Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 14 : ลงเรือน้อยตกน้ำป๋อมแป๋ม ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12029292/W12029292.html

บทที่  14


พิณไพลินสะบัดผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาดอย่างแรงราวกับจะสลัดความวุ่นวายใจที่ก่อกวนความรู้สึกซึ่งเกิดมาจากเจ้าของใบหน้าเข้มคมออกไปให้หมดไป เธอเหน็บขอบผ้าปูด้านข้างเข้ากับที่นอนพลางเม้มปากแน่น ดีนะที่พอเกิดเหตุการณ์ในห้องนอนแล้วเขาก็ขอเช่ารถเครื่องสีแดงของเธอเข้าหมู่บ้านไปโดยอ้างว่าจะไปไหว้พระที่วัดไม่เข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้กับเธออีก ปล่อยให้เธอหายใจหายคอได้โล่งเต็มปอด นึกถึงคำพูดก่อนไปของเขาแล้วมือที่สอดผ้าปูก็ออกแรงมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว

‘วันนี้ผมขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้อยู่ช่วยงานของคุณ’ เขาเอ่ยราวกับว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเธอ ถ้าเขาจะหายไปไหนก็จะเป็นเรื่องผิดอย่างนั้นแหละ ทั้งที่ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องอะไรกันสักนิด

‘ไม่เป็นไรนี่คะ อย่าลืมว่าคุณเป็นแขกไม่ใช่คนงานของฉัน’

เธอตอบแบบไม่มองหน้าเขาทำเป็นสนใจกับการเช็ดแก้วอย่างขะมักเขม้น ตอนนั้นเหตุการณ์หน้าตู้เสื้อผ้ายังรบกวนจิตใจเธออยู่อย่างมากจนแทบไม่อยากมองหน้าเขา เอ๊ะ หรือว่าไม่กล้ามองกันแน่นะ

‘ถ้าผมตกงาน คุณจะจ้างผมไหม’ อยู่ดีๆ เขาก็ถามในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในประเด็นเลยแม้แต่น้อย

‘ไม่ค่ะ’ เธอตอบทันควัน

เสียงโทรศัพท์นายตั้งดังขึ้นขัดจังหวะเธอเหลือบไปมองแวบเดียวก็เมินกลับมา ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยหลังจากนั้นจึงเหลือบมองอีกทันได้เห็นเขากดปิดแล้วเอามือถือหย่อนลงในกระเป๋ากางเกงผ้าขายาวพอดี

‘ผมขอตัวก่อน คุณจะฝากซื้ออะไรไหม แต่ผมอาจจะกลับช้าหน่อย’

‘ไม่ค่ะ ขอบคุณ’

‘เอาเบอร์โทรผมไปสิ ถ้ามีเรื่องด่วนต้องการใช้รถเครื่องจะได้โทรหาผม’

‘ไม่เป็นไรค่ะ’

แต่เขาไม่ฟังเสียง ฉวยมือถือของเธอที่วางอยู่ข้างๆ เพราะเพิ่งติดต่องานกับแขกขึ้นมาแล้วกดเบอร์ของเขาลงไปก่อนจะวางลงที่เดิมอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีปกติ ตอนนั้นเธอไม่กล้ามองหน้าเขานานนักได้แต่เงยหน้าขึ้นมองเขาตาขุ่นแวบเดียวแล้วก็เม้มปากขณะก้มลงมองโทรศัพท์มือถือตัวเอง

‘แล้วผมจะโทรมาถามเผื่อคุณจะเปลี่ยนใจอยากได้อะไรหรือต้องการใช้รถ’

พิณไพลินถอนใจเฮือกใหญ่ ตบที่นอนแรงๆ แล้วยืดตัวขึ้น ก่อนจะสะบัดหน้าไปมาเพื่อสลัดภาพที่กำลังอยู่ในความคำนึงหายไปจนผมยาวที่มัดไว้ปัดไปมา

เมื่อไหร่จะกลับไปเสียทีนะนายตั้ง !

เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดบริเวณสำนักงานน้อยริมน้ำของเธอ เสียงนั้นดึงเอาความคิดไร้สาระออกไปแทนที่ด้วยเสียงของป้าทุม

“หนูพิณ แขกมาแล้ว หนูพิณ อยู่ไหน”

ยังไม่สิ้นเสียงของป้าทุมเสียงเจื้อยแจ้วของผู้หญิงก็ดังขึ้นแทรก พิณไพลินเดินออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ต้อนรับและจัดแจงให้แขกเข้าที่พัก พอเห็นแต่ละคนเธอก็ตะลึงไปชั่วอึดใจ

ที่เคยเจอมาแขกที่มาดูงานและมาพักส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงานประมาณสามสิบกว่าถึงสี่สิบ แต่สามสาวต่างสไตล์ซึ่งพูดเสียงดังเหมือนมาสิบคนนี้เปลี่ยนไร่นับดาวอันเงียบสงบเรื่อยๆ ให้อึกทึกด้วยแสงสีเสียงครบครันโดยเฉพาะชุดหลุดแค็ตตาล็อกของแต่ละคนทั้งขาสั้นจู๋เสมอจิ๋ม สายเดี๋ยวรัดติ้ว กับเสื้อซีทรูทะลุตับไต

นี่มันโฮมสเตย์นับดาวเอาไว้มาชมวิถีชีวิตบ้านนอก ศึกษาการเกษตรแบบธรรมชาตินะ ไม่ใช่ผับบาร์ให้แต่งตัวมาล่อเสือล่อตะเข้เสียหน่อย

เฮ้อ !!! ใครมาเห็นจะหาว่าเธอเป็นแม่เล้าไหมเนี่ย?

                         ****************

สี่โมงเย็นเกือบห้าโมง ตติยะกดปิดสัญญาณมือถือหลังจากพูดคุยธุระสำคัญกับใครบางคน งานที่ได้รับมอบหมายมายังไม่คืบหน้าเขาเลยไม่อยากจะพูดคุยอะไรมากนัก ยังไม่ทันจะวางมือถือลงบนโต๊ะหน้าจอก็สว่างตามด้วยการสั่นเตือน ใบหน้าเรียบเฉยเครียดเป็นสีเข้มขึ้นมาก่อนที่เขาจะกดตัดสัญญาณอย่างไม่ไยดี

ชายหนุ่มวางมือถือลงบนโต๊ะใกล้เตียงนอนค่อนข้างแรงจากนั้นเดินไปที่หน้าต่างซึ่งม่านสีขาวปลิวเบาๆ แล้วทอดสายตาออกไปด้านนอก เบื้องบนท้องฟ้าระบายสีส้มอ่อนเป็นแถบสลับกับสีฟ้าจาง ขั้นด้วยต้นไม้สีเขียวเข้มริมน้ำซึ่งแสงแดดสีอ่อนจางส่องลอดพุ่มไม้เป็นลำแสงกระทบพื้น พอเลื่อนสายตาไปยังไม้พุ่มเตี้ยๆ ริมน้ำ ภาพหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา หญิงสาวผมยาวรวบผมเป็นหางม้าสูงสวมเสื้อยืดพอดีตัวสีฟ้ากำลังจ้วงไม้พายอย่างช้าๆ ท่าทางเรื่อยๆ แต่ดูสบายอารมณ์จนจุดรอยยิ้มขึ้นที่ใบหน้าคล้ามคม ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ

ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปเปิดตู้ ชะงักนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนเช้า รอยยิ้มบางเบาแต้มบนใบหน้าก่อนจะส่ายหน้าไปมาพร้อมกับดึงเอากางเกงขาสั้นสีดำแค่เข่าที่พับรวมๆ กันกับเสื้อและกางเกงออกมาจัดการถอดกางเกงขายาวออกเปลี่ยนอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกจากห้องไปทางด้านหลังผ่านระเบียงลงบันไดไปตามทางเดินเล็กๆ ซึ่งปลูกต้นชาทองเป็นแนวลาดลงไปยังแม่น้ำเป็นระยะทางเกือบสิบเมตรหลังจากนั้นประมาณยี่สิบเมตรเป็นร่องทางเดินเล็กๆ  

ตติยะสาวเท้าไปจนถึงตลิ่งเป็นลานหญ้าโล่งๆ พลางกวาดตามองหาคนที่ทำให้เขาลงมาตรงนี้ทั้งที่แผลยังไม่หายดีนักแต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ในเมื่อสภาพร่างกายเขาผ่านความทรหดมามากกว่านี้หลายเท่านัก พิณไพลินนั่งอยู่บนเรือแจวลอยลำบนผิวน้ำลึกเข้าไปจากแม่น้ำท่ามกลางดอกบัวแดง ผักตบชวา และพืชน้ำกระจายตัวอยู่ห่างๆ ร่างโย่งแต่แข็งแรงได้สัดส่วนก้าวลงสะพานไม้ไผ่เล็กๆ ซึ่งยื่นลงไปในแม่น้ำยาวประมาณสามเมตรก่อนจะหยุดยืนตรงแพไม้ขนาดย่อม เรือแจวจอดนิ่งอยู่เสยขึ้นไปบนตลิ่งพร้อมไม้พาย อารมณ์ผ่อนคลายทำให้ตติยะก้าวลงเรือแล้วจับไม้พายมางัดดินแข็งรมตลิ่งจนเรือลอยออกสู่แม่น้ำ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่เคยไปเที่ยวบ้านริมแม่น้ำของเพื่อนอยู่บ่อยๆ

“วันนี้ผมขอฝากท้องอาหารเย็นด้วยคนนะคุณ”

พิณไพลินสะดุ้งโหยงจนเรือโคลงเคลง พอหันมาเห็นว่าเป็นใครก็กระแทกลมหายใจเฮือก อยู่ดีๆ นายโย่งทำตัวลึกลับน่าสงสัยก็โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง แถมยังพายเรือมาอีกต่างหาก เก่งเหลือเกินนะ แขกน้อยคนนักที่จะพายเรือเป็น

“คุณชอบทำให้คนอื่นตกใจอย่างนี้เสมอเหรอคะ”

คนมาทีหลังไม่ตอบแต่กลับเอาพายวางพาดกับเรือแล้วเอามือข้างหนึ่งจับเรือของหญิงสาวไว้ออกแรงดึงให้เรือลอยมาเทียบเคียงข้างกัน พูดไปอีกทางหน้าตาเฉย “จะเอาไปทำเมนูอะไรเหรอ ผมชอบกินแกงกะทิสายบัวใส่ปลาทูนะ แต่เอาไปผัดแกล้มเหล้าก็อร่อยสุดยอดเลย”

ใครถามกันเล่า?

พิณไพลินมองสบตาเขาแล้วก็ต้องเมินหลบโน้มตัวลงไปดึงสายบัวที่อยู่ใกล้ขึ้นมาโดยไม่ตอบคำถามเขา พอถอนขึ้นมาแล้วก็ม้วนๆ วางลงในเรือ

ชายหนุ่มยักไหล่ อมยิ้ม นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้วก็คิดว่าต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้เธออยากเข้าไปในห้องเขาเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง หรือว่า...เธอเห็นเขาออกจากบ้านพักเมื่อคืน?

ขณะคิดก็เหลือบตาไปเห็นดอกผักตบชวาสีม่วงช่อยาวค่อนข้างใหญ่ชูช่อโดดเด่นอยู่ไม่ไกล จึงเอื้อมมือไปเด็ดมาแล้วยื่นไปใกล้ใบหน้าคนที่กำลังถอนสายบัวโดยไม่พูดไม่จาพอหญิงสาวหันมาเธอจึงสะดุ้งอีกคำรบ

“ดอกมันสวยดีนะ”

พิณไพลินหลุบตามอง “แน่นอนค่ะ สวยกว่าดอกไม้ราคาแพงบางชนิดด้วยซ้ำไป”

“ดอกไม้สวยใช่ว่าจะหอม ดอกไม้แพงใช่ว่าจะมีประโยชน์หรือมีคุณค่าแก่การเด็ดมาเชยชม” คนพูดเหยียดริมฝีปากคล้ายกับจะเยาะหยันอะไรบางอย่าง คนฟังขมวดคิ้วนึกประหลาดใจว่านายโย่งพูดจามีปรัชญากับเขาด้วย เธอเขม้นมองเขาอย่างจับผิดแต่ชายหนุ่มกลับยื่นดอกผักตบชวาให้

“ผมให้”

พิณไพลินเมินหลบทำเป็นมองหาดอกบัวดอกต่อไป “ฉันไม่ชอบกินค่ะ” ว่าแล้วก็จับไม้พายขึ้นมาจ้วงพายหนีห่างออกไปทางกอบัวโผล่มาสี่ห้าดอก เสียงเขียดน้อยกระโดดจ๋อมแจ๋มลงน้ำ แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ ลอยตามหลังมาตามด้วยเสียงกุกกักของพายกระทบขอบเรือ

“ถือว่าเป็นคำขอโทษในเรื่องเมื่อเช้าที่ผมอาจล่วงเกินคุณ แบบ...ไม่ได้ตั้งใจ”

หญิงสาวชะงักไปนิดหนึ่งหน้าร้อนวาบ ยิ่งไม่อยากรับดอกผักตบชวาเข้าไปใหญ่ อารมณ์อายปนเคืองกลับมาทับถมอีกรอบ “ฉันว่าเหตุผลที่คุณต้องขอโทษก็คือฉันไม่ได้คิดจะแอบเข้าไปค้นห้องคุณเลย” เธอย้อนเสียงเขียว

“งั้นเหรอ” เสียงย้อนถามสูงๆ นั่นทำเอาพิณไพลินเม้มปาก

แขกน่าสงสัยแถมยังกวนประสาทอย่างนี้น่าผลักให้หงายหลังตกน้ำนัก

“ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่ต้องมาขอโทษหรอกค่ะ”

“ก็ใครจะเชื่อง่ายๆ ล่ะคุณ” นัยน์ตาคนพูดเป็นประกายขำจนอีกฝ่ายฉุน ชักคันไม้คันมือ เตือนสติตัวเองว่านี่คือแขก แต่...ถ้าไม่ใช่แขกเธอจะทำอะไรเขาได้ล่ะ !

“ฉันจะกลับแล้วค่ะ” ทำอะไรไม่ได้ก็หนีไปให้พ้นดีกว่า

“งั้นคุณรับดอกไม้นี่ไปก่อนสิ อุตส่าห์เด็ดมาแล้วจะทิ้งก็เสียดายมันนะ” เขายังตื๊อ

คนถูกดอกผักตบยื่นมาแทบจะชิดหน้าไม่รู้จะทำยังไง เธอยังตีหน้าไม่ถูกกับการจะมองสบตาเขาเกินห้าวินาที สุดท้ายก็เลยรับมันมาอย่างเสียไม่ได้แล้ววางลงบนสายบัวค่อนข้างกระแทกกระทั้น

“มานี่ผมช่วยคุณดีกว่า ผมจะได้มีส่วนร่วมในการถอนสายบัวและร่วมกินข้าวเย็นด้วย” ว่าแล้วก็ขยับตัวหันหน้าไปคนละด้านกับเธอจนเรือโคลงเคลง

ความคิดบางอย่างผุดวาบขึ้นในใจของพิณไพลิน

“คุณ... งู !!!!”

ตูม !!!

ร่างสูงโย่งเสียหลักหล่นลงน้ำเพราะเรือพลิกตะแคงแบบไม่ทันให้รู้เนื้อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ

พิณไพลินพยายามกลั้นหัวเราะไว้สุดฤทธิ์แล้วกลบเกลื่อนด้วยใบหน้ารู้สึกผิดอย่างเต็มที่ แต่พอเห็นคนที่โผล่หน้าขึ้นมายืนอยู่ระดับเพียงแค่อกผมเผ้าเปียกลู่แนบแก้มเขาใช้มือลูบน้ำจากใบหน้าออก จอกแหนติดผมกับเสื้อเป็นกระจุกเธอก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาจนได้

“คุณทำอะไรของคุณน่ะ” เขาถามเสียงฉุนทีเดียว

โธ่เอ๊ย ทำเป็นเสียงเข้มเชียว น้ำแถวนี้เธอเคยเห็นคนแถวบ้านนุ่งผ้าขาวม้าเดินลงมาใส่ตาข่ายดักปลาจึงรู้ว่ามันไม่ได้ลึกมากมาย ถ้ารู้ว่าลึกคงไม่แกล้งหรอก

“เมื่อกี้ฉันเห็นงูมันลอยน้ำมาจากทางโน้นฉันตกใจกลัวมันเข้าเรือคุณก็เลยผลักเรือออก” เธอบอกทั้งที่ยังไม่สามารถหยุดยิ้มได้

“คุณแกล้งผมใช่ไหม” เขาถามเสียงต่ำ แต่ไม่มีประกายตาโกรธหรือไม่พอใจในสีหน้าคล้ามคม

สีหน้าแบบนี้ทำให้เธอนึกได้ ลืมไป คนทำตัวลึกลับแบบนี้ถ้าเกิดเขาจับเธอกดจมน้ำล่ะ?

“เปล่านะ ฉันเห็นจริงๆ แต่ตอนนี้มันคงตกใจหนีไปแล้วล่ะ ฉันไปดีกว่า ต้องรีบไปทำกับข้าว วันนี้แขกอีกชุดหนึ่งจะมากินข้าวด้วย คุณอยากจะเล่นน้ำต่อก็เชิญตามสบายนะคะ ค่ำๆ อย่างนี้น้ำคงเย็นสบายสดชื่นดี” ว่าแล้วก็ฉวยเอาไม้พายขึ้นมาเตรียมจะจ้วงพายหมุนเรือกลับ แต่...

“ว๊าย !!”

ตูม !!!

“น้ำยามเย็นนี่เย็นน่าเล่นดีนะ คุณว่าไหม”

เป็นคำพูดที่พิณไพลินได้ยินหลังจากยืนบนพื้นดินได้แล้ว สภาพเธอคงไม่ต่างจากเขานักหรอกตอนนี้

“คุณทำอะไรของคุณน่ะ แกล้งฉันใช่ไหม” เธอถามเสียงเขียวทีเดียวหลังจากเอามือลูบน้ำออกจากใบหน้าขาวนวลเนียนแล้ว

“เปล่า เมื่อกี้เหมือนมีอะไรพันขา ผมก็เลยตกใจน่ะ”

หญิงสาวตบมือลงบนน้ำอย่างแรง “ตกใจแล้วมาพลิกเรือฉันจนคว่ำเนี่ยนะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าตาเป็นประกายพราวระยับ “เห็นตัวโตๆ อย่างนี้ผมก็ขี้ตกใจเหมือนกันนะ ตอนแรกก็ว่าจะเล่นน้ำต่อแหละ แต่คิดว่าเล่นน้ำคนเดียวคงไม่สนุก”

พูดจบน้ำก็พุ่งกระจายเต็มหน้าคนพูดด้วยฤทธิ์ฝ่ามือของพิณไพลิน ตามด้วยจอก แหน และผักตบชวา เสียงหัวเราะทุ้มเย้าแหย่ยังดังไม่หยุด นั่นยิ่งเป็นการเพิ่มปริมาณพืชผักน้ำสารพัดชนิดพุ่งตรงใส่ใบหน้าและลำตัวของคนกวนโมโห

                          **************

“แม่พู่ แม่พู่ค้าบ ป้องหิวข้าวค้าบ” เสียงของเด็กน้อยผิวพรรณดีที่ร้องออดอ้อนบุตรสาวคนโตทำเอาอรวรรณซึ่งเอ็นดูเด็กทุกคนเป็นทุนอยู่แล้วยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสวย  

“ตื่นขึ้นมาก็หิว นี่แหละน้าเขาว่าเด็ก”

“เดี๋ยวพู่ไปหาอะไรมาให้หลานเขากินก่อนนะคะแม่” พู่ชมพูละมือจากบัญชีค่าใช้จ่ายในการทำนาแล้วเดินเข้าไปในครัว

นึกถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายนี้แล้วพู่ชมพูก็ไม่รู้จะขำหรือสมน้ำหน้าสัตวบาลอวดเก่งดี เธอเคยถามเพื่อนที่เรียนสัตวบาลมาพวกนั้นบอกว่าก่อนจะผสมเทียมต้องเอาเข้าซองหรือไม่ก็มัดขาข้างหนึ่งไว้แต่นายคนนี้คงอยากโชว์ แต่พี่เดี่ยวก็น่าชกนัก โทษฐานที่ไปท้าเขาจนสัตวบาลไม่ยอมเสียหน้าด้วยการคิดจะผสมเทียมวัวตรงลานโล่งแบบไม่มีคอกขนาบตัวมันไว้ ดีว่าส่วนใหญ่ถูกไปทางต้นขาแต่ก็เฉียดพวงไข่จนหมอหนุ่มหน้าเขียว เธอต้องรีบพาหมอนะไปส่งโรงพยาบาลโดยมีลุงจอมขับรถขับรถหมอนะตามไปก่อนจะพาไปส่งที่บ้านและกลับมาที่นาของตัวเองระหว่างนั้นน้องป้องยังเล่นอยู่รอบๆ เต็นท์ใต้ต้นจามจุรีที่เดิมโดยที่พันดุลไปเกี่ยวข้าวอยู่นาใกล้ๆ เธอไม่อาจทิ้งเด็กน้อยไว้ได้จึงไปบอกกับลุงของปกป้องว่าจะพาหลานไปดูแลเองไม่อย่างนั้นดีไม่ดีเดินไปเดินมาตกสระกลางนาก็ได้ร้องไห้กันระงมอีก รายนั้นดูจะดีใจอย่างปิดไม่มิด คงจะดีใจที่มีคนจะรับภาระดูแลหลาน แต่ไอ้ลูกกะตาวิบวับนี่ทำเอาเธอต้องรีบเดินหนี

ตอนที่พาเจ้าหนูนั่งรถอีแต๋นมาด้วยนั้น พวงแก้มสองข้างแดงเป็นลูกตำลึงน่าเอ็นดูขนาดเธอซึ่งไม่ค่อยอะไรกับเด็กมากมายยังอดหยิกเบาๆ ไม่ได้ พอมาถึงบ้านจับอาบน้ำแล้วก็ไม่งอแงมีเพียงปี่ต้นข้าวอันเดียวที่ติดมือมาก็เอาอยู่ภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนจะนอนหลับภายในบ้านโดยมีผ้าห่มผืนบางปูรองกลางห้องนั่งเล่นแล้วเปิดพัดลมส่ายให้เท่านี้ก็หลับยาวจนถึงสี่โมงเย็นระหว่างนั้นทั้งเธอกับแม่ก็ไปดูแลการตากข้าวเปลือกจนเสร็จเรียบร้อย พอกลับมาอีกทีเจ้าหนูจึงได้ตื่นขึ้นมาทำท่างัวเงียแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้หาใครอย่างที่เด็กทั่วไป เพียงแต่ร่ำร้องร่ำร้องหาอาหาร

“ได้แล้ว ข้าวกับต้มจืด ดีนะที่วันนี้พิณทำต้มจืดไว้ มีหมูทอดกระเทียมด้วยจ้ะ”

อรวรรณช่วยรับถ้วยแกงจืดจากบุตรสาวและวางลงบนโต๊ะไม้ มองเด็กน้อยที่ยืดศีรษะขึ้นมาให้สูงกว่าโต๊ะเนื่องจากตัวเล็ก หญิงเก่งแห่งบ้านนาดียิ่งเอ็นดูไปอีกเมื่อเห็นมือเล็กๆ ตักข้าวใส่ปากเคี้ยวเหมือนหิวโหย

“ดูสิแม่ กินเหมือนไม่เคยได้กินอาหารดีๆ อยากรู้จริงๆ ว่าเลี้ยงหลานแบบบุฟเฟต์ในจินตนาการหรือเปล่า”

“เป็นยังไงกันพู่ บุฟเฟต์ในจินตนาการ” มารดาสงสัย

“เอ๊า ก็เวลาหลานอยากกินอะไรก็ให้นึกเอาเองแล้วอิ่มไงคะแม่ แต่ความจริงแล้วก็เลี้ยงแบบง่ายๆ มาม่า ปลากระป๋อง หมูยอ กุนเชียงทอด ไข่เจียว” เธอร่ายเอาในจินตนาการเหมือนกัน ก็เธอทำกับข้าวไม่เก่งเหมือนน้องสาวนี่นา

“ช่างว่าช่างค่อนขอดตาเดี่ยวเหลือเกินนะ”

“อ้าว ก็มันจริงนี่คะแม่”

อรวรรณโคลงศีรษะไปมาพลางรำพึง ทำหน้าทำตาแบบนี้ดูเผินๆ เหมือนจะหมั่นไส้แต่พอดูลึกลงไป นิสัยอย่างนี้ของลูกสาวท่าทางห้าวๆ ของเธอกำลังสนใจคนที่เอ่ยถึงต่างหากล่ะ คิดแล้วก็เลื่อนสายตาที่จับยังร่างเล็กซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิใช้มือตักข้าวกับปลาใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ มามองบุตรสาวด้วยอาการหรี่ตา

“พู่ แน่ใจนะว่าน้องป้องเป็นหลานตาเดี่ยวจริงๆ ไม่ใช่ลูก และเป็นลูกที่พ่อแม่ทะเลาะกันแล้วแยกกันอยู่โดยยังไม่ได้หย่า”

หญิงสาวอ่อนวัยกว่าจับน้ำเสียงรู้ทันของมารดาได้ แม่คงกลัวว่าเธออาจจะกลายเป็นมือที่สามไปได้โดยไม่รู้ตัว ก็ไม่ใช่เพราะกลัวนี่เหรอ เธอถึงยังต้องดูนานๆ ไว้เชิงมากๆ มีโอกาสก็แกล้งให้เต็มที่ ช่วยไม่ได้นี่นาอยากห่างหายไปไม่ส่งข่าวใครจะไม่ระแวงล่ะ ผู้ชายเดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ที่ไหน มีแต่คนอ้างโคลงโลกนิติว่า ‘สามวันจากนารี เป็นอื่น’ แล้วรู้ได้ยังไงว่า ‘หนึ่งปีจากพันดุลจะไม่เป็นเกย์’ เอ๊ย ไม่มีเมีย

“เขาบอกอย่างนั้นจ้ะแม่ พู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถึงจะเป็นลูกหรือหลานก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่แม่ เราช่วยเอาน้องป้องมาดูแลเพราะมนุษยธรรม จะปล่อยให้ไปตากแดดตากลมวิ่งกลางทุ่งนาเรียกพ่อเดี่ยว พ่อเดี่ยว ในขณะที่พ่อเดี่ยวกำลังทำมาหากินยุ่งกับการขับรถเกี่ยวข้าวแข่งกับเวลาและรถของพวกของนายไตรภพก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว จริงอยู่ว่างานเกี่ยวข้าวรออยู่เยอะไม่ใช่แค่หมู่บ้านเราแต่ทั้งตำบล อำเภอและจังหวัดก็พากันวิ่งหารถกันให้วุ่นแย่งคิวกันทะเลาะกันจนพวกเห็นแก่ตัวอย่างนายไตรภพฉวยโอกาสขึ้นราคา ถ้าพี่เดี่ยวเกี่ยวได้น้อยแล้วจะพอเป็นค่าดูแลรักษารถได้ยังไงในเมื่อรถไม่ใช่ราคาหมื่นสองหมื่น” พู่ชมพูร่ายยาวไปโน่นเลย

อรวรรณพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะถามหน้าตาย “ตกลงว่าพู่สงสารใครกันแน่ล่ะ น้องป้องหรือว่าตาเดี่ยว”

บุตรสาวสะดุ้ง “โธ่แม่ ก็สงสารเด็กน่ะสิ”

“ก็เลยเอามาดูแลเสียเลย แถมยังให้เรียกแม่พู่ แม่พู่อีก ใครได้ยินก็ต้องคิดว่าเป็นแม่เป็นลูกกัน”

“ก็...พวกนั้นสอนไปเรื่อยเปื่อยค่ะ... จะห้ามก็ห้ามไม่ได้ เรื่องดูแลก็ช่วยๆ กันไป คนบ้านเดียวกันนี่คะ แม่เคยสอนพู่ว่าให้ช่วยเหลือกันหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง อย่าเป็นคนแล้งน้ำใจเพราะเราอยู่ในสังคมแบบพี่น้อง” ขณะพูดพู่ชมพูก็หลบตามารดาซึ่งผิดปกตินัก

“แล้วพู่คิดกับตาเดี่ยวแค่พี่ชายหรือเปล่าล่ะ”

เจอประโยคนี้ทำเอาสาวห้าวถึงกับอึ้ง พูดก็พูดไม่ออกเหมือนมีอะไรมาอุดปากไว้ พลันเสียงหนึ่งคล้ายเสียงเหล็กกระทบกันจนดังสะเทือนเลือนลั่นตามด้วยเสียงบีบแตรไปทั่วท้องทุ่งนาบ้านนาดี หมู่บ้านในชนบทไม่มีอะไรช่วยเก็บเสียงนอกจากต้นไม้ใบหญ้าหรืออาจเพราะไม่ค่อยมีเสียงดังกระทบโสตประสาทเมื่อเกิดเสียงอย่างนี้มีหรือพู่ชมพูจะไม่สนใจ ยิ่งมาในช่วงที่กำลังจนคำตอบอยู่ด้วย

“เสียงอะไรน่ะ แม่ดูน้องป้องอยู่นี่นะคะ เดี๋ยวพู่ไปดูก่อนว่ามันมาจากทางไหน เหมือนดังไปทางป่าชุมชนบ้านเราเลย”

เมื่อรอดตัวจากเก็บความสงสัยของแม่มาได้ก็ลอบถอนใจพลางสาวเท้าลงบันไดเดินไปยังต้นคูนหน้าบ้านแล้วมองตามต้นเสียง หญิงสาวเบิกตาโตเขม้นมองไปยังรถเทรลเลอร์ซึ่งขนรถแบ็คโฮลสีเหลืองคาดน้ำเงินจอดลงอยู่ที่ถนนชายป่าชุมชน รถแบ็คโฮลค่อยๆ ไต่ลงจากรถเทรลเลอร์อย่างช้าๆ ห่างออกไปบนถนนดินรอบชายป่า รถหกล้อกำลังวิ่งปุเลงๆ ตรงไปยังจุดที่รถเทรลเลอร์จอดอยู่ ตามมาด้วยรถแทรกเตอร์สีฟ้ายี่ห้อฟอร์ดแล่นรั้งท้าย ภาพที่เห็นทำให้พู่ชมพูลืมเรื่องมารดาไล่ต้อนไปจนสิ้นหมดแทนที่ด้วยความสงสัยซึ่งรุมเร้ามาแทน

‘ใครเอารถแบ็คโฮลมาจอดแถวนั้น มีรถไถด้วย หรือว่าใครจะขุดสระน้ำหว่า’ หญิงสาวถามกับตัวเองในใจ ระยะห่างประมาณหนึ่งกิโลเมตรทำให้แว่วได้ยินเสียงคนพูดกันโหวกเหวกหลังจากเสียงรถเงียบลง

“พี่พู่ เสียงอะไรน่ะ เอ๊ะ รถพวกนั้นมาทำไมเหรอคะ” พิณไพลินซึ่งเดินมาจากทางท่าน้ำพร้อมสายบัวและดอกผักตบชวาหนึ่งดอกเอ่ยถามขึ้น

“ไม่รู้เหมือนกัน อ้าว ทำไมเปียกมะล่อกมะแล่กอย่างนั้นล่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พิณร้อนเลยโดดลงเล่นน้ำ” พูดจบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังบ้านพักของใครบางคนที่เอาคืนเธอจนเปียกไปทั้งตัว

“คงอยากกลับไปเป็นเด็กที่เคยลงเล่นน้ำล่ะสิ เอ...สงสัยลุงแอ๊ดจะจ้างรถมาขุดบ่อมั้ง นาลุงแอ๊ดติดป่าสาธารณะประโยชน์ไม่ใช่เหรอ” พู่ชมพูคาดเดา

น้องสาวพยักหน้าทั้งสองเลิกให้ความใส่ใจ แต่เสียงพี่สาวถามลอยมาอีก

“แล้วนี่ตั้งหายไปไหนล่ะ วันนี้เงียบหายเลย”

คนถูกถามหน้าร้อนและแดงขึ้นจนต้องหันหน้าหนีไปทางป่าชุมชน ถ้านายโย่งเงียบหายไปเธอจะเปียกอย่างนี้หรือ?

“เอ๊ะ !! นั่น พี่พู่ ทำไมรถไถถึงชนต้นไม้ในป่าล่ะ” พิณไพลินไม่ตอบแต่ร้องขึ้นมาอย่างงุนงง

พู่ชมพูเบนหน้าจากการจับสังเกตท่าทางน้องสาวไปอย่างรวดเร็วพอเห็นภาพรถแทรกเตอร์ชนต้นไม้สูงเกือบๆ สิบเมตรกับต้นไม้สูงลดหลั่นลงมาจนล้มระเนระนาดเลือดนักอนุรักษ์ก็แล่นปรี๊ดทั้งที่ไม่ได้จบป่าไม้ อารมณ์ที่ดีอยู่ร้อนจนแทบทะลุปรอท

“กล้าดียังไงมาโค่นต้นไม้ในป่าสาธารณะ เฮ้ย หยุดนะ หยุด ทนไม่ไหวแล้ว ไอ้พู่ยอมไม่ได้แล้ว”

                        *****************

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : วันฉัตรมงคล 55 13:37:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com