Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภูตคราม บทที่ 2 ภูตคราม ติดต่อทีมงาน

บทที่ 1 พิมมาดา
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12010319/W12010319.html

บทที่ 2 ภูตคราม

คำพูดและสีหน้าตระหนกของนิลเนตรสร้างความตกใจต่อนายองอาจและเพื่อนร่วมงานทุกคนเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างรีบหันมองรอบตัวกันจ้าละหวั่นเพื่อช่วยกันหาแต่ก็ไม่เห็น
พิมมาดาแม้แต่เงา นายองอาจจึงถามเลขานุการสาว


“เขาหายไปได้ยังไง”

“ไม่ทราบค่ะ ตอนแรกก็เดินมาด้วยกันดีๆเผลอแป๊บเดียวพิมก็หายไป” นิลเนตรพูดเสียงเครือและทำท่าจะร้องไห้ นงนภัสเบะปากอย่างหมั่นไส้ก่อนจะสะบัดเสียงพูด

“เขาอาจแวะเข้าไปทำธุระในป่าก็ได้”

“ฉันตะโกนเรียกจนลั่นป่า ต่อกำลังนั่งทำธุระยายพิมก็ต้องขานรับ” นิลเนตรตอบเสียงกระด้าง นงนภัสเหยียดยิ้ม

“เขาอาจจะเบื่อหรือขี้เกียจพูดกับเธอก็ได้”

“อย่าคิดว่าพิมเขาจะนิสัยเสียแบบเธอสิ” นิลเนตรพูดเสียงมะนาวไม่มีน้ำ นงนภัสถลึงตาใส่เธอด้วยความไม่พอใจก่อนจะหันหน้าไปออดอ้อนกับนายองอาจ

“นงว่าคุณพิมเขาอาจจะแค่แวะทำธุระข้างทางก็ได้ เราเดินล่วงหน้ากันไปก่อนดีกว่าค่ะ”

“โดยทิ้งพิมไว้แบบนี้น่ะหรือ”นายองอาจถาม อีกฝ่ายปรายตาไปทางนิลเนตร

“ก็ให้เพื่อนเขาอยู่รอตรงนี้สิคะ ทางเดินก็มีอยู่แค่ทางเดียวคงไม่หลงกันหรอก”

นายองอาจหันมามองเธอเหมือนนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดไร้น้ำใจแบบนี้ เพราะเท่าที่ผ่านมาเจ้าหล่อนมักจะทำเพียงแค่วางท่าหยิ่งยะโสกับพนักงานบริษัทซึ่งก็เป็นปรกติสำหรับผู้หญิงสวยที่มักจะมีนิสัยเอาแต่ใจ

“ผมทิ้งพวกเธอไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก”

นายองอาจพูดพลางดึงแขนออกจากการกอดกุมของหญิงสาว เธอเม้มปากด้วยความโกรธ

“แต่ว่า”

“ตอนนี้ผมไม่อยากฟังความคิดเห็นของคุณ” อีกฝ่ายตัดบทพร้อมกับหันไปทางฤทธิ์ที่กำลังยืนหน้าถอดสี

“ผมจำได้ว่าเราเพิ่งผ่านป้อมของเจ้าหน้าที่อุทยานมา คุณรีบไปบอกพวกเขาว่าคนของเราหลงเข้าไปในป่าขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด”

ฤทธิ์รับคำและวิ่งออกจากที่นั่นทันที นายองอาจระบายลมหายใจด้วยความกลัดกลุ้มและร้องห้ามสิทธิศักดิ์ที่ทำท่าเหมือนจะมุดเข้าไปในป่า

“นั่นคุณกำลังจะทำอะไร”

“ผมจะลองเข้าไปหาดูก่อน เผื่อคุณพิมอยู่แถวนี้”

“ป่าไม่ใช่ที่ที่เราจะเดินไปมาได้ตามใจชอบ ผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงคุณพิมแต่ทางดีที่สุดก็คือยืนอยู่กับที่และรอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อุทยาน”

ทุกคนรับคำและถอยมายืนรวมกันเป็นกลุ่ม นิลเนตรมองผ่านต้นไม้หนาทึบ ความเป็นห่วงเพื่อนทำให้เธอยกมือขึ้นพนมพร้อมกับสวดมนตร์และอธิษฐานขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยนำพิมมาดากลับออกมาอย่างปลอดภัย

เสียงร้องเหมือนก้อนหินกระทบผิวน้ำที่ดังมาเป็นจังหวะทำให้พิมมาดาชะงักเท้าและหยุดยืนนิ่ง เหมือนเจ้าของเสียงจะรู้ว่าผู้ที่เดินอยู่ด้านล่างกำลังเงี่ยหูฟังมันจึงหยุดลง หญิงสาวกวาดตามองไปจนทั่วเหมือนต้องการหาที่มาแต่ความหนาทึบของป่าช่วยอำพรางสัตว์น้อยใหญ่ได้เป็นอย่างดีทำให้เธอเห็นแค่สีเขียวของใบไม้ หลังจากมองหาอยู่นานเมื่อไม่พบตัวอะไรหญิงสาวจึงเริ่มออกเดินต่อ แต่พอไปได้แค่สองสามก้าว เสียงลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง พิมมาดาถึงกับส่ายหัวอย่างระอา

“อยากจะร้องก็ร้องไป”

เธอพูดพึมพำพลางก้มตัวมุดผ่านไม้พุ่มหนึ่งออกไปยังพื้นที่โล่งขนาดไม่ใหญ่นัก ที่นั่นเองที่หญิงสาวได้พบกับที่มาของเสียงที่ได้ยินครั้งแรก

“เจ้าหนูนี่เอง”

พิมมาดาพูดพลางมองเม่นตัวน้อยที่กำลังนอนดิ้นอยู่ใต้พุ่มไม้ เมื่อเข้าไปใกล้เธอจึงพบว่าตัวของมันถูกพันด้วยเชือกพลาสติกโดยปลายด้านหนึ่งโยงไปพันแน่นติดกับต้นไม้ หญิงสาวจึงขยับเข้าไปหามันอย่างระมัดระวังพร้อมกับยื่นมือออกไป

“อยู่นิ่งๆเจ้าหนูเดี๋ยวฉันจะตัดเชือกนี่ให้”

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเพราะเจ้าเม่นกลับแยกเขี้ยวขู่สลับกับแผดเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว เมื่อแน่ใจว่าการกระทำของเธอทำให้สัตว์ตัวน้อยแตกตื่นพิมมาดาจึงดึงมือกลับและนั่งคิด

“เอาไงดี”

เธอขมวดคิ้วพลางนึกทบทวนถึงตอนที่ช่วยดึงสุนัขที่ถูกรถชนให้พ้นจากถนน ความตกใจและหวาดกลัวทำให้มันกัดทุกคนที่เข้าใกล้ จนเธอใช้กระสอบเก่าๆที่วางอยู่แถวนั้นมาครอบหัวเจ้าสุนัขตัวนั้นเอาไว้มันจึงสงบลงและยอมให้ทุกคนพาไปจนถึงโรงพยาบาล เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงดึงผ้าขนหนูที่เอาไว้ซับเหงื่อมาคลี่ออก พอได้จังหวะเธอจึงโยนมันไปคลุมตัวเม่นเอาไว้ ซึ่งก็ได้ผลเพราะเมื่อทุกสิ่งรอบตัวตกอยู่ในความมืดอย่างฉับพลัน เจ้าตัวน้อยก็หยุดดิ้นรนทันที พิมมาดาจึงรีบเข้าไปอุ้มมันอย่างระวังพลางหยิบมีดพกขนาดเล็กออกมา

“เดี๋ยวฉันจะตัดเชือกนี่ออกให้นะ”

เธอพูดเบาๆและเริ่มต้นตัดเชือกให้หลุดจากต้นไม้จากนั้นจึงค่อยๆดึงมันออกจากตัวของเม่นแต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะขนที่แหลมคมราวกับเข็มของมันคอยจะแทงมือตลอดเวลา ระหว่างที่ก้มหน้าก้มตาสาวเส้นเชือกอยู่นั้นอยู่ๆหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเฝ้ามอง เธอเงยหน้าขึ้นและกวาดตามองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวงแต่สิ่งที่พบมีเพียงใบไม้แห้งที่กำลังร่วงโรยลงจากต้นกับสายลมที่พัดผ่านกิ่งไม้จนไหวโยกไปมา เมื่อไม่พบสิ่งผิดปรกติพิมมาดาจึงหันไปช่วยเจ้าเม่นต่อแต่พอทำไปได้สักพักความรู้สึกเดิมก็กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูชัดเจนมากกว่าเดิมเพราะหญิงสาวรู้สึกเหมือนดวงตาคู่นั้นลอยอยู่เหนือร่างของเธอ พิมมาดารีบเงยหน้าขึ้นมองแต่สิ่งที่เห็นคือกิ้งก่าตัวหนึ่งกำลังเผ่นแผล็วขึ้นไปบนต้นไม้ ถึงจะตกใจอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอย่าง
โล่งอก

“กิ้งก่าเองหรอกเหรอ”  

เธอพูดพร้อมกับยิ้มให้กับตัวเองและก้มลงทำงานที่ค้างต่อขณะที่ปลดเชือกเส้นสุดท้ายออกจากตัวเม่นอยู่นั้นหญิงสาวรู้สึกเหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ทางด้านหลัง แม้จะมองไม่เห็นแต่เธอก็แน่ใจว่ามีคนยืนอยู่จริง และที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือคนผู้นั้นยืนอยู่ใกล้จนเธอสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่กำลังรดต้นคอ หัวใจของพิมมาดาเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวแต่เม่นที่เธออุ้มไว้ในมือนั้นหวาดกลัวยิ่งกว่าเพราะแม้จะอยู่ภายใต้ผ้าแต่มันกลับดิ้นรนอย่างรุนแรงจนหลุดจากมือและวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว อาการตื่นตระหนกของสัตว์ตัวน้อยทำให้หญิงสาวยืนตัวแข็งก้าวขาไม่ออก มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ พิมมาดาจึงเหลือบมองไปทางด้านหลังและยืนอ้าปากค้างเพราะแม้จะเห็นไม่ชัดนักแต่เธอก็แน่ใจว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างแน่นอน

ในช่วงที่ตกอยู่ในความหวาดกลัว พิมมาดารู้สึกว่าอากาศรอบตัวเริ่มเคลื่อนไหวราวกับสิ่งมีชีวิต มันเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าหมุนวนเป็นวงและเลื่อนไล้ไปตามลำตัวของหญิงสาวอย่างอ่อนละมุน สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับเธอเป็นอย่างมาก หญิงสาวอยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาแต่ร่างกายที่แข็งราวกับหินทำให้ไม่สามารถทำเช่นนั้น เธอจึงได้แต่ปล่อยให้สิ่งลึกลับลูบคลำร่างกายตามอำเภอใจ จนเมื่อสัมผัสนั้นเลื่อนขึ้นไปถึงลำคอมันจึงหยุด ตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงเฮือกเหมือนใครบางคนถอนใจ เรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืนมาอีกครั้ง พิมมาดารีบกระโดดออกจากจุดที่ยืนอยู่และวิ่งออกไปสองสามก้าวจากนั้นจึงหมุนตัวหันหน้ากลับมาโดยหมายจะมองผู้ล่วงละเมิดให้เต็มตา แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่ากับต้นไม้ที่กำลังโยกเอนไปตามลม

“เมื่อกี้มันอะไรกัน”

เธอพึมพำด้วยความตระหนก ดวงตาจ้องนิ่งอยู่ตรงตำแหน่งที่ยืนเมื่อครู่ ขณะที่พยายามคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อมีมือข้างหนึ่งตะปบลงบนไหล่

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ”

เสียงถามอย่างสุภาพ พิมมาดาจึงพบว่าเจ้าของมือคือชายสูงอายุในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่อุทยาน อีกฝ่ายมองสีหน้าตื่นกลัวของหญิงสาวพร้อมกับถาม

“คุณพิมมาดาใช่ไหมครับ”  

“ค...ค่ะ”

หญิงสาวตอบเสียงสั่นพลางกวาดตามองไปรอบตัว เจ้าหน้าที่ผู้นั้นมองกิริยาเธอด้วยสายตาที่เหมือนจะเข้าใจในอะไรบางอย่าง

“คุณเข้ามาในนี้ทำไมหรือครับ”

“ฉันได้ยินเสียงสัตว์ร้องเลยเข้ามาดู”

“แล้วเจออะไรหรือเปล่า”

น้ำเสียงที่ถามเจือความหวาดหวั่นอย่างบางเบา พิมมาดาตอบทั้งที่ยังหันมองไปรอบตัว

“ค่ะ ลูกเม่นถูกเชือกพลาสติกพัน ฉันเลยเข้ามาช่วยมัน”

“แค่นั้นหรือครับ”

คราวนี้พิมมาดาหันมามองเจ้าหน้าที่ผู้นั้นด้วยความแปลกใจ

“ทำไมหรือคะ”

อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับเลื่อนสายตามองไปยังจุดที่หญิงสาวพบเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่และยืนจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ

“ผมว่าเรารีบกลับออกไปดีกว่า ทุกคนเป็นห่วงคุณมาก”

พูดจบเขาก็เดินนำออกไปทันที พิมมาดารีบก้าวเท้าตามทั้งที่ในใจยังคงสงสัยในสีหน้าและพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่คนนั้น ระหว่างทางที่เดินมาด้วยกันเธอจึงถาม

“ตรงนั้นมีอะไรหรือคะ”

“อะไรนะครับ” อีกฝ่ายย้อนถามทั้งที่สายตายังคงมองตรงไปข้างหน้า พิมมาดานิ่วหน้าเล็กน้อย

“เมื่อกี้คุณทำเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง พอจะบอกได้ไหมคะว่ามันคืออะไร”

“ผมแค่มองทุกอย่างตามนิสัยของพราน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยและยกมือขึ้นตบเครื่องหมายอุทยานสองสามครั้ง “หมายถึงงานของเจ้าหน้าที่น่ะครับ”

เขาแหวกใบเฟิร์นที่ระลงมาจากคบไม้และหยุดชะงักอย่างฉับพลันทำเอาพิมมาดาซึ่งตามหลังมาเกือบจะยั้งเท้าไม่ทัน หญิงสาวขยับตรียมจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ต้องยั้งปากเอาไว้เมื่อท่าทางของเจ้าหน้าที่อุทยาน เพราะสีหน้าของเขาแม้จะเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดแต่ดวงตาที่จ้องไปด้านหน้ากลับฉายความพรั่นพรึงออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“มีอะไรหรือคะ”

พิมมาดาขยับเข้าไปกระซิบถาม อีกฝ่ายยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดก่อนจะถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวและเดินเลี่ยงไปอีกด้าน หญิงสาวรีบเดินตามแต่ยังไม่วายอดที่จะเหลียวหลังกลับไปมองจุดที่เจ้าหน้าที่จ้องเมื่อครู่ไม่ได้ ทั้งคู่เดินตามกันโดยไม่มีการพูดจาไปได้สักพัก พิมมาดาจึงถามขึ้น

“เมื่อกี้นี้คุณเห็นอะไรเหรอคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบต่างจากการเดินซึ่งดูเหมือนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น หญิงสาวรีบก้าวเท้ายาวๆเข้าไปจนใกล้

“ฉันไม่เชื่อ” เธอพูดและหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นเขาไม่ยอมตอบอะไร อีกฝ่ายจึงจำต้องหยุดและหันกลับมาเตือน

“ใกล้ค่ำแล้วคุณต้องรีบกลับเข้าที่พัก”

หญิงสาวส่ายหน้าและเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ที่เธอเพิ่งประสบ

“ตอนที่ช่วยเม่นฉันเจอเรื่องประหลาด แน่นอนว่าถ้าพูดให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อแต่เจ้าหน้าที่อย่างคุณคงรู้จักเรื่องแบบนี้แน่”

“คนที่หลงป่ามักจะสร้างจินตนาการหลอกตัวเองทุกคน การที่คุณเห็นอะไรที่ผิดธรรมชาติก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

เจ้าหน้าที่อุทยานอธิบายแต่พิมมาดาไม่สนใจ เธอมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่จงใจจะเน้นย้ำถึงความมั่นใจของตัวเอง

“บ้านของฉันอยู่กลางสวน ฉันคุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวตามลำพัง และฉันก็แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เกิดจากจินตนาการแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง”

สีหน้าขึงขังกับน้ำเสียงจริงจังของเธอทำให้เจ้าหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อย สุดท้ายเขาจึงยอมผงกศีรษะ

“ผมรู้”

“งั้นคุณพอจะบอกได้ไหมคะว่าสิ่งที่ฉันเห็นคืออะไร”

ลุงเจ้าหน้าที่ไม่ตอบเธอในทันทีแต่กลับกวาดตามองไปรอบด้านด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าไม่เห็นสิ่งใดผิดปรกติแล้วเขาจึงหันกลับมาทางพิมมาดา

“พูดตอนนี้คงไม่เหมาะ ไว้ถึงที่พักแล้วผมจะเล่าให้คุณฟัง”

บอกเพียงแค่นั้นเขาก็เริ่มต้นออกเดินทางอีกครั้งและไม่ยอมเปิดปากสนทนาอะไรอีกเลย ฝ่ายพิมมาดาเมื่อได้ยินคำพูดเป็นเชิงตอบตกลงแล้วเธอจึงรีบเดินตามโดยไม่ทันได้สังเกตว่าทางด้านหลังภายใต้โคนต้นเคี่ยมคะนองที่สูงเสียดฟ้า มีเงาร่างเลือนลางของใครคนหนึ่งกำลังเฝ้ามองเธออยู่ เมื่อคนทั้งสองหายลับไปจากสายตาแล้วเสียงหนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้น

“เหตุใดจึงปล่อยนางไป”

เปลือกต้นไม้ขยับไหวราวกับมีชีวิต ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งเคลื่อนออกมาจากต้นเคี่ยมคะนอง หากใครมาพบก็คงคิดว่าเขาคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งจะต่างก็เพียงเครื่องแต่งกายที่มีแค่หนังสัตว์ห่อหุ้มกายท่อนล่างกับดวงตาสีน้ำตาลทองที่สะท้อนแสงวาววับราวกับนัยน์ตาของสัตว์ป่าเขายืนนิ่งไม่ยอมขยับ มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่หันไปมองผู้กำลังก้าวเข้ามาหา

“ข้ายังไม่หิว”

บุรุษผู้นั้นตอบโดยมิได้ขยับริมฝีปาก อีกฝ่ายหยุดยืนในระยะห่างเพียงหนึ่งช่วงแขนและมองคู่สนทนาด้วยสายตาเชิงแปลกใจ

“หากข้าจำไม่ผิดมื้อสุดท้ายของเจ้าคือสองจันทร์เพ็ญที่แล้ว เวลานานขนาดนั้นเจ้าจะบอกว่ายังไม่หิวหรือภูธรา”

ผู้ถูกเรียกว่าภูธรามิได้ตอบคำ เขาหมุนตัวเหมือนต้องการจะไปให้พ้นจากที่นั่นแต่ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น

“อย่าบอกนะว่าเจ้าเห็นใจมนุษย์”

“ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น อย่าได้กล่าวหาความกันแบบนี้มฤต” ภูธราตอบพร้อมกับหันไปมองผู้ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน มฤตกระตุกยิ้ม

“เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงปล่อยนางผู้นั้นไป”

“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่า ข้ายังไม่หิว”

ภูธราตอบเสียงเข้มขึ้น เสียงสวบสาบทำให้ทั้งคู่หยุดและหันไปมองพร้อมกันจึงพบว่าผู้ที่เข้ามาขัดการสนทนาของพวกเขาคือกวางตัวหนึ่ง ทันทีที่เห็นภูตทั้งสองสัญชาตญาณระแวงภัยก็กระตุ้นเตือนให้รู้ว่าชีวิตของตนไม่ปลอดภัย ดวงตาของกวางตัวนั้นก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก ขาทั้งสี่ขยับเตรียมจะหนีแต่ช้าเกินไปเมื่อมฤตวางมือลงบนหลัง พลังชีวิตของมันทั้งหมดก็ไหลพร่างพรูออกจากร่าง ชั่วพริบตาเจ้ากวางเคราะห์ร้ายก็ล้มลงขาดใจตาย

“พวกเราดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของสัตว์”มฤตพูดพลางมองภูธราแน่วนิ่ง”แน่นอนว่ารวมถึงมนุษย์ ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าเห็นใจอาหารพวกนี้”

“ข้าไม่ได้เห็นใจ”

“งั้นบอกหน่อยว่าทำไมเจ้าไม่สูบพลังชีวิตของนาง” มฤตถามด้วยน้ำเสียงเชิงคาดคั้น ด้วยนิสัยไม่ยอมรามือต่อสิ่งใดทำให้ภูธราจำต้องยอมตอบในที่สุด

“เพราะข้าเห็นบางอย่างในตัวของผู้หญิงคนนั้น”

“บางอย่างที่เจ้าว่านั่นคืออะไร” มฤตซักพร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายขมวดคิ้วคล้ายพยายามหาคำตอบแต่หลังจากคิดทบทวนอยู่หลายรอบก็ยังนึกไม่ออกเพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า สิ่งนั้นคืออะไร

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

คำตอบที่หลุดออกมาทำให้มฤตส่ายหน้า

“เป็นคำตอบที่ไม่สมกับผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าชิงตำแหน่งหัวหน้า”

“ข้าไม่สนใจเรื่องแบบนั้น เชิญเจ้ารับตำแหน่งที่ว่านั่นไปเลย”

ภูธรากล่าวด้วยความรำคาญและทำท่าจะเดินจากไป มฤตเคลื่อนไปขวางเขาเอาไว้และจ้องด้วยดวงตาลุกวาว

“อย่ามาแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ข้ารู้ดีว่าแท้จริงแล้วเจ้าเองก็ปรารถนาในตำแหน่งนี้เช่นกัน”

“ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด”ภูธราพูดและเตรียมจะเดินเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับเขาจึงหันไปจ้องหน้า

“หลีก”

มฤตยืนจังก้าขวางทางเหมือนต้องการจะลองดีแต่เมื่อเห็นดวงตาของอีกฝ่ายทอแสงลุกวาวด้วยความไม่พอใจกายของเขาก็บังเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว มฤตเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้กับภูธราด้วยความหวาดผวาในคลื่นพลังแห่งความดุดันเพราะแม้จะเป็นภูตที่มีนิสัยเงียบขรึมไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่ในยามบันดาลโทสะ ต่อให้ภูตรวมกันสามตนก็ไม่มีทางทำอะไรภูธราได้เลย

ฝ่ายภูธราเมื่อมฤตยอมหลีกทางให้แล้วเขาจึงเดินผ่านไปโดยไม่สนใจที่จะกล่าวอะไร ส่วนมฤตยเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทางหรือพูดจาโต้ตอบก็บังเกิดความโกรธผนวกกับความไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงเผลอหลุดปากถาม

“เจ้าจะหนีหรือภูธรา”

ภูตหนุ่มหยุดชะงักและมองมฤตด้วยหางตาก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ข้าจะไปพบท่านวิษธร”

พูดจบร่างสูงกำยำก็ก้าวหายเข้าไปในต้นไม้ มฤตกำหมัดแน่นและบดกรามด้วยความโกรธ

“ข้าไม่ยอมให้เจ้าสอพลอท่านวิษธรได้อย่างสบายใจหรอกภูธรา”

พูดจบเขาก็หมุนตัวหายเข้าไปในต้นมะค่าลิ้นทางด้านหลัง เสียงซู่ซ่าของใบไม้ดังสนั่นเมื่อมีสายลมแห่งขุนเขาพัดผ่านเข้ามาหอบใหญ่ เมื่อทุกอย่างสงบลงบริเวณนั้นก็เหลือเพียงซากของกวางเคราะห์ร้ายที่นอนตายเพียงลำพัง ไม่มีวี่แววของภูตตนใดอีกลย

หลังจากได้รับความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่อุทยานจนสามารถกลับไปหาเพื่อนที่รอกันอยู่บริเวณที่พักแถวน้ำตกเหวนรกแล้ว พิมมาดาจึงกล่าวขออภัยกับทุกคน แต่นายองอาจกับคุณนายนวลศรีกลับไม่กล่าวตำหนิเธอแม้แต่คำเดียวเช่นเดียวกันกับนิลเนตรที่โผข้ากอดเพื่อนด้วยใบหน้านองน้ำตา มีเพียงนงนภัสคนเดียวเท่านั้นที่ค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างไม่พอใจ

“ไม่น่ารอดออกมาเลย”

เจ้าหล่อนเปรยด้วยเสียงที่ไม่ดังนักก่อนจะสะบัดหน้ามองไปทางด้านอื่นด้วยความหมั่นไส้ที่ทุกคนพากันรอบล้อมและผลัดกันซักถามพิมมาดาด้วยความเป็นห่วงไม่เว้นแม้แต่ชู้รักของเธอเอง เมื่อเห็นว่าทุกคนหายจากอาการตื่นตระหนกแล้วนายองอาจจึงปรบมือสองสามครั้งพร้อมกับร้องบอก

“เอ้า เมื่อทุกคนสบายใจกันแล้วผมก็มีข่าวดีจะบอก คุณนวลศรีโทร.มาแจ้งว่าได้ปลาสดกับกุ้งแม่น้ำมาหลายโล ดังนั้นพวกเราควรจะรีบกลับที่พัก เย็นนึ้เราจะปิ้งปลาย่างกุ้งปิดท้ายวันพักร้อนและฉลองที่คุณพิมกลับมาอย่างปลอดภัย”

เสียงพนักงานทุกคนยกเว้นนงนภัสร้องเฮกันดังลั่นจากนั้นทั้งหมดจึงเดินกลับขึ้นไปบนถนนและขึ้นรถที่มาจอดรออยู่เมื่อทุกคนขึ้นไปนั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้วทั้งหมดจึงเดินทางกลับสู่ผากล้วยไม้ ระหว่างที่นั่งรอยู่บนรถพิมมาดามองต้นไม้ซึ่งเคลื่อนที่ผ่านไปทางด้านหลังพลางนึกถึงคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่อุทยาน

‘คุณโชคดีมากที่รอดจากภูตครามมาได้ แต่เพื่อความปลอดภัยคุณกับเพื่อนควรรีบเดินทางออกจากป่า เพราะภูตพวกนั้นไม่เคยปล่อยให้เหยื่อให้มีชีวิตรอด’

“ภูตคราม”หญิงสาวพึมพำด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่เล็กจนโตเธอได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีป่ามามากมายไม่ว่าจะป็นผีโป่ง ผีป่าหรือผีก็องกอย จะแปลกหน่อยก็ตรงผีโพรงแต่ไม่มีใครเคยเล่าถึงภูตครามเลยสักครั้ง มันคือปิศาจชนิดใดกันแน่

“คงต้องไปถามลุงคนนั้นอีกครั้ง”

พิมมาดาคิดพลางเอนกายพิงเก้าอี้และระบายลมหายใจออกมา นิลเนตรซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างเห็นท่าทางของเพื่อนจึงถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรหรือเปล่ายายพิม”

“หือ”หญิงสาวทำเสียงในลำคอและยิ้มน้อยๆ”แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”

“แน่ใจนะ” นิลเนตรถามย้ำ หญิงสาวผงกศีรษะแต่ไม่ได้ตอบอะไร เมื่อเห็นพิมมาดาทำท่าเหมือนไม่อยากพูดเธอจึงตีความหมายไปว่าเพื่อนต้องการจะพักผ่อน ทั้งสองต่างนั่งนิ่งเงียบไม่พูดจากันจนกระทั่งถึงที่พักทุกคนจึงทยอยลงจากรถและตรงไปหาคุณนวลศรีที่กำลังนั่งอยู่หน้าเต้นท์อย่างสบายใจ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 07:19:18




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com