43
“ฉันขอปฏิเสธค่ะ ฉันไม่รู้จักทั้งคุณเกียรติชัยและคุณสมศักดิ์ คนหลังอาจจะเคยเห็นหน้าและทักทายกันบ้างเพราะเป็นโฟร์แมนที่คุมงานก่อสร้างของโรงเรียน ซึ่งลูกชายของฉันคุมงานอยู่ แต่ไม่ถึงกับมาพูดคุยตกลงเรื่องร้าย ๆ อย่างนี้แน่นอน”
ท่วงท่าสงบ ไหล่เชิดตรง สีหน้าเรียบเฉยเดายากคือสิ่งที่สารวัตรนิกรได้รับตลอดช่วงการซักถามสกุณี แม้ว่าผู้ชายสองคนจะให้การซัดทอด แต่สิ่งที่ได้มีเพียงคำปฏิเสธ
นายตำรวจหนุ่มก็ยอมรับว่า ณ เวลานี้ เธอถูกเรียกมาถามในฐานผู้ต้องสงสัยเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ต้องหาเช่นสองคนนั้น เขายังไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรที่บอกว่า สกุณีบงการเกียรติชัยและสมศักดิ์นอกจากคำพูดของชายสองคน
“คุณปฏิเสธทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนให้การชัดเจนขนาดนั้นเลยนะครับ”
หญิงวัยหกสิบจุดยิ้มมุมปาก สารวัตรนิกรรู้สึกอากาศเย็นขึ้นมา “ฉันไม่สนใจว่าพวกเขาจะพูดอะไร คุณเกียรติชัยกับคุณสมศักดิ์อาจจะพยายามหาหนทางผ่อนโทษหนักตัวเองให้เป็นเบากระมังคะ”
นายตำรวจหนุ่มสบตาลูกน้อง
“นายเกียรติชัยบอกว่าคุณไม่พอใจผอ.คเชนทร์ เรื่องที่ผอ.ไม่ยอมขายที่ให้ประวีณ ก็เลยจ้างให้เขาทุจริต และสร้างเรื่องวางเพลิงโยนความผิดไปให้นายประวีณซึ่งเคยขู่ผอ.คเชนทร์ไว้”
“นั่นเป็นเพราะฉันเคยเล่าให้คุณฟังว่า ผอ.ไม่ถูกกับคุณประวีณ เรื่องนั้นใคร ๆ ก็คิดได้ค่ะ” สกุณีพูดเรียบ “แต่สิ่งที่ฉันไม่ได้บอกคุณคือ ฉันเป็นหุ้นส่วนของโรงเรียน อาคารหลังนั้นก็เท่ากับทรัพย์สินของฉันด้วย ฉันจะเผาสมบัติของฉันทำไม หลักฐานแค่คำพูดไม่พอจะจับฉันในฐานะผู้ต้องหาหรอกนะคะ”
เหตุผลนี้ทำให้ในที่สุด สายวัตรนิกรก็ปล่อยให้สกุณีเดินลงจากสถานีตำรวจไป โดยมีสินธพซึ่งมารอรับยืนจ้องเขาอย่างโกรธเคือง
วันนี้สอนเสร็จแล้ว งานเร่งด่วนก็จัดการแล้ว บัณฑิตาเก็บเอกสาร เดินเร็ว ๆ ออกจากห้องพักครู ป่านนี้สองหนุ่มคงกำลังรออยู่ เธอก้าวยาว ๆ ตรงไปที่ลานจอดรถ แต่สวนกับปุริมาที่เดินไปยังห้องผอ.คเชนทร์
“กลับแล้วเหรอบุ้ง”
“จ้ะ” สาวตัวเล็กตอบแค่นั้น ปุริมามองไม่เห็นรถกระบะสีขาวอย่างเคย
“วันนี้พี่กบไม่ได้มารับเหรอ”
“เปล่า เดี๋ยวจะไปเจอกันที่ฟาร์มน่ะ...” บัณฑิตาพูดแล้วสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ ท่าทางรีบ ปุริมาเลยไม่ได้ถามต่อ
“บุ้งไปก่อนนะ”
“อื้ม”
และทั้งรถทั้งคนก็เคลื่อนตัวออกไป ปุริมายืนมองอยู่จนลับตา พอได้ยินเพื่อนครูเอ่ยคำว่าฟาร์ม ใจก็ลอยไปถึงคนเป็นเจ้าของ ใบหน้าของเขาฉายแว่บเข้ามา พร้อม ๆ กับอาการใจไหว เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เธออิจฉาบัณฑิตา อยากมีคนที่รอคอยการกลับมา แต่คงไม่มีวันหวนมาอีกแล้ว
เธอถอนใจ เตือนตัวเอง ยังมีเรื่องใหญ่รออยู่
บัณฑิตารู้อยู่แล้วว่าตนเป็นคนสุดท้ายที่มาร่วมวง จึงไม่รีบร้อนเมื่อมาถึง ในสำนักงานมีธรณิศนั่งอยู่คนเดียว พอชายหนุ่มเห็นเธอก็ลุกเดินนำเข้าไปยังห้องด้านในอย่างรู้งาน
“พี่กบ พี่เข้ รู้หรือยังว่าป้าเอื้อถูกปล่อยตัวแล้ว” หญิงสาวพูดอย่างเคือง ๆ ขณะวางกระเป๋าบนโต๊ะอาหาร “เป็นแค่ผู้ต้องสงสัย ไม่มีหลักฐานก็ต้องปล่อยสิ” ธรณิศยื่นน้ำเย็นให้
“งั้นแสดงว่าที่เราสงสัยมันก็ไม่ใช่สิ”
ธรณิศนั่งเก้าอี้ตัวที่หัวโต๊ะ “มันไม่ใช่อย่างนั้น เขาอาจเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน”
“จะหาหลักฐานที่ไหนล่ะ คนอย่างป้าเอื้อฉลาดจะตาย ถ้าเป็นคนทำจริง ก็ต้องทำแบบแนบเนียนที่สุด”
“ถ้าเขาเป็นคนทำจริง ๆ มันก็ต้องมีช่องโหว่ให้จับผิดได้บ้างล่ะ จริงไหมนายเข้”
ธรณิศหันมาถามชายหนุ่มอีกคนซึ่งยังไม่ได้ออกความเห็น อีกนัยหนึ่งคือเป็นการหยุดวาทะที่ภรรยาจะสรรหามาโต้เถียงไม่หยุดหย่อน เขมรัฐเอนกายพิงเก้าอี้ กอดอกนิ่ง ๆ สายตาจับจ้องพัดลมเพดาน สีหน้าครุ่นคิด
ชายหนุ่มมีข้อสันนิษฐานง่าย ๆ ประวีณกับผอ.คเชนทร์หมางใจกันเรื่องที่ไม่ขายที่ให้ ถ้าประวีณเป็นคนทำทั้งหมดนี้ก็เท่ากับผูกคอตาย เพราะใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น แต่ถ้ามีคนใช้ประโยชน์จากข้อนี้...เขาให้น้ำหนักไปที่สกุณี แต่อย่างที่รู้คือ ที่ปรึกษาถูกปล่อยตัวแล้วเนื่องจากไม่มีหลักฐาน
“เดี๋ยวนะ...” เขาขยับมานั่งตัวตรง “คนที่ซัดทอดป้าเอื้อมีสองคนโฟร์แมนของสินธพ กับพนักงานขายของประวีณถ้างั้นป้าเอื้อต้องเคยติดต่อกับสองคนนี้ ถูกไหม”
บัณฑิตาเอียงคอ “ถึงเขาติดต่อกันจริง ก็ต้องพ้นสายตาคนรู้จัก บอกแล้วไงว่ายัยป้านี่ฉลาด”
‘เคยเจอในร้านขนมในเมืองน่ะค่ะ เธอสะดุดตาเลยจำได้ ที่แท้ก็ทำงานที่โรงเรียนนี่เอง ตอนนั้นไหมเห็นเธอคุยกับผู้ชายคนนึง ดูแปลก ๆ เหมือนไม่ใช่คนฐานะเดียวกัน...’
เขมรัฐผุดลุก กะพริบตาปริบ ๆ คำพูดของสายไหมที่คราแรกเขาไม่เห็นความสำคัญ จนไม่คิดจะฟัง แต่กลับกลายเป็นเชือกเส้นโตที่อาจจะสาวไปถึงต้นตอหรือแสงสว่างบางอย่างได้ สกุณีที่เขารู้จักเป็นคนถือตัว รอบกายมีกลิ่นอายเดียจฉันท์คนที่รูปลักษณ์ไม่สวยงาม เคยได้ยินว่าการทำงานในโรงเรียนต่างจังหวัดเป็นสิ่งที่เธอไม่เต็มใจนัก
ความจริงภาพของเธอก็ดูไม่เหมาะตั้งแต่แรก แต่เขมรัฐก็ยึดคำพูดตนเอง ไม่ตัดสินใครที่ภายนอก ป้าเอื้ออาจจะแค่รักการแต่งตัว จนถึงบัดนี้ เขารู้สึกว่ายังไม่ได้สัมผัสถึงจิตใจที่เอ็นดูเด็กนักเรียนสักเท่าไหร่
“ขอบใจมากไอ้น้องบุ้ง ไปก่อนนะ”
เขมรัฐลุกพรวดพราด ทำเอาบัณฑิตาสะดุ้ง “อ้าว ไปไหนล่ะพี่เข้ คุยกันให้จบก่อนสิ”
“ก็ไปหาคนที่ป้าเอื้อไม่รู้จักไง ไม่แน่งานนี้อาจจบง่ายขึ้น”
สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยความงุนงง
“แล้ว...เราจะทำอะไรต่อ”
ธรณิศโคลงศีรษะ “รอฟังข่าว และ...กินข้าว”
เขมรัฐคว้าโทรศัพท์ ขณะเดินจ้ำมาเปิดประตูรถ
“ไหมเหรอ พอมีเวลาว่างไหม ขอคุยด้วยหน่อย ไม่สิ เดี๋ยวผมไปหาดีกว่า อยู่ที่โรงแรมใช่ไหม...”
สายไหมระงับอาการตัวเองไม่ให้เดินร่าเริงและยิ้มจนออกนอกหน้าเมื่อลงมาเจอกับเขมรัฐซึ่งนัดกันที่ร้านกาแฟหน้าโรงแรม เมื่อลอบมองจากมุมเสาและเห็นว่าชายหนุ่มนั่งรออยู่แล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้น ทำสัญญาณบอกเธอให้นั่ง
“ขอโทษทีนะที่รบกวน พอดีมีเรื่องสำคัญจะถาม”
หญิงสาวขัดใจเล็กน้อยที่เขาวางท่าอย่างเป็นทางการ อยากจะเล่นตัว แต่กลัวเสียดายโอกาส “ไม่เป็นไรค่ะ เข้มีอะไรเหรอ”
เขมรัฐถามการรับรู้คดีโรงเรียนของสายไหม และเท้าความคำพูดเดิมของหญิงสาว เธอพยักหน้าเข้าใจ
“ผมอยากรู้ว่า คนที่คุณเห็นว่าคุณสกุณีคุยด้วยน่ะ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง...และถ้าเป็นไปได้อยากจะให้ไปยืนยันกับทางตำรวจเขา เพราะตอนนี้ป้าเอื้อปฏิเสธว่าไม่รู้จักคนพวกนี้ จำเป็นต้องมีหลักฐานะ”
“หมายถึงให้ไหมไปเป็นพยานเหรอคะ”
เขาพยักหน้า “แต่ไม่ต้องกังวลนะ เรื่องนี้เราทำเป็นความลับได้ ไหมจะไม่เดือดร้อน”
สายไหมใคร่ครวญ ทั้งเรื่องคดีและคำขอของเขมรัฐ เท่าที่ฟังดูเหมือนว่า ความน่าจะเป็นของคนร้ายพุ่งเป้าไปยังสกุณีคนนั้นเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ขาดเพียงหลักฐานเชื่อมโยง ณ ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอดีตคนรักได้หรือไม่ ผู้ชายที่เธอเจอจะเป็นคนที่ซัดทอดหรือเปล่า สิ่งที่เห็นคือ คนที่หมายนั่งอยู่ตรงหน้า และเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเพื่อต้องการความช่วยเหลือ ประเด็นนี้ทำให้หัวใจพองโต ไพ่ต่อรองอยู่ในมือ
เรื่องโรงเรียนไม่ได้อยู่ในความสนใจ แต่ถ้าสายไหมช่วยเรื่องนี้ เธอจะได้แง่มุมดี ๆ จากสายตาของเขา ได้คะแนนนิยมในความคิด ทั้งจากพ่อของลูกและลูกชาย แต่เธอไม่ลืมหรอกว่า คนที่เธอจะไปให้การมัดตัวนั้นเป็นแม่ของผู้ชายอีกคน
สกุณีเป็นแม่ของสินธพ
หลังจากที่เล่ารูปพรรณสัณฐานแล้ว โอกาสใช่คนเดียวกันมีมาก นั่นแปลว่า เพื่อจะได้ความชอบจากผู้ชายอีกคน เธอจำต้องตัดรอนไมตรีจากชายอีกคนนั่นเอง
“ไหมไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือเปล่า”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวก็รู้ เพียงแค่อยากขอเวลาไหมสักหน่อย” เขาสบตาเธอ “มันอาจจะดูไม่เกี่ยวกับไหม หรือแม้แต่กับผมเอง แต่มันเป็นเรื่องของโรงเรียน อย่างน้อยโขงก็ต้องได้รับผลกระทบ ถ้าเรารู้ว่าใครทำแล้วปล่อยให้คนผิดลอยนวลไป ในอนาคตอาจจะไมใช่แค่เหตุการณ์อาคารถล่มก็ได้ ผมอยากให้เรื่องมันจบเร็ว ๆ”
หญิงสาวนิ่ง ก้อนเนื้อในอกเร่งจังหวะ เป็นอีกครั้งที่เธออยากจะตีตัวเองด้วยความเสียดาย ผู้ชายคนนี้ฉลาดเฉลียว เขาอ่านเธอออกว่ากำลังยื้อเวลาก็ยกเหตุผลเรื่องลูกขึ้นมา รู้สึกทั้งเจ็บใจและเจ็บปวด
แต่ถ้าปฏิเสธ เขาคงไม่มองเธออีกเลย
“ได้ค่ะ”
สินธพพรวดพราดขึ้นไปบนสถานีตำรวจ บอกความต้องการด้วยเสียงตะคอกว่าขอพบสารวัตรนิกร จนเจ้าหน้าที่คนอื่นต้องปรามให้สติอารมณ์ก่อน นายตำรวจตำแหน่งสูงสุดของสถานที่ค่อย ๆ เดินออกมา
“นี่มันเรื่องอะไร คุณจับแม่ผมมาทำไม แม่ผมไม่เกี่ยวข้องแล้วไม่ใช่เหรอไง”
“ใจเย็น ๆ ครับคุณสินธพ ผมกำลังจะอธิบายให้คุณฟัง เชิญนั่งก่อน”
“ไม่จำเป็น บอกมาเลยดีกว่าว่าคุณจับแม่ผมมาทำไม ข้อหาอะไร หลักฐานมีไหม บอกมาเดี๋ยวนี้เลย” เสียงวิศวกรหนุ่มดังลั่น สารวัตรนิกรหันไปพยักหน้า ผู้ช่วยรีบเอาแฟ้มเอกสารมาให้
“เอางั้นก็ได้ครับ ผมจะแจกแจงทีละประเด็นเราจับกุมคุณสกุณีในข้อหาจ้างวานให้คนทุจริตในการซื้อขายวัสดุก่อสร้าง จ้างวานวางเพลิง และวางยาทำร้ายนักเรียนโรงเรียนชลพิทักษ์พิทยาคม...”
สินธพอึ้งไปชั่ววินาที ก่อนระเบิดเสียง “บ้าไปแล้ว!! พวกคุณต้องบ้าแน่ ๆ เอาอะไรมาพูด ผมอยากได้หลักฐาน”
“ข้อหนึ่ง นายเกียรติชัย ซึ่งเป็นฝ่ายขายของบริษัทคุณประวีณให้การว่าทำตามที่คุณสกุณีจ้าง ซึ่งรวมทั้งนายสมศักดิ์โฟร์แมนของคุณซึ่งรู้เห็นเป็นใจที่จะรับของผิดสเปคในวันที่คุณไม่อยู่...”
“แต่...” สินธพจะค้านแต่ช้าแต่สารวัตรนิกร
“เรามีพยานชี้ตัวได้ว่า เห็นคุณสกุณีกับนายสมศักดิ์คนของคุณพบกัน มันอาจจะเป็นการพูดคุยกันธรรมดาก็ได้ แต่มันบังเอิญว่านายสมศักดิ์คือคนที่ซัดทอดพอดี”
ชายหนุ่มยืนนิ่ง ใบหน้าเริ่มเผือดลง “ใครมันมาให้การแบบนั้น!! พวกคุณมั่วหรือเปล่า พยานคนนั้นเชื่อถือได้หรือเปล่า”
“เราไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ เพื่อความปลอดภัยของพยาน”
“แล้วกรณีวางเพลิงกับวางยาล่ะ ไม่ทราบว่าเอาอะไรตัดสิน”
“คุณสกุณีรับสารภาพเอง พอไหมครับ”
“แม่ผมรับสารภาพเองเหรอ”
“เป็นเทคนิคการสืบสวนก็จริง แต่ในที่สุดคุณสกุณีก็หลุดรับสารภาพออกมาเองครับ” เพราะถูกตะโกนใส่ นายตำรวจจึงอดไม่ได้ที่จะยียวนกลับบ้าง
“แล้วแม่ผมจะทำเพื่ออะไร”
“เท่าที่ผมสอบถามมาได้ คือไม่พอใจและต้องการทำลายชื่อเสียงผอ.คเชนทร์ กับโรงเรียนชลพิทักษ์พิทยาคมครับ แล้วก็ผลประโยชน์จากการเปลี่ยนวัสดุ แต่ถ้ามีอะไรมากกว่านี้ คุณไปถามก็ได้นะ”
“นี่อย่ามากวนผมนะ ผมไม่ยอมให้แม่ผมอยู่แบบนี้หรอก!!” ใบหน้าสินธพจริงจัง ทำท่าจะเดินไปยังทางที่มารดาถูกควบคุมตัวอยู่ แต่สารวัตรพูดทิ้งท้าย
“อีกเรื่องที่คุณควรรู้ คุณสกุณีบอกว่าเรื่องทั้งหมดคุณไม่เกี่ยวข้องเลย”
ซึ่งทำให้เขาตัวชากว่าจะสามารถก้าวต่อไปได้
เบื้องหน้าสินธพคือสกุณีผู้เป็นแม่ ซึ่งถูกกั้นไว้ด้วยลูกกรงเหล็ก ใบหน้าแทบไม่บอกอารมณ์ ตรงกันข้ามกับลูกชายซึ่งร้อนรนกระวนกระวาย เขาอึดอัดที่จะตำหนิ และใช้เวลาชั่วอึดใจที่จะเรียบเรียงคำพูดออกมา
“แม่ทำแบบนี้ทำไม ผมเชื่อว่าไม่ใช่ความคิดแม่ ใช่ไหมครับ ใครให้แม่ทำครับ”
“ไม่มีหรอก แม่ทำของแม่เอง แม่เกลียดคเชนทร์ เรื่องมีเท่านี้”
ลูกชายแทบไม่เชื่อหูกับน้ำเสียงเย็นชา เขาเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ ลำคอเชิด ใบหน้าราวกับหน้ากาก
“ทำไมครับ ผมไม่เข้าใจ” อีกฝ่ายเงียบ “แม่ครับ...”
“สินจะรู้ไปทำไม ก็รู้แค่ว่าแม่ทำแบบนี้เองก็พอ สินไม่เกี่ยวและไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องมาสงสัยอะไรแล้ว”
“แต่...”
“พอแล้ว!!”
“แต่ผมเป็นลูกแม่นะ!!” สินธพตะคอกกลับ เจ็บใจจะขาดรอน ๆ การยกคำเกี่ยวข้องทางสายเลือดดูจะไม่เหมาะในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะเขาเสียอีกที่พยายามหลีกเร้นความเป็นลูกชายที่ผู้เป็นแม่อยากจะถือครอง เมื่อเอ่ยไปเช่นนั้นก็เหมือนตกหลุมวจีตนเอง
“คิดเหมือนกันสินะว่าเป็นลูก” สกุณีกลับสู่มาดหญิงผู้ถือไว้ซึ่งยศศักดิ์ “อยากรู้จะบอกให้ก็ได้ เป็นเพราะพ่อสินนั่นแหล่ะที่ไปลงทุนโรงเรียนนี้กับคเชนทร์ พอตายไปก็ทำอะไรไม่ได้ ผอ.คเชนทร์ยิ่งแล้วใหญ่มัวแต่ไปใจดีให้ผู้ปกครองผ่อนค่าเทอมกันจนเงินขาด แล้วยังไง แม่จะขอถอนหุ้นคืนก็ไม่ให้ เงินปันผลก็ไม่ได้ อุตส่าห์หาคนมาซื้อที่ให้เพราะจะได้แบ่งเบาภาระให้ก็ไม่ขาย แถมยังไปกู้เงินมาสร้างอาคารใหม่อีก แม่ค้านก็ไม่ฟังเสียงเลย แบบนี้มันหักหน้ากันชัด ๆ”
สินธพอึ้ง “แล้ว...เรื่องวางยานักเรียน...”
“ใช่ แม่ทำเอง” เธอยอมรับง่าย ๆ “ต้นเหตุทั้งหมดอยู่ที่ผอ.คเชนทร์นั่นแหล่ะ โรงเรียนนี้ไม่อยู่ในความสนใจแม่ด้วยซ้ำ แต่เพราะผอ.ขอร้องให้นั่งตำแหน่งที่ปรึกษาเป็นการจ้างแทนการคืนหุ้นก็ยอม แล้วเป็นไง เลือกเจ้าหนี้ก่อนผู้ถือหุ้น แม่โกรธ อยากจะรู้ว่าถ้าโรงเรียนนี้มันไมมีนักเรียนสักคน จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายหนี้อีก”
ทุกคำชัดเจน ตรงประเด็น เรื่องในโรงเรียนเขาไม่เคยรู้มาก่อน รู้แค่ว่าแม่ชอบลงทุน กองทุน เพราะเป็นงานที่ไม่ต้องเครียดอะไร ถึงแม้จะบอกว่าผอ.คเชนทร์บริหารงานบกพร่อง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่แม่จะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้เลย
เขาหลับตา ความจริงมันเลวร้ายที่สุด แต่ก็ไม่อาจหนีมันพ้น
“มันจบแล้ว สินไม่ต้องยุ่ง นี่คือคำสั่งสุดท้ายของแม่ เข้าใจไหม”
ลำคอสินธพตีบตัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ห่างเหิน แต่ความผูกพันไม่ขาดหาย พอพ่อตายไป แม่ก็ทุ่มเทความหวังมาที่เขา เขาโกรธแม่ ไม่พอใจกับการใช้คำว่ารักและหวงใยมาบงการชีวิต จนมาถึงจุดแตกหักที่แฟนเก่าซึ่งคบกับมาสี่ปีบอกเลิกเพราะทนแรงเสียดสีจากแม่ของเขาไม่ได้ สินธพออกจากบ้านตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ไม่ติดต่อกลับอยู่นับปี เพราะญาติมาบอกว่าแม่ล้มป่วย จึงได้มีข้อตกลงยอมกลับมาอยู่บ้าน แต่ต้องไม่ยุ่งกับชีวิตของเขา เขากับแม่จึงเป็นเสมือนฝากล่องที่บิดเบี้ยว บิดภาชนะได้ แต่ไม่สนิทมานับแต่นั้น
“กลับไปได้แล้วสินธพ”
“แม่...”
สกุณีเบนหน้า ไม่สบตากับลูกชายอีก หัวใจเขาถูกบีบ หมุนกายออกมา
“อ้อ เปลี่ยนใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นยังทันนะ”
ชายหนุ่มสะดุดใจ ผู้หญิงคนนั้น “แม่หมายถึงใคร...”
สกุณียิ้มหยันและไม่พูดอะไรอีกเลย ปล่อยให้สินธพเดินคอตกลงจากสถานีตำรวจอย่างบอบช้ำ
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
4 พ.ค. 55 18:52:58
|
|
|
|