ยายเอามือทุบกระดานเรือนด้วยความโมโหพร้อมตะคอกใส่เธอ

        “กลับไปซะ แล้วอย่ามาหาหลานฉันอีก เธอเป็นเดรัจฉานไม่ใช่มนุษย์ ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้”

        “ฉันแค่อยากมาเห็นหน้าเขาเท่านั้น ขอแค่ให้ได้เห็นเขา ได้อยู่ใกล้เขาก็พอ”

        “เธอจะทำให้เขาอยากจะไปอยู่กับเธอน่ะสิ จะทำให้เขาไม่อาจหลุดพ้นจากอดีต แล้วจะมาเหนี่ยวรั้งกันไปเพื่ออะไร ในเมื่อก็พลัดพรากตายจากกันมาแล้ว เธอควรจะอยู่ส่วนของเธอ เขาก็อยู่ส่วนของเขา”

      “หากว่าเยื่อใยและความรักมันตัดกันง่ายฉันก็คงไม่เฝ้ารอเขาอย่างนี้หรอก” เธอก้มหน้าร้องไห้อีกครั้ง มือซ้ายหยิบเอาผ้าคลุมไหล่สีเขียวเข้มขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาตัวเองออกเบาๆ ภาพที่ได้เห็นทำให้ผมอยากจะโผเข้าไปสวมกอดเธอเพื่อปลอบโยน น้ำตาของเธอเหมือนดังมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงร่างกายของผม ใบหน้าเนียนขาวที่ผมเคยได้สัมผัส ริมฝีปากอวบอิ่มที่ผมเคยได้จูบ เรือนร่างอรชรที่ผมเคยครอบครอง เธออยู่ตรงหน้านี้แล้ว แต่ผมกลับไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นไปหาโอบกอด ลุกไปปกป้องเธอ...

     ผมระบายลมหายใจออกเบาๆ ตาทั้งสองข้างรื้นด้วยม่านน้ำใสๆ ผมกวาดสายตามองไปทั่วโค้งน้ำ หวังว่าจะได้พบกับเธออีกสักครั้ง หากว่าเธอไม่ยอมมาหาผม ผมก็จะไปหาเธอเอง...

      “อย่านะหลาน...” เสียงยายร้องห้ามมาแต่ไกล ผมหันหลังขวับไปมอง ยายกำลังวิ่งกระหืดกระหอบตรงมาอย่างหน้าเสีย ไม่มีเวลาแล้ว... ผมจะไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว เมื่อถอดรองเท้าได้ก็หันกลับมายังหนองน้ำใหญ่เบื้องหน้า ดึงฝ้ายขาวจากข้อมือซ้ายออก ก่อนจะกระโจนลงไปสุดแรง...

    สายน้ำช่างเย็นเยียบเสียเหลือเกิน แสงสว่างจากผิวน้ำส่องให้เห็นผืนดินและพืชน้ำอย่างเลือนราง สองขาของผมตีน้ำสองมือก็ว่ายไปเรื่อยๆ ว่ายลงไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองตาเฝ้าแต่ควานหาร่างของเธอ อยากบอกให้เธอได้รู้ว่าผมมาแล้ว มาหาเธอแล้ว...

   หญิงแก่วัยหกสิบทรุดลงนั่งยังริมฝั่งหนองน้ำใหญ่อย่างหมดแรง แม้จะร้องไห้ปานจะขาดใจแต่ก็ไร้วี่แววของหลานชายที่กระโจนลงน้ำไปเมื่อครู่ ชาวบ้านหลายสิบคนวิ่งกรูกันมาดูและช่วยกันว่ายน้ำลงไปหาร่างนั้น

    มีคนหนึ่งเล่าว่า หลานชายแกไม่ได้จมน้ำหากแต่กำลังว่ายน้ำลงไปยังก้นบึง โดยมีหญิงสาวผมยาวสลวยใส่ผ้าซิ่นสีเขียวและกระโจมอกสีเดียวกันว่ายอยู่เคียงข้าง แต่ยิ่งว่ายไกลออกไปเท่าไหร่สตรีที่ว่ายอยู่เคียงข้างชายหนุ่มกลับเคลื่อนกายว่ายน้ำฉวัดเฉวียนคล้ายงูมากขึ้นเท่านั้น จนเมื่อทั้งคู่เคลื่อนไปไกลจนสุดตาจนกลุ่มชาวบ้านที่ว่ายตามไปหมดแรงตาม เงาที่ว่ายหนีไปนั้นก็กลายเป็นเงาคล้ายงูสองตัว ที่กำลังดำดิ่งลงสู่ก้นของบาดาล เคียงข้างกันไป...

แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 55 16:18:11

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 3 พ.ค. 55 16:12:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com